พระวจนะเรื่องพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนอย่างไร

บทตัดตอน 77

บางคนมีขีดความสามารถอ่อนด้อยเกินไปและไม่รักความจริง  ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงกันอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีและยังคงไม่สามารถพูดถึงความเข้าใจใดๆ จากประสบการณ์จริงได้  ดังนั้น พวกเขาจึงลงความเห็นว่าตนนั้นไม่อยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและกำหนดไว้ล่วงหน้า และไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าไม่ว่าจะเชื่อในพระองค์ไปอีกกี่ปีก็ตาม  พวกเขายึดถือในหัวใจของตนว่า “มีแต่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอด และทุกคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยเกินไปและไม่อาจเข้าใจความจริงได้ย่อมไม่รวมอยู่ในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและกำหนดไว้ล่วงหน้า ต่อให้คนเหล่านี้เชื่อก็ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด”  พวกเขาคิดไปว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดจุดจบของผู้คนตามพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา  ถ้าเจ้าคิดอ่านเช่นนี้ เจ้าก็เข้าใจพระเจ้าผิดไปมากทีเดียว  ถ้าพระเจ้าทรงกระทำการเช่นนั้นจริง พระองค์จะทรงชอบธรรมหรือ?  พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนตามหลักธรรมข้อเดียวคือ ท้ายที่สุดแล้วจุดจบของผู้คนย่อมจะถูกกำหนดตามพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา  ถ้าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิดและบิดเบือนพระประสงค์ของพระองค์อยู่เสมอ จนกระทั่งเจ้านั้นมองโลกในแง่ร้ายและผิดหวังตลอดเวลา นั่นคือการทำตัวเองมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกำหนดสิ่งต่างๆ ไว้ล่วงหน้าเป็นเช่นไร เจ้าก็ควรแสวงหาความจริงจากพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์และไม่ลงความเห็นอย่างมืดบอดว่าเจ้านั้นไม่รวมอยู่ในหมู่ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและกำหนดไว้ล่วงหน้า  นี่เป็นการเข้าใจพระเจ้าผิดอย่างร้ายแรง!  แท้จริงแล้วเจ้าไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าเลย ไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยิ่งไม่เข้าใจเจตนารมณ์อันอุตสาหะอยู่เบื้องหลังพระราชกิจบริหารจัดการนานหกพันปีของพระเจ้า  เจ้าสิ้นหวังในตัวเอง คาดเดาและสงสัยพระเจ้า กลัวว่าตัวเองคือคนรับใช้ที่จะถูกกำจัดออกไปทันทีที่เสร็จสิ้นการรับใช้ของตนแล้ว ครุ่นคิดอยู่เสมอว่า “เพราะอะไรฉันถึงควรทำหน้าที่ของตนเอง?  เวลาทำหน้าที่ ฉันกำลังทำงานรับใช้อยู่ใช่หรือไม่?  ถ้าฉันถูกเอาตัวออกไปตอนที่ทำงานรับใช้เสร็จสิ้นแล้ว ฉันก็ย่อมจะหลงกลเข้าแล้วมิใช่หรือ?”  เจ้าคิดอย่างไรกับการนึกคิดเช่นนี้?  เจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะเรื่องนี้ได้หรือไม่?  เจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดอยู่เสมอ จัดให้พระองค์เป็นพวกกษัตริย์มารที่ปกครองโลก ปกป้องหัวใจของเจ้าจากพระองค์ นึกตลอดเวลาว่าพระองค์ทรงเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจเหมือนมนุษย์  เจ้าไม่เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงรักมวลมนุษย์ และไม่เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงจริงใจในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  ถ้าเจ้าระบุตลอดเวลาว่าตนคือคนรับใช้และกลัวว่าจะถูกกำจัดออกไปหลังจากทำงานรับใช้ของเจ้าเสร็จแล้ว เช่นนั้นวิธีคิดของเจ้าก็คือวิธีคิดอันหลอกลวงของผู้ไม่เชื่อ  ผู้ไม่มีความเชื่อย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าเพราะพวกเขาไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้า และไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง  ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่มีความเชื่อในพระองค์?  ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง?  เจ้าไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน และไม่ยอมก้าวผ่านความทุกข์ยากเพื่อที่จะปฏิบัติความจริง ผลก็คือเจ้ายังคงไม่ได้รับความจริงแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ตาม และถึงจะเป็นอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ยังผลักความผิดไปให้พระเจ้า บอกว่าพระองค์ไม่ได้ทรงกำหนดเจ้าไว้ล่วงหน้า พระองค์ไม่จริงใจกับเจ้า  นั่นเป็นปัญหาเรื่องใด?  เจ้าเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าผิด เจ้าไม่เชื่อพระวจนะของพระองค์ เวลาทำหน้าที่ของตน เจ้าก็ไม่นำความจริงไปปฏิบัติและไม่อุทิศตน  แล้วเจ้าจะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?  เจ้าจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และเข้าใจความจริงได้อย่างไร?  ผู้คนแบบนี้ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคนรับใช้ด้วยซ้ำไป แล้วจะมีคุณสมบัติมาเจรจาต่อรองกับพระเจ้าได้อย่างไร?  ถ้าเจ้าคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม แล้วเจ้าเชื่อในพระองค์ไปเพื่ออะไร?  ตลอดเวลาเจ้าอยากให้พระเจ้าตรัสแก่เจ้าด้วยพระองค์เองเสียก่อนว่า “เจ้าคือประชากรของราชอาณาจักร เรื่องนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” แล้วเจ้าจึงจะออกแรงเพื่อพระนิเวศของพระองค์ และถ้าพระองค์ไม่ตรัสเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่มีวันยกหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์  ผู้คนแบบนี้ช่างเป็นกบฏและดื้อแพ่งอย่างยิ่ง!  เรามองเห็นว่ามีผู้คนมากมายที่ไม่เคยมุ่งเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเอง และยิ่งไม่เคยมุ่งปฏิบัติความจริง  พวกเขามุ่งแต่จะถามทุกครั้งที่มีโอกาสว่าตนจะสามารถได้รับบั้นปลายอันดีงามหรือไม่ พระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกตนอย่างไร พระองค์ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าให้พวกตนเป็นประชากรของพระองค์หรือไม่ รวมทั้งเรื่องเล่าลืออื่นๆ ในทำนองดังกล่าว  ผู้คนที่ไม่สนใจทำงานอันถูกควรของตนเองแบบนี้จะสามารถได้รับความจริงได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าต่อไปได้อย่างไร?  บัดนี้เราขอบอกพวกเจ้าอย่างเป็นทางการว่า แม้คนคนหนึ่งจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงและไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติเพื่อที่จะสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้วในท้ายที่สุดจุดจบของพวกเขาย่อมเป็นการถูกกำจัดออกไป  มีแต่ผู้คนที่สละตนเพื่อพระเจ้าด้วยใจจริงและนำความจริงไปปฏิบัติด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า  แม้ผู้อื่นจะมองว่าพวกเขาคือคนที่ไม่ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าให้เหลือรอด แต่พวกเขาก็จะมีบั้นปลายที่ดีกว่าพวกที่เชื่อกันว่าเป็นประชากรที่ได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้า ซึ่งไม่เคยมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทั้งนี้เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม  เจ้าเชื่อวจนะเหล่านี้หรือไม่?  ถ้าเจ้าเชื่อวจนะเหล่านี้ไม่ได้และออกห่างต่อไปอย่างดื้อรั้น เช่นนั้นแล้วเราบอกเจ้าเลยว่าเจ้าจะไม่สามารถรอดชีวิตอย่างแน่นอน เพราะอันที่จริงเจ้าไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้หรือรักความจริง  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระเจ้าย่อมไม่สำคัญ  สาเหตุที่เรากล่าวดังนี้เป็นเพราะในที่สุดพระเจ้าจะทรงกำหนดจุดจบของผู้คนตามพฤติกรรมและสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา ส่วนการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระเจ้านั้นในความเป็นจริงแล้วมีบทบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีบทบาทสำคัญ  เจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่?

บางคนกล่าวว่า “ฉันมีอุปนิสัยที่ไม่ดีและไม่สามารถเปลี่ยนได้ไม่ว่าจะไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงมากเพียงใดก็ตาม  ฉะนั้นฉันก็จะปล่อยไปตามธรรมชาติแล้วกัน  ถ้าฉันไล่ตามเสาะหาไม่สำเร็จ ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว”  ผู้คนแบบนี้คิดลบอย่างยิ่ง ลบมากจนพวกเขาสิ้นหวังในตัวเอง  ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกที่เกินจะแก้ไขได้  เจ้าพยายามหรือยัง?  ถ้าเจ้าพยายามแล้วจริง เต็มใจที่จะทนความทุกข์ยาก แล้วทำไมแค่ขบถต่อเนื้อหนังเจ้าถึงทำไม่ได้?  เจ้าเป็นคนที่มีหัวใจและมีสมองมิใช่หรือ?  แต่ละวันเจ้าอธิษฐานอย่างไรบ้าง?  เจ้าย่อมจะแสวงหาความจริงและพึ่งพาพระเจ้ามิใช่หรือ?  สำหรับเจ้าแล้ว การปล่อยไปตามธรรมชาติย่อมหมายถึงการรออยู่เฉยๆ ไม่ใช่การให้ความร่วมมืออย่างแข็งขัน  การปล่อยไปตามธรรมชาติแบบนั้นก็คล้ายกับการกล่าวว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไร ไม่ว่าจะทางไหน พระเจ้าก็ทรงกำหนดทุกสิ่งเอาไว้แล้ว”  แท้จริงแล้วนี่ใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ถ้าไม่ใช่ เช่นนั้นแล้วแทนที่จะคิดลบอยู่บ่อยๆ และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่นบนอบพระราชกิจของพระเจ้า?  บางคนพอทำผิดเข้าหน่อยก็คาดเดาเอาว่า “พระเจ้าทรงเผยและกำจัดฉันออกไปแล้วใช่ไหม?  พระองค์จะทรงซัดโทษใส่ฉันหรือเปล่า?”  พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อซัดโทษใส่ผู้คน แต่เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ไม่มีใครไม่มีข้อผิดพลาด—ถ้าเอาชีวิตทุกคน นั่นจะใช่ความรอดกระนั้นหรือ?  การกระทำผิดบางอย่างเป็นการจงใจทำ ส่วนอื่นๆ นั้นไม่ได้ตั้งใจทำ  หลังจากตระหนักรู้เรื่องที่ทำลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว ถ้าเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าจะทรงซัดโทษใส่เจ้าก่อนที่เจ้าจะลงมือเปลี่ยนแปลงกระนั้นหรือ?  พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนให้รอดแบบนั้นกระนั้นหรือ?  พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจแบบนั้น!  ไม่ว่าเจ้าจะมีอุปนิสัยที่เป็นกบฏหรือกระทำการโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม จงจำไว้ดังนี้ว่าเจ้าควรทบทวนและทำความรู้จักตัวเอง  จงกลับตัวทันที และพากเพียรเพื่อความจริงด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เจ้ามี—และไม่ว่าจะเกิดรูปการณ์อันใดขึ้น จงอย่าท้อแท้สิ้นหวัง  พระราชกิจที่พระเจ้ากำลังทำอยู่นั้นคือพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ และพระองค์จะไม่ทรงซัดโทษใส่ผู้คนที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอดโดยที่ไม่มีเหตุผลรองรับ  นี่เป็นเรื่องที่แน่ใจได้  ต่อให้มีผู้เชื่อในพระเจ้าที่ถูกพระองค์คร่าชีวิตในท้ายที่สุดจริง สิ่งที่พระเจ้าทรงทำลงไปย่อมจะเป็นเรื่องที่ยังคงรับรองได้ว่าชอบธรรม  เมื่อเวลาผ่านไป พระองค์ก็จะทรงยอมให้เจ้ารู้เหตุผลที่ทรงเอาชีวิตคนคนนั้น เพื่อให้เจ้าเชื่อมั่นได้อย่างหมดใจ  ตอนนี้จงพากเพียรเพื่อความจริงก็พอ มุ่งเน้นการเข้าสู่ชีวิต และพยายามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี  นี่ย่อมไม่มีอะไรผิด!  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงดำเนินการกับเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุด ก็รับรองได้ว่าย่อมชอบธรรม เจ้าไม่ควรสงสัยเรื่องนี้ และไม่จำเป็นต้องกังวล  ต่อให้เจ้าไม่สามารถเข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้าได้ในตอนนี้ ก็จะมีสักวันที่เจ้าจะเชื่อมั่น  พระเจ้าทรงพระราชกิจด้วยความยุติธรรมและทรงเกียรติ พระองค์ทรงเผยทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง  ถ้าพวกเจ้าใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน พวกเจ้าย่อมจะได้ข้อสรุปที่รู้สึกได้จากหัวใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  ในเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าคือพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะไม่มีการเผยความเสื่อมทรามออกมา  ด้วยการเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมาเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถทำความรู้จักตนเอง ยอมรับว่าตนนั้นมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเต็มใจที่จะน้อมรับความรอดจากพระเจ้า  หลังจากที่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาแล้ว ถ้าผู้คนไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด และยังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนต่อไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงลงทัณฑ์พวกเขาในระดับต่างๆ กัน และพวกเขาย่อมจะจ่ายราคาให้กับการกระทำผิดของตน  ถ้าเจ้าเหลวไหลเป็นครั้งคราวโดยไม่ทันรู้ตัว และพระเจ้าทรงชี้ให้เห็นและตัดแต่งเจ้า แล้วเจ้าก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงถือสาเจ้า  นี่คือขั้นตอนปกติของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และนัยสำคัญที่แท้จริงของพระราชกิจแห่งความรอดก็สำแดงให้เห็นอยู่ในขั้นตอนนี้  นี่คือกุญแจสำคัญ  ยกตัวอย่างเรื่องเส้นคั่นระหว่างเพศ สมมุติว่าเจ้าเกิดชอบใครสักคน หาทางพูดคุยกับเขาหรือเธออยู่เสมอพลางใช้ถ้อยคำยั่วยวน  ต่อมาเจ้าก็ไตร่ตรองว่า “พฤติกรรมแบบนี้น่ารังเกียจไม่ใช่หรือ?  นี่เป็นบาปไม่ใช่หรือ?  การไม่รักษาขอบเขตระหว่างคนต่างเพศให้ชัดเจนเป็นการนำความอับอายมาให้พระเจ้าไม่ใช่หรือ?  ฉันทำอะไรแบบนี้ลงไปได้อย่างไร?”  เมื่อตระหนักดังนี้แล้ว เจ้าก็รีบมาเบื้องหน้าพระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ทำบาปอีกแล้ว  ครั้งนี้น่าเกลียดและเสื่อมเสียอย่างแท้จริง  ข้าพระองค์เกลียดชังเนื้อหนังที่เสื่อมทรามนี้  ได้โปรดบ่มวินัยและลงโทษข้าพระองค์ด้วยเถิด”  เจ้าตั้งใจแน่วแน่ที่จะอยู่ห่างจากเรื่องแบบนี้ในภายภาคหน้า และไม่ไปมาหาสู่เพศตรงข้ามตามลำพัง  นั่นย่อมจะเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?  และเมื่อเปลี่ยนแปลงดังนั้นแล้ว การกระทำที่ขาดความยั้งคิดเมื่อก่อนหน้านี้ของเจ้าย่อมจะไม่ถูกกล่าวโทษอีกต่อไป  ถ้าเจ้าคุยเล่นกับใครแล้วยั่วยวนพวกเขา ไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าละอาย และยิ่งไม่เกลียดตัวเอง ไม่เตือนสติตัวเอง ไม่มีปณิธานที่จะขบถต่อเนื้อหนัง หรือสารภาพบาปของตนและกลับใจต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็อาจจะทำเรื่องผิดมากขึ้นอีกหลายเรื่อง แล้วเรื่องราวก็จะแย่ลงเรื่อยๆ พาให้เจ้าทำบาป  ถ้าเจ้าทำเช่นนี้ พระเจ้าย่อมจะกล่าวโทษเจ้า  ถ้าเจ้าทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นย่อมเป็นบาปโดยเจตนา  พระเจ้าย่อมจะทรงกล่าวโทษบาปที่ทำโดยเจตนา และบาปที่ทำโดยเจตนานี้ย่อมมิอาจแก้ไขได้  ถ้าแท้จริงแล้วเจ้าเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามบางอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และสามารถกลับใจได้จริง ขบถต่อเนื้อหนัง และปฏิบัติความจริงได้ พระเจ้าก็จะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า และเจ้าก็จะยังคงสามารถได้รับการช่วยให้รอด  พระราชกิจของพระเจ้าหมายที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด และคนที่เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมาก็ควรยอมรับการตัดแต่ง พิพากษา และตีสอน  ตราบใดที่พวกเขาสามารถยอมรับความจริง กลับใจ และเปลี่ยนแปลงได้ นั่นย่อมจะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้วมิใช่หรือ?  บางคนไม่ยอมรับความจริงและใช้ท่าทีที่คอยระแวดระวังพระเจ้าอยู่เสมอ  ผู้คนแบบนี้ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และในที่สุดก็จะต้องประสบความสูญเสียกันทุกคน

ดังที่กล่าวไปแล้วว่า เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนั้นสามารถลบเลือนได้ในคราเดียว สามารถสร้างอนาคตขึ้นมาแทนที่อดีตได้ ความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าไร้ซึ่งขอบเขตดุจทะเล  กระนั้นก็มีหลักธรรมอยู่ในวจนะเหล่านี้ด้วย  ไม่ใช่ว่าพระเจ้าจะทรงล้างบาปที่เจ้าทำเอาไว้ให้หมดไปไม่ว่าจะหนักหนาเพียงใดก็ตาม  พระเจ้าทรงพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ตามหลักธรรม  ในอดีตมีกฎการปกครองข้อหนึ่งที่บัญญัติไว้ใช้จัดการแก้ไขเรื่องนี้ว่า พระเจ้าทรงยกโทษและอภัยบาปทั้งปวงที่คนเราทำไว้ก่อนที่จะยอมรับพระนามของพระองค์  แต่สำหรับผู้ที่ยังทำบาปต่อไปหลังจากที่มาเชื่อในพระองค์แล้ว นั่นเป็นคนละเรื่อง กล่าวคือ คนที่ทำบาปซ้ำหนหนึ่งย่อมได้รับโอกาสให้กลับใจ ส่วนคนที่ทำบาปซ้ำหนสองหรือไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแม้จะถูกว่ากล่าวครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมถูกขับไล่ ไร้ซึ่งโอกาสให้กลับใจอีก  ในพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงยอมผ่อนปรนแก่ผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เสมอ  จากเรื่องนี้จะสามารถมองเห็นได้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือพระราชกิจของการช่วยผู้คนให้รอดโดยแท้  อย่างไรก็ดี ในพระราชกิจระยะสุดท้ายนี้ ถ้าเจ้ายังจะทำบาปที่มิอาจอภัยให้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เกินจะแก้ไขได้โดยแท้ และไม่อาจช่วยเหลือได้  พระเจ้าทรงมีขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงและชำระอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผู้คนให้บริสุทธิ์ กล่าวคือ ภายในขั้นตอนที่มนุษย์เผยธรรมชาติอันเสื่อมทรามของตนออกมาอย่างต่อเนื่องนี่เองที่พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์จุดหมายในการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด  บางคนนึกว่า “ในเมื่อนี่เป็นธรรมชาติของฉัน ก็ปล่อยให้ถูกเปิดโปงออกมาให้หมด  พอเปิดโปงหมดแล้ว ฉันก็จะรู้จักธรรมชาติของตนเองและปฏิบัติความจริง”  ขั้นตอนนี้จำเป็นหรือไม่?  ถ้าเจ้าเป็นคนที่ปฏิบัติความจริงอย่างแท้จริง ทบทวนตนเองเมื่อเจ้ามองเห็นว่าความเสื่อมทรามที่เผยออกมาในตัวผู้อื่นและเรื่องผิดพลาดที่พวกเขาทำลงไปนั้นมีอะไรบ้าง และเมื่อเจ้ามองเห็นปัญหาเดียวกันในตัวเจ้าเอง เจ้าก็แก้ไขให้ถูกต้องทันทีและต่อไปข้างหน้าก็ไม่มีวันทำเรื่องเหล่านั้นอีก นี่ย่อมเป็นความเปลี่ยนแปลงทางอ้อมมิใช่หรือ?  หรือถ้าบางครั้งเจ้าอยากทำอะไรบางอย่าง แต่ก็ตระหนักเสียก่อนว่านั่นผิด และเจ้าสามารถขบถต่อเนื้อหนังได้ นี่ย่อมสัมฤทธิ์ผลเป็นการชำระตนให้บริสุทธิ์เช่นกันมิใช่หรือ?  การปฏิบัติความจริงไม่ว่าจะในแง่มุมใดก็ต้องก้าวผ่านขั้นตอนต่างๆ ซ้ำๆ  ไม่ใช่ว่าหลังจากปฏิบัติความจริงครั้งหนึ่งแล้ว อุปนิสัยที่เสื่อมทรามจะอันตรธานไปหมด  คนเราต้องแสวงหาความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกตัดแต่ง สั่งสอน บ่มวินัย ตลอดจนถูกพิพากษาและตีสอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนจะได้รับการแก้ไขอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งไม่มีความยากลำบากในการปฏิบัติความจริงอีกเลย  ถ้าสุดท้ายแล้วคนเราสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ และหลังจากที่ถูกตัดแต่ง พิพากษา และตีสอนแล้วก็สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง นั่นย่อมเป็นความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา

บทตัดตอน 78

ในพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้า พระองค์ทรงกำหนดจุดจบของผู้คนตามสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่สำแดงออกมานี้หมายถึงอะไร?  พวกเจ้าอาจจะคิดว่าหมายถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนเผยให้เห็นเวลาทำสิ่งต่างๆ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้หมายถึงสิ่งเหล่านั้น  ในที่นี้สิ่งที่สำแดงออกมาหมายถึงเรื่องที่ว่าเจ้าปฏิบัติความจริงหรือไม่ เจ้าอุทิศตนขณะทำหน้าที่ของตนหรือไม่ หมายถึงมุมมองที่เจ้ามีเบื้องหลังการเชื่อในพระเจ้า ท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ความแน่วแน่ของเจ้าที่จะสู้ทนความทุกข์ยาก ท่าทีของเจ้าในการยอมรับการพิพากษา การตีสอน และการตัดแต่ง จำนวนครั้งที่เจ้ากระทำความผิดร้ายแรงลงไป และระดับของการกลับใจและการเปลี่ยนแปลงที่เจ้าสัมฤทธิ์ได้ในท้ายที่สุด  ทั้งหมดนี้ประกอบกันเป็นสิ่งที่เจ้าสำแดงออกมา  สิ่งที่สำแดงออกมาในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมากี่อย่างหรือเจ้าทำเรื่องไม่ดีไปมากเท่าใด แต่หมายความว่าเจ้าทำได้ผลไปกี่อย่างแล้ว และเจ้ามีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงมากเพียงใดแล้วเมื่อมาเชื่อในพระเจ้า  ถ้าจุดจบของผู้คนถูกกำหนดโดยดูว่ามีการเผยความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาออกมามากเท่าใด ก็จะไม่มีใครสามารถได้รับความรอด เพราะมนุษย์เสื่อมทรามกันอย่างหนักทั้งสิ้น พวกเขามีธรรมชาติเยี่ยงซาตานกันทุกคน และล้วนต้านทานพระเจ้า  พระเจ้าทรงต้องการช่วยผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงและนบนอบพระราชกิจของพระองค์ได้ให้รอด  ไม่ว่าพวกเขาจะเผยความเสื่อมทรามออกมามากเท่าใด ตราบใดที่พวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ในท้ายที่สุด กลับใจได้จริง และเปลี่ยนแปลงได้จริง พวกเขาก็คือผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด  บางคนมองเรื่องนี้ไม่ออกและคิดไปว่าใครก็ตามที่ทำหน้าที่ผู้นำย่อมจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมามากกว่า และแน่นอนว่าใครก็ตามที่เผยความเสื่อมทรามออกมามากกว่าย่อมจะถูกกำจัดออกไปและเป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่รอด  มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่?  แม้ผู้นำจะเผยความเสื่อมทรามออกมามากกว่า แต่ถ้าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็มีคุณสมบัติที่จะมีประสบการณ์กับการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า พวกเขาสามารถออกเดินไปบนเส้นทางของการได้รับการช่วยให้รอดและถูกทำให้เพียบพร้อม และพวกเขาย่อมจะสามารถเป็นคำพยานอันงดงามให้พระเจ้าได้ในท้ายที่สุด  นี่คือผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริง  ถ้ามีการกำหนดจุดจบของผู้คนโดยดูว่าพวกเขาเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมามากเท่าใด เช่นนั้นแล้ว คนที่ทำหน้าที่ผู้นำและคนทำงานก็จะยิ่งเผยตัวออกมาเร็วขึ้น  ถ้าเป็นแบบนี้ ใครจะกล้าเป็นผู้นำหรือคนทำงานกัน?  ใครจะสามารถก้าวไปถึงจุดที่จะถูกพระเจ้าใช้งานและทำให้เพียบพร้อม?  มุมมองเช่นนี้ไร้สาระเหลือเกินมิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงดูว่าผู้คนสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่เป็นหลัก พวกเขาสามารถตั้งมั่นในคำพยานของตนได้หรือไม่ และพวกเขาเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่  ถ้าผู้คนมีคำพยานที่แท้จริงและเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างแท้จริง พวกเขาก็คือผู้คนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  บางคนดูภายนอกเหมือนเผยความเสื่อมทรามออกมาน้อย แต่พวกเขากลับไร้ซึ่งคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ และไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจริง—พระเจ้าย่อมไม่ทรงเห็นชอบในตัวพวกเขา

พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของคนคนหนึ่งตามสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมาและแก่นแท้ของพวกเขา  ในที่นี้สิ่งที่สำแดงออกมาหมายความว่าคนคนหนึ่งจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่ พวกเขามีความรักให้พระองค์หรือไม่ พวกเขาปฏิบัติความจริงหรือไม่ และอุปนิสัยของพวกเขาเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด  พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของคนคนหนึ่งตามสิ่งที่สำแดงออกมาและแก่นแท้ของพวกเขา ไม่ได้ดูว่าพวกเขาเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามออกมามากเพียงใด  ถ้าเจ้านึกว่าพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของคนคนหนึ่งโดยดูว่าพวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมามากเท่าใด เจ้าก็เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ผิดแล้ว  อันที่จริง ผู้คนมีแก่นแท้ที่เสื่อมทรามเหมือนๆ กัน ส่วนที่ต่างกันมีเพียงว่าความเป็นมนุษย์ที่พวกเขามีนั้นดีหรือไม่ดี และพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่เท่านั้น  ไม่ว่าคนเราจะเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนออกมาเท่าใด พระเจ้าก็ทรงรู้ดีที่สุดว่าลึกลงไปในหัวใจของพวกเขามีอะไรอยู่บ้าง ไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องซ่อนเร้นเอาไว้  พระเจ้าทรงสังเกตดูส่วนลึกในหัวใจของผู้คน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าทำต่อหน้าหรือลับหลังผู้อื่น หรือเรื่องที่เจ้าอยากทำอยู่ในหัวใจของเจ้า ทั้งหมดนั้นล้วนแผ่วางอยู่เบื้องหน้าพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงตระหนักรู้สิ่งที่ผู้คนแอบทำได้อย่างไร?  นี่คือการหลอกตัวเองมิใช่หรือ?  ที่จริงแล้วไม่ว่าธรรมชาติของคนคนหนึ่งจะหลอกลวงเพียงใด ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะพูดปดสักกี่เรื่อง ไม่ว่าพวกเขาจะเชี่ยวชาญในการอำพรางตนและหลอกลวงมากเพียงใด พระเจ้าก็ทรงรู้สิ้นเหมือนหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง  พระเจ้าทรงรู้จักผู้นำและคนทำงานดีถึงเพียงนี้ แล้วพระองค์จะไม่ทรงรู้จักผู้ติดตามทั่วไปของพระองค์เองดีเช่นเดียวกันหรอกหรือ?  บางคนนึกว่า “ใครก็ตามที่เป็นผู้นำย่อมโง่เขลา ไม่รู้ความ และนำความย่อยยับมาให้ตัวเอง เพราะการทำหน้าที่ผู้นำย่อมทำให้ผู้คนเผยความเสื่อมทรามออกมาให้พระเจ้าทอดพระเนตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ถ้าพวกเขาไม่ทำงานนี้ จะมีการเผยความเสื่อมทรามออกมามากขนาดนี้หรือ?”  เป็นแนวคิดที่ช่างไร้สาระ!  ถ้าเจ้าไม่ทำหน้าที่ผู้นำ เจ้าจะไม่เผยความเสื่อมทรามออกมากระนั้นหรือ?  ต่อให้เจ้าเผยความเสื่อมทรามออกมาน้อยลง แต่การไม่เป็นผู้นำหมายความกระนั้นหรือว่าเจ้าได้รับความรอดแล้ว?  ตามการใช้เหตุผลแบบนี้ ทุกคนที่ไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำใช่คนที่สามารถมีชีวิตอยู่และได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  คำกล่าวนี้น่าหัวร่อเหลือเกินมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ทำหน้าที่ผู้นำย่อมนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  มาตรฐานที่กำหนดเอาไว้นี้ถูกยกระดับขึ้นมา ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้นำจะเผยสภาวะที่เสื่อมทรามบางอย่างออกมาเวลาที่พวกเขาเริ่มฝึกฝนใหม่ๆ  นี่เป็นเรื่องปกติ และพระเจ้าก็ไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้  ไม่เพียงพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานความรู้แจ้ง ความกระจ่าง ทรงนำผู้คนเหล่านี้ และให้พวกเขาแบกรับภาระมากขึ้นอีกด้วย  ตราบใดที่พวกเขาสามารถนบนอบการทรงนำและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาย่อมจะก้าวหน้าในชีวิตได้เร็วกว่าผู้คนทั่วไป  ถ้าพวกเขาเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็จะสามารถออกเดินไปบนเส้นทางที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่เป็นพรสูงสุดจากพระเจ้า  บางคนไม่อาจเข้าใจเรื่องนี้ได้และบิดเบือนข้อเท็จจริง  ตามความเข้าใจของมนุษย์แล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้นำ ไม่ว่าจะดีเยี่ยมเพียงใดก็ตาม พระองค์จะคำนึงแต่ว่าผู้นำและคนทำงานเผยความเสื่อมทรามออกมามากเพียงใด และจะทรงกล่าวโทษพวกเขาตามนี้เท่านั้น  ส่วนคนที่ไม่ใช่ผู้นำและคนทำงานนั้น เนื่องจากพวกเขาเผยความเสื่อมทรามออกมาน้อย ต่อให้พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าก็จะไม่กล่าวโทษพวกเขา  นี่ไร้สาระมิใช่หรือ?  นี่คือการหมิ่นประมาทพระเจ้ามิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าต้านทานพระเจ้าอย่างร้ายแรงขนาดนี้ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดกระนั้นหรือ?  เจ้าย่อมไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด  พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนโดยดูว่าพวกเขามีความจริงและคำพยานที่แท้จริงหรือไม่เป็นหลัก และที่สำคัญย่อมขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  ถ้าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถกลับใจได้จริงหลังจากที่ถูกพิพากษาและตีสอนในส่วนที่ตนกระทำผิดไป เช่นนั้นแล้ว ตราบใดที่พวกเขาไม่กล่าววาจาหรือทำสิ่งที่หมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาย่อมจะสามารถได้รับความรอดเป็นแน่  ตามความคิดฝันของพวกเจ้านั้น ผู้เชื่อทั่วไปที่ติดตามพระเจ้าไปจนสุดทางทุกคนย่อมจะสามารถได้รับความรอด ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำต้องถูกกำจัดออกไปทั้งสิ้น  ถ้ามีการขอให้พวกเจ้าเป็นผู้นำ พวกเจ้าย่อมจะคิดไปว่าการไม่รับทำตามคำขอย่อมจะไม่ดี แต่ถ้าเจ้าทำหน้าที่ผู้นำ เจ้าย่อมจะเผยความเสื่อมทรามออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และนั่นก็จะเหมือนการเดินไปที่เครื่องประหารเองโดยแท้  ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่พวกเจ้าเข้าใจพระเจ้าผิดมิใช่หรือ?  ถ้าจุดจบของผู้คนถูกกำหนดตามความเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยออกมา ก็จะไม่มีใครสามารถได้รับการช่วยให้รอด  เมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงพระราชกิจแห่งความรอดไปเพื่ออะไร?  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ความชอบธรรมของพระเจ้าจะไปอยู่เสียที่ไหน?  มวลมนุษย์ย่อมจะไม่สามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าทุกคนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผิดแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่รู้จักพระเจ้า

พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนตามสิ่งที่พวกเขาสำแดงออกมา และในที่นี้สิ่งที่สำแดงออกมาย่อมหมายถึงผลลัพธ์ของการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  เราจะเปรียบเทียบให้พวกเจ้าฟังดังนี้ ในสวนผลไม้ เจ้าของสวนย่อมรดน้ำและให้ปุ๋ยแก่ต้นไม้ของเขา จากนั้นก็รอเก็บผลไม้จากต้น  ต้นไม้ที่ออกผลย่อมเป็นไม้ดีและได้รับการรักษาไว้ ต้นที่ไม่ออกผลแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ไม้ดีและไม่อาจเก็บเอาไว้ได้  จงพิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้ว่า ไม้ต้นหนึ่งออกผล แต่ก็เป็นโรคด้วย และจำต้องตัดกิ่งก้านบางส่วนที่ไม่ดีทิ้งไป  พวกเจ้าคิดว่าควรเก็บไม้ต้นนี้เอาไว้หรือไม่?  ควรเก็บไม้ต้นนี้ไว้ และเมื่อได้รับการตัดแต่งและดูแลรักษา มันย่อมจะไม่เป็นไร  จงพิจารณาสถานการณ์อีกแบบหนึ่งคือ ไม้ต้นหนึ่งไม่มีโรค แต่มันก็ไม่ออกผล—ต้นไม้แบบนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้  คำว่า “ออกผล” ในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าสัมฤทธิ์ผล  เนื่องจากผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะเผยความเสื่อมทรามของตนออกมาระหว่างที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะกระทำความผิดบางอย่าง  อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกันนั้นพระราชกิจของพระเจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์ผลบางอย่างในตัวพวกเขา  ถ้าพระเจ้าไม่ใส่พระทัยในผลลัพธ์เหล่านี้ และทรงพิจารณาแต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ผู้คนเผยให้เห็นเท่านั้น เช่นนั้นแล้วการช่วยผู้คนให้รอดก็จะเป็นไปไม่ได้  โดยมากแล้วผลของความรอดย่อมสำแดงให้เห็นในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนและในการปฏิบัติความจริง  พระเจ้าทอดพระเนตรดูผลลัพธ์ที่ผู้คนทำได้ในเรื่องเหล่านี้ และแล้วจึงทรงดูความร้ายแรงในการกระทำผิดของพวกเขา  จากนั้นพระองค์จึงตัดสินจุดจบของพวกเขา และตัดสินว่าพวกเขาจะอยู่รอดต่อไปหรือไม่ตามผลรวมของปัจจัยเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนนี้บางคนเผยความเสื่อมทรามออกมามากมาย และคำนึงถึงเนื้อหนังของตนอย่างมาก พวกเขาไม่เต็มใจที่จะสละตนเพื่อพระเจ้า และไม่ค้ำจุนผลประโยชน์ของคริสตจักร  อย่างไรก็ดี หลังจากฟังคำเทศนามาหลายปี พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างแท้จริง  บัดนี้พวกเขารู้จักพากเพียรเพื่อหลักธรรมความจริงเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และสัมฤทธิ์ผลในหน้าที่ของตนมากขึ้นเรื่อยๆ  นอกจากนี้พวกเขายังสามารถยืนข้างพระเจ้าในทุกเรื่องและค้ำชูงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสุดความสามารถอีกด้วย  นี่คือความหมายของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของตน และการเปลี่ยนแปลงนี้เองคือสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์  ยิ่งไปกว่านั้น แต่ก่อนนี้เมื่อใดก็ตามที่บางคนเกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นมา พวกเขาก็จะแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นไปทั่ว หัวใจของพวกเขาจะยินดีก็ต่อเมื่อผู้อื่นเกิดมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นขึ้นมาบ้าง แต่บัดนี้เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดบางอย่าง พวกเขากลับสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง และนบนอบโดยไม่แพร่มโนคติอันหลงผิดของตนหรือทำอะไรที่ต้านทานพระเจ้า  เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในตัวพวกเขาแล้วมิใช่หรือ?  เมื่อก่อนนี้บางคนจะต้านทานทันทีที่มีใครตัดแต่งพวกเขา อย่างไรก็ดี บัดนี้พอเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับพวกเขา พวกเขากลับยอมรับได้และสามารถทำความรู้จักตัวเอง  หลังจากนั้นพวกเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางประการ  นี่คือผลลัพธ์มิใช่หรือ?  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการกระทำผิดเลย และธรรมชาติของเจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในทันทีได้  ถ้าใครสักคนออกเดินไปในครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า และรู้จักแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเขาเป็นกบฏอยู่บ้าง พวกเขาก็จะตระหนักรู้ในตอนนั้นเอง  เมื่อตระหนักแล้ว พวกเขาก็จะรีบสารภาพและกลับใจต่อพระเจ้า เร่งเปลี่ยนแปลง และสภาวะของพวกเขาก็มีแต่จะดีขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขาอาจทำการกบฏเช่นเดิมสักครั้งหรือสองครั้ง แต่จะไม่มีครั้งที่สามหรือที่สี่  นี่คือการเปลี่ยนแปลง  ไม่ใช่ว่าคนคนนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในบางแง่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เผยความเสื่อมทรามให้เห็นอีกต่อไป และไม่มีการกระทำผิดอีกต่อไปแล้ว  ไม่ได้เป็นเช่นนั้น  การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าหลังจากที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว บางคนก็ปฏิบัติความจริงได้มากขึ้น สามารถนำข้อกำหนดบางประการของพระเจ้าไปปฏิบัติ กระทำผิดน้อยลงเรื่อยๆ เผยความเสื่อมทรามออกมาน้อยลงเรื่อยๆ และการกบฏของพวกเขาก็ค่อยๆ คลายความร้ายแรง  จากเรื่องนี้ย่อมชัดเจนว่าพระราชกิจของพระเจ้าสัมฤทธิ์ผลแล้ว  สิ่งที่พระองค์ประสงค์ที่จะเห็นก็คือลักษณะจำเพาะที่สำแดงให้เห็นว่าสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้แล้ว  เพราะฉะนั้น วิธีที่พระเจ้าทรงจัดการจุดจบของผู้คนหรือวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนจึงชอบธรรม มีเหตุผล และเป็นธรรมทุกประการ  เจ้าเพียงต้องทุ่มเทความพยายามทั้งมวลให้กับการสละตนเพื่อพระเจ้า กล้าและมั่นใจที่จะปฏิบัติความจริงที่เจ้าควรปฏิบัติโดยไม่มีความกังวลใดๆ และพระเจ้าก็จะไม่ทรงอยุติธรรมกับเจ้า  จงคิดดูเถิดว่า ผู้ที่รักและปฏิบัติความจริงจะถูกพระเจ้าลงโทษได้หรือ?  ผู้คนมากมายพากันสงสัยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอยู่เสมอ กลัวว่าตนจะถูกลงโทษแม้เมื่อนำความจริงไปปฏิบัติแล้วก็ตาม กลัวว่าต่อให้พวกเขาอุทิศตนให้พระเจ้า พระองค์ก็จะไม่ทรงเห็น  ผู้คนแบบนี้ไม่รู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า

หลังจากถูกตัดแต่ง บางคนก็คิดลบ หมดแรงกำลังที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน และการอุทิศตนของพวกเขาก็พลอยอันตรธานไปด้วย  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  ปัญหานี้ร้ายแรงมาก นี่คือการไม่สามารถยอมรับความจริงได้  พวกเขาไม่ยอมรับความจริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง ซึ่งพาให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับการตัดแต่ง  นี่เป็นไปตามธรรมชาติของพวกเขาซึ่งโอหัง ทะนงตน และไม่รักความจริง  อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจนัยสำคัญของการถูกตัดแต่งอีกด้วย  พวกเขาเชื่อว่าการถูกตัดแต่งหมายความว่าจุดจบของตนนั้นถูกกำหนดลงไปแล้ว  ผลก็คือพวกเขาเชื่ออย่างผิดๆ ว่าถ้าพวกเขาละทิ้งครอบครัวมาสละตนเพื่อพระเจ้า และอุทิศตนให้พระเจ้าบ้าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ควรถูกตัดแต่ง และถ้าพวกเขาถูกตัดแต่ง เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่ความรักและความชอบธรรมของพระเจ้า  การเข้าใจผิดแบบนี้ทำให้ผู้คนมากมายไม่กล้าอุทิศตนให้พระเจ้า  อันที่จริง เมื่อพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว นั่นเป็นเพราะพวกเขาหลอกลวงเกินไปและไม่อยากสู้ทนความทุกข์ยาก  พวกเขาเอาแต่อยากได้พรโดยง่าย  ผู้คนไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าแต่อย่างใด  พวกเขาไม่เคยเชื่อว่าการกระทำทั้งปวงของพระเจ้าล้วนชอบธรรม หรือว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างชอบธรรม  พวกเขาไม่เคยแสวงหาความจริงในเรื่องนี้ แต่กลับคิดหาเหตุผลเอาเองอยู่เสมอ  ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะทำเรื่องอะไรไม่ดีลงไปบ้าง จะทำบาปอะไรที่ร้ายแรงไปแล้วบ้าง หรือทำความชั่วไปมากเท่าใดแล้ว ตราบใดที่พระเจ้าทรงพิพากษาและลงโทษพวกเขา พวกเขาก็จะคิดไปว่าสวรรค์ไม่เป็นธรรม และพระเจ้าก็ไม่ทรงชอบธรรม  ในสายตาของผู้คน ถ้าการกระทำของพระเจ้าไม่ตรงกับความอยากได้อยากมีของพวกเขา หรือถ้าการกระทำของพระองค์ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ต้องไม่ชอบธรรม  อย่างไรก็ดี ผู้คนไม่เคยรู้ว่าการกระทำของตนตรงตามความจริงหรือไม่ และไม่เคยตระหนักว่าการกระทำของตนนั้นต้านทานและกบฏต่อพระเจ้าทั้งสิ้น  ไม่ว่าผู้คนจะกระทำผิดเช่นไร ถ้าพระเจ้าไม่เคยตัดแต่งหรือติเตียนการกบฏของพวกเขา แต่กลับสงบและอ่อนโยนต่อพวกเขา ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรักและความอดทนเท่านั้น อนุญาตให้พวกเขากินอาหารและชื่นชมสิ่งต่างๆ เคียงข้างพระองค์ตลอดไป เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่มีวันพร่ำบ่นพระเจ้าหรือตัดสินพระองค์ว่าไม่ชอบธรรม แต่จะกล่าวอย่างไม่จริงใจว่าพระองค์ทรงชอบธรรมอย่างยิ่ง  ผู้คนแบบนี้รู้จักพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาจะสามารถมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้ากระนั้นหรือ?  พวกเขาไม่ระแคะระคายเลยว่าเวลาที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตัดแต่งมนุษย์นั้น พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงและชำระอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จในการนบนอบพระองค์และรักพระองค์  ผู้คนเช่นนี้ไม่เชื่อว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม  ตราบใดที่พระเจ้าทรงว่ากล่าว เปิดโปง และตัดแต่งผู้คน พวกเขาก็จะคิดลบและอ่อนแอ พร่ำบ่นอยู่เสมอว่าพระเจ้าไม่ทรงเปี่ยมรัก และบ่นพึมพำอยู่ตลอดเวลาว่าการที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนมนุษย์นั้นผิด  ไม่สามารถมองเห็นได้ว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด และไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนตามการกลับใจที่พวกเขาแสดงให้เห็น  พวกเขาสงสัยพระเจ้าและระแวดระวังพระองค์อยู่เสมอ และนี่ย่อมจะให้ผลเช่นไร?  พวกเขาจะสามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ?  นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้  ถ้าสภาวะของพวกเขายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะอันตรายอย่างมาก และย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการทำให้เพียบพร้อมจากพระเจ้า

ก่อนหน้า:  พระวจนะว่าด้วยการรับใช้พระเจ้า

ถัดไป:  พระวจนะว่าด้วยเรื่องอื่นๆ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger