พระวจนะว่าด้วยเรื่องอื่นๆ

บทตัดตอน 79

หลังจากขับร้องบทเพลงสรรเสริญ “องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง” พวกเจ้ามีความประทับใจอะไรบ้าง?  พวกเจ้ามีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งบ้างหรือไม่?  ทุกคนที่ดำรงชีวิตมาได้ก้าวผ่านความยากลำบากมามากมาย แต่อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ และไม่มีใครใคร่ครวญอย่างครบถ้วนว่ารากเหง้าของความยากลำบากเหล่านี้คืออะไร การนี้คุ้มค่าหรือไม่ หรือถูกต้องสำหรับผู้คนหรือไม่ที่จะดำรงชีวิตแบบนี้  ตอนที่ผู้คนอายุน้อย พวกเขาต้องการมีเสื้อผ้าที่ดีไว้สวมใส่และมีของดีๆ ให้กิน และพวกเขารู้สึกว่านี่คือหนทางที่จะมีความสุข  เมื่อผู้คนเติบโตขึ้น พวกเขาเริ่มใคร่ครวญว่า พวกเขาจำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนให้หนักอย่างไร เพื่อที่จะโดดเด่นออกจากฝูงชนและสำราญกับชีวิตที่ดี  เมื่อพวกเขาโตขึ้น พวกเขาก็เริ่มต้องการที่จะหาเงินให้ได้มากๆ บรรลุในชื่อเสียงและผลประโยชน์ รวมถึงมีอำนาจและอิทธิพล  พวกเขาต้องการอยู่เหนือกว่าคนอื่น  พวกเขามุ่งหวังอยู่ตลอดที่จะได้ครองตำแหน่งงานราชการ และได้รับความนับถือและความเลื่อมใสจากผู้คน  เมื่อพวกเขามีลูกหลาน พวกเขาก็หวังให้เชื้อสายของตนเจริญเติบโตต่อไปจวบหลายชั่วคน รวมทั้งมีความก้าวหน้าและรุ่งเรืองสืบไป  อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังของทุกย่างก้าวเหล่านี้ที่ผู้คนเดิน?  เหตุใดผู้คนจึงคิดแบบนี้?  เหตุใดพวกเขาจึงดำรงชีวิตแบบนี้กันหมด?  ผู้คนกำลังดำรงชีวิตอยู่อย่างปราศจากเส้นทาง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่มีเส้นทาง?  นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหนหรือกำลังไปแห่งหนใด และพวกเขาไม่รู้ว่าตนควรทำสิ่งใดในชีวิตนี้ ควรดำเนินชีวิตอย่างไร หรือควรเดินบนเส้นทางชีวิตของตนอย่างไร  ผู้คนไม่รู้สิ่งเหล่านี้  แล้วเหตุใดผู้คนจึงยังคงสามารถไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และชีวิตที่เป็นสุขอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยจนวันตายโดยไม่หันมองย้อนหลัง?  นั่นเป็นเพราะผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และพวกเขาได้สร้างกรอบความคิดและทรรศนะที่ผิดพลาดต่อชีวิตขึ้นมา  พวกเขามองว่าวิถีชีวิตเช่นนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง และมองว่าการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์นี้ถูกต้องและถูกควร  พวกเขานึกว่าการได้มาซึ่งชื่อเสียงและผลประโยชน์คือความสุข และพวกเขาก็ดำรงชีวิตอยู่ตามความเชื่อเหล่านี้  นี่คือวิธีที่ผู้คนแข่งกันล่องไปตามเส้นทางของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขาไม่เคยพบกับความสุขเลยแม้กระทั่งวันตาย  ทุกคนดำรงชีวิตเช่นนี้  ไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินในโลกนี้  ทุกคนต้องการหาเงินและสำราญกับชีวิตที่ดี  ชีวิตยากลำบากเมื่อไม่มีเงิน และมีหลายสิ่งที่เจ้าทำได้ด้วยเงิน ดังนั้นทุกคนจึงต้องการหาให้ได้มากขึ้น  เมื่อชีวิตเจริญรุ่งเรือง พวกเขาก็ต้องการรักษาทรัพย์สมบัติของตนไว้ และให้ลูกหลานสืบทอดต่อไป และไม่มีใครเข้าใจว่าการดำรงชีวิตเช่นนั้นว่างเปล่า  ทุกคนไปจากโลกนี้ด้วยความเสียดาย คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ และความรู้สึกที่ไม่เต็มใจ  ผู้คนก้าวผ่านชีวิตนี้ในความยากจนและความมั่งคั่ง และมีชีวิตที่สั้นและยืนยาว  บ้างก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ในขณะที่คนอื่นก็เป็นข้าราชการระดับสูงและเป็นพวกผู้ดีชั้นสูง  มีผู้คนจากทุกระดับของสังคม แต่โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาล้วนดำเนินชีวิตในหนทางเดียวกัน กล่าวคือ พวกเขาแก่งแย่งเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ไปตามความอยากได้อยากมี ความทะเยอทะยาน และอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน และหากพวกเขาไม่บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ พวกเขาก็จะตายตาไม่หลับ  เมื่อมองเห็นรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ผู้คนอาจพิจารณาว่า  “ทำไมผู้คนถึงดำรงชีวิตอยู่แบบนี้?  ไม่มีเส้นทางอื่นให้เดินแล้วหรือ?  ผู้คนดำรงชีวิตอยู่เพียงเพื่อกินและดื่มอย่างดีตลอดจนวันตายหรือ?  แล้วจากนั้นพวกเขาไปไหน?  เหตุใดผู้คนหลายรุ่นเหลือเกินล้วนดำรงชีวิตอยู่ในหนทางเดียวกันนี้?  อะไรคือรากเหง้าของทั้งหมดนี้?”  มนุษย์ทั้งหลายไม่รู้ว่าพวกเขามาจากไหน ภารกิจของพวกเขาในชีวิตคืออะไร หรือใครคือผู้มีอำนาจดูแลและใครถือครองอธิปไตยเหนือทั้งหมดนี้  ชนรุ่นต่างๆ มาแล้วก็ไปรุ่นต่อรุ่น และแต่ละรุ่นก็ดำรงชีวิตแล้วก็ตายในหนทางเดียวกัน  พวกเขาล้วนมาและไปในหนทางเดียวกัน และไม่มีใครพบวิถีทางหรือหนทางที่แท้จริงในการดำรงชีวิตเลย  ไม่มีใครแสวงหาความจริงในการนี้  จากบรรพกาลจนถึงปัจจุบัน ผู้คนล้วนดำรงชีวิตในหนทางเดียวกัน  พวกเขาล้วนกำลังค้นหาและรอคอย ปรารถนาที่จะมองเห็นว่ามนุษยชาติจะเป็นแบบไหนโดยไม่มีใครรู้หรือมีโอกาสได้เห็นการนี้  เมื่อพิจารณาทุกอย่างแล้ว ผู้คนก็แค่ไม่รู้ว่าใครคือองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองและถือครองอธิปไตยเหนือทั้งหมดนี้ หรือไม่รู้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่ด้วยซ้ำ  พวกเขาไม่รู้คำตอบของการนี้ และทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือดำรงชีวิตต่อไปอย่างอับจนหนทาง โหยหาปีแล้วปีเล่า และสู้ทนวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งทุกวันนี้  หากผู้คนได้รู้ว่าเหตุใดทั้งหมดจึงเป็นเช่นนี้ นี่จะให้เส้นทางแก่พวกเขาได้เดินตามว่าควรดำรงชีวิตอย่างไรหรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถหนีพ้นจากความทุกข์นี้ และไม่ต้องดำเนินชีวิตตามความปรารถนาและความหวังแบบมนุษย์อีกต่อไปหรือไม่?  เมื่อผู้คนเข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิตอยู่ เหตุใดพวกเขาจึงตาย และใครคือผู้มีอำนาจดูแลโลกใบนี้ เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใจคำตอบว่าองค์หนึ่งเดียวผู้ครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่งก็คือพระผู้สร้าง เช่นนั้น พวกเขาก็จะมีเส้นทางให้เดินตาม  พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาควรแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหาหนทางที่จะไปข้างหน้า และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องดำรงชีวิตอยู่ในความทุกข์ระทมเช่นนั้นโดยการพึ่งพาความปรารถนาและความหวัง  หากผู้คนค้นพบคำตอบถึงเหตุผลที่พวกเขามีชีวิตอยู่และตาย นั่นจะไม่เป็นทางออกของความทุกข์ระทมและความลำบากยากเย็นแบบมนุษย์ทั้งหมดหรอกหรือ?  นี่จะไม่มอบการหลุดพ้นแก่ผู้คนหรอกหรือ?  ผู้คนจะได้พบการช่วยให้รอดพ้นอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระอย่างบริบูรณ์

พวกเจ้าควรไตร่ตรองอะไรในหัวใจหลังจากที่ได้ยินเพลง “องค์หนึ่งเดียวผู้ครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง?”  หากมวลมนุษย์รู้ว่า เหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิตอยู่และเหตุใดพวกเขาจึงตาย และในข้อเท็จจริงแล้ว ใครคือองค์อธิปัตย์แห่งพิภพนี้และทุกสรรพสิ่ง และเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองทุกสิ่ง และพระองค์สถิตอยู่แห่งหนใดกันแน่ และพระองค์ทรงประสงค์สิ่งใดจากมนุษย์—หากมวลมนุษย์สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะรู้วิธีที่จะปฏิบัติต่อพระผู้สร้าง และวิธีที่จะนมัสการและนบนอบต่อพระองค์ พวกเขาก็จะได้รับการเกื้อหนุนในหัวใจ จะมีสันติสุขและความสุข และพวกเขาก็คงไม่ดำรงชีวิตอยู่ในความทรมานและความเจ็บปวดเช่นนั้นอีกต่อไป  ในการวิเคราะห์สุดท้าย ผู้คนต้องเข้าใจความจริง  เส้นทางที่พวกเขาเลือกเพื่อชีวิตของตนนั้นสำคัญยิ่งยวด และวิธีที่พวกเขาดำรงชีวิตนั้นก็สำคัญเช่นกัน  วิธีที่คนเราดำรงชีวิตและเส้นทางที่คนเราเดินตัดสินว่าชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความชื่นบานหรือเต็มไปด้วยความโศกเศร้า  นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ  เมื่อผู้คนได้ยินบทเพลงสรรเสริญนี้ พวกเขาอาจมีความรู้สึกลึกซึ้งในหัวใจตนว่า “ชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงติดตามแบบแผนจำพวกนี้ คนโบราณก็ไม่มีข้อยกเว้น และผู้คนสมัยใหม่ก็เป็นเหมือนกันกับเมื่อสมัยเก่า  ผู้คนสมัยใหม่ไม่ได้เปลี่ยนหนทางเหล่านี้  ดังนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์มีองค์อธิปัตย์ พระเจ้าผู้เป็นตำนานซึ่งมีอำนาจดูแลทุกสิ่งอยู่หรือไม่?  หากมวลมนุษย์สามารถพบเจอพระเจ้า องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงควบคุมทุกสิ่ง มวลมนุษย์จะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสุขเชียวหรือ?  กุญแจสำคัญตอนนี้คือการหารากเหง้าของมวลมนุษย์  รากเหง้านี้อยู่ที่ไหน?  ครั้นเมื่อพบรากเหง้านี้ มนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะอีกแบบหนึ่ง  หากมวลมนุษย์ไม่สามารถหารากเหง้านี้พบและยังคงดำเนินชีวิตในแบบเดิมอย่างที่เคยทำต่อไป พวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์ความสุขได้หรือ?”  หากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้า ต่อให้พวกเขารู้ว่ามวลมนุษย์เสื่อมทรามดิ่งลึก แล้วพวกเขาจะทำอะไรต่อไปหรือ?  พวกเขาสามารถแก้ปัญหาที่เป็นอยู่จริงของความเสื่อมทรามได้หรือ?  พวกเขามีเส้นทางสู่ความรอดหรือไม่?  แม้เจ้าอาจปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ เจ้าทำได้หรือ?  เจ้าไม่มีเส้นทางที่จะเริ่มทำเช่นนั้นเลย!  ตัวอย่างเช่น คนบางคนมีชีวิตอยู่เพื่อลูกหลานของตัวเอง เจ้าอาจพูดว่าไม่ปรารถนาที่จะทำดังนั้น แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือ?  คนบางคนมีธุระยุ่งและสาละวนเร่งร้อนเพื่อความมั่งคั่ง และเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์  เจ้าอาจพูดว่าเจ้าไม่ปรารถนาจะสาละวนเร่งร้อนเพื่อสิ่งเหล่านี้ แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้จริงหรือ?  เจ้าได้ออกเดินทางไปบนเส้นทางนี้เรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้ตัว และแม้ว่าเจ้าอยากเปลี่ยนไปสู่หนทางการดำรงชีวิตที่ต่างไป เจ้าก็ไม่สามารถทำได้  เจ้าดำรงชีวิตในโลกนี้อย่างไรนั้นไม่ได้อยู่ในมือของเจ้า!  อะไรคือรากเหง้าของการนี้?  นั่นก็คือการที่ผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้และไม่ได้รับความจริง  สิ่งใดหรือที่ค้ำชูจิตวิญญาณของผู้คน?  พวกเขามองหาการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณจากที่ไหนหรือ?  สำหรับการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณ ผู้คนฝากความหวังไว้ที่การกลับมารวมตัวกันของครอบครัว ความเกษมสุขแห่งการสมรส ความชื่นชมยินดีในสิ่งที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ความมั่งคั่ง ชื่อเสียงและผลประโยชน์ สถานะ ความรู้สึก และอาชีพการงานของพวกเขา และความสุขของชนรุ่นถัดไป  ใครบ้างที่ไม่ฝากความหวังไว้ที่สิ่งเหล่านี้เพื่อการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณ?  บรรดาคนที่มีลูกหลานหาการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณในลูกหลานของพวกเขา บรรดาคนที่ไม่มีลูกหลานหาการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณในอาชีพการงานของพวกเขา ในการสมรส ในสถานะทางสังคม และในชื่อเสียงและผลประโยชน์  เพราะฉะนั้น หนทางชีวิตที่เกิดขึ้นจากการดังกล่าวจึงล้วนแต่เหมือนเดิม อยู่ใต้อำนาจและการควบคุมของซาตาน และทั้งที่ไม่อยากทำเช่นนั้น ผู้คนทั้งหมดก็ล้วนสาละวนเร่งร้อนและทำตัวเองให้มีธุระยุ่งเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ จุดหมายปลายทางในอนาคตของพวกเขา อาชีพการงานของพวกเขา การสมรสของพวกเขา ครอบครัวของพวกเขา หรือเพื่อเห็นแก่ชนรุ่นถัดไป หรือเพื่อความยินดีทางเนื้อหนัง  นี่คือเส้นทางที่ถูกหรือ?  ไม่ว่าผู้คนลุกลี้ลุกลนด้วยธุระยุ่งในโลกนี้อย่างไร ไม่ว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในเชิงวิชาชีพเพียงใด ไม่ว่าครอบครัวของพวกเขามีความสุขเพียงใด ไม่ว่าครอบครัวของพวกเขาใหญ่โตเพียงใด ไม่ว่าสถานะของพวกเขาเปี่ยมชื่อเสียงเกียรติยศเพียงใด—พวกเขามีความสามารถในการออกเดินทางไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์หรือ?  โดยการไล่ตามชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไล่ตามโลก หรือโดยการไล่ตามไขว่คว้าอาชีพการงานของพวกเขา พวกเขามีความสามารถในการมองเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและทรงถือครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมวลมนุษย์หรือ?  นั่นเป็นไปไม่ได้  ไม่ว่าผู้คนไล่ตามไขว่คว้าสิ่งใด หรือพวกเขาอยู่บนเส้นทางแบบใด หากพวกเขาไม่ยอมรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงถือครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมวลมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นย่อมผิด  นั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูก แต่เป็นเส้นทางที่คดโกง เส้นทางแห่งความชั่ว  ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าได้ความพึงพอใจออกมาจากการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณของเจ้า หรือว่าเจ้าไม่ได้ และไม่สำคัญว่าเจ้าพบการเกื้อหนุนทางจิตวิญญาณจากตรงไหน นั่นไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง และไม่ใช่เส้นทางที่ถูกสำหรับชีวิตมนุษย์  การมีความเชื่อที่แท้จริงคืออะไรหรือ?  นั่นคือการยอมรับพระราชกิจและการทรงปรากฏของพระเจ้า รวมทั้งการยอมรับความจริงทั้งมวลที่พระเจ้าได้ทรงแสดง  ความจริงนี้เป็นเส้นทางที่ถูกสำหรับชีวิตมนุษย์ รวมทั้งเป็นความจริงและชีวิตที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหา  การเดินบนเส้นทางที่ถูกในชีวิตก็คือการติดตามพระเจ้าและการมีความสามารถภายใต้การนำของพระวจนะของพระองค์ ในอันที่จะเข้าใจความจริง แยกความดีออกจากความชั่ว รู้ว่าสิ่งใดเป็นบวกและสิ่งใดเป็นลบ และเข้าใจอธิปไตยและมหิทธานุภาพของพระองค์  เมื่อใดที่ผู้คนเข้าใจอย่างแท้จริงในหัวใจตนว่า พระเจ้าไม่ได้เพียงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก รวมทั้งทุกสรรพสิ่ง แต่ทรงเป็นองค์อธิปัตย์เหนือจักรวาลและสรรพสิ่งอีกด้วย พวกเขาก็จะสามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งมวล สามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว  นี่คือการเดินบนเส้นทางที่ถูกสำหรับชีวิตมนุษย์  เมื่อใดที่ผู้คนใช้เส้นทางที่ถูกในชีวิต พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าเหตุใดผู้คนจึงมีชีวิตและพวกเขาควรมีชีวิตอย่างไรเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง และรับพระพรและความเห็นชอบของพระเจ้า

ปัจจุบันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรหรือ?  พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?  (พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อทำภารกิจทั้งหลายและพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่พวกเราให้แล้วเสร็จ และลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง)  หากเจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทำพระบัญชาจากพระเจ้าให้แล้วเสร็จ นี่คือความปรารถนาที่เกิดจากเจ้าเอง และเป็นเส้นทางชีวิตที่เจ้าได้เลือกไว้ และการนี้ถูกต้อง  แต่มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่เจ้าต้องรู้ กล่าวคือ ผู้คนดำรงชีวิตในโลกนี้ และการนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  บุคคลทุกคนเข้าสู่โลกนี้พร้อมด้วยภารกิจหนึ่ง  พวกเขาไม่เพียงแค่มาถึงแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ทุกอย่างถูกปกครอง จัดการเตรียมการ และจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้าโดยปราศจากข้อผิดพลาดแม้เพียงน้อยนิด  เมื่อทุกคนเข้าสู่โลก สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเรียนรู้หรือทำล้วนเป็นไปเพื่อปฏิบัติบทบาทหนึ่งในนั้น  บทบาทนี้คืออะไรหรือ?  นั่นคือการที่พวกเขาต้องทำกิจหนึ่งในโลกนี้ให้เสร็จสิ้น มีหลายสิ่งที่พวกเขาต้องทำ  ตัวอย่างเช่น คนสองคนสมรสกันและมีลูกหนึ่งคน และพวกเขาสามคนก็สร้างครอบครัวที่ครบบริบูรณ์  ภายในครอบครัวนี้ ภรรยามีชีวิตอยู่เพื่อลุล่วงภารกิจของเธอ ซึ่งก็คือการดูแลลูกและสามีของเธอ ให้การดูแลครอบครัว  แล้วลูกล่ะ มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?  พวกเขาเล่นบทอะไรหรือ?  ในฐานะทายาทของครอบครัว พวกเขาสืบทอดสายตระกูล  พวกเขาเป็นรุ่นถัดไปของครอบครัวนี้  ครอบครัวนี้ครบบริบูรณ์เพราะลูกคนนี้มา และนี่คือบทบาทแรกที่พวกเขาเล่น  ไม่ว่าพวกเขาเป็นลูกชายหรือลูกสาว พวกเขาก็มีภารกิจเป็นของตัวเอง  สำหรับโชคชะตาในอนาคตของพวกเขา ประกาศนียบัตรทางการศึกษา ทักษะ หรือวิชาชีพใดที่พวกเขามีหลังจากที่พวกเขาเติบโต หรือเมื่อใดที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า และหน้าที่ใดที่พวกเขาปฏิบัติหลังจากนั้น ขั้นตอนเหล่านี้มิใช่ถูกวางแผนและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าหรอกหรือ?  (ใช่)  ตัวพวกเขาเองมีทางเลือกหรือไม่?  (ไม่มี)  ตลอดมานับตั้งแต่ใครบางคนถือกำเนิดมาในครอบครัวหนึ่ง ไม่มีสักขั้นตอนที่เป็นการเลือกของพวกเขา และทั้งหมดล้วนถูกจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า  ทั้งหมดนั้นถูกจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า และมีความจริงอยู่ในนั้น  การนี้เกี่ยวกับสิ่งที่มนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่อ  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าศึกษาดนตรีและเจ้ามีภาวะและสภาพแวดล้อมทางครอบครัวเพื่อการนั้น เช่นนั้นแล้ว การเรียนดนตรีเป็นบางสิ่งที่เจ้าได้เลือกหรือ?  (ไม่ใช่)  เจ้าเกิดมาในสภาพแวดล้อมนี้ เจ้าได้เรียนรู้ทักษะเชิงวิชาชีพผ่านทางการเลี้ยงดูของสภาพแวดล้อมนี้ และสำเร็จลุล่วงภารกิจนี้  อะไรที่ทำให้เจ้าสำเร็จลุล่วงภารกิจนี้?  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงลิขิตการนั้น ไม่ใช่เพราะเจ้าเลือก  นั่นไม่ใช่สำเร็จลุล่วงโดยการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างหรอกหรือ?  ด้วยการที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าอยู่ตอนนี้และใส่สิ่งที่เจ้ารู้และได้เรียนรู้มาลงไปในการนี้ ใครคือผู้ที่ตัดสินการนี้?  (พระเจ้า)  เป็นพระเจ้าที่ทรงตัดสินการนี้ไม่ใช่เจ้า  พูดตามข้อเท็จจริงแล้ว ตอนนี้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อใคร?  (พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า)  ในความเป็นจริงแล้ว นั่นก็เหมือนกันสำหรับทุกตัวบุคคล  พวกเขาล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาตระหนักรู้หรือไม่และไม่ว่าพวกเขารู้ตัวเกี่ยวกับการนี้หรือไม่ก็ตาม  ผู้คนก็เหมือนหมากตัวหนึ่งในเกม  พระเจ้าทรงวางเจ้าตรงไหนก็ตาม พระองค์ทรงให้เจ้าทำสิ่งใดก็ตาม และพระองค์ทรงให้เจ้าอยู่ในบางสถานที่นานเพียงใดก็ตาม นั่นก็ล้วนอยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ ในความเป็นจริงแล้วผู้คนล้วนมีชีวิตอยู่เพื่อจุดประสงค์แห่งอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์และเพื่อการบริหารจัดการของพระองค์ และพวกเขาไม่มีอำนาจควบคุม  ไม่ว่าเจ้ามีความสามารถและมีพรสวรรค์ เจ้าก็ไม่สามารถไปเกินกว่าโชคชะตาที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ให้เจ้า  ไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่เลยขีดจำกัดเหล่านี้หรือออกนอกโชคชะตา และชีวิตที่พระผู้สร้างทรงจัดตั้งและจัดการเตรียมการให้แก่พวกเขา  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่ในความเป็นจริงแล้วผู้คนไม่รู้สักนิดเลย และพวกเขาได้ดำเนินไปภายใต้การจัดวางเรียบเรียงและอธิปไตยของพระเจ้ามาโดยตลอดจนกระทั่งบัดนี้อย่างไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจ  เมื่อมองการนี้ตามความเป็นจริง อะไรหรือที่ผู้คนได้เข้าใจ?  (ชีวิตและความตายของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาแต่อยู่ภายใต้อธิปไตยและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า)  (พวกเขาไม่ควรพยายามที่จะมีอำนาจดูแลโชคชะตาตัวเอง และควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า)  เจ้าจะมีความก้าวหน้าหากเจ้าสามารถมองการนี้เช่นนี้  ความจริงใดหรือที่เจ้าต้องเข้าใจเพื่อให้สามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้?  ไม่ว่าเจ้าถือกำเนิดมาในครอบครัวประเภทใด และไม่ว่าสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ขีดความสามารถของเจ้า เชาว์ปัญญาของเจ้า และความคิดของเจ้าจะเป็นอย่างไร โชคชะตาของเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเจ้าก็อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า  เจ้าไม่มีอำนาจตัดสินใจในการนี้  นี่คือเส้นทางที่ผู้คนควรเลือก นั่นคือ การเข้าใจวิธีที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการการนี้ทั้งหมดของเจ้า วิธีที่พระองค์ทรงนำการนี้ วิธีที่พระองค์จะทรงนำการนี้ในภายภาคหน้า การเสาะแสวงที่จะเข้าใจพระประสงค์และเจตนารมณ์ของพระเจ้า และจากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปบนครรลองของโชคชะตาที่พระผู้สร้างทรงบริหารปกครองและจัดวางเรียบเรียง  นั่นไม่ใช่การแก่งแย่ง การฉกฉวย หรือการคว้ากุมสิ่งทั้งหลาย  นั่นไม่เกี่ยวกับการพินิจพิเคราะห์หรือการขัดขืนพระประสงค์ของพระผู้สร้าง นั่นไม่เกี่ยวกับการพินิจพิเคราะห์หรือการต่อต้านทั้งหมดนี้ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการเพื่อเจ้า  นี่ไม่ทำให้การดำรงชีวิตของเจ้าถูกต้องและถูกควรหรอกหรือ?  นี่จบข้อกังขาเช่น “ทำไมผู้คนจึงมีชีวิต และทำไมผู้คนจึงตาย” หรือความเจ็บปวดของการที่ “ผู้ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ก็สร้างประวัติอันน่าเวทนาซ้ำแบบเดียวกับพวกที่ดับสูญไปแล้ว”  ผู้คนรู้สึกว่าไม่มีความลำบากยากเย็นอันใดจริงๆ ในการดำเนินชีวิตนี้ และพวกเขาก็ได้พบกับแหล่งที่มาของชีวิต  พวกเขาเข้าใจว่าโชคชะตาเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร พวกเขารู้วิธีที่ผู้คนควรนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และก็ไม่ขัดขืน  นี่เป็นหนทางอันเปี่ยมความหมายที่จะดำรงชีวิต  ผู้คนไม่พึ่งพาการคิดฝันของจิตใจตนหรือพละกำลังของตนเองในการดิ้นรนและแก่งแย่งเพื่อความสุขอีกต่อไป  พวกเขารู้ว่าทั้งหมดนั้นโง่เง่าและดื้อรั้น และพวกเขาก็ไม่ทำการนั้นอีกต่อไป  พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และเรียนรู้ว่า การนี้ช่างหลีกเลี่ยงความทุกข์ได้มากมายนัก!  แล้วตอนนี้พวกเจ้ากำลังดำรงชีวิตเช่นนี้หรือไม่?  เจ้ารู้สึกว่ากำลังดำรงชีวิตอยู่อย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมและถูกประเมินค่าต่ำไปหรือไม่?  เจ้ารู้ว่าความสามารถพิเศษของเจ้าและหน้าที่ของเจ้าถูกจัดการเตรียมการและมอบให้เจ้าโดยพระเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงรู้สึกว่าถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม และหน้าที่นี้ที่เจ้ามีก็ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าสานความใฝ่ฝันของตนให้เป็นจริงได้  อันที่จริงแล้วเจ้าก็มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ แต่สาขาเฉพาะนี้ที่เจ้ากำลังทำหน้าที่อยู่นั้นไม่เปิดโอกาสให้เจ้าทำเป้าหมายเหล่านั้นให้เป็นจริงเลยจริงๆ  เจ้ากำลังคิดเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  เจ้าไม่มีความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมี เจ้าไม่มีข้อพึงประสงค์อันฟุ้งเฟ้อ เจ้าละทิ้งทุกสิ่งที่เจ้าควรละทิ้งไปแล้ว และสิ่งเดียวที่เจ้าขาดไปก็คือความเข้าใจความจริงเพื่อที่จะแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของเจ้า  นี่ทำให้เส้นทางที่ผู้คนควรเดินและทิศทางที่พวกเขาควรเข้าไปนั้นชัดเจนขึ้นทุกที  พวกเขาไม่จำเป็นอีกต่อไปที่จะต้องตั้งคำถามเช่น “ทำไมผู้คนจึงมีชีวิต?  และทำไมพวกเขาจึงตาย?  ใครคือองค์หนึ่งเดียวที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง?”  ไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาหรือความปรารถนาของเจ้าคืออะไร มีเพียงการหวนคืนสู่การทรงสถิตของพระผู้สร้าง การยึดมั่นในที่ทางของเจ้าและการสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่เจ้าควรทำอย่างเป็นหน้าที่ รวมถึงการทำหน้าที่ซึ่งเป็นของเจ้าให้ลุล่วงและเสร็จสิ้นเท่านั้น เจ้าจึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในหนทางซึ่งถูกต้องและถูกควรได้ อีกทั้งนำพามโนธรรมอันชัดเจนมาให้  ไม่มีความทุกข์มาเกี่ยวข้องเลย  นี่คือความหมายและคุณค่าของการมีชีวิต

บทตัดตอน 80

ทุกคนรับรู้ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมนุษย์และรับรู้ว่าชีวิตทั้งชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี หากเจ้าสามารถมีประสบการณ์ได้อย่างแท้จริงว่าเหตุการณ์ใหญ่ทุกเหตุการณ์ในทุกห้วงเวลาและทุกช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า และไม่ได้เป็นไปตามแผนการและการจัดแจงของพวกเขาเอง และเจ้าก็สามารถมีประสบการณ์ว่าผู้คนไม่อาจเอาชนะโชคชะตาของตนเองหรือประสบความทุกข์น้อยกว่าที่พวกเขาถูกลิขิตให้เผชิญได้—เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าย่อมมีความเชื่อที่แท้จริง  นี่ย่อมสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นเมื่อเจ้ากล่าวว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือโชคชะตาของมนุษย์ และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า”  การมีประสบการณ์เรื่องอธิปไตยของพระเจ้าและเรื่องการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน  นี่เป็นบางสิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์ด้วยและไม่สามารถอธิบายได้หากเจ้าไม่เคยประสบมาก่อน แต่ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากขึ้นเท่าใด ยิ่งเจ้าพบเจอมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะสามารถอธิบายได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น  มีคำกล่าวอยู่ว่า “เจ้าย่อมเข้าใจโชคชะตาของเจ้าเมื่ออายุ 50 ปี”  การกล่าวว่าเจ้าเข้าใจโชคชะตาของเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  ผู้คนเพิ่งเผชิญโลกในช่วงอายุยี่สิบปี  พวกเขายังอายุน้อย วู่วาม ไม่รู้อะไร และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าชีวิตนี้ของมนุษย์ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พวกเขายังคงต้องการดิ้นรนต่อสู้กับโชคชะตาของตน ยังคงคิดว่าพวกเขามีความสามารถพิเศษและมีความเชี่ยวชาญ และพวกเขายังคงบากบั่นด้วยตนเอง พยายามสร้างชื่อให้ตัวเอง และพยายามให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งและตำแหน่ง  พวกเขาไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว พยายามไขว่คว้าโอกาสอีกครั้งเสมอ  จากนั้นในช่วงวัย 50 ปี พวกเขาก็ย้อนมองกลับไป แล้วคิดว่า “โธ่เอ๋ย การวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นดินโลกตลอดสามสิบกว่าปีมานี้และทำเรื่องยื้อแย่งชิงดีทั้งหมดนี่ช่างยากเข็ญจริงๆ!  ไม่มีสักขั้นตอนในการแต่งงาน การสร้างอาชีพ และการมีลูกของฉันที่เป็นไปตามแผนการและการคิดคำนวณของฉันเอง—เป็นชะตากรรมทั้งสิ้น!”  นี่คือการเข้าใจโชคชะตาของเจ้า ไม่มีการต่อสู้กับมันอีก  แท้จริงแล้วการเข้าใจโชคชะตาของตนเมื่ออายุ 50 ปี เป็นเพียงการที่ผู้คนอายุครบ 50 ปี และเรียนรู้ที่จะยอมสงบศึกกับชะตากรรมหลังจากที่เจออุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า  เมื่อผู้คนเข้าใจโชคชะตาของตนเอง พวกเขาจะหยุดต่อสู้กับมัน  ส่วนเรื่องที่ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือมนุษยชาติเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แท้จริงแล้วผู้คนควรมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และพวกเขาควรดำรงชีวิตอย่างไร ผู้คนเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้หรือไม่?  ผู้ไม่มีความเชื่อย่อมไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้อย่างมากที่สุดก็คือยอมรับโชคชะตาของตัวเอง และเข้าใจว่าไม่มีประโยชน์ที่จะต้านทานโชคชะตาของตัวเอง  และแล้วพวกเขาก็มองเห็นลูกหลานของตนต่อสู้กับโชคชะตา แล้วพวกเขาก็พูดว่า “ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด แต่ละรุ่นย่อมมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน  เพียงปล่อยให้เป็นไป พวกเขาก็จะหยุดต่อสู้กับโชคชะตาเองเมื่อพวกเขาอายุ 50 ปี  นี่คือความเป็นไปจากรุ่นสู่รุ่น  พวกเขาล้วนต่อสู้กับโชคชะตาจนกระทั่งพวกเขาอายุมากขึ้นและต่อสู้ไม่ไหวอีกต่อไป  พวกเขาจะยอมรับโชคชะตาของตนและกลายเป็นคนที่ว่าง่ายขึ้นอีกมาก  พวกเขาจะไม่อวดดีและไม่โอหังเช่นนั้นอีก และจะสงบลง”  ผู้ไม่มีความเชื่อสามารถเข้าใจได้มากที่สุดเท่านี้ แต่พวกเขาสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่?  แน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจได้เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่อ่านพระวจนะของพระองค์  แล้วพวกเขาจะเข้าใจความจริงได้อย่างไร?  การเข้าใจชะตาชีวิตของเจ้าเมื่ออายุ 50 ปีหมายความว่าเจ้าเข้าใจความจริงอย่างนั้นหรือ?  ผู้คนเชื่อว่า “ชะตากรรมของมนุษย์มีสวรรค์เป็นผู้ลิขิต”  นี่หมายความว่าพวกเขานบนอบต่อเจตจำนงของสวรรค์หรือไม่?  (ไม่)  การเอาแต่เชื่อในเรื่องนี้จึงใช้การอะไรไม่ได้  การรู้สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการไม่ดิ้นรนต่อสู้กับชะตากรรมเท่านั้น แต่ยังไม่ใช่การเข้าใจความจริง  หากผู้คนต้องการเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและได้รับความรอดจากพระองค์ ได้รับการพิพากษาจากพระวจนะของพระองค์ ได้รับการจัดเตรียมแห่งความจริงและชีวิตที่มาจากพระองค์  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความล้ำลึกของทุกสิ่งทุกอย่าง  มิฉะนั้น ผู้คนจะยังคงไม่รู้ว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เหตุใดผู้คนจึงมีชีวิต และเหตุใดพวกเขาจึงตาย ต่อให้พวกเขามีชีวิตถึงอายุ 70 80 หรือหนึ่งร้อยปีก็ตาม  ผู้คนเดินกันบนแผ่นดินโลกเป็นระยะทางสั้นๆ และมีชีวิตอยู่หลายทศวรรษโดยไม่ทำความเข้าใจก่อนที่ชีวิตจะสิ้นสุดลงว่าชีวิตมนุษย์เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร  เวลาตาย พวกเขาก็รู้สึกไม่พอใจและยังคงกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ จากโลกนี้ไปพร้อมความเสียใจในท้ายที่สุดและไม่ได้รับสิ่งใดเลย  ไม่น่าเศร้าหรอกหรือหากพวกเขาเกิดใหม่ในชีวิตหน้าแล้วยังคงดำรงชีวิตเช่นนี้?  (น่าเศร้า)  ผู้คนแต่ละรุ่นต่างก็มาและจากไปอย่างน่าสลดใจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ผู้ที่มีชีวิตส่งผู้ที่จากไป หลังจากนั้นก็ถูกส่งโดยผู้คนในรุ่นต่อไป  พวกเขามีชีวิตเช่นนี้เป็นวัฏจักร ดำเนินชีวิตด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจอะไร  นี่แตกต่างจากพวกเจ้าที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย  พวกเจ้ามาทันโอกาสอันล้ำค่าและหายากที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดในยุคสุดท้าย  พวกเจ้าสามารถรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และได้รับการเลี้ยงดูและนำทางของพระองค์ที่ทรงทำด้วยพระองค์เอง  พวกเจ้าเข้าใจความล้ำลึกและความจริงมากมาย และพวกเจ้าก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเจ้าสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงได้  พวกเจ้าได้รับไปแล้วมากมายนัก มากกว่าธรรมิกชนรุ่นต่างๆ ในอดีต  นี่ไม่ใช่พรสูงสุดหรอกหรือ?  พวกเจ้าได้รับพรมากที่สุดแล้ว

หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะมาหลายปี พวกเจ้าก็ค่อยๆ มาเข้าใจวัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้าและความล้ำลึกแห่งการที่พระองค์ทรงบริหารจัดการและช่วยมนุษยชาติให้รอด  พวกเจ้าได้มาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและมารู้จักอธิปไตยของพระองค์  พวกเจ้าเต็มใจที่จะนบนอบพระเจ้าด้วยหัวใจและสามารถนบนอบพระองค์  การมีชีวิตอยู่ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยและเต็มอิ่ม  พระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้ามีชีวิต และเจ้าก็สามารถมีชีวิตเพื่อพระเจ้า เจ้าสามารถมีชีวิตเพื่อทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  นี่คือหนทางการดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย  หากผู้คนดำเนินชีวิตโดยไม่ยอมรับหรือไม่เข้าใจความจริง และมีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนังเพียงอย่างเดียว นั่นย่อมไม่มีคุณค่าอันใด  บัดนี้พวกเจ้าทั้งหมดกำลังเพียรพยายามมุ่งสู่ความจริง พวกเจ้ากำลังดำรงชีวิตด้วยมโนธรรมและสำนึกที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  และด้วยสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเจ้าเข้าใจความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้ารู้จักที่จะนบนอบพระเจ้ามากขึ้นทุกที และสามารถทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและเป็นพยานให้พระเจ้าด้วยเช่นกัน  การดำเนินชีวิตเช่นนี้จะเติมเต็มหัวใจของพวกเจ้าด้วยสันติสุขและความชื่นบาน และนี่คือชีวิตที่มีความหมายมากที่สุดเท่าที่มี  ท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง มีแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่ได้รับพรเช่นนี้  ในโลกอันกว้างใหญ่และในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรเพียงพวกเจ้าและทรงให้พวกเจ้ามาเกิดในยุคสุดท้ายนี้และเกิดในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดง เพื่อให้พวกเจ้าสามารถรับพระบัญชาจากพระองค์ ทำหน้าที่ของตน และสละตนเพื่อพระองค์  พวกเจ้าคือผู้ที่พระเจ้าทอดพระเนตรด้วยความโปรดปรานและคือผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรแล้ว  นี่คือพรที่ประเสริฐที่สุดไม่ใช่หรือ?  (เป็นพรที่ประเสริฐที่สุด)  นี่คือพรอันประเสริฐจริงๆ  มีผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทำหน้าที่ของตนได้ และนี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า  มีผู้คนที่ไม่เข้าใจความจริง และแม้ในเวลาที่พวกเขาทำหน้าที่ของตน ก็สามารถกล่าวได้เพียงว่าพวกเขากำลังลงแรงเพื่อพระเจ้า  พวกเขาถวายพละกำลังที่ตนมีพลางต่อรองกับพระเจ้าอยู่ในหัวใจและหวังที่จะได้รับพร  สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง พวกเขาจะสามารถสงบลงได้และลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความเต็มใจ  ในเวลานี้พวกเจ้าสามารถใช้ชีวิตและใช้ทุกๆ วันของตนเพื่อเป็นพยานให้พระเจ้าและถ่ายทอดข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า—การใช้ชีวิตในหนทางนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  กล่าวให้เข้าใจง่ายก็คือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเจ้าดำรงชีวิตเช่นนี้ และพระเจ้าคือผู้ประทานโอกาสนี้ให้แก่พวกเจ้า  พระเจ้าได้ประทานโอกาสให้เจ้ามีชีวิต รวมทั้งให้เจ้าทำหน้าที่ของตนและสละตนเพื่อพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุด  พวกเจ้าควรทะนุถนอมโอกาสนี้ พวกเจ้าควรรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติ  พวกเจ้ายังเยาว์นัก และการที่พวกเจ้าทำหน้าที่ของตน ติดตามพระเจ้า และเป็นพยานให้พระองค์ท่ามกลางความวิบัติ ในสภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่เลวร้ายเช่นนี้—ช่างเป็นโอกาสที่หายากจริงๆ!  การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายและทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยสมบูรณ์  เพื่อให้มนุษยชาติได้ความจริงไว้และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์นั้น เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างที่สุด  มีเวลาไม่มากนักและเวลานั้นย่อมผ่านไปในชั่วพริบตา  พวกเจ้าจึงควรคว้าโอกาสนี้ไว้และได้รับความจริงทั้งหมดที่พวกเจ้าควรได้รับ  นี่คือพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และเป็นพรที่ยิ่งใหญ่กว่าพรที่ธรรมิกชนทั้งหมดในยุคต่างๆ ที่ผ่านมาเคยได้รับ

บทตัดตอน 81

อย่างน้อยที่สุดบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าต้องสามารถละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีได้  ครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33)  คำว่าสละสิ่งสารพัดที่คนเรามีหมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายถึงการละทิ้งครอบครัว ละทิ้งการงาน ละทิ้งสิ่งพัวพันทางโลกทั้งหมดที่คนเรามี  การทำสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ง่ายหรือไม่?  นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก  หากไร้ซึ่งความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำ การนี้ย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้อย่างแน่นอน  เมื่อคนเรามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะละทิ้ง พวกเขาย่อมจะมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะสู้ทนความทุกข์ยากไปโดยธรรมชาติ  หากคนเราไม่สามารถสู้ทนความทุกข์ยากได้ พวกเขาจะไม่สามารถละทิ้งสิ่งใดได้ทั้งสิ้น แม้ว่าพวกเขาอาจจะปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นก็ตาม  มีบางคนที่ได้ละทิ้งครอบครัวของพวกเขาและแยกห่างคนที่พวกเขารักมาแล้ว แต่หลังจากปฏิบัติหน้าที่ไปได้ระยะหนึ่งพวกเขาก็เริ่มคิดถึงบ้าน  หากพวกเขาไม่สามารถทนสิ่งนี้ได้จริง พวกเขาก็อาจจะแอบรีบกลับบ้านไปดู แล้วจึงกลับมาปฏิบัติหน้าที่ของตน  บางคนที่จากบ้านมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนที่พวกเขารักในวันหยุดปีใหม่หรือเทศกาลอื่นๆ และในตอนกลางคืนที่ทุกคนนอนหลับ พวกเขาก็แอบร้องไห้  เมื่อร้องไห้เสร็จพวกเขาก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและรู้สึกดีขึ้นมาก หลังจากนั้นพวกเขาก็ทำหน้าที่ของตนต่อไป  ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะสามารถละทิ้งครอบครัวของพวกเขาได้ พวกเขาก็ไม่สามารถสู้ทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสได้  หากพวกเขาไม่อาจทิ้งความรู้สึกที่มีต่อความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้เสียด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาจะสามารถสละตนเองเพื่อพระเจ้าโดยแท้จริงได้อย่างไร?  บางคนสามารถละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามี ละทิ้งอาชีพการงานและครอบครัวมาติดตามพระเจ้าได้—แต่เป้าหมายที่พวกเขาทำเช่นนี้คืออะไร?  บางคนพยายามเพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพร และบางคนก็เป็นเช่นเดียวกับเปาโลที่ไล่ตามไขว่คว้ามงกุฎและบำเหน็จเท่านั้น  มีเพียงไม่กี่คนที่ละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อให้ได้รับความจริงและชีวิต และเพื่อให้บรรลุความรอด  ดังนั้นแล้วในบรรดาการไล่ตามเสาะหาเหล่านี้ สิ่งใดที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า?  แน่นอนว่าสิ่งนั้นคือการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับชีวิตนั่นเอง  สิ่งนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า  หากคนคนหนึ่งไม่สามารถปล่อยวางสิ่งทั้งหลายในทางโลกหรือความมั่งคั่งไปได้ พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  มีคนบางคนที่ได้ละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีเพื่อมารับผิดชอบหน้าที่ของพวกเขา ทว่าพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ทั้งยังปฏิบัติหน้าที่อย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ  หลังจากทำตัวลอยชายเช่นนี้อยู่สองสามปี พวกเขาก็ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์และไม่ได้รับสิ่งใดเลย  เหล่าผู้ที่ไล่ตามไขว่คว้าแต่เพียงชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ รวมถึงผู้ที่เดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ยิ่งไม่สามารถได้รับความจริงได้เลย  มีคนมากมายที่การเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพียงเล็กน้อยในเวลาว่างเท่านั้น  การที่ผู้คนเช่นนั้นได้รับความจริงจะเป็นเรื่องง่ายหรือไม่?  สำหรับเราแล้วนี่ดูไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  การได้รับความจริงไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย  คนเราต้องสู้ทนความยากลำบากมากมายและยอมลำบากอย่างหนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนเราต้องมีประสบการณ์กับความยากลำบากของการพิพากษาและการตีสอน บททดสอบและการถลุง รวมถึงการตัดแต่ง  ทั้งหมดนี้คือความยากลำบากที่ต้องสู้ทน  คนเราไม่อาจได้รับความจริงโดยไร้ซึ่งการสู้ทนความเจ็บปวดมหันต์  ในช่วงเวลานี้คนเราต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงกี่ครั้ง?  คนเราต้องหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจต่อพระเจ้ากี่หน?  คนเราต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงไรก่อนที่พวกเขาจะได้รับความรู้แจ้งและได้รับความกระจ่าง?  คนเราต้องก้าวผ่านการสู้รบฝ่ายวิญญาณกี่คราวพวกเขาจึงจะสามารถเอาชนะซาตานได้?  แล้วกระบวนการของการมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ใช้เวลานานเพียงใด?  ต้องใช้เวลากี่ปีคนเราจึงจะสามารถได้รับความจริงและความเห็นชอบจากพระเจ้าได้ในที่สุด?  จงดูที่ประสบการณ์ของเปโตร  แล้วพวกเจ้าจะรู้  ความรอดและการทำให้มนุษย์เพียบพร้อมของพระเจ้านั้นเรียบง่ายดั่งที่ผู้คนคิดฝันหรือ?  การละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีไม่ใช่เรื่องง่าย  ที่จริงแล้วคำว่าละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีหมายความว่าอย่างไร?  “ทั้งหมดที่คนเรามี” ไม่ได้หมายรวมถึงเพียงสิ่งภายนอก ครอบครัว บุคคลอันเป็นที่รัก และเพื่อนฝูง อีกทั้งไม่ได้หมายถึงเพียงอาชีพการงาน เงินเดือน ความมั่งคั่ง และจุดหมายปลายทางในอนาคตของคนเรา  นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว คำว่าทั้งหมดที่คนเรามียังรวมถึงสิ่งทั้งหลายทางจิตใจและวิญญาณ อันได้แก่ ความรู้ การเรียนรู้ ทัศนคติที่คนเรามีต่อสิ่งทั้งหลาย กฎในการดำเนินชีวิต ความชอบส่วนตนทางเนื้อหนัง รวมไปถึงสิ่งทั้งหลายที่คนเราไล่ตามเสาะหาและใฝ่ฝันถึง อย่างเช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ  โดยหลักแล้ว การละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งในความหมายของคำว่าละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามี  การละทิ้งสิ่งภายนอกทั้งหลายที่คนเรามีในคราวเดียวนั้นเป็นเรื่องง่าย  แต่สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบ ไล่ตามไขว่คว้า และยึดมั่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและล้ำค่าที่สุดสำหรับพวกเขา เป็นตัวแทนของคำว่าทั้งหมดที่คนเรามี ทั้งยังเป็นสิ่งที่ละทิ้งได้ยากที่สุด  เหตุผลหลักที่ทำให้คนส่วนมากยังไม่สามารถละทิ้งได้ในตอนนี้ก็คือ พวกเขายังไม่อาจปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเขาให้ราคาและหวงแหนมากที่สุด  ตัวอย่างเช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ หรือความรุ่งโรจน์และโชควาสนา หน้าที่การงานที่คนเรารัก หรือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาให้ค่ามากที่สุด—สิ่งเหล่านี้คือทั้งหมดที่พวกเขามี และเป็นสิ่งที่ละทิ้งได้ยากที่สุด  มีผู้จัดการธนาคารคนหนึ่งมาเชื่อในพระเจ้า  เขาเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริงโดยแท้ และเห็นว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด  แต่เมื่อเขาตัดสินใจที่จะละทิ้งทั้งหมดที่มีมาติดตามพระเจ้า เขาก็ต้องยุ่งยากใจอย่างหนักกับตำแหน่งของเขาที่ธนาคาร  ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดว่า “ตำแหน่งของฉันที่ธนาคารเป็นสิ่งที่ล้ำค่า  รายได้ดีแถมยังมีอิทธิพล” แล้วในชั่วขณะต่อมาเขาก็คิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าจะทำให้ฉันได้รับความจริงและชีวิตนิรันดร์  นั่นคือสิ่งที่สำคัญ”  ในหัวใจของเขาเกิดการสู้รบอยู่ไม่ว่างเว้น  ชั่วขณะหนึ่งเขาต้องการที่จะเป็นผู้จัดการธนาคาร และต่อมาเขาก็ต้องการเชื่อในพระเจ้า  ชั่วขณะหนึ่งเขาต้องการไขว่คว้าเงินทอง และต่อมาเขาก็ต้องการได้รับความจริง  ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่สามารถปล่อยวางสถานะของตนได้ และต่อมาเขาก็ต้องการได้รับชีวิตนิรันดร์  หัวใจของเขาระส่ำระสายไปมา  สำหรับเขาสถานะผู้จัดการธนาคารเป็นสิ่งที่ล้ำค่าเหลือเกิน และเขาก็ไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนั้นไปได้  ในหัวใจของเขาเกิดการสู้รบนี้อยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ปล่อยวางสถานะนั้นไปได้ แม้อาจจะด้วยความอิดออดก็ตาม  สำหรับเขาแล้ว การละทิ้งทั้งหมดที่มีเป็นสิ่งที่ยากเหลือเกิน!  ถึงแม้เขาจะรู้ว่าตำแหน่งผู้จัดการธนาคารของเขาเป็นสิ่งชั่วคราวที่อาจหายไปได้ราวกับควัน แต่การที่เขาจะปล่อยวางสิ่งนั้นไปก็ยังไม่ง่าย  บางคนเป็นแพทย์ ทนายความ หรือผู้บริหารระดับสูงที่มีค่าตอบแทนและเงินเดือนสูง  การปล่อยวางสิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องต่อสู้กับตัวเองอยู่กี่เดือนถึงจะปล่อยวางได้  หากคนเราต้องใช้เวลาต่อสู้นานหลายปีจึงจะปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ไปได้ ทว่าเมื่อถึงจุดนั้นพระราชกิจของพระเจ้ากลับปิดจบลงไปแล้ว เช่นนั้นแล้ว การนั้นจะมีประโยชน์อะไร?  ในเวลานั้นคนเราจะได้แต่ร่วงลงสู่มหันตภัยพลางร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเท่านั้น  เจ้าจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเจ้าสามารถละทิ้งทุกสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้ามาติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่  อีกทั้งไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับชีวิตเท่านั้น  การเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าสามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีและติดตามพระเจ้า เอาใจใส่พระวจนะของพระเจ้า และนบนอบการจัดการเตรียมการ นบนอบพระองค์ได้ในทุกสิ่งนั่นเอง การนี้หมายความว่า พระองค์ได้ทรงกลายมาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า และเป็นพระเจ้าของเจ้า  สำหรับพระเจ้า สิ่งนั้นหมายถึงการที่เจ้าได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ และไม่ว่าเกิดมหันตภัยใดขึ้นกับเจ้า เจ้าย่อมจะมีการคุ้มครองของพระองค์และจะสามารถมีชีวิตรอด และเจ้าจะได้กลายเป็นหนึ่งในประชากรแห่งราชอาณาจักรของพระองค์  พระเจ้าจะทรงยอมรับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ หรือทรงสัญญาว่าจะทำให้เจ้าเพียบพร้อม—แต่ในขั้นแรกเจ้าต้องติดตามพระคริสต์เสียก่อน  มีเพียงการติดตามพระคริสต์ที่จะทำให้เจ้ามีส่วนร่วมในการฝึกฝนของราชอาณาจักร  หากเจ้าไม่ติดตามพระคริสต์และอยู่นอกราชอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงไม่ยอมรับเจ้า  และหากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับเจ้า ต่อให้เจ้าปรารถนาที่จะได้รับความรอด ได้รับพระสัญญากับความเพียบพร้อมจากพระเจ้า เจ้าจะสามารถบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้หรือ?  เจ้าจะไม่บรรลุในสิ่งเหล่านี้  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า อันดับแรกเจ้าต้องมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์  หากเจ้าสามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงได้ หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ หากเจ้าสามารถปฏิบัติตนตามหลักธรรมได้ และหากเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าและได้รับพระสัญญาจากพระองค์  หากเจ้าไม่สามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อติดตามพระเจ้าได้ เจ้าก็ย่อมไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ และเจ้าจะไม่มีสิทธิ์ในพระพรและพระสัญญาของพระองค์เลย  ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่ได้ละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีและกำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า แต่กระนั้นก็ไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะสามารถได้รับความจริง  คนเราต้องรักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้ก่อน จึงจะได้รับความจริงนั้น  หากคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ไม่อาจได้รับความจริงนั้นได้  ยังไม่รวมถึงเหล่าผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนในเวลาว่าง—พวกเขามีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจำกัดมากเสียจนการได้รับความจริงจะเป็นเรื่องที่ยากกว่าสำหรับพวกเขา  หากคนเราไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนหรือไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาก็ย่อมจะพลาดโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้บรรลุความรอดและความเพียบพร้อมจากพระเจ้า  คนบางคนอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน ทั้งยังไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทั้งหลายทางโลก  นี่คือการที่พวกเขาละทิ้งทั้งหมดที่มีอย่างนั้นหรือ?  หากคนเราเชื่อในพระเจ้าในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทางได้หรือไม่?  จงดูสาวกขององค์พระเยซูเจ้าเป็นตัวอย่าง ในบรรดาสาวกเหล่านั้นมีชาวประมง ชาวนา และคนเก็บภาษี  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเรียกพวกเขาและตรัสว่า “ตามเรามา” พวกเขาก็ทิ้งอาชีพของตนและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาไม่ได้สนใจประเด็นปัญหาเรื่องอาชีพการงานของพวกเขาเลย อีกทั้งไม่สนใจปัญหาที่ว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะมีเส้นทางในการเอาตัวรอดทางโลกหรือไม่ และพวกเขาก็ติดตามองค์พระเยซูเจ้าในทันที  เปโตรอุทิศตนเองอย่างสุดหัวใจ ลุล่วงพระบัญชาขององค์พระเยซูเจ้าจนถึงปลายทาง และยึดมั่นในหน้าที่ของเขา  เปโตรไล่ตามเสาะหาที่จะรักพระเจ้าตลอดทั้งชีวิต และท้ายที่สุดเขาก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ตอนนี้มีบางคนที่ไม่สามารถละทิ้งทั้งหมดที่พวกเขามีได้ด้วยซ้ำ แต่กระนั้นก็ยังปรารถนาที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร  พวกเขามิได้กำลังฝันอยู่หรอกหรือ?

การเชื่อในพระเจ้านั้น แค่ความกระตือรือร้นยังไม่พอ  เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ วิธีการที่พระองค์ทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อม บุคคลใดที่พระองค์ทรงทำให้เพียบพร้อม รวมถึงท่าทีกับทัศนะที่คนเราควรมีต่อการที่พระเจ้าทรงทำให้ผู้คนเพียบพร้อม  นอกจากนี้ในฐานะผู้ติดตามของพระเจ้า คนเราต้องรู้ว่าการเดินตามหนทางของพระเจ้านั้นสำคัญเพียงใด  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่ว่าคนเราจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่  การเดินตามหนทางของพระเจ้าหมายถึงการปฏิบัติความจริง  มีเพียงการปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่คนเราจะนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น การปฏิบัติความจริงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการได้รับความจริง  หากคนเราไม่เข้าใจหรือไม่รู้วิธีปฏิบัติความจริง พวกเขาจะไม่มีทางได้รับความจริงนั้น  นั่นคือเหตุผลที่ทำให้การปฏิบัติความจริงเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า  มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงเท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจความจริงโดยสมบูรณ์ และมีเพียงบรรดาผู้ที่เข้าใจความจริงโดยสมบูรณ์เท่านั้นที่รู้จักพระเจ้า  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติความจริง  ไม่ว่ามีคนที่เชื่อในพระเจ้าอยู่กี่คน พระเจ้าก็ทอดพระเนตรว่าพวกเขาคนไหนเดินตามหนทางของพระองค์ คนไหนปฏิบัติความจริง และคนไหนที่นบนอบพระองค์อย่างแท้จริง  ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงเพื่อให้กลายเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์และนบนอบพระองค์  บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เหตุใดผู้คนจึงควรเชื่อพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา นับตั้งแต่พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างไร และคนเราต้องสัมฤทธิ์สิ่งใดในการไล่ตามเสาะหาความจริง ก่อนที่จะบรรลุความรอดและเป็นคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับพระสัญญาของพระเจ้าและพรของพระองค์  ในอดีตไม่มีใครเข้าใจความจริงเหล่านี้  คนทุกคนต่างเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และคิดว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องของการได้รับพร มงกุฏ และบำเหน็จ  ผลก็คือ พวกเขาล้วนขัดต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า พลัดหลงไปจากหนทางที่แท้จริง และก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์  เพราะฉะนั้นหากคนเราปรารถนาที่จะเข้าใจความจริง ได้รับความจริง และได้รับความรอด พวกเขาก็ต้องแก้ไขทัศนะเรื่องการเชื่อในพระเจ้าแบบผิดๆ ที่มีมาแต่อดีตให้ถูกต้อง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทางศาสนา รวมถึงทัศนะด้านเทววิทยาที่ไร้สาระ สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและเป็นตรรกะวิบัติที่ดูเหมือนสมเหตุสมผล  พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในหนทางทั้งปวงที่คนในศาสนาเชื่อ  หากเวลานี้ผู้คนยังคงยึดมั่นในหนทางเหล่านั้นต่อไป อีกทั้งไล่ตามไขว่คว้าพร มงกุฏ และบำเหน็จ—หากพวกเขายังคงเชื่อในพระเจ้าด้วยท่าทีเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงและชีวิตหรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  เช่นนั้นแล้วผู้คนควรนำทัศนคติแบบใดมาใช้กับการเชื่อในพระเจ้า?  เจ้าต้องเริ่มด้วยการเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและมองเห็นโดยชัดเจนว่าพระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไร  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง ทว่ายังเชื่อในพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองต่อไป หากเจ้าเอาแต่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ สถานะ ความมั่งคั่ง และสิ่งทั้งหลายในทางโลก เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้าจะพิชิตทุกสิ่งบนโลก แต่หากท้ายที่สุดสิ่งนั้นแลกมาด้วยชีวิตของเจ้า การนั้นจะคุ้มค่าหรือ?  คนบางคนกล่าวว่า “เมื่อฉันหาเงินได้มากพอและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เมื่อฉันได้ลุล่วงความมุ่งมาดปรารถนาและทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงแล้ว ถึงเวลานั้นฉันจะมาเป็นผู้เชื่อที่ดี”  พระเจ้าทรงรอเจ้าหรือไม่?  พระราชกิจของพระเจ้ารอเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าไม่สามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นได้ในเวลานี้ พระเจ้าก็ไม่ทรงเรียกร้องให้เจ้าทำเช่นนั้นในทันที แต่เจ้าต้องปฏิบัติการปล่อยวาง  หากเจ้าไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง จงอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์  จงปล่อยให้พระองค์ทรงนำเจ้า  นอกจากนี้ เจ้าต้องให้ความร่วมมือและปฏิบัติหน้าที่ของตน  จุดประสงค์ของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคืออะไร?  ที่จริงแล้วสิ่งนี้หมายถึงการตระเตรียมความดีนั่นเอง  ต่อให้ในท้ายที่สุดเจ้าจะไม่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยเจ้าก็ต้องตระเตรียมความดีเอาไว้บ้าง เพื่อที่เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว เจ้าจะได้ชี้แจ้งเรื่องเหล่านั้นให้พระองค์ทรงฟัง  วันหนึ่งพระราชกิจของพระเจ้าจะมาถึงจุดจบ และพระองค์จะทรงเริ่มปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว  พระองค์จะทรงให้เจ้านำเสนอความประพฤติดีของตน และหากไม่มีเลยเจ้าก็ย่อมจบสิ้น—เจ้าจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาราวสิบปี และหน้าที่ซึ่งมีคุณค่ามากที่สุดที่เจ้าได้ปฏิบัติมีเพียงการประกาศข่าวประเสริฐในเวลาว่างและรับผู้เชื่อใหม่เข้ามาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท้ายที่สุดคนเหล่านั้นจะสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่  เจ้าจะชี้แจงเรื่องนี้แก่พระเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าย่อมทำไม่ได้อย่างแน่นอน  เจ้าต้องพิจารณาว่าผลลัพธ์ประเภทใดที่เจ้าสามารถชี้แจงแก่พระเจ้าได้ และเจ้าต้องมีคำพยานจากประสบการณ์รูปแบบใดจึงจะสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยและทำให้พระองค์ทรงยอมรับเจ้าในฐานะผู้ติดตามของพระองค์ได้  เจ้าไม่สามารถพึงพอใจกับการแค่รับรู้ข้อเท็จจริงเรื่องการประสูติเป็นมนุษย์ในปัจจุบันของพระเจ้า และยอมรับพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายในหัวใจของเจ้าเพียงเท่านั้น  สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการเห็นคือคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงของเจ้า และผลแห่งการนบนอบพระราชกิจของพระองค์ของเจ้า  สิ่งที่พระเจ้าจะทรงทดสอบในตอนท้ายก็คือเจ้าได้รับความจริงหรือไม่ และเจ้ามีชีวิตหรือไม่  เจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากเจ้าเพียงแต่เพิ่มชื่อของตนเข้าไปในบัญชีรายชื่อของคริสตจักรหรือปฏิบัติหน้าที่แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และหลังจากเชื่อในพระเจ้าไปแล้วสองถึงสามปีเจ้าก็ยังไม่มีคำพยานจากประสบการณ์เลย เช่นนั้นพระเจ้าจะยังทรงยอมรับเจ้าได้อยู่หรือไม่?  หากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังอยู่นอกพระนิเวศของพระองค์  หากเจ้าเพียงแค่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ท้ายที่สุดแล้วความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะได้รับสิ่งใดหรือ?  เจ้าจะยังห่างไกลจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดอยู่มากทีเดียว!  การได้รับความจริงไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ผู้คนคิดฝัน คนเราต้องสู้ทนกับความทุกข์เข็ญ และความเจ็บปวด รวมถึงบททดสอบและการถลุงมากมายเสียก่อนที่จะได้รับความจริงและรู้จักพระเจ้า  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับพระราชกิจในลักษณะนี้ของพระเจ้า หากเจ้าไม่ละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีเพื่อติดตามพระองค์ เจ้าจะได้รับความรอดอย่างนั้นหรือ?  เจ้าจะสามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเพียงการเชื่อในพระองค์ในยามว่างที่เจ้ามีอยู่น้อยนิดได้หรือ?  เจ้าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจด้วยการเชื่อในพระเจ้าอยู่ที่บ้านได้อย่างไร?  เจ้าจะมีประสบการณ์กับสิ่งนี้ด้วยการใช้ชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างไร?  ด้วยเหตุนั้น การละทิ้งทั้งหมดที่คนเรามีจึงเป็นเงื่อนไขของการติดตามพระเจ้า  หากเจ้าไม่สามารถละทิ้งทั้งหมดที่เจ้ามีได้ เจ้าก็ย่อมไม่ได้รับความจริงอย่างแน่นอน  หากเจ้าไม่ได้รับความจริง เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้

บทตัดตอน 82 (การตอบคำถามจากพี่น้องชายหญิง)

(ข้าพระองค์ยังคงถูกบีบคั้นจากความรักใคร่เอ็นดูของข้าพระองค์ที่มีต่อครอบครัวในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง  ข้าพระองค์มักคิดถึงพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง และความคิดถึงก็ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์  ช่วงหลังมานี้สภาวะของข้าพระองค์ได้ปรับปรุงดีขึ้นแล้วเล็กน้อย แต่บางครั้งข้าพระองค์ก็ยังกังวลเรื่องที่พญานาคใหญ่สีแดงจะจับคนในครอบครัวไปเพื่อข่มขู่ข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าพระองค์จะไม่สามารถตั้งมั่นได้)  สิ่งเหล่านี้เป็นความกลัวที่ไร้เหตุผล  เมื่อเจ้าคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อการแก้ไข  เจ้าจำเป็นต้องเข้าใจว่าไม่ว่าเจ้าเผชิญรูปการณ์แวดล้อมใด พระเจ้าได้ทรงจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการสิ่งนั้นไว้แล้ว  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้าและสามารถแสวงหาความจริงและตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหลาย  นี่คือบทเรียนที่ผู้คนต้องเรียนรู้  เจ้าควรใคร่ครวญให้บ่อยว่า ในช่วงนี้เจ้ากำลังมีประสบการณ์กับการให้น้ำและการเลี้ยงดูของพระเจ้าอย่างไร?  วุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้าเป็นอย่างไร?  เจ้าควรลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างไร?  เจ้าต้องขบคิดเรื่องเหล่านี้ให้ออก!  หากเจ้าสามารถคิดถึงเรื่องที่พญานาคใหญ่สีแดงข่มขู่เจ้าได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่คิดถึงวิธีเข้าไปสู่ความจริงเล่า?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ใคร่ครวญความจริง?  (เมื่อข้าพระองค์เกิดความคิดเหล่านี้ ข้าพระองค์ก็อธิษฐานถึงพระเจ้าและตั้งปณิธานว่า หากวันหนึ่งข้าพระองค์เผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้เข้าจริงๆ ข้าพระองค์จะซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าไปจนตาย  แต่ข้าพระองค์กลัวจริงๆ ว่าด้วยวุฒิภาวะอันน้อยนิดนี้ ข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้)  จากนั้นเจ้าก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์กลัวว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถทำได้ด้วยวุฒิภาวะอันน้อยนิด  ข้าพระองค์กลัวแทบตาย  ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น  พระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้ในยามที่ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะ”  นี่เป็นการอธิษฐานที่ดีหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าควรอธิษฐานดังนี้ “ข้าแต่พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์มีวุฒิภาวะและความเชื่อน้อยนิด ข้าพระองค์กลัวว่าจะต้องเผชิญกับบางอย่าง อันที่จริงข้าพระองค์ไม่เชื่อจริงๆ ว่าทุกเหตุการณ์และทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ได้วางตัวเองไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นการกบฏอะไรเช่นนี้!  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์  ไม่ว่าพระองค์ทรงทำสิ่งใด หัวใจของข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะเป็นพยานให้พระองค์  ข้าพระองค์เต็มใจที่จะตั้งมั่นในการเป็นพยานของข้าพระองค์โดยไม่ทำให้พระองค์ทรงอับอาย  โปรดทำตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด”  เจ้าจำเป็นต้องวางความตั้งใจแน่วแน่และสิ่งที่เจ้าต้องการพูดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า—นี่คือวิธีที่เจ้าสร้างความเชื่อที่แท้จริง  หากเจ้าลังเลแม้แต่การอธิษฐานเช่นนี้ ความเชื่อของเจ้าก็ช่างน้อยเหลือเกิน!  เจ้าจำเป็นต้องอธิษฐานเช่นนี้อยู่เป็นประจำ  ต่อให้เจ้าอธิษฐานเช่นนี้จริง ก็ไม่จำเป็นที่พระเจ้าจะต้องทรงกระทำการเช่นนั้น  พระเจ้าไม่ทรงสร้างภาระให้มนุษย์เกินกว่าที่พวกเขาสามารถรับไหว แต่หากเจ้าทำให้ท่าทีและความตั้งใจแน่วแน่ของเจ้าชัดเจน พระเจ้าย่อมจะทรงยอมรับ  เมื่อพระเจ้าทรงยอมรับ หัวใจของเจ้าจะไม่ถูกเรื่องนี้ก่อกวนและบีบคั้นอีกต่อไป  “สิ่งต่างๆ อย่างเช่นสามี ลูกๆ ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ—สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  สิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย  ทั้งจักรวาลอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ครอบครัวของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เหมือนกันมิใช่หรือ?  การที่ฉันกังวลเรื่องพวกเขานั้นมีประโยชน์อะไร?  ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรในเรื่องนี้ ฉันไม่มีความสามารถและไม่อาจคุ้มกันพวกเขาได้  ชะตากรรมและทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาต่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า!”  เจ้าต้องมีความเชื่อที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยตั้งใจแน่วแน่และตัดสินใจที่จะนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  แล้วจากนั้นสภาวะในตัวเจ้าก็จะเปลี่ยนไป  เจ้าจะไม่มีความกังวลใดๆ อีก และเจ้าจะไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป  เจ้าจะไม่ระมัดระวังมากจนเกินไปและเต็มไปด้วยความหวั่นใจในทุกสิ่งที่เจ้าทำ  ขณะที่ทุกคนทะยานไปข้างหน้า เจ้ากลับลังเล ต้องการจะปลีกตัวหนีอยู่เสมอ—นี่คือสิ่งที่คนขลาดทำมิใช่หรือ?  เมื่อประชากรของพระเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในราชอาณาจักรและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระผู้สร้าง พวกเขาควรเดินหน้าไปอย่างสงบพร้อมหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขาไม่ควรงุ่มง่าม ถอยหนี หรือกลัวนั่นกลัวนี่  หากเจ้ารู้ว่าสภาวะนี้ผิดและมัวแต่กังวลแทนที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข เช่นนั้นเจ้าก็กำลังถูกสภาวะนี้บีบคั้นและผูกมัด และเจ้าจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตนให้ดีได้  เจ้าต้องการลุล่วงหน้าที่ของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างสุดหัวใจ สุดจิตใจ และสุดเรี่ยวแรงของเจ้า แต่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้หรือไม่?  เจ้าไม่สามารถไปถึงจุดที่มอบทั้งหัวใจของเจ้าได้เพราะหัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่กับหน้าที่—อย่างดีที่สุดเจ้าก็มอบหัวใจของตนเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น  เมื่อไม่ได้มอบหัวใจทั้งหมดของเจ้า เจ้าจะมอบจิตใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนได้อย่างไร?  หัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่กับหน้าที่ของเจ้า และทั้งหมดที่เจ้ามีคือความเต็มใจเล็กน้อยที่จะปฏิบัติหน้าที่  เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจและจิตใจทั้งหมดของเจ้าได้จริงหรือ?  เจ้าไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง ดังนั้นเจ้าจึงต้องถูกบีบคั้นจากครอบครัวและความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อพวกเขา  พวกเขาจะมัดมือและเท้าของเจ้า พวกเขาจะควบคุมความคิดและหัวใจของเจ้า และเจ้าจะห่างไกลจากความจริงและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า—เจ้าจะเต็มใจ แต่ขาดความเข้มแข็ง  ดังนั้นเจ้าต้องอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในด้านหนึ่งเจ้าต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ขณะเดียวกันก็รู้ด้วยว่าเจ้าควรยืนอยู่จุดไหนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าต้องเอาความตั้งใจแน่วแน่และท่าทีที่เจ้าควรมีไปวางเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นี่คือท่าทีที่เจ้าต้องมี  เหตุใดผู้คนอื่นจึงไม่มีความกังวลเหล่านี้?  เจ้าคิดว่าคนอื่นๆ ไม่มีครอบครัวหรือความยากลำบากเหล่านี้หรือ?  อันที่จริงทุกคนต่างมีภาระผูกพันบางอย่างทางเนื้อหนังและทางครอบครัว แต่บางคนสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง  หลังจากแสวงหาไประยะหนึ่ง พวกเขาย่อมมองเห็นความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งและปล่อยวางมันไปจากหัวใจ แล้วจากนั้น สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับพวกเขา และไม่สามารถควบคุมหรือบีบคั้นพวกเขาได้อีกต่อไป  ความยากลำบากเหล่านั้นไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการปลดปล่อย  ในพระคัมภีร์มีพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดหนึ่งกล่าวว่า  “ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33)  การสละสิ่งสารพัดที่คนเรามีอยู่นี้คืออะไร?  “สารพัด” หมายความว่าอย่างไร?  สิ่งทั้งหลายอย่างสถานะ ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ครอบครัว เพื่อนฝูง และทรัพย์สมบัติ—ทั้งหมดนี้หมายรวมอยู่ในคำว่า “สารพัด”  แล้วสิ่งใดมีความสำคัญในหัวใจของเจ้าเล่า?  สำหรับบางคนคือลูกๆ สำหรับบางคนคือพ่อแม่ สำหรับบางคนคือความมั่งคั่ง และสำหรับคนอื่นๆ คือสถานะ ชื่อเสียงและผลประโยชน์  หากเจ้าให้คุณค่ากับสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็จะควบคุมเจ้า  หากเจ้าไม่ให้คุณค่าและปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ได้โดยสมบูรณ์ เช่นนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถควบคุมเจ้าได้  นั่นขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อสิ่งเหล่านี้ และวิธีที่เจ้ารับมือกับสิ่งเหล่านี้เท่านั้น

พวกเจ้าต้องเข้าใจว่า ไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจของพระองค์ในเวลาใดหรือระยะใด พระองค์ต้องประสงค์ผู้คนจำนวนหนึ่งมาทำงานกับพระองค์เสมอ  การที่ผู้คนเหล่านี้ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าหรือทำในส่วนของตนในการประกาศข่าวประเสริฐนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า  แล้วพระเจ้าทรงมีพระบัญชาต่อคนแต่ละคนที่ทรงลิขิตเอาไว้ล่วงหน้าหรือไม่?  ทุกคนต่างมีภารกิจและความรับผิดชอบ ทุกคนมีพระบัญชา  เมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาแก่เจ้า นั่นย่อมกลายเป็นความรับผิดชอบของเจ้า  เจ้าจำเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้ นี่คือหน้าที่ของเจ้า  หน้าที่คืออะไร?  หน้าที่คือภารกิจที่พระเจ้าประทานให้แก่เจ้า  ภารกิจคืออะไร?  (พระบัญชาของพระเจ้าคือภารกิจของมนุษย์  คนเราควรมีชีวิตอยู่เพื่อพระบัญชาของพระเจ้า  พระบัญชานี้เป็นสิ่งเดียวในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งอื่นใด)  พระบัญชาของพระเจ้าคือภารกิจของมนุษย์ นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าถูกส่งมายังแผ่นดินโลกเพื่อทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น  หากทั้งหมดที่เจ้าไล่ตามในชีวิตคือการยกระดับสถานะทางสังคม สั่งสมความมั่งคั่ง มีชีวิตที่ดี ชื่นชมการอยู่ใกล้ชิดครอบครัว และสุขสำราญกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—หากเจ้าได้รับสถานะทางสังคม หากครอบครัวของเจ้าเกิดโดดเด่นขึ้นมา และทุกคนในครอบครัวของเจ้าอยู่รอดปลอดภัย—แต่เจ้ากลับเมินเฉยต่อภารกิจที่พระเจ้าประทานให้ ชีวิตที่เจ้ากำลังใช้อยู่นี้มีคุณค่าอันใดหรือ?  เจ้าจะชี้แจงต่อพระเจ้าอย่างไรหลังจากเจ้าตายไป?  เจ้าจะไม่สามารถตอบได้ และนี่ก็คือการกบฏที่ร้ายแรงที่สุด นี่คือบาปที่หนักหนาที่สุด!  ขณะนี้มีพวกเจ้าคนใดกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าโดยบังเอิญบ้าง?  ไม่ว่าเจ้ามาปฏิบัติหน้าที่จากภูมิหลังแบบใด นั่นก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ  หน้าที่นี้ไม่อาจดำเนินไปได้ด้วยการสุ่มหาผู้เชื่อเพียงไม่กี่คน นี่คือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าก่อนยุคสมัยทั้งปวง  การที่บางสิ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าหมายความว่าอย่างไร?  มีความเฉพาะเจาะจงอย่างไร?  การนี้หมายความว่าในแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงวางแผนไว้นานแล้วว่าเจ้าจะมาอยู่บนแผ่นดินโลกกี่ครั้ง ระหว่างยุคสุดท้ายเจ้าจะเกิดในเชื้อสายใดและครอบครัวใด สถานการณ์ครอบครัวนี้จะเป็นเช่นไร เจ้าจะเป็นชายหรือเป็นหญิง เจ้าจะมีจุดแข็งอะไร จะมีการศึกษาระดับไหน เจ้าจะพูดจาฉะฉานแค่ไหน จะมีขีดความสามารถอย่างไร อีกทั้งเจ้าจะมีรูปลักษณ์เช่นใด  พระองค์ทรงวางแผนเอาไว้ว่าเจ้าจะเข้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของตนในช่วงอายุใด รวมถึงเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ใดในช่วงเวลาใด  พระเจ้าทรงลิขิตแต่ละขั้นตอนไว้ให้เจ้าล่วงหน้าตั้งแต่ต้น  เมื่อเจ้ายังไม่เกิด และเมื่อเจ้ามายังแผ่นดินโลกในหลายชาติก่อนของเจ้า พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับเจ้าไว้แล้วว่าหน้าที่ใดที่เจ้าจะปฏิบัติในระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจนี้  นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่นอน!  ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าสามารถฟังคำเทศนาที่นี่ได้ก็ถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า  นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!  นอกจากนี้ ความสูงของเจ้า รูปลักษณ์ของเจ้า ลักษณะดวงตาของเจ้า รูปร่างของเจ้า สภาวะทางสุขภาพของเจ้า ประสบการณ์ชีวิตของเจ้าและหน้าที่ที่เจ้าสามารถแบกรับได้ในวัยหนึ่ง รวมถึงประเภทของขีดความสามารถและความสามารถที่เจ้ามี—สิ่งเหล่านี้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าเมื่อนานมาแล้ว และไม่ใช่ถูกจัดการเตรียมการตอนนี้อย่างแน่นอน  พระเจ้าทรงลิขิตสิ่งเหล่านี้ให้เจ้าไว้ล่วงหน้านานแล้ว ซึ่งกล่าวได้ว่า หากพระองค์ทรงตั้งใจที่จะใช้เจ้า พระองค์จะทรงตระเตรียมเจ้าเอาไว้ก่อนมอบพระบัญชาและภารกิจนี้แก่เจ้า  ดังนั้นการที่เจ้าหนีจากการนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่?  การที่เจ้าสองจิตสองใจกับการนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับได้หรือไม่?  ทั้งคู่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ นั่นจะทำให้พระเจ้าผิดหวัง!  การที่ผู้คนทอดทิ้งหน้าที่ของตนเป็นการกบฏประเภทที่เลวร้ายที่สุด  นี่เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย  พระเจ้ามีพระดำริอันอุตสาหะ ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าตั้งแต่โบราณกาลเพื่อให้เจ้ามาจนถึงวันนี้และประทานภารกิจนี้แก่เจ้า  เช่นนั้นแล้วภารกิจนี้เป็นความรับผิดชอบของเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตนี้ของเจ้ามีคุณค่ามิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่ทำภารกิจที่พระเจ้าประทานให้เจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าย่อมสูญเสียคุณค่าและความหมายของการใช้ชีวิตไป ราวกับเจ้าใช้ชีวิตโดยสูญเปล่า  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการภาวะ สภาพแวดล้อม และภูมิหลังที่ถูกต้องเอาไว้ให้เจ้า  พระองค์ประทานขีดความสามารถและความสามารถนี้แก่เจ้า ทรงตระเตรียมเจ้าเพื่อให้ใช้ชีวิตมาจนถึงวัยนี้ และให้เจ้ามีคุณสมบัติทั้งปวงที่จำเป็นจะต้องมีเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ของเจ้า พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการทั้งหมดนี้ไว้ให้เจ้า แต่เจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่นี้อย่างแข็งขัน  เจ้าไม่อาจอดทนต่อการทดลองและเจ้าเลือกที่จะหลบหนี มองหาการมีชีวิตที่ดีและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งทางโลกทั้งหลายอยู่เสมอ  เจ้าใช้พรสวรรค์และความสามารถที่พระเจ้าประทานให้เจ้าเพื่อรับใช้ซาตาน มีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน  นี่ทำให้พระเจ้ารู้สึกเช่นไร?  การทำให้พระองค์ผิดหวังกับเจ้าเช่นนี้ พระองค์จะไม่ทรงเกลียดชังเจ้าหรือ?  พระองค์จะไม่ทรงเกลียดเจ้าหรือ?  พระองค์จะทรงระบายความพิโรธหนักหนาใส่เจ้า  แล้วจากนั้นจะถือว่าเรื่องนี้ยุติลงแล้วหรือไม่?  การนี้จะเรียบง่ายดั่งที่เจ้าจินตนาการหรือ?  เจ้าคิดว่าหากเจ้าไม่ทำภารกิจของเจ้าให้เสร็จสิ้นในชีวิตนี้ ทุกอย่างก็จบลงที่ความตายของเจ้าหรือ?  มันไม่ได้จบลงตรงนั้น หลังจากนั้นดวงจิตของเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย  เจ้าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และเจ้าก็หลบหนีการทรงสถิตของพระเจ้า  สิ่งต่างๆ กลายเป็นเลวร้าย  เจ้าสามารถหนีไปที่ใดได้บ้าง?  เจ้าสามารถหนีรอดจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้หรือ?  พระเจ้าทรงจำแนกบุคคลประเภทนี้อย่างไร?  (เหล่านี้คือผู้คนที่ได้ทรยศพระองค์)  การสรุปใดที่พระเจ้าทรงใช้กับผู้คนที่ได้ทรยศพระองค์?  การสรุปใดที่พระเจ้าทรงใช้กับผู้คนที่หนีจากบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระองค์?  ความพินาศและการทำลายล้าง  สำหรับเจ้าจะไม่มีอีกชีวิตหนึ่งหรือมีการถือกำเนิดใหม่อีกแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีทางไว้วางใจมอบหมายพระบัญชาอื่นใดให้เจ้าอีก  ไม่มีภารกิจใดให้เจ้าอีกต่อไป และเจ้าย่อมหมดโอกาสในการได้รับความรอด  นี่คือปัญหาร้ายแรง!  พระเจ้าจะตรัสว่า “บุคคลนี้ได้หลบหนีต่อหน้าต่อตาเราไปแล้วครั้งหนึ่ง หลบหนีจากบัลลังก์แห่งการพิพากษาและการสถิตของเรา  พวกเขาไม่ได้ดำเนินภารกิจหรือทำสิ่งที่ได้รับความไว้วางใจให้เสร็จสิ้น  ชีวิตของพวกเขาสิ้นสุดลงตรงนี้  จบแล้ว ชีวิตของพวกเขาได้มาถึงจุดจบแล้ว”  ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน!  สำหรับพวกเจ้าแล้ว การที่พวกเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้าในวันนี้ ไม่ว่าเป็นหน้าที่เล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าเป็นทางร่างกายหรือทางจิตใจ และไม่ว่าเป็นการรับมือกับประเด็นปัญหาภายนอกหรืองานภายใน ก็ไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาคนใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ  นี่เป็นทางเลือกของเจ้าได้อย่างไร?  ทั้งหมดนี้ได้รับการนำโดยพระเจ้า  การที่เจ้าตื้นตันใจเช่นนี้ มีสำนึกของภารกิจและความรับผิดชอบเช่นนี้ และการที่เจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ก็เป็นเพราะพระบัญชาของพระเจ้าเท่านั้น  มีคนมากมายในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อที่มีรูปร่างหน้าตาดี มีความรู้ หรือมีความสามารถพิเศษ แต่พระเจ้าทอดพระเนตรคนเหล่านั้นด้วยความโปรดปรานหรือไม่?  ไม่ พระองค์ไม่ทรงโปรดพวกเขา  พระเจ้าไม่ทรงคัดสรรพวกเขา และพระองค์เพียงทอดพระเนตรพวกเจ้า คนกลุ่มนี้ด้วยความโปรดปรานเท่านั้น  พระองค์ทรงให้พวกเจ้าทุกคนรับบทบาททุกรูปแบบ ปฏิบัติหน้าที่ทุกประเภท และมีความรับผิดชอบรูปแบบต่างๆ ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระองค์  ในที่สุดเมื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงจุดสิ้นสุดและลุล่วงแล้ว นี่จะเป็นพระสิริและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!  ดังนั้นแล้ว ในยามที่ผู้คนทนทุกข์ต่อความยากลำบากเล็กน้อยขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนในทุกวันนี้ ในยามที่พวกเขาต้องยอมทิ้งบางสิ่ง สละตนเองเล็กน้อย และยอมลำบากในบางเรื่อง ในยามที่พวกเขาสูญเสียสถานะกับชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนบนโลก และในยามที่สิ่งเหล่านี้หายไปทั้งหมด ย่อมดูเหมือนพระเจ้าทรงพรากทั้งหมดนี้ไปจากพวกเขา แต่พวกเขากลับได้รับอะไรบางอย่างที่ล้ำค่าและมีคุณค่ามากกว่าเดิม  ผู้คนได้รับสิ่งใดจากพระเจ้า?  พวกเขาได้รับความจริงและชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของตน  ต่อเมื่อเจ้าได้ลุล่วงหน้าที่ของตน เจ้าจึงได้ทำพระบัญชาของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น เจ้าใช้ทั้งชีวิตของเจ้าเพื่อภารกิจของเจ้าและพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้า เจ้ามีคำพยานอันงดงาม และเจ้าใช้ชีวิตที่มีคุณค่า—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงเป็นคนที่แท้จริง!  และเหตุใดเราจึงกล่าวว่าเจ้าเป็นคนที่แท้จริง?  เพราะพระเจ้าได้ทรงคัดสรรเจ้าและทรงให้เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างภายใต้การบริหารจัดการของพระองค์  นี่คือสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่งยวดและมีความหมายยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า

พระเจ้าไม่ได้ทรงขออะไรจากผู้คนมากมาย  เมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาและความรับผิดชอบให้เจ้า หากเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีความเชื่อเล็กน้อยและนี่คือความพยายามมากที่สุดที่เจ้าสามารถให้ได้ ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าสามารถมอบให้ได้ และสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าสามารถรับได้ เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงบังคับเจ้า  ไม่ใช่ว่าหากพระองค์ทรงขอจากเจ้าสิบคะแนนและเจ้าให้เก้าคะแนนครึ่ง พระองค์ก็จะไม่พอพระทัย พระองค์จะไม่ทรงปล่อยเจ้าไป และพระองค์จะทรงดลใจและกระตุ้นเจ้าอยู่ตลอดเวลาจนเจ้าสามารถทำได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่พระองค์ทรงขอ  พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนั้น  ในทางกลับกันพระองค์จะทรงทำให้เจ้าเพียรพยายามเพิ่มขึ้นทีละขั้นอย่างต่อเนื่องตามวุฒิภาวะของเจ้า ตามกำลังของเจ้า และสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้  พระเจ้าทรงยุติธรรมและมีเหตุผลในพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ไม่ทรงบีบบังคับผู้คน พระองค์ทรงปล่อยให้เจ้ารู้สึกสะดวกสบายและสบายใจ พระองค์ทรงทำให้เจ้ารู้สึกว่าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้เจ้า พระองค์สามารถเข้าพระทัยเจ้าและทรงคำนึงถึงเจ้า  ผู้คนต้องตระหนักถึงเจตนารมณ์อันเปี่ยมไปด้วยความอุตสาหะของพระเจ้า รวมไปถึงความกรุณา ความเมตตาอันเปี่ยมรัก และความอดกลั้นที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติ  ดังนั้นแล้วผู้คนควรทำอย่างไร และพวกเขาควรให้ความร่วมมืออย่างไร?  พวกเขาควรร่วมมือเช่นนี้ “ฉันต้องเพียรพยายามที่จะสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พระเจ้าต้องประสงค์สิบคะแนนจากฉัน ฉันจะไม่มอบให้พระองค์เพียงสามคะแนนหากฉันสามารถมอบให้ได้หกคะแนน  ฉันจะมอบความเข้มแข็งทั้งหมดของฉัน  ฉันจะไม่กะล่อน ฉันจะไม่มักง่าย และจะไม่มีชุดความคิดของการพึ่งพาโชค”  นั่นจึงจะใช้ได้  พระเจ้าทรงมองดูที่หัวใจของมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงมีข้อพึงประสงค์แบบเดียวกันสำหรับทุกคน ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องละทิ้งลูกๆ และครอบครัว หรือยอมทิ้งหน้าที่การงานของตนเพราะใครบางคนทำเช่นนั้น  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการเดียวกันกับทุกคน พระองค์ทรงมีพระประสงค์ต่อเจ้าตามวุฒิภาวะของเจ้าและสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้  ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกกังวลหรือกดดันใดๆ  จงอธิษฐานถึงพระเจ้าตามสิ่งที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้เท่านั้น  ไม่ว่าจะมีความยากลำบากใดหรือเจ้าอยู่ภายใต้การบีบคั้นเช่นไร จงอย่าถอยหนีจากสิ่งเหล่านั้น  จงอย่าให้สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อเจ้า  นั่นคือหนทางที่ถูกต้อง  ทันทีที่เจ้าได้รับผลกระทบจากสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะเอาแต่คิดว่า “ฉันทำได้ไม่ดีเลย  พระเจ้าไม่พอพระทัยในตัวฉันใช่ไหม?  ฉันต้องระมัดระวังให้มาก  ฉันไม่อาจกดดันมากจนเกินไป ฉันจำเป็นต้องเหลือพื้นที่ไว้หายใจบ้าง”  นี่ย่อมไม่ถูกต้อง เป็นการเข้าใจพระเจ้าผิด  แต่ละขั้นตอนของประสบการณ์ประเภทนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความเชื่อของตนน้อยเกินไป จนถึงจุดที่ทำให้พวกเขาถึงกับสามารถกังขาพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ดังคำกล่าวที่ว่า “ประเมินผู้สูงศักดิ์ด้วยมาตรฐานของผู้ต่ำศักดิ์”  พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่กลัวที่จะพึ่งพาพระองค์ พวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าแต่กลัวที่จะมอบทุกอย่างไว้กับพระองค์  ผู้คนมักกล่าวว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง” และ “ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” แต่เมื่อพวกเขาเผชิญกับบางสถานการณ์ พวกเขาก็คิดว่า “พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือเรื่องนี้ได้จริงหรือ?  พระองค์ทรงสามารถเป็นที่พึ่งพาได้จริงหรือ?  ฉันพึ่งพาคนอื่นดีกว่า และถ้านั่นไม่ได้ผลฉันจะคิดหาบางสิ่งด้วยตัวเอง”  จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักว่าพวกเขายังไม่โต ไร้สาระ และมีวุฒิภาวะน้อยแค่ไหน  พวกเขาจึงหันกลับมาอีกครั้งโดยต้องการที่จะพึ่งพาพระเจ้า แต่พบว่ายังคงไม่มีเส้นทาง  อย่างไรก็ตามลึกๆ แล้วพวกเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและทรงเป็นที่พึ่งพาได้ เพียงแต่พวกเขามีความเชื่อน้อยขนาดนั้นและมักคลางแคลงใจอย่างมากเสมอ  เจ้าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?  เจ้าต้องพึ่งพาประสบการณ์ของตนและพึ่งพาการไล่ตามเสาะหาและการเข้าใจความจริง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงสามารถเกิดความเชื่อที่แท้จริงได้  ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์และยิ่งเจ้าพึ่งพาพระเจ้ามากเท่าไร เจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าพระองค์สามารถเป็นที่พึ่งพาได้มากเท่านั้น  ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์จากเรื่องราวต่างๆ มากขึ้น ได้เห็นวิธีที่พระเจ้าทรงคุ้มครองเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทรงช่วยให้เจ้าเอาชนะความยากลำบากและหลบเลี่ยงอันตรายมาได้ เจ้าย่อมจะเกิดความเชื่อและการพึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริงโดยไม่รู้ตัว  เจ้าจะรู้สึกว่าพระเจ้าทรงไว้ใจได้และพึ่งพาได้  เจ้าจำเป็นต้องมีความเชื่อนี้อยู่ในหัวใจของเจ้าเสียก่อน

แต่ละคนมีโชคชะตาของตนเอง และพระเจ้าทรงลิขิตทั้งหมดนี้เอาไว้ล่วงหน้า ไม่มีผู้ใดสามารถรับผิดชอบชะตากรรมของผู้อื่นได้  เจ้าจำเป็นต้องทำใจให้สบายเรื่องครอบครัวของเจ้าและเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและสละทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย  เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?  หนทางหนึ่งคือการอธิษฐานถึงพระเจ้า  เจ้าต้องใคร่ครวญวิธีที่คนในครอบครัวผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าของเจ้าไล่ตามไขว่คว้าสิ่งต่างๆ ทางโลก ความมั่งคั่ง และความสะดวกสบายทางวัตถุด้วย  พวกเขามีธรรมชาติของซาตาน และเป็นคนประเภทหนึ่งที่ต่างจากเจ้า  เจ้าจะมีชีวิตที่เป็นทุกข์ หากเจ้าไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนและใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา  ในเมื่อเจ้ามองเรื่องราวต่างๆ ต่างจากพวกเขา เจ้าจะเข้ากับพวกเขาไม่ได้และจะรู้สึกทรมานแทน  จะมีเพียงความเจ็บปวดและไร้ซึ่งความสุข  ความรักใคร่เอ็นดูสามารถนำสันติสุขและความชื่นชมยินดีมาสู่เจ้าได้หรือไม่?  การตอบสนองต่อเนื้อหนังจะไม่นำสิ่งใดมาให้เจ้านอกจากความทุกข์ ความว่างเปล่า และความเสียใจตลอดชีวิต  นี่คือบางสิ่งที่เจ้าพึงต้องจับความเข้าใจให้ถี่ถ้วน  ดังนั้น การคิดถึงครอบครัวของเจ้าจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นฝ่ายเดียว เป็นอารมณ์อ่อนไหวโดยไม่จำเป็น!  เจ้ากำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างจากพวกเขา  ทัศนคติในชีวิต โลกทัศน์ เส้นทางในชีวิต และเป้าหมายแห่งการไล่ตามเสาะหาของเจ้าล้วนต่างออกไป  ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่กับครอบครัวของเจ้า แต่เพราะเจ้ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เจ้าจึงรู้สึกเสมอว่าเจ้าอยู่ใกล้พวกเขาและเป็นครอบครัวเดียวกัน  อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาจริงๆ เพียงไม่กี่วันที่อยู่ด้วยกัน พวกเขากลับจะทำให้เจ้ารู้สึกขุ่นข้องใจโดยสิ้นเชิง  พวกเขาเต็มไปด้วยคำโป้ปด สิ่งที่พวกเขาพูดล้วนเป็นเท็จ เป็นคำหวาน และฉ้อฉล  หนทางของการประพฤติปฏิบัติตนและการจัดการกับโลกของพวกเขาล้วนเป็นไปตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและคำคมในการดำเนินชีวิต  ความคิดและทรรศนะของพวกเขาล้วนผิดและไร้สาระทั้งสิ้น อีกทั้งเป็นสิ่งที่เกินจะฟัง  แล้วเจ้าก็จะขบคิดกับตนเองว่า “ฉันเคยมีพวกเขาอยู่ในใจตลอดเวลา และกลัวอยู่เสมอว่าพวกเขาจะไม่มีชีวิตที่ดี  แต่ตอนนี้การใช้ชีวิตอยู่กับคนพวกนี้มันช่างเหลือทนจริงๆ!”  เจ้าจะรู้สึกรังเกียจพวกเขา  เจ้ายังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทใด ดังนั้นเจ้าจึงยังคิดว่าสายใยครอบครัวนั้นสำคัญและเป็นจริงยิ่งกว่าสิ่งใด  เจ้าจะยังถูกบีบคั้นจากความรักใคร่เอ็นดู  จงพยายามปล่อยวางสิ่งที่เป็นความรักใคร่เอ็นดูทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่เจ้าทำได้  หากเจ้าไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นก็จงให้ความสำคัญกับหน้าที่เป็นอันดับแรก  พระบัญชาของพระเจ้าและภารกิจของเจ้าสำคัญที่สุด  การลุล่วงหน้าที่ของเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และตอนนี้จงอย่ามัวสนใจสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับญาติพี่น้องทางเนื้อหนังของเจ้า  เมื่อพระบัญชาและหน้าที่ของเจ้าลุล่วงแล้ว ความจริงย่อมจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเจ้า ความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจที่นบนอบพระเจ้าของเจ้าจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าของเจ้าจะยิ่งใหญ่ขึ้นและชัดเจนขึ้น จากนั้นสภาวะในตัวเจ้าจะเปลี่ยนไป  เมื่อสภาวะของเจ้าเปลี่ยนไป ทรรศนะและความรักใคร่เอ็นดูทางโลกของเจ้าจะเลือนหาย เจ้าจะไม่แสวงหาสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป และหัวใจของเจ้าจะต้องการแค่แสวงหาวิธีที่จะรักพระเจ้า วิธีทำให้พระองค์พอพระทัย วิธีใช้ชีวิตในลักษณะที่พระเจ้าทรงโปรด รวมถึงวิธีใช้ชีวิตอยู่ด้วยความจริง  เมื่อหัวใจของเจ้าเพียรพยายามไปสู่การนี้ สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความรักใคร่เอ็นดูทางเนื้อหนังจะค่อยๆ เลือนหายไป และจะไม่สามารถผูกมัดหรือควบคุมเจ้าได้อีกต่อไป

คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ถูกความรักใคร่เอ็นดูต่อครอบครัวของฉันบีบคั้นเวลาที่ฉันปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีเวลาอยู่ว่างๆ ฉันจะเริ่มคิดถึงพวกเขา”  แล้วผลของการคิดถึงครอบครัวของเจ้าคืออะไร?  หากนั่นสามารถนำเจ้าให้เริ่มคิดลบและไม่เต็มใจปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นเจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อหาหนทางแก้ไข  เมื่อเจ้าได้แก้ไขปัญหาแล้ว คราวหน้าเมื่อเจ้ามีเวลาได้อยู่ว่างๆ เจ้าก็จะไม่คิดถึงครอบครัวอยู่เป็นนิจ และนั่นจะไม่ทำให้เกิดผลใดๆ ตามมาอีก  ดังนั้นไม่ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าควรแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเสมอ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด การคิดถึงครอบครัวของเจ้าไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล กุญแจสำคัญคือเจ้าจำเป็นต้องคิดว่าผลที่ตามมาของการคิดถึงบ้านอยู่ตลอดเวลาคืออะไร และเรื่องนี้ควรแก้ไขอย่างไร  เจ้าควรใคร่ครวญว่า “สภาวะนี้ของฉันเกิดขึ้นได้อย่างไร?  ทำไมฉันคิดถึงครอบครัวของฉันอยู่ตลอดเวลา?  ความจริงส่วนใดที่ไม่ชัดเจนสำหรับฉัน?  ความจริงประการใดที่ฉันควรเข้าสู่?”  จงปฏิบัติเช่นนี้ และเจ้าจะมีการเข้าสู่ความจริงโดยเร็ว  เจ้าต้องใคร่ครวญความจริงในใจอยู่เสมอ ยิ่งเจ้าทำมากเท่าไร การเข้าใจความจริงของเจ้าจะชัดเจนมากขึ้น และเจ้าจะมีเส้นทางปฏิบัติในจิตใจของเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  สิ่งนี้จะนำไปสู่การเข้าใจความจริงโดยแท้จริงมากกว่าแค่การมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยผิวเผิน  เมื่อถึงจุดนี้เจ้าจะต้องการหาผู้คนเพื่อสามัคคีธรรมด้วย  จุดประสงค์ของการสามัคคีธรรมคืออะไร?  จุดประสงค์คือเพื่อได้รับการยืนยัน เพื่อเข้าใจความจริงได้อย่างถูกต้องมากขึ้นโดยไร้ซึ่งการเบี่ยงเบนใดๆ  ในหนทางนี้เจ้าจะไม่มีความยากลำบากใดๆ และจิตใจของเจ้าจะบรรลุการปลดปล่อยและอิสรภาพ ไม่อยู่ภายใต้การบีบคั้นใดๆ อีกต่อไป  เจ้าจะไม่คิดถึงครอบครัวของเจ้าอยู่ตลอดเวลาอีกต่อไป และเจ้าจะสามารถหลุดพ้นจากภาระผูกพันทางโลก  สภาวะของเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้น  พวกเจ้าทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะใคร่ครวญความจริง  พวกเจ้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าวันนี้เจ้าได้ทำบางสิ่งที่เจ้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้องนักและดูเหมือนขัดต่อหลักธรรม แต่เจ้าไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ใด  นี่คือเวลาที่เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงโดยคิดว่า “ประเด็นปัญหานี้สัมพันธ์กับความจริงประการใด?  ประเด็นปัญหานี้เกี่ยวโยงกับหลักธรรมข้อใด?”  เจ้าควรหาใครบางคนเพื่อสามัคคีธรรมความจริง มองย้อนกลับไป และคิดทบทวน  ในที่สุดเมื่อเจ้าพบที่มาของปัญหาและแก้ไขปัญหานั้นผ่านการแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น และเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้สร้างความก้าวหน้าในเรื่องของความจริงมากขึ้น  เจ้าจะสามารถมองทะลุบางเรื่องราวและเข้าใจคำพูดทางฝ่ายวิญญาณบางส่วน หรือเจ้าจะสามารถเข้าใจว่าคำสอนหรือคำขวัญบางอย่างที่ถูกกล่าวถึงซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอนั้น อันที่จริงแล้วชี้ให้เห็นหรือหมายความว่าอย่างไร  นี่คือการมีความเข้าใจความจริงบางอย่างและการรู้จักวิธีปฏิบัติความจริง  จากนั้นเจ้าจะมุ่งหน้าและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น โดยสามัคคีธรรมถึงคำขวัญนี้จนกระทั่งเข้าใจอย่างชัดแจ้ง และเปลี่ยนสิ่งนั้นเป็นเส้นทางปฏิบัติ  นี่คือสิ่งที่ดีมิใช่หรือ?  นี่คืออีกหนึ่งหนทางในการก้าวไปข้างหน้า  บางเวลาเจ้าจะเห็นใครบางคนกับสภาวะบางอย่าง และเจ้าอาจใคร่ครวญว่า “เหตุใดบุคคลนี้จึงมีสภาวะแบบนี้?  สภาวะนี้ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร?  เหตุใดฉันจึงไม่มีสภาวะแบบนี้?  สิ่งที่พวกเขาพูดแสดงให้เห็นถึงสภาวะและวิธีคิดบางอย่าง  วิธีคิดแบบนี้ของพวกเขาเกิดขึ้นได้อย่างไร?  ปัญหานั้นเกิดขึ้นที่ไหน?  สิ่งนี้สัมพันธ์กับความจริงในแง่มุมไหน?  ฉันไม่ควรแสวงหาความจริงด้วยหรือ?”  ผ่านการสามัคคีธรรมและการแสวงหา เจ้าย่อมพบปัญหาและตระหนักว่าสภาวะของพวกเขาคือบางสิ่งที่เจ้ามีเช่นกัน  เจ้าได้เทียบสถานการณ์ของพวกเขากับของเจ้าแล้วใช่หรือไม่?  ความพยายามนี้คุ้มค่ามิใช่หรือ?  (ใช่)  หลังจากพบปัญหานั้น เจ้าก็หาใครสักคนมาสามัคคีธรรมด้วย  ท้ายที่สุดเมื่อเจ้าพบคำตอบและเข้าใจแล้วว่าอะไรคือปัญหา ปัญหานั้นย่อมได้รับการแก้ไข  การแก้ปัญหาเป็นเรื่องง่ายเมื่อเจ้าสามารถค้นพบปัญหา  หากเจ้าไม่สามารถค้นพบปัญหา ปัญหานั้นย่อมไม่มีวันได้รับการแก้ไข  บางครั้งเมื่อจิตใจของเจ้าสงบลงแล้ว ก็อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไตร่ตรองความจริงและพระวจนะของพระเจ้า  แน่นอนว่าจงอย่าเสียโอกาสนี้โดยเปล่าประโยชน์ไปกับการบำรุงเลี้ยงความสัมพันธ์ทางอารมณ์ การคิดที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหา  หากเจ้ามัวกังวลเรื่องครอบครัวของเจ้าอยู่ตลอดเวลาและคว้าทุกโอกาสที่เจ้ามีเพื่อเชื่อมโยงกับพวกเขาทางอารมณ์ จิตใจของเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยสิ่งพัวพันทางอารมณ์เหล่านี้อยู่เสมอ เจ้าจะไม่สามารถตัดความผูกพันเหล่านี้และไม่สามารถปล่อยมือได้  เจ้าควรอธิษฐานให้มากขึ้น อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงของเจ้าบ่อยๆ  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง อย่างน้อยเจ้าก็จะไม่ถูกบีบคั้นจากครอบครัว เนื้อหนัง หรือความรักใคร่เอ็นดู  การปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ย่อมจะง่ายดาย นี่คือหนทางก้าวไปข้างหน้า  ที่จริงแล้วประสบการณ์ของผู้คนมากมายก็เป็นเช่นนี้  การแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ต้องอาศัยการมีประสบการณ์ในระยะหนึ่งเสมอ เมื่อเจ้าเข้าใจความจริง ปัญหาทั้งหลายก็ย่อมแก้ไขได้โดยง่าย

บทตัดตอน 83

ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีจะมีรากฐานอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วมีปัญหาอย่างหนึ่งที่ต้องได้รับการแก้ไข  ผู้คนส่วนใหญ่พอจะเข้าใจแง่มุมทั้งปวงของความจริงอยู่บ้าง และพวกเขาก็สามารถกล่าวถ้อยคำและประกาศคำสอนที่ถูกต้องได้ แต่ในชีวิตจริง พวกเขายังไม่มีประสบการณ์ว่าถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้อง  แท้จริงแล้วพวกเขายังไม่เคยมีประสบการณ์ว่าความหมายที่แท้จริงและด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริงที่บรรจุอยู่ในคำพูดเหล่านี้คืออะไร  การที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงนั้น เจ้าจำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีคนที่ใช่อยู่เคียงข้าง รวมทั้งมีผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่เหมาะสมซึ่งทำให้เจ้าสามารถเติบโตในชีวิตได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งความจริงและคำสอนที่เจ้าเข้าใจเหล่านี้ย่อมจะได้รับการยืนยัน และจะทำให้เจ้าได้รับประสบการณ์  ถ้าหย่อนเมล็ดพันธุ์ที่มีชีวิตลงไปในดินอันอุดม แต่กลับขาดแสงแดดและความชุ่มชื้นจากน้ำฝน ต้นอ่อนที่งอกขึ้นมาจากเมล็ดพันธุ์นั้นจะไม่เหี่ยวเฉาหรอกหรือ?  (ย่อมจะเหี่ยวเฉา)  ดังนั้น เมื่อเจ้าได้ฟังคำเทศนาไปมากมาย ฟังความจริงไปมากมาย และฟังพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า และเจ้าแน่ใจแล้วว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ถึงตอนนี้เจ้าย่อมต้องการอะไร?  เจ้าจำเป็นต้องขอให้พระเจ้าจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้แก่เจ้า สภาพแวดล้อมอันเป็นที่เจริญใจและเกื้อกูลชีวิตของเจ้า ทั้งยังสามารถทำให้เจ้าเติบโตในชีวิตได้  สภาพแวดล้อมที่ว่านี้อาจไม่สะดวกสบายเท่าใดนัก—เนื้อหนังของคนเราต้องสู้ทนความยากลำบาก และคนเราต้องละทิ้งและปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ มากมาย  เมื่อถึงตอนนี้ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนล้วนมีประสบการณ์มาแล้ว  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าถูกข่มเหงและไม่สามารถกลับบ้านไปหาลูกๆ หรือคู่ครองได้ หรือไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้ ไม่สามารถพบหน้าญาติพี่น้องหรือเพื่อนๆ หรือรับข่าวคราวใดๆ จากพวกเขาได้  ในเวลาดึกสงัด เจ้าก็จะเริ่มนึกถึงทางบ้านว่า “พ่อเป็นอย่างไรบ้าง?  พ่อแก่แล้ว และฉันก็ไม่มีหนทางที่จะเชิดชูพ่อ  แม่ฉันก็สุขภาพย่ำแย่ ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้าง”  เจ้าจะไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ?  หากหัวใจของเจ้าถูกเรื่องเช่นนี้บีบรัดอยู่ตลอดเวลา นี่ย่อมจะส่งผลเช่นไรต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า?  หากเจ้าไม่เข้าไปวุ่นวายหรือพะว้าพะวังกับเรื่องทางโลกและเนื้อหนังมากนัก ก็ย่อมเป็นผลดีต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า  การคิดและกังวลของเจ้าจะไม่ช่วยอะไร เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และเจ้าก็เปลี่ยนชะตากรรมของคนในครอบครัวเจ้าไม่ได้  เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกของเจ้าในฐานะของผู้เชื่อในพระเจ้าก็คือการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ ทำหน้าที่ของเจ้า ได้รับความเชื่อที่แท้จริง เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เติบโตในชีวิต และได้รับความจริง  นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด  ดูจากภายนอกเหมือนผู้คนละทิ้งโลกและครอบครัวของตนกันอย่างแข็งขัน แต่แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น?  (เป็นพระเจ้าที่ทรงจัดวางเรียบเรียงและครองอธิปไตยเหนือเรื่องนี้)  เป็นการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า เป็นพระองค์ที่ทรงขัดขวางไม่ให้เจ้าพบหน้าครอบครัว  กล่าวให้เหมาะสมยิ่งขึ้นก็คือ พระเจ้าทรงกีดกันเจ้าจากพวกเขา  นี่คือคำพูดที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดมิใช่หรือ?  (ใช่)  ผู้คนพูดเสมอว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ และครองอธิปไตยเหนือสิ่งทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือเรื่องนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงพาเจ้าออกจากบ้าน ไม่ให้ครอบครัวของเจ้ากลายเป็นภาระที่คอยถ่วงเจ้า  แล้วพระองค์ทรงพาเจ้าไปที่ใด?  พระองค์ทรงพาเจ้าไปยังสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเนื้อหนังมาพัวพัน ที่ซึ่งเจ้าไม่อาจพบเจอผู้คนที่เจ้ารักได้  เมื่อเจ้าพะวงถึงพวกเขา และอยากจะทำบางสิ่งเพื่อพวกเขา เจ้าก็จะไม่สามารถทำได้ และเมื่อเจ้าอยากจะแสดงความกตัญญู เจ้าก็จะไม่สามารถทำได้  พวกเขาไม่สามารถเข้ามาพัวพันเจ้าอีกต่อไป  พระเจ้าทรงย้ายเจ้าออกมาพ้นตัวพวกเขา และกีดกันเจ้าจากสิ่งพัวพันเหล่านี้ หาไม่แล้ว เจ้าก็จะยังคงกตัญญูต่อพวกเขา ให้การปรนนิบัติพวกเขา และทำงานให้พวกเขาเหมือนทาส  การที่พระเจ้าทรงพาเจ้าออกมาจากสิ่งพัวพันภายนอกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดี?  (เป็นเรื่องดี)  นี่เป็นเรื่องดีและไม่จำเป็นที่จะต้องเสียใจ  ในเมื่อเป็นเรื่องดี ผู้คนควรทำอย่างไร?  ผู้คนควรขอบคุณพระเจ้าด้วยการกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรักข้าพระองค์ยิ่งนัก!”  คนเราไม่อาจก้าวข้ามพันธนาการแห่งความรู้สึกได้ด้วยตนเอง เพราะหัวใจของผู้คนล้วนถูกความรู้สึกบีบคั้น  พวกเขาล้วนปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับครอบครัว อยากให้ทั้งครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างปลอดภัย มีสุขภาพดี และมีความสุขกันทุกคน แล้วก็ใช้ชีวิตเช่นนี้ไปทุกวันโดยไม่มีวันพรากจากกัน  แต่นี่ก็มีข้อเสีย  เจ้าจะอุทิศน้ำพักน้ำแรงและโลหิตจากหัวใจทั้งหมดในชีวิตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า ช่วงอายุที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเจ้า และส่วนที่ดีที่สุดทั้งหมดในชีวิตของเจ้าให้กับพวกเขา เจ้าจะสละทั้งชีวิตเพราะเห็นแก่เนื้อหนัง ครอบครัว ผู้คนอันเป็นที่รัก การงาน ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ตลอดจนสัมพันธภาพที่ซับซ้อนทุกรูปแบบ และผลที่ตามมาก็คือเจ้าจะทำลายตัวเองจนสิ้น  ดังนั้น พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างไร?  พระเจ้าตรัสว่า “จงอย่าทำลายตัวเองอยู่ในปลักโคลนนี้  หากเท้าทั้งสองของเจ้าติดอยู่ เจ้าจะไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ไม่ว่าเจ้าจะทุ่มเทเรี่ยวแรงเช่นใดก็ตาม  เจ้าไม่มีวุฒิภาวะหรือความกล้าหาญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเชื่อเลย  เราจะพาเจ้าออกมาเอง”  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทำ และพระองค์ไม่ทรงหารือเรื่องนี้กับเจ้า  ทำไมพระเจ้าถึงไม่ทรงขอความเห็นจากผู้คน?  บางคนพูดว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงทำทุกอย่างตามพระประสงค์  มนุษย์ก็เป็นเหมือนมดปลวก ไร้ซึ่งความหมายในสายพระเนตรของพระเจ้า”  นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ แต่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นหรือไม่?  ไม่เลย  พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายและประทานความจริงเหล่านั้นเป็นของขวัญแก่มนุษย์ ช่วยให้ผู้คนได้รับการชำระล้างให้สะอาดจากความเสื่อมทรามของตนได้ และได้รับชีวิตใหม่จากพระองค์  ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่นัก  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ของผู้คน  พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์เกี่ยวกับเจ้า จุดประสงค์ของพระองค์ในการนำเจ้ามาที่นี่ก็เพื่อให้เจ้าเริ่มต้นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต เพื่อให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เป็นเส้นทางที่เจ้าย่อมจะไม่สามารถเลือกเองได้  ความปรารถนาในใจของผู้คนก็คือการใช้ชีวิตโดยสวัสดิภาพอย่างตลอดรอดฝั่ง และต่อให้พวกเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร อย่างน้อยพวกเขาก็อยากจะอยู่พร้อมหน้าครอบครัวตลอดไป และรื่นรมย์กับความสุขในครอบครัวแบบนี้  พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำเช่นไรจึงจะเป็นการคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่เข้าใจด้วยว่าควรจะคิดถึงบั้นปลายในอนาคตของตนหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดอย่างไร  แต่พระเจ้าไม่ทรงวิตกที่พวกเขาไม่เข้าใจ และพระองค์ไม่จำเป็นต้องตรัสกับพวกเขาให้มากความ เพราะพวกเขาย่อมไม่เข้าใจ วุฒิภาวะของพวกเขามีน้อยเกินไป และการสนทนาใดๆ ย่อมจะพบแต่ทางตันเท่านั้น  เหตุใดจึงพบทางตัน?  เพราะเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนสามารถเข้าใจได้ด้วยคำอธิบายเพียงหนึ่งหรือสองประโยค  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจึงตัดสินพระทัยและดำเนินการโดยตรงจนกว่าจะถึงวันที่ผู้คนเข้าใจในที่สุด

เมื่อพระเจ้าทรงพาประชากรบางส่วนที่พระองค์ทรงเลือกสรรออกจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยในจีนแผ่นดินใหญ่ พระองค์ทรงมีเจตนารมณ์อันดีงามในเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้ทุกคนต่างก็ประจักษ์แล้ว  จากเรื่องนี้ผู้คนต้องแสดงสำนึกรู้คุณและขอบคุณพระเจ้าเสมอที่ทรงแสดงพระคุณแก่พวกเขา  เจ้าออกมาจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นของครอบครัวแล้ว แยกตัวจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคลอันซับซ้อนของเนื้อหนังแล้ว และพ้นจากสิ่งพัวพันทางโลกและทางเนื้อหนังทั้งปวงแล้ว  พระเจ้าทรงพาเจ้าออกมาจากกับดักอันซับซ้อน เข้าสู่การสถิตของพระองค์และพระนิเวศของพระองค์แล้ว  พระเจ้าตรัสว่า “ที่นี่มีสันติสุข ที่นี่ดีงามยิ่ง เหมาะแก่การเติบโตของเจ้า  ที่นี่มีพระวจนะและการนำทางของพระเจ้า และเป็นที่ซึ่งความจริงเป็นใหญ่  เจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษยชาติให้รอดก็อยู่ในที่แห่งนี้ และพระราชกิจแห่งความรอดก็มีศูนย์กลางอยู่ที่นี่  ดังนั้นเจ้าจงเติบโตอยู่ที่นี่จนพอใจเถิด”  พระเจ้าทรงนำเจ้าเข้าสู่สภาพแวดล้อมแบบนี้ สภาพแวดล้อมที่อาจไม่มีความชูใจจากผู้คนที่เจ้ารัก ไม่มีลูกๆ ของเจ้าอยู่รอบๆ คอยดูแลเจ้าในยามป่วยไข้ และไม่มีใครให้เจ้าบอกเล่าความในใจ  ยามที่เจ้าอยู่คนเดียวและนึกถึงความทุกข์และความลำบากยากเย็นของเนื้อหนัง รวมทั้งทุกสิ่งที่เจ้าจะเผชิญในอนาคต ในห้วงเวลาเหล่านั้นเจ้าจะรู้สึกเดียวดาย  ทำไมเจ้าถึงจะรู้สึกเดียวดาย?  สาเหตุอย่างหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริงก็คือผู้คนมีวุฒิภาวะน้อยเกินไป  แล้วเหตุผลด้านความรู้สึกส่วนตัวคืออะไร?  (ผู้คนยังปล่อยมือจากผู้เป็นที่รักทางเนื้อหนังของตนไม่หมด)  ถูกต้องแล้ว  เป็นเพราะผู้คนไม่สามารถปล่อยมือจากคนเหล่านั้นได้  ผู้คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนังต่างมีความยินดีในสัมพันธภาพที่หลากหลายและความผูกพันในครอบครัวของเนื้อหนัง  คนเหล่านี้เชื่อว่าไม่มีใครสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากผู้คนที่ตนรัก  เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดบ้างว่าเจ้ามายังโลกมนุษย์อย่างไร?  เจ้ามาเพียงลำพัง ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้ใดแต่กำเนิด  พระเจ้าทรงพาผู้คนมาที่นี่ทีละคน ที่จริงแล้วตอนเจ้ามา เจ้าก็มาเพียงลำพัง  ในเวลานั้นเจ้าก็ไม่ได้รู้สึกเดียวดาย แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้สึกเดียวดายเวลาพระเจ้าพาเจ้ามาที่นี่ในตอนนี้?  เจ้าคิดว่าเจ้าขาดคู่หูที่สามารถเล่าความในใจให้ฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ ของเจ้า พ่อแม่ของเจ้า หรือคู่ชีวิตของเจ้า—ซึ่งก็คือสามีหรือภรรยา—และดังนั้น เจ้าจึงรู้สึกเดียวดาย  เมื่อเป็นเช่นนั้น เวลาเจ้ารู้สึกเดียวดาย ทำไมเจ้าจึงไม่นึกถึงพระเจ้า?  พระเจ้าคือเพื่อนร่วมทางของมนุษย์มิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้ารู้สึกทุกข์และโศกเศร้าอย่างที่สุด ผู้ใดสามารถชูใจเจ้าได้อย่างแท้จริง?  ผู้ใดสามารถแก้ปัญหาให้เจ้าได้อย่างแท้จริง?  (พระเจ้า)  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขความยากลำบากของผู้คนได้อย่างแท้จริง  หากเจ้าเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วมีลูกๆ อยู่เคียงข้าง รินเครื่องดื่มให้เจ้า คอยรับใช้เจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกมีความสุขมาก แต่พอเวลาผ่านไป ลูกๆ ของเจ้าก็จะเบื่อหน่ายและไม่มีใครเต็มใจที่จะอยู่รับใช้เจ้า  ในเวลาเช่นนั้น เจ้าจะรู้สึกเดียวดายอย่างแท้จริง!  ดังนั้น ในตอนนี้ที่เจ้าคิดว่าตัวเองไม่มีคู่หู นั่นจริงไหม?  ไม่จริงเลย  เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเสมอ!  พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งผู้คน พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งและที่พักพิงให้ผู้คนได้เสมอ และทรงเป็นเพียงผู้เดียวที่ผู้คนบอกเล่าความในใจได้  ดังนั้น ไม่ว่าความยากลำบากและความทุกข์ใดจะเกิดขึ้นกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญหน้าความคับข้องใจหรือเรื่องอันใดที่พาให้คิดลบและอ่อนแอก็ตาม หากเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานในทันที พระวจนะของพระองค์จะชูใจเจ้า และแก้ไขความยากลำบาก ตลอดจนปัญหาต่างๆ ให้แก่เจ้า  ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ความเหงาของเจ้าจะกลายเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นให้กับการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าและการได้รับความจริง  ขณะที่เจ้ามีประสบการณ์ เจ้าจะค่อยๆ คิดได้ว่า “ฉันยังคงมีชีวิตที่ดีหลังจากที่จากพ่อจากแม่มา ยังคงมีชีวิตที่เต็มอิ่มหลังจากที่จากสามีมา และยังคงมีชีวิตที่สงบสุขและชื่นบานหลังจากที่จากลูกๆ มา  ฉันไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป  ฉันจะไม่พึ่งพาผู้คนอีกแล้ว แต่จะพึ่งพาพระเจ้าแทน  พระองค์จะทรงจัดหาให้และช่วยเหลือฉันทุกเมื่อ  แม้ว่าฉันไม่อาจจะสัมผัสหรือมองเห็นพระองค์ได้ แต่ฉันก็รู้ว่าพระองค์สถิตอยู่เคียงข้างฉันทุกหนแห่งตลอดเวลา  ตราบใดที่ฉันอธิษฐานถึงพระองค์ ตราบใดที่ฉันขอให้พระองค์ช่วย พระองค์จะทรงดลใจฉัน ทำให้ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์และมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้อง”  ถึงตอนนั้น พระองค์จะทรงกลายเป็นพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง และปัญหาทั้งปวงของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไข

บทตัดตอน 84

ไต้หวันเป็นประเทศประชาธิปไตยซึ่งมีความมั่นคงทางสังคม ซึ่งผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความเจริญรุ่งเรือง  ความสงบเรียบร้อยของประชาชน คุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อมทางสังคม และสิ่งอื่นๆ ล้วนดีกว่าในจีนแผ่นดินใหญ่อย่างยิ่ง  ผู้คนใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายมาก  แม้ว่าการใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ผู้คนจำนวนมากที่เชื่อในพระเจ้าและใช้ชีวิตอย่างสบายนั้นกลับไม่เต็มใจจะติดตามพระองค์ นับประสาอะไรกับการทนทุกข์หรือจ่ายราคา  การละทิ้งสิ่งที่พวกเขามีทั้งหมดและสละตนเพื่อพระเจ้านั้นเป็นเรื่องยากมาก  เป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่หรือ?  เมื่อผู้คนใช้ชีวิตกันอย่างสะดวกสบาย พวกเขาย่อมมักจะคิดถึงแต่เรื่องกิน ดื่ม และหาความบันเทิงอยู่เสมอ คิดว่าจะสุขสำราญในเนื้อหนังและสุขสำราญกับชีวิตได้อย่างไร  สิ่งนี้ส่งผลบางอย่างต่อผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง  ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้คนในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่สะดวกสบายเช่นนี้จำนวนมากต้องการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่กลับทำเช่นนั้นได้อย่างยากลำบาก  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะอดทนต่อความทุกข์แม้เพียงน้อยนิด และพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานต่างๆ ให้กับคริสตจักรอย่างมีประสิทธิผล  บางครั้งก็เกิดผลกระทบต่อความคืบหน้าในงานของพวกเขา ซึ่งมีความเกี่ยวโยงบางอย่างกับสภาพแวดล้อมทางสังคมของพวกเขา  เรารู้สึกประทับใจเมื่อเห็นว่าทุกครั้งที่พวกเรามาชุมนุมกัน พวกเจ้าสามารถนั่งและฟังคำเทศนาได้ตั้งแต่เริ่มจนจบ  คนบางคนในจีนแผ่นดินใหญ่สามารถเชื่อในพระเจ้าเพราะถูกสกัดกั้นโดยสภาพแวดล้อมของพวกเขา ถูกกดขี่ ถูกสังคมเลือกปฏิบัติ และต้องทนทุกข์จากการข่มเหงอย่างแสนสาหัส ในขณะที่บางคนเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะพวกเขากำลังมองหาความยุติธรรมและเหตุผล หรือเพื่อหาการสนับสนุนฝ่ายวิญญาณและสิ่งที่พึ่งพาได้  สำหรับบางคน ความกระตือรือร้น ความเชื่อ และความจงรักภักดีของพวกเขาถูกปลุกขึ้นภายใต้การข่มเหงอันโหดเหี้ยมของพญานาคใหญ่สีแดง  บางคนถูกบีบให้จำต้องหนีไปต่างประเทศ เพราะการเชื่อในพระเจ้าในจีนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นเรื่องยากยิ่งและหลายๆ คนก็ถูกไล่ล่า—พวกเขาไม่มีที่ใดให้หลบซ่อน  เหล่านี้คือสาเหตุที่พวกเขาต้องหนีไปต่างประเทศ  เมื่อเทียบกับสภาพการใช้ชีวิตที่กดขี่และโหดร้ายในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ผู้คนในไต้หวันมีชีวิตที่ง่ายดายมาก  ด้วยชีวิตที่สะดวกสบายเช่นนี้ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นจึงไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์หรือจ่ายราคา และเมื่อพวกเขาพบเจอกับการข่มเหงหรือความทุกข์เข็ญ พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป  ผู้คนเพียงแต่สำราญกับการกิน ดื่ม และหาความบันเทิงเมื่อชีวิตสะดวกสบายเช่นนี้  พวกเขากังวลกับสิ่งทั้งหลาย เช่น  “ฉันควรจะกินอะไรดี?  ฉันควรไปเที่ยวที่ไหน?  มีประเทศไหนที่ฉันยังไม่เคยไปบ้าง?  หนึ่งช่วงชีวิตมนุษย์มีเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น  ถ้าฉันไม่ได้ไปเที่ยวประเทศต่างๆ ทั่วโลกและเปิดโลกทัศน์ให้กว้างไกลขึ้น ฉันก็คงใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าไม่ใช่หรือ?”  นี่เป็นสาเหตุที่หัวใจของคนคนหนึ่งไม่เชื่อฟังและไม่สามารถควบคุมได้  คนเรายังสามารถกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ได้อย่างสงบเช่นนี้หรือ?  คนเรายังสามารถฟังคำเทศนาในที่ชุมนุมอย่างตั้งอกตั้งใจได้หรือ?  แน่นอนว่าจะทำได้ยาก  ดังนั้น เมื่อคนเราได้รับการหนุนใจให้เชื่อในพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมรู้สึกว่าได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เกิดความอึดอัด และคอยแต่รู้สึกเหมือนว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างเปล่าประโยชน์  สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเช่นนี้ก่อให้เกิดการทดลองและอุปสรรคร้ายแรงต่อผู้คนไม่ใช่หรือ?  ใช่  ผู้คนล้วนใฝ่หาความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ทว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ความสะดวกสบายไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีในแง่การเติบโตของชีวิต  คนส่วนใหญ่กลายเป็นคิดลบและอ่อนแอเมื่อทนทุกข์เพียงน้อยนิดและไม่มีความตั้งใจจริงเลย นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการมีสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายหรอกหรือ?  มีวิดีโอคำพยานจากประสบการณ์ทุกรูปแบบที่แสดงให้เห็นถึงการที่เหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่ถูกทรมานในคุก ถูกตัดสินโทษ และถูกคุมขัง  พวกเจ้าทุกคนเคยเห็นวิดีโอเหล่านี้บ้างไหม?  (พวกเราเคยเห็น)  แล้วพวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากได้เห็นวิดีโอเหล่านั้น?  (ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากจะเล่าถึงความรู้สึกของตัวเองสักหน่อย  หลังจากได้เห็นเหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่ถูกข่มเหงด้วยการทรมานทั้งหมดนั้น และเห็นว่าพวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า พึ่งพาพระองค์ และยึดมั่นในความเชื่อของตนเองในสภาพแวดล้อมที่ลำบากยากเย็นแบบนั้น มีประสบการณ์ภายใต้การนำของพระเจ้าไปทีละขั้นและตั้งมั่นในคำพยานของตน ไม่ทรยศต่อพระองค์ ข้าพระองค์รู้สึกว่าพวกเขามีความเชื่อมากกว่าและมีวุฒิภาวะที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเรา  ข้าพระองค์คงไม่สามารถยืนหยัดได้อย่างพวกเขาหากข้าพระองค์อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ซึ่งทำให้ข้าพระองค์รู้สึกว่าตนเองมีวุฒิภาวะน้อยมาก)  เหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงสามารถยืนหยัดที่จะเชื่อในพระเจ้า เข้าร่วมการชุมนุม และปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้สภาพแวดล้อมที่พวกเขาต้องทนทุกข์จากการข่มเหงอันโหดเหี้ยมของพญานาคใหญ่สีแดง  นี่คือคำพยาน และเป็นคำพยานที่ทรงพลัง  การที่พวกเขาสามารถตั้งมั่นในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรเช่นนี้คือคำพยาน ดังนั้น พวกเจ้าที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายเช่นนี้ควรพิจารณาว่าจะมอบคำพยานในแบบที่ต่างออกไปได้อย่างไร  ประการแรก เจ้าควรทะนุถนอมทุกสิ่งในชีวิตนี้และสภาพแวดล้อมเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ประทานให้แก่เจ้า รวมถึงเจ้าควรใคร่ครวญด้วยว่าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ไม่นำความอับอายมาสู่พระเจ้า และกลายเป็นผู้ชนะได้อย่างไร  การเชื่อในพระเจ้าในประเทศที่เป็นประชาธิปไตย แม้คนเราอาจไม่อยู่ภายใต้การปราบปรามและข่มเหงด้วยการทรมานจากรัฐบาล แต่จะมีการข่มเหงจากครอบครัวและญาติพี่น้อง และคนเรายังคงต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า ได้รับความจริง และตั้งมั่นในคำพยานของตน  ไม่ว่าคนเราจะเชื่อในพระเจ้าท่ามกลางสภาพแวดล้อมใดก็ตาม การได้รับความจริงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย  เจ้าต้องทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อที่จะเข้าใจความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริง  เพื่อเป็นพยานให้พระเจ้า เจ้าต้องเกิดความเข้าใจความจริงในทุกแง่มุมของประสบการณ์  นี่ไม่ได้หมายถึงการประกาศข่าวประเสริฐและป่าวประกาศพระนามของพระเจ้าเท่านั้น แต่ตามหลักใหญ่ใจความแล้วยังหมายถึงคำพยานเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตอีกด้วย  ในกลุ่มคนใดหรือภายใต้ระเบียบทางสังคมของประเทศใดก็ตาม ผู้คนจะทนทุกข์จากการเลือกปฏิบัติ การกีดกันออก หรือการข่มเหงอยู่บ้างหากพวกเขาดำเนินชีวิตตามความจริง มานะบากบั่นในการเป็นคนที่ซื่อสัตย์ และพยายามนบนอบพระเจ้า  นี่เป็นเพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ได้นบนอบพระเจ้าเช่นกัน  มีพรรคการเมืองที่ถืออเทวนิยมกุมอำนาจอยู่ ทั้งยังปฏิเสธความจริงและปฏิเสธพระเจ้า  การเชื่อในพระเจ้าในประเทศเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีการข่มเหงหรือความทุกข์เข็ญ ก็จะมีข้อจำกัดบางประการ รวมถึงการอยู่ภายใต้การเลือกปฏิบัติ การใส่ร้าย การตัดสิน และการกล่าวโทษหากเจ้าต้องการประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้า—นี่ล้วนเป็นข้อเท็จจริง  หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดแจ้ง เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่คนที่เข้าใจความจริง  การยอมรับและติดตามพระคริสต์ในประเทศใดก็ตามมาพร้อมกับการข่มเหงและความทุกข์ทรมานในระดับหนึ่ง  เจ้าต้องกระทำโดยระมัดระวังเสมอ และอธิษฐานถึงและพึ่งพาพระเจ้า รวมถึงเจ้าต้องมีความฉลาดและสติปัญญาด้วย  ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในประเทศและสภาพแวดล้อมทางสังคมแบบใดก็ตาม ทุกประเทศล้วนมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมซึ่งพระเจ้าได้ทรงจัดวางและตระเตรียมเอาไว้ให้เจ้าแล้ว  ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าคนคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่  สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายนั้นง่ายต่อการที่ผู้คนจะถูกทดลอง ในขณะที่การข่มเหงด้วยการทรมานก็นำมาซึ่งการทดลองและบททดสอบเช่นกัน  แล้วในสภาพแวดล้อมที่สบายมีบททดสอบหรือไม่?  มีบททดสอบของพระเจ้าเช่นกัน  พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายนี้เอาไว้ให้เจ้าแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้อย่างไร—ไม่ว่าเจ้าจะติดบ่วงของซาตานและอยู่ในการทดลองของซาตานอย่างเต็มตัว หรือเจ้าจะสามารถมีชัยเหนือมันได้ทุกประการและเป็นพยานให้พระเจ้าโดยยึดมั่นในความจงรักภักดีและหน้าที่ของเจ้าหรือไม่  ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์กับสภาพแวดล้อมนี้อย่างไรและทางที่เจ้าเลือก  เหล่าพี่น้องชายหญิงในจีนแผ่นดินใหญ่มีสภาพแวดล้อมที่ลำบากกว่าเล็กน้อย และพระเจ้าได้ทรงมอบภาระที่หนักขึ้นเล็กน้อย จัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่รุนแรงขึ้นอีกเล็กน้อยไว้ให้พวกเขา แต่พระองค์ก็ประทานแก่พวกเขามากกว่าด้วย  ยิ่งสภาพแวดล้อมมีความลำบากและบททดสอบที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ยิ่งมากขึ้นเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งได้รับมากขึ้นเท่านั้น  แต่ในสภาพแวดล้อมที่สบาย ผู้คนก็ประสบกับการทดลองและบททดสอบทุกที่เช่นกัน และพระเจ้าก็ได้ประทานอะไรมากมายให้กับเจ้าเช่นเดียวกัน  หากเจ้าสามารถมีชัยเหนือการทดลองทุกครั้งที่เจ้าเผชิญกับมัน เจ้าก็จะไม่ได้รับน้อยไปกว่าเหล่าพี่น้องชายหญิงของเจ้าที่พบเจอกับการข่มเหงด้วยการทรมาน  สิ่งนี้ต้องอาศัยการไล่ตามเสาะหาความจริงและการมีวุฒิภาวะให้เอาชนะเช่นกัน  ตัวอย่างเช่น สิ่งต่างๆ อย่างการอยู่ด้วยกันกับครอบครัว การกินและดื่มอย่างดี ความสำราญและความเพลิดเพลิน และกระแสนิยมทางสังคมบางอย่างที่ปรนเปรอเนื้อหนังและก่อให้เกิดความเสื่อมทราม ล้วนเป็นการทดลองสำหรับเจ้า  เมื่อเจ้าเผชิญกับการทดลองเหล่านี้ การทดลองนั้นไม่เพียงแต่จะสะดุดตาเจ้าเท่านั้น แต่ยังเข้ามารบกวนและล่อลวงเจ้าด้วย  เมื่อเจ้าทำตามสิ่งและกระแสทางโลก นั่นคือเวลาที่การทดลองของซาตานหรือที่คนเราอาจพูดว่าบททดสอบของพระเจ้าจะเกิดขึ้น  เจ้าต้องเลือกว่าจะตอบสนองต่อการทดลองและบททดสอบเหล่านี้อย่างไร และนี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงทดสอบผู้คนและเปิดเผยธาตุแท้ของพวกเขาออกมา  นี่คือเวลาที่สิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสกับเจ้าและความจริงที่เจ้าได้เข้าใจแล้วควรบังเกิดผล  หากเจ้าเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเจ้ามีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถเอาชนะการทดลองเหล่านี้ รวมถึงตั้งมั่นและเป็นพยานให้พระเจ้าในบททดสอบที่พระองค์ทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้เจ้า  ถ้าเจ้ารักโลก รักกระแสนิยม รักที่จะหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายและสร้างความพึงพอใจให้กับเนื้อหนังของเจ้า และเจ้ารักชีวิตที่ว่างเปล่าแทนที่จะรักความจริง เจ้าก็จะทำตามสิ่งทางโลกเหล่านี้  เจ้าจะรู้สึกชื่นชมยินดี รวมทั้งถูกดึงดูดและครอบงำโดยสิ่งเหล่านี้  ใจของเจ้าจะหมดความสนใจต่อการเชื่อในพระเจ้าไปทีละน้อย เจ้าจะกลายเป็นคนรังเกียจความจริง และจากนั้นซาตานจะฉกฉวยเจ้าไปท่ามกลางการทดลอง  ในบททดสอบเช่นนี้ เจ้าจะสูญเสียคำพยานของตน  มีหลายคนที่ได้ฟังคำเทศนามามากมายและกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ถึงกระนั้นภายในก็ยังคงรู้สึกว่างเปล่า  พวกเขายังคงรักที่จะติดตามดาราดังและคนมีชื่อเสียง ตามกระแส ดูรายการบันเทิงทางโทรทัศน์ และแม้แต่ดูการแสดงยาวไปตลอดทั้งคืนจนกลายเป็นคนใช้ชีวิตกลางคืนเป็นหลัก  คนหนุ่มสาวบางส่วนเล่นวิดีโอเกมด้วยซ้ำ  โดยสรุปแล้ว พวกเขาไม่ลังเลที่จะจ่ายราคาใดๆ และไล่ตามเสาะหาแต่สิ่งทันสมัยเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง  แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทำเช่นนี้?  เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับความจริง  คนที่ไม่ได้รับความจริงจะมีความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งความรู้สึกนั้นคือการไม่เห็นความแตกต่างอะไรมากระหว่างการเชื่อในพระเจ้ากับการไม่เชื่อในพระองค์  พวกเขายังคงรู้สึกว่างเปล่าอยู่ในหัวใจและรู้สึกว่าชีวิตของตนไร้ซึ่งความหมาย  หากพวกเขาตามกระแสนิยม พวกเขาจะรู้สึกว่าตนได้รับการเติมเต็มมากกว่า ชีวิตของพวกเขามีความสมบูรณ์มากขึ้นอีกเล็กน้อย และพวกเขาก็มีความสุขมากขึ้นอีกหน่อยในแต่ละวัน  หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าและไม่ตามกระแสนิยม พวกเขาจะยังคงรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมายและว่างเปล่า  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริง  เจ้าสามารถพูดได้อย่างมั่นใจเช่นกันว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าใจความจริงแม้แต่น้อยและไม่มีความเป็นจริงความจริง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่ทำตามกระแสนิยม  บางคนไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงและรู้สึกไม่มั่นคงแม้ว่าจะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน  พวกเขาไม่สามารถตั้งมั่นได้เมื่อเผชิญกับการทดลอง และท้ายที่สุดก็ต้องถอนตัวออกไป  บางคนค่อนข้างกระตือรือร้นและมีปณิธานเมื่อเริ่มปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเขากลับเลิกอยากปฏิบัติหน้าที่เมื่อเผชิญกับการทดลอง กลายเป็นคนสุกเอาเผากินและขาดความทุ่มเท  ไม่มีคำพยานในสิ่งนี้ หากพวกเขาสามารถปล่อยมือจากหน้าที่ของตนทันทีที่เผชิญกับการทดลองและเลือกอะไรก็ตามที่ตนเลือกชอบ การนี้ย่อมไม่มีคำพยาน  หากมีการทดลองอื่นเกิดขึ้น พวกเขาอาจปฏิเสธพระเจ้าและต้องการตามกระแสนิยมทางโลกและออกจากคริสตจักร  หรือเมื่อมีการทดลองอื่นเกิดขึ้น พวกเขาเริ่มสงสัยในพระเจ้าและไม่แน่ใจว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริงหรือไม่ และถึงกับเชื่อว่าตนเองวิวัฒนาการมาจากลิง  คนเหล่านี้ถูกซาตานจับไปอย่างสมบูรณ์  พวกเขาไม่ได้อธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริงเมื่อเข้าไปข้องเกี่ยวในการทดลองทั้งหมดเหล่านี้  พวกเขาคิดถึงแต่โชคชะตาของเนื้อหนังของตน และผลก็คือพวกเขาไม่สามารถตั้งมั่นในคำพยานของตัวเอง  พวกเขาถูกซาตานลากลงสู่นรกและเข้าสู่เหวแห่งความตายไปทีละขั้น  พระเจ้าทรงมอบคนผู้นี้ให้กับซาตาน และพวกเขาไม่มีโอกาสได้รับความรอดอีกต่อไป  จงบอกเราที การไล่ตามเสาะหาความจริงไม่สำคัญหรอกหรือ?  (สำคัญ)  ความจริงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง  ความจริงสามารถทำอะไรได้บ้าง?  อย่างน้อยที่สุด ความจริงสามารถช่วยให้เจ้าเห็นแผนการของซาตานอย่างปรุโปร่งเมื่อเจ้าเผชิญกับการทดลอง ช่วยให้รู้ว่าเจ้าควรทำและไม่ควรทำอะไร และเจ้าควรเลือกอะไร  อย่างน้อยก็จะทำให้เจ้าได้รู้ถึงสิ่งเหล่านี้  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความจริงจะทำให้เจ้าสามารถตั้งมั่นในการทดลองได้  เจ้าจะสามารถตั้งมั่น แน่วแน่ และไม่สั่นคลอน ในขณะที่ยึดมั่นในหน้าที่ที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่เจ้า มีความจงรักภักดีต่อหน้าที่นี้ และสามารถปฏิเสธซาตาน  เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าท่ามกลางบททดสอบได้อย่างที่โยบทำ  นี่คือสิ่งอย่างน้อยที่สุดที่ผู้คนควรได้รับ

บทตัดตอน 85

คำที่พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้ามีหลักธรรมหรือไม่?  พวกเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่ออยู่ในสถานการณ์ใดบ้าง?  คำอธิษฐานของพวกเจ้ามีใจความว่าอย่างไร?  คนส่วนใหญ่อธิษฐานเมื่อพวกเขาทนทุกข์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด”  นี่เป็นประโยคแรกที่พวกเขาพูด  การพร่ำบอกในเวลาอธิษฐานว่าเจ้ากำลังทุกข์ทรมานใช่เรื่องดีหรือไม่?  (ไม่ดี)  ทำไมถึงไม่ดี?  แล้วถ้าไม่ดี เหตุใดจึงยังอธิษฐานเช่นนั้นอยู่อีก?  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่รู้วิธีอธิษฐาน หรือไม่รู้ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดควรแสวงหาเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  พวกเจ้ารู้จักแต่การอธิษฐานถึงพระเจ้าเมื่อเจ้ามีความทุกข์เล็กน้อยและรู้สึกเศร้าโศก โดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน!  ข้าพระองค์ทุกข์ใจเหลือเกิน ได้โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด”  นี่คือคำอธิษฐานของคนที่เพิ่งเริ่มเชื่อในพระเจ้า เป็นคำอธิษฐานของเด็กทารก  หากคนที่เชื่อในพระเจ้ามาเนิ่นนานหลายปีแล้วยังอธิษฐานเช่นนี้อยู่ ก็ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังคงเป็นเด็กทารกที่ยังไม่เติบโตในชีวิต  ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์อย่างไร คือผู้ที่ยังไม่เติบโตในชีวิตและยังไม่เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  หากเป็นคนที่ช่างคิดพิจารณาอย่างแท้จริงแล้ว พวกเขาต้องตรึกตรองว่าทำอย่างไรจึงจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า จะกินและดื่มพระวจนะของพระองค์อย่างไร รวมทั้งจะมีประสบการณ์กับพระวจนะและปฏิบัติตามพระวจนะอย่างไร  ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไปยังที่ใด ประสบการณ์ของคนเราก็ควรไปถึงที่นั้นด้วย คนเราต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ในที่แห่งนั้น  หากผู้ใดสามารถปฏิบัติตามพระวจนะและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าด้วยหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะเผชิญปัญหามากมาย และก็เป็นปกติที่พวกเขาจะแสวงหาความจริงจากพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น  หากผู้ใดอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของตนด้วยวิธีนี้อยู่เสมอ ผู้นั้นก็กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  ความยากลำบากของพวกเขาจะค่อยๆ ลดน้อยลงจากการแก้ไขปัญหาของตนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจะเริ่มเข้าใจความจริงทีละน้อยและได้รับความรู้ในพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขาจะรู้ว่าควรให้ความร่วมมือกับพระเจ้าอย่างไร รวมทั้งควรนบนอบพระราชกิจของพระองค์อย่างไร  นี่คือการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้า  คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนไม่รู้ว่าจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าอย่างไร  คนเหล่านี้เลอะเลือนอยู่เสมอ—พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่ใคร่ครวญ พวกเขาฟังคำเทศนา แต่ไม่สามัคคีธรรม และเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริงหรือวิธีทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีอย่างไรหรือควรให้ความร่วมมืออย่างไร  พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้  พวกเขาเป็นฆราวาสในเรื่องเหล่านี้ และไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ไม่ว่าปัญหาอันใดบังเกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ลึกๆ แล้วคนเหล่านี้ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้าหรือเทิดทูนพระองค์  พวกเขาเอาแต่พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทรมาน”  พวกเขาพร่ำพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนคนฟังรู้สึกเอือมระอาและรังเกียจ  พวกเจ้าส่วนใหญ่อธิษฐานกันแบบนั้นใช่หรือไม่?  (ใช่)  จากคำอธิษฐานของผู้คน จะเห็นได้ว่าภาวะของพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก!  เจ้ามองหาพระเจ้าก็ต่อเมื่อกำลังทุกข์ทนเท่านั้น  ในยามที่ไม่ได้กำลังทนทุกข์หรือไม่ได้กำลังเผชิญกับปัญหาใด เจ้าก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้า และไม่ต้องการพึ่งพาพระองค์  พวกเจ้าเพียงแค่ต้องการเป็นนายของตัวเอง  นี่คือภาวะที่พวกเจ้าเป็นอยู่ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  ตอนที่ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาถูกตัดแต่งโดยพระวจนะเหล่านั้น แล้วจากนั้นก็ทบทวนตนเองและพยายามทำความรู้จักกับตัวเอง พวกเขาอธิษฐานอย่างไรหรือ?  พวกเขาล้วนแต่พูดสิ่งเดียวกันว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทน  ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทุกข์ทน”  คำพูดเหล่านั้นไม่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกขยะแขยงหรอกหรือ?  (รู้สึก)  ภายในของผู้คนนั้นแห้งเหี่ยวเหลือเกิน—ภาวะของพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก!  ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า พวกเขาพูดวลีเรียบง่ายเหมือนเดิมออกมา โดยไม่มีสักคำที่มาจากใจ  พวกเขาไม่แสวงหาความจริง และไม่ปรารถนาที่จะแก้ไขปัญหาของตน  นั่นเป็นการอธิษฐานแบบไหนกัน?  อะไรคือปัญหาที่กำลังมีบทบาทอยู่เมื่อคนเราไม่สามารถอธิษฐานด้วยคำพูดที่จริงใจได้ และไม่รู้ว่าตนเองมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องใดบ้าง?  เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องให้พระองค์ทรงมอบความรู้แจ้งเกี่ยวกับสิ่งใดเลยอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อ ไม่จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง หรือมีพระเจ้าเป็นผู้ระวังหลังให้เลยหรือ?  เจ้ายิ่งไม่จำเป็นเลยใช่ไหมที่ต้องมีพระเจ้าทรงมอบความรู้แจ้งและทรงนำเจ้าให้เดินไปบนถนนข้างหน้า?  เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเองเลยหรือ?  เจ้าไม่จำเป็นต้องมีการบ่มวินัยและการสั่งสอนของพระเจ้า หรือการทรงนำจากพระองค์เลยหรือ?  สิ่งเดียวที่เจ้าจำเป็นต้องได้จากพระเจ้าก็คือให้พระองค์ช่วยบรรเทาความทุกข์ของเจ้าใช่หรือไม่?  ในใจของเจ้าไม่รู้สึกจริงๆ หรือว่าตัวเองมีสิ่งที่ขาดตกบกพร่องอยู่มากมาย?  การไม่รู้ว่าจะต้องอธิษฐานอย่างไรไม่ใช่ปัญหาเล็กเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่รู้วิธีที่จะรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้นำพาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตจริง และแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์อันจริงแท้อันใดกับพระเจ้าเลยในชีวิตของเจ้าเลย  เจ้าก็แค่ยังไม่ได้สร้างสัมพันธภาพกับพระเจ้าในแบบที่ควรมีอยู่ระหว่างพระเจ้ากับผู้ติดตามของพระองค์ หรือระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้างของตนเลย  ยามที่เผชิญกับปัญหา เจ้าจะถูกนำทางโดยสมมติฐานที่เอาตนเองเป็นที่ตั้ง มโนคติอันหลงผิดความคิด ความรู้ พรสวรรค์และความสามารถพิเศษ และอุปนิสัยอันเสื่อมทราม  เจ้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย ดังนั้นเมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เจ้าจึงมักจะไม่มีอะไรจะพูด  นี่คือสภาวะที่น่าเศร้าของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า!  ช่างเป็นภาวะที่น่าเวทนายิ่งนัก!  ผู้คนล้วนเหือดแห้งและด้านชาในจิตวิญญาณ  พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณในชีวิต อีกทั้งไม่มีความเข้าใจอันใดในเรื่องเหล่านั้นด้วย และเมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด  ไม่ว่าเจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญสถานการณ์เลวร้ายอันใด และไม่ว่าพวกเจ้าจะเผชิญความยากลำบากอะไรก็ตาม หากพวกเจ้าพูดไม่ออกเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นความเชื่อของพวกเจ้าในพระองค์ไม่ควรถูกตั้งคำถามหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ความน่าเวทนาของมนุษย์หรอกหรือ?

เหตุใดผู้คนจึงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า?  การอธิษฐานถึงพระเจ้าเป็นเส้นทางเดียวของมนุษย์ในการเทิดทูนพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์  หากไม่มีการอธิษฐาน ก็ไม่ต้องถามถึงสิ่งเหล่านี้เลย การพึ่งพาพระเจ้าและการเทิดทูนพระองค์สำเร็จได้โดยผ่านทางการอธิษฐาน  คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยไม่อธิษฐานถึงพระองค์สามารถบรรลุความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ?  พวกเขาสามารถได้มาซึ่งพระราชกิจและการทรงนำจากพระเจ้าได้หรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่วางใจมอบความลำบากยากเย็นไว้กับพระเจ้า และไม่อธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาความจริง แล้วพระองค์จะทรงแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงนำพวกเจ้าให้ติดตามพระองค์ไปบนทางข้างหน้าได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอดเพื่อให้เจ้าทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนอย่างไร?  กล่าวได้ว่าการเชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากการอธิษฐานไม่ใช่ความเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง  สัมพันธภาพปกติระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าต้องสร้างขึ้นจากการอธิษฐานและต้องธำรงไว้โดยผ่านทางการอธิษฐาน  การอธิษฐานเป็นเครื่องหมายแห่งการเชื่อของมนุษย์ในพระเจ้า ว่าการที่คนเราอธิษฐานอย่างแท้จริงนั้นเป็นเพียงเกณฑ์เดียวในการทดสอบว่าสัมพันธภาพของบุคคลนั้นกับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่  ตราบใดที่คนเรากล่าวคำจากใจจริงในการอธิษฐาน และตราบใดที่เราสามารถแสวงหาความจริงในการอธิษฐาน พวกเขาก็สามารถได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า  หากคนเราไม่ค่อยอธิษฐานและไม่สามารถกล่าวคำพูดจากใจจริงได้ หากพวกเขาระวังตัวกับพระเจ้าเสมอ นั่นแสดงว่าสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับพระเจ้าไม่เป็นปกติ  และถ้าคนเราไม่อธิษฐานเลย ก็แสดงว่าพวกเขาไม่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า  หากบุคคลใดอธิษฐานอย่างดีและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาจะสามารถนบนอบต่อพระองค์ และเป็นคนที่พระเจ้าทรงรัก บรรดาผู้ที่อธิษฐานอย่างจริงใจอยู่เป็นนิจล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีความรักที่เรียบง่ายแด่พระเจ้า  ดังนั้น ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่อธิษฐานถึงพระองค์ ย่อมไม่มีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้า  พวกเขาล้วนอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า เป็นกบฏและขัดขืนต่อพระองค์  ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่รักหรือผู้ที่แสวงหาความจริง และพวกที่ไม่รักหรือไม่แสวงหาความจริงต่างก็ไม่สามารถอธิษฐานอย่างจริงใจได้  ไม่ว่าพวกเขามีความลำบากยากเย็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่อธิษฐาน และเมื่อพวกเขาอธิษฐาน พวกเขาก็ปรารถนาเพียงใช้ประโยชน์จากพระเจ้าให้กำจัดความลำบากยากเย็นและความทุกข์ของตนเท่านั้น  พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และไม่ตรวจค้นไปในความลำบากยากเย็นของตนเพื่อดูแง่มุมทั้งหลายของความจริงที่ควรเข้าใจและควรเข้าสู่  ผู้คนเช่นนี้ไม่ถวิลหาความจริงและไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า—ในแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง  แม้ว่าเจ้าอาจไม่รู้สึกในทันทีหลังจากการอธิษฐานว่าจิตใจของพวกเจ้าแจ่มใสขึ้น หรือเจ้าได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติแล้ว จงรอคอยพระเจ้า และในขณะที่เจ้ารอคอย จงอ่านพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริง  เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือฟังบทเทศน์และสามัคคีธรรม ให้มุ่งเน้นไปที่การนำปัญหาของเจ้ามาสู่การใคร่ครวญและแสวงหา  หากเจ้าให้ความร่วมมือในทางปฏิบัติในหนทางเหล่านี้ เป็นไปได้ว่าความรู้ความเข้าใจเบื้องลึกอาจมาสู่เจ้าในชั่วพริบตาขณะที่กำลังใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังบทเทศน์ และสามัคคีธรรม  หรืออาจเป็นได้ว่าเจ้าพบเจอปัญหาบางอย่างและนั่นบันดาลใจให้เจ้าพบคำตอบของเรื่องที่เจ้าพยายามแก้ไขอยู่พอดี  นี่ไม่ใช่การทรงนำของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์หรอกหรือ?  ดังนั้น การอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างจริงใจย่อมสามารถเกิดประสิทธิผลได้ แต่ผลนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ทันทีหลังจากการอธิษฐาน  การนี้ใช้เวลาและพึงต้องมีความร่วมมือและการปฏิบัติของคนเรา  ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า เมื่อใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงจะให้ความรู้แจ้งและให้คำตอบแก่เจ้า  นี่คือกระบวนการแสวงหาความจริงและการทำความเข้าใจความจริง และเป็นเส้นทางที่มนุษย์เติบโตขึ้นในชีวิต  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเจ้ายังต้องเรียนรู้วิธีอธิษฐานทั้งหมดใหม่อีกครั้ง  พวกเจ้ายังไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา เจ้าได้แต่ตะโกนวลีติดปากออกมา และตั้งปณิธาน หรือคร่ำควรญกับพระเจ้า และเปล่งเสียงแสดงความคับข้องหมองใจของตน โดยพูดว่าเจ้ากำลังทุกข์ทนอย่างไร หรือไม่ก็หาเหตุผลเข้าข้างตนเองและหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเอง  เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ครองใจเจ้าอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเจ้าเข้าสู่ความจริงได้เนิ่นช้าเช่นนี้  เจ้ากำลังออกนอกลู่นอกทาง เจ้าไม่รู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริง จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่า การเชื่อในพระเจ้าเช่นนี้ จะเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะได้รับความรอดหรือไม่

บทตัดตอน 86

มีบรรทัดหนึ่งในบทเพลงสรรเสริญของคริสตจักรที่กล่าวไว้ว่า “ผู้คนที่รักความจริงล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง”  คำกล่าวนี้ถูกต้อง  บรรดาผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่เป็นสมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเท่านั้นเป็นพี่น้องชายหญิงที่แท้จริง  เจ้าคิดหรือว่าบรรดาผู้ที่มักจะเข้าร่วมการชุมนุมในพระนิเวศของพระเจ้าล้วนเป็นพี่น้องชายหญิง?  ไม่เสมอไป  ผู้คนแบบใดเล่าไม่ใช่พี่น้องชายหญิง?  (บรรดาผู้ที่รังเกียจความจริง ผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง)  บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงและรังเกียจความจริงล้วนเป็นคนชั่ว  พวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่ปราศจากมโนธรรมหรือสำนึก  ไม่มีผู้ใดในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด  คนเหล่านี้ไม่มีความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่ใส่ใจงานที่ถูกควรของตน และพวกเขาวิ่งเพ่นพ่านทำสิ่งที่แย่  พวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและใช้อุบายอันเจ้าเล่ห์ อีกทั้งใช้ ป้อยอ และเล่นไม่ซื่อกับผู้อื่น  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย และพวกเขาได้แฝงตัวเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น  เหตุใดพวกเราจึงเรียกพวกเขาว่าผู้ไม่เชื่อ?  เพราะพวกเขารังเกียจความจริง และพวกเขาไม่ยอมรับความจริง  ทันทีที่มีการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็หมดความสนใจ พวกเขารังเกียจความจริง พวกเขาไม่อาจทนฟังเกี่ยวกับความจริงได้ พวกเขารู้สึกว่าความจริงนั้นน่าเบื่อและไม่สามารถนั่งอยู่ได้  เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อ  เจ้าต้องไม่มองว่าพวกเขาเป็นพี่น้องชายหญิง  เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะต้องการเข้าใกล้เจ้าเพื่อเสนอผลประโยชน์บางอย่าง พยายามสร้างสัมพันธภาพกับเจ้าโดยใช้ความเอื้อเฟื้อเล็กน้อย  แต่ทว่า เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็เฉไฉไปคุยเรื่องสัพเพเหระ พูดคุยเรื่องทางเนื้อหนัง งาน กิจธุระทางโลก กระแสของโลกที่ไม่มีความเชื่อ ความรู้สึก เรื่องในครอบครัว สิ่งภายนอกดังเช่นสิ่งเหล่านี้  สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริง การเชื่อในพระเจ้า หรือการปฏิบัติความจริง  คนเหล่านี้ไม่ยอมรับความจริงเลย  พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือสามัคคีธรรมความจริง และพวกเขาไม่เคยอธิษฐานหรือทำการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ  คนเหล่านี้เป็นพี่น้องชายหญิงหรือไม่?  พวกเขาไม่ได้เป็น  คนเหล่านี้ไม่ปฏิบัติความจริง และรังเกียจความจริง  หลังจากที่พวกเขาแฝงตัวเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าการชุมนุมมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริง การพูดคุยถึงการรู้จักตนเอง การสามัคคีธรรมถึงปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ร่วมด้วยเสมอ ใจของพวกเขาก็เกิดความรังเกียจ  พวกเขาไม่มีความเข้าใจหรือประสบการณ์ และไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาจึงเกิดความเหนื่อยหน่ายชีวิตคริสตจักร  พวกเขานึกสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า “ทำไมถึงสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าตลอด?  ทำไมถึงพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเองตลอด?  ทำไมถึงไม่มีความบันเทิงหรือความสนุกสนานในชีวิตคริสตจักรเลย?  ชีวิตคริสตจักรแบบนี้จะจบลงเมื่อไหร่?  เมื่อไหร่พวกเราจึงจะเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้รับพร?”  พวกเขาเห็นว่าการสามัคคีธรรมความจริงนั้นไม่น่าสนใจและไม่อยากฟังการสามัคคีธรรม  พวกเจ้าจะพูดหรือไม่ว่า เมื่อมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ พวกเขาแสวงหาความจริงหรือไม่?  พวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  หากพวกเขาไม่สนใจในความจริง พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้อย่างไร?  เช่นนั้นพวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใดเล่า?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน พวกเขาทำตัวเต็มไปด้วยเล่ห์และฉลาดแกมโกงอยู่เสมอ พวกเขาไม่มีชีวิตของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าหรือแสวงหาความจริง แต่รับมือทุกอย่างโดยใช้เล่ห์เหลี่ยม กลวิธี และปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์—ซึ่งทำให้เกิดการดำรงอยู่ที่น่าเหนื่อยล้าและเจ็บปวด  พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงในรูปแบบเดียวกับที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้ไม่มีความเชื่อ พวกเขาทำตามปรัชญาเยี่ยงซาตานและโกหกและเล่นไม่ซื่อ  พวกเขาชอบก่อการโต้เถียงและมีปากเสียงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ  ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในกลุ่มใด พวกเขาก็จะมองให้เห็นว่าใครเห็นพ้องกับใคร และใครเข้าทีมกับใครอยู่เสมอ  เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาจะเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง พวกเขาคอยระวังอยู่เสมอ พลางพยายามไม่ล่วงเกินใคร  พวกเขาทำตามปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกเหล่านี้อยู่เสมอเพื่อจัดการกับสรรพสิ่งรอบตัวและจัดการกับสัมพันธภาพของพวกเขากับคนอื่น  นั่นคือสิ่งที่ทำให้การดำรงอยู่ของพวกเขาน่าเหนื่อยล้ายิ่งนัก  แม้ว่าพวกเขาอาจดูแข็งขันในท่ามกลางผู้คนอื่น ๆ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเท่านั้นที่รู้ถึงการต่อสู้ดิ้นรนของตนเอง และหากเจ้ามองดูชีวิตของพวกเขาอย่างใกล้ชิด เจ้าจะรู้สึกว่าการใช้ชีวิตเช่นนั้นน่าเหนื่อยล้า  สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือหน้าตา พวกเขายืนกรานที่จะชี้ให้ชัดเจนว่าใครถูกหรือผิด ใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า และพวกเขาต้องโต้เถียงเพื่อพิสูจน์ประเด็นของตน  คนอื่นไม่อยากได้ยินคำโต้เถียงนี้  ผู้คนพูดว่า “คุณช่วยพูดสิ่งที่คุณกำลังพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นได้ไหม?  คุณช่วยพูดให้ตรงไปตรงมาได้ไหม?  ทำไมคุณต้องใส่ใจเรื่องหยุมหยิมมากนัก?”  ความคิดของพวกเขาซับซ้อนและเวียนวนมาก และพวกเขาใช้ชีวิตที่น่าเหนื่อยล้าเช่นนั้นโดยไม่ตระหนักถึงปัญหาที่แฝงอยู่  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแสวงหาความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ได้?  เพราะพวกเขารังเกียจความจริงและไม่อยากเป็นคนซื่อสัตย์  เช่นนั้นแล้วพวกเขาพึ่งพาอะไรในชีวิต?  (ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกและวิธีการของมนุษย์)  การกระทำที่อาศัยวิธีการของมนุษย์มีแนวโน้มจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คนเราลงเอยด้วยการถูกหัวเราะเยาะหรือไม่ก็เปิดเผยด้านที่อัปลักษณ์ของตนเอง  และดังนั้นเมื่อตรวจสอบใกล้ชิดขึ้น การกระทำของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาใช้เวลาทำทั้งวัน—ล้วนเกี่ยวเนื่องกับหน้าตา ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความฟุ้งเฟ้อของตัวพวกเขาเอง  การนี้ราวกับว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความยุ่งเหยิง พวกเขาต้องให้เหตุผลหรือหาข้ออ้างสำหรับทุกสิ่ง และพวกเขาพูดเพื่อประโยชน์ของตนเองอยู่เสมอ  การคิดของพวกเขาสลับซับซ้อน พวกเขาพูดเรื่องเหลวไหลมากมาย ถ้อยคำของพวกเขาวกวนสับสนมาก  พวกเขาโต้เถียงอยู่เสมอว่าอะไรถูกอะไรผิด อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น  หากพวกเขาไม่พยายามให้ได้หน้า พวกเขาก็กำลังแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและสถานะ และไม่มีเวลาใดเลยที่พวกเขาไม่ใช้ชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้  แล้วในท้ายที่สุดผลที่ตามมาคืออะไร?  พวกเขาอาจได้หน้า แต่ทุกคนก็เบื่อหน่ายและระอาพวกเขา  ผู้คนมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งและตระหนักว่าพวกเขาไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริง และไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ  เมื่อบรรดาผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงคนอื่นใช้คำพูดสองสามคำเพื่อตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็ปฏิเสธอย่างดื้อดึงที่จะยอมรับ พวกเขายืนกรานที่จะพยายามให้เหตุผลหรือหาข้อแก้ตัว และพวกเขาพยายามที่จะโทษคนอื่น  ระหว่างการชุมนุมพวกเขาปกป้องตนเอง เริ่มการโต้เถียง และสร้างความเดือดร้อนท่ามกลางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขากำลังคิดว่า “ไม่มีที่ไหนให้ฉันโต้เถียงเรื่องของฉันจริง ๆ เลยหรือ?”  คนเช่นนี้เป็นบุคคลประเภทใด?  นี่คือคนที่รักความจริงหรือ?  นี่คือคนที่เชื่อในพระเจ้าหรือ?  เมื่อพวกเขาได้ยินใครพูดบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเจตนาของพวกเขา พวกเขาก็อยากจะโต้เถียงและร้องขอคำอธิบายเสมอ พวกเขาพัวพันกับเรื่องที่ว่าใครถูกใครผิด พวกเขาไม่แสวงหาความจริงและไม่ปฏิบัติต่อเรื่องนั้นตามหลักธรรมความจริง  ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเรียบง่ายขนาดไหน พวกเขาก็ต้องทำให้เรื่องดังกล่าวซับซ้อนมาก—พวกเขาแค่กำลังหาเรื่องใส่ตัว สมควรแล้วที่พวกเขาจะเหนื่อยล้ามาก!  ปัญหาหลายประการที่ผู้คนเผชิญนั้นเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน  พวกเขาหาเรื่องเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุผล  หากจะกล่าวอย่างง่ายก็คือ พวกเขาไม่ใช้เวลาของตนกับสิ่งที่ถูกต้อง  นี่คือวิถีชีวิตของคนไร้เหตุผล  ผู้คนที่เลอะเลือนบางคน แม้ว่าพวกเขาไม่พัวพันกับการชี้ถูกชี้ผิด ก็มีขีดความสามารถที่แย่มากจนไม่อาจเข้าใจสิ่งใดอย่างทะลุปรุโปร่งได้เลย  พวกเขาใช้ชีวิตเยี่ยงสุกร อยู่ในความงุนงง  คนสองประเภทนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ประเภทหนึ่งเอียงไปทางซ้ายและอีกประเภทหนึ่งเอียงไปทางขวา แต่ทั้งสองประเภทคือผู้ไม่มีความเชื่อ  ไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีก็ตาม หรือไม่ว่าพวกเขาเคยได้ฟังคำเทศนามามากมายเพียงใดก็ตาม ผู้คนเช่นนี้ย่อมไม่มีวันจะสามารถเข้าใจความจริง ไม่ต้องเอ่ยถึงการรู้ว่าการปฏิบัติความจริงคืออะไร  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใด พวกเขาก็ไม่เคยแสวงหาความจริงแต่ใช้ชีวิตตามวิธีการของมนุษย์และปรัชญาของซาตาน ดำเนินชีวิตที่น่าเหนื่อยและน่าสมเพช  พวกเขาคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอน  บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่เชื่อในพระเจ้าจริงๆ  บรรดาผู้ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยย่อมไม่สามารถถูกเรียกว่าพี่น้องชายหญิงได้  มีเพียงผู้ที่รักและสามารถยอมรับความจริงได้เท่านั้นที่เป็นพี่น้องชายหญิง  ทีนี้ บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงคือใคร?  พวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อ  บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริงเลยนั้นรังเกียจและปฏิเสธความจริง  พูดให้แม่นยำกว่านั้นคือ พวกเขาล้วนเป็นผู้ไม่มีความเชื่อที่แฝงตัวเข้าสู่คริสตจักร  หากพวกเขาสามารถทำความชั่วทุกประเภท ก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักรได้ พวกเขาย่อมเป็นข้ารับใช้ของซาตาน  พวกเขาควรถูกกำจัดและเอาตัวออกไป  พวกเขาไม่อาจได้รับการปฏิบัติในฐานะพี่น้องชายหญิงอย่างแน่นอน  ทุกคนที่แสดงความรักต่อพวกเขานั้นโง่เขลาและไม่รู้ความอย่างยิ่งยวด

บทตัดตอน 87

หากในเวลานี้พวกเจ้ายังไม่พบความรู้สึกและหลักธรรมทั้งหลายของการเป็นธรรมิกชน นี่ย่อมพิสูจน์ว่าการเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้านั้นตื้นเขินเกินไป และพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าใจความจริง  ในพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติตนทั่วไปของพวกเจ้า รวมถึงสภาพแวดล้อมที่พวกเจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวัน พวกเจ้าควรลิ้มรสและไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ สามัคคีธรรมกัน หนุนใจกันและกัน มอบคำเตือนใจให้แก่กัน  ช่วยเหลือและเอาใจใส่กันและกัน รวมทั้งเกื้อหนุนและจัดเตรียมให้แก่กัน  การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องชายหญิงต้องมีหลักธรรม  จงอย่ามุ่งเน้นข้อผิดพลาดของผู้อื่นตลอดเวลา แต่เจ้าต้องตรวจสอบตัวเองให้บ่อย และจากนั้นจงยอมรับอย่างมั่นใจต่อผู้คนอื่นๆ ถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้ทำลงไป ซึ่งก่อให้เกิดการแทรกแซงหรือเป็นอันตรายต่อพวกเขา และเรียนรู้ที่จะเปิดใจตนเองและสามัคคีธรรม  เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจร่วมกันได้ในหนทางนี้  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าสิ่งใดบังเกิดแก่เจ้า เจ้าก็ควรมองดูสิ่งทั้งหลายบนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า  หากผู้คนสามารถเข้าใจหลักธรรมความจริงและค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้ พวกเขาก็จะมีหัวใจและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกัน และสัมพันธภาพระหว่างพี่น้องชายหญิงจะเป็นปกติ พวกเขาจะไม่เมินเฉย เย็นชา และโหดร้ายเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย และพวกเขาจะละทิ้งความรู้สึกนึกคิดของความหวาดระแวงและความระแวดระวังซึ่งกันและกัน  พี่น้องชายหญิงจะกลายเป็นสนิทสนมกันมากขึ้น พวกเขาจะสามารถเกื้อหนุนกันและรักกันได้ จะมีความปรารถนาดีในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาจะสามารถยอมผ่อนปรนและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พวกเขาจะเกื้อหนุนและช่วยเหลือกัน แทนที่จะหมางเมินกัน ริษยากัน ประเมินวัดกันเอง และแอบแข่งขันกัน รวมทั้งท้าทายกันและกัน  ผู้คนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้อย่างไรหากพวกเขาเป็นเหมือนกับผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย?  ไม่เพียงแต่การนี้จะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาเท่านั้น ทว่าจะยังทำอันตรายและส่งผลต่อผู้อื่นด้วย  ตัวอย่างเช่น เจ้าอาจจะโกรธเมื่อผู้คนมองเจ้าด้วยสายตาที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ หรือเมื่อพวกเขาพูดบางสิ่งที่ไม่เป็นไปตามเจตจำนงของเจ้า และเมื่อใครบางคนทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งหยุดยั้งเจ้าจากการทำตัวโดดเด่น เจ้าอาจจะขุ่นเคืองพวกเขา รู้สึกไม่สบายใจและไม่มีความสุข คอยคิดอยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรให้ชื่อเสียงของตนกลับคืนมา  โดยเฉพาะผู้หญิงและคนหนุ่มสาวยิ่งไม่สามารถเอาชนะเรื่องนี้ได้  พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับข้อพิพาทและความคิดเห็นที่แตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ และมีแนวโน้มที่จะเอาแต่ใจ รวมทั้งดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่เป็นลบ  พวกเขาไม่เต็มใจอธิษฐานถึงพระเจ้า หรือกินดื่มพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะปฏิบัติความจริงและดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า  การที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้น เจ้าต้องเรียนรู้วิธีทบทวนตนเองและรู้จักตัวเองเสียก่อน และอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างแท้จริง จากนั้นเจ้าก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ร่วมกับพี่น้องชายหญิง  เจ้าต้องยอมผ่อนปรนให้กันและกัน ปรานีแก่กันและกัน และสามารถมองเห็นจุดแข็งและคุณความดีของผู้อื่น—เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นและสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้อง  จงอย่าตามใจตนเอง อย่ามีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมี และคิดอยู่เสมอว่าเจ้าดีกว่าผู้คนอื่นๆ แล้วจากนั้นเจ้าก็คิดว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ บังคับให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่เจ้าพูด ให้เชื่อฟังเจ้า ให้ชื่นชมบูชาเจ้า ให้ยกย่องเจ้า—นี่คือความเบี่ยงเบน  หากอุปนิสัยอันโอหังของคนคนหนึ่งไม่ได้รับการแก้ไข และการนี้มาพร้อมกับความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่เพิ่มมากขึ้น นั่นย่อมนำทางไปสู่ความเบี่ยงเบนได้อย่างง่ายดาย  ด้วยเหตุนี้ พวกที่ไม่สามารถยอมรับความจริง อีกทั้งล้มเหลวในการทบทวนตนเองและรู้จักตนเอง ล้วนกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง  พวกเขาเก็บงำความทะเยอทะยานเอาไว้เสมอ มีความมุ่งมาดปรารถนาอยู่ตลอดเวลาที่จะเป็นผู้คนที่ยิ่งใหญ่และเป็นยอดมนุษย์—นี่คือความเบี่ยงเบน นี่เป็นความโอหังอย่างสุดขีด  พวกเขาได้สูญเสียเหตุผลไปทั้งหมด พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่ปกติ พวกเขาคือผู้คนที่เบี่ยงเบน และพวกเขาคือเหล่าปีศาจ  พวกเขาถูกครอบงำโดยอุปนิสัยอันโอหัง ในหัวใจของพวกเขาดูแคลนผู้อื่น โดยมองว่าผู้อื่นไม่มีความสำคัญและไม่รู้ความ  พวกเขาล้มเหลวในการรับรู้จุดแข็งของผู้อื่น แต่กลับสามารถขยายข้อบกพร่องของผู้อื่นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในหัวใจ และพวกเขาป่าวประกาศและดูเบาข้อบกพร่องเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ทำร้ายผู้อื่นและทำให้ผู้อื่นเสียความรู้สึก และในท้ายที่สุดก็ทำให้ผู้อื่นเชื่อฟังและรับฟังพวกเขา หรือเกรงกลัวและหลบหน้าพวกเขา  การที่สัมพันธภาพเช่นนี้อุบัติขึ้นมาหรือดำรงอยู่ระหว่างผู้คนเป็นสิ่งที่พวกเจ้าอยากเห็นอย่างนั้นหรือ?  พวกเจ้ายอมรับได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าตัวสูงกว่าและหน้าตาดีกว่าคนอื่นเล็กน้อย ซึ่งทำให้คนบางคนชื่นชมเจ้า  ผลก็คือ เจ้ารู้สึกพอใจกับตัวเองอย่างมากทีเดียว และตามด้วยการดูแคลนบรรดาผู้ที่ตัวเตี้ยกว่าและหน้าตาดีน้อยกว่า  การนี้เผยอุปนิสัยประเภทใดออกมา?  คนบางคนมองบรรดาผู้ที่หน้าตาไม่ดีเท่าตน ผู้ที่ตัวเตี้ยกว่านิดหน่อย รวมทั้งผู้ที่โง่เขลากว่าเล็กน้อยและไหวพริบไม่ฉับไวนักด้วยสายตาเหยียดหยาม และถึงกับเปล่งถ้อยคำเหน็บแนมเพื่อเย้ยหยันพวกเขา  การปฏิบัติต่อผู้คนในหนทางนี้เหมาะสมหรือไม่?  นี่คือการสำแดงถึงความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือไม่?  ไม่ใช่อย่างแน่นอนที่สุด  แล้วอะไรคือหนทางที่ถูกต้องที่สุดที่จะจัดการกับสถานการณ์เช่นนั้น?  (การไม่เยาะเย้ยถากถางข้อบกพร่องของผู้อื่น และเคารพผู้อื่น)  นี่คือหลักธรรมประการหนึ่ง  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าพอมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง  แล้วพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไร?  พระเจ้าไม่ใส่พระทัยว่าผู้คนหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ใส่พระทัยว่าพวกเขาตัวสูงหรือตัวเตี้ย  แต่พระองค์ทรงมองดูว่าหัวใจของพวกเขามีเมตตาหรือไม่ พวกเขารักความจริงหรือไม่ รวมทั้งพวกเขารักและนบนอบพระองค์หรือไม่  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้เป็นพื้นฐานในการประพฤติต่อผู้คน  หากผู้คนสามารถทำเช่นนี้ได้เช่นกัน พวกเขาก็จะสามารถปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรม และสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  ก่อนอื่น พวกเราต้องเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และรู้ว่าพระเจ้าทรงประพฤติต่อผู้คนเช่นไร จากนั้นพวกเราก็จะมีหลักธรรมและเส้นทางที่จะประพฤติต่อผู้คน  โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนล้วนมีความหลงตัวเองอยู่บ้าง  เมื่อพวกเขาได้รับคำสรรเสริญสองสามคำ พวกเขาย่อมรู้สึกพอใจในตัวเองอยู่บ้าง พวกเขาฮัมเพลงและเดินเชิดหน้าชูคอ  นี่คือการเผยอุปนิสัยของซาตานออกมา  หากพวกเขาตัดสินและดูแคลนผู้อื่นด้วยเล่า นี่คืออุปนิสัยประเภทใด?  นี่คืออุปนิสัยที่โหดร้าย โอหัง และชั่ว  หากผู้คนล้มเหลวในการตระหนักและมองเห็นความอัปลักษณ์ของการดำรงชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ย่อมเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้ และพวกเขาก็ไม่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

บทตัดตอน 88

ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้น พระองค์ตั้งพระทัยจะมอบให้กับผู้ใดเพื่อให้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา?  ความจริงที่ได้รับการสามัคคีธรรมนั้นมีเพื่อผู้ใด?  (เพื่อผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงได้)  ใครคือผู้ที่รักความจริงและสามารถยอมรับความจริงไว้ในหัวใจของพวกเขาได้อย่างแท้จริง?  หากเจ้าสามารถเข้าใจคำถามนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เจ้าจะรู้ว่าบุคคลประเภทใดที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด  พวกเราต้องเข้าใจเสียก่อนว่าความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ มีสำนึก มีความรักในสิ่งที่เป็นบวก และมีการตระหนักรู้มโนธรรมของพวกเขา  ผู้คนอื่นไม่ได้รักความจริง และหลังจากได้ฟังความจริง พวกเขาก็ไม่แยแสและยังคงนิ่งเฉย ไม่มีการตำหนิตนเองหรือรู้สึกสะเทือนใจแม้แต่น้อย—พวกเขาตายไปแล้วทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และถูกลิขิตให้ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต  ผู้คนบางคนจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าต้องทรงผ่านความลำบากตั้งมากมายเพื่อตรัสพระวจนะมากมายเหลือเกินในเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่รักความจริง หรือครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี หรือยอมรับความจริง และพวกเขาไม่ใช่วัตถุเป้าหมายแห่งความรอด และเป็นเพียงแค่คนปรนนิบัติเท่านั้น?”  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง แม้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง แต่คนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งยังคงเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและพวกเขาก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง และนี่คือกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่พระเจ้าต้องประสงค์จะช่วยให้รอด)  ถูกต้องแล้ว  พระวจนะของพระเจ้ามีเพื่อให้ผู้คนรับฟัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายหรือปีศาจ  ไม่ว่าหนึ่งในสามหรือหนึ่งในห้าของผู้คนภายในคริสตจักรสามารถยอมรับความจริงได้ก็ตาม ถึงอย่างไรผู้ที่จะคงเหลืออยู่ในตอนท้ายคือคนส่วนน้อย  ดังนั้นพวกเราควรจะประเมินวัดอย่างไรว่าใครคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ และใครสามารถคงอยู่ต่อไปได้?  พวกเราสามารถประเมินวัดได้หากบุคคลหนึ่งมีมโนธรรม ไม่ว่ามโนธรรมของพวกเขามีความตระหนักรู้ผ่านการรับฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงผ่านการรับฟังคำเทศนาและะสามารถนำไปปฏิบัติเมื่อพวกเขาเข้าใจแล้วหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หรือไม่  บนพื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ พวกเราสามารถแยกแยะได้ว่าพวกเขาคือผู้คนที่ยอมรับความจริงและคือแกะของพระเจ้าหรือไม่  แกะของพระเจ้าสามารถรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาตอบสนองและได้ตระหนักรู้หลังจากได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และพวกเขาเต็มใจที่จะติดตามพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ครองอะไรในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา?  (ผู้คนเหล่านี้ชอบสิ่งที่เป็นบวก เต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและมีมโนธรรมอยู่บางส่วน)  ทำไมพวกเขาจึงเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง?  สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาประกอบด้วยความรักในความจริง มโนธรรมและเหตุผล  พวกเขาสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและปรับใช้พระวจนะเหล่านั้นตามสภาวะทั้งหลายของตนเอง จากนั้นก็เปลี่ยนพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เป็นชีวิตของพวกเขา เป็นเป้าหมาย หลักธรรม และรากฐานของพฤติกรรม รวมทั้งเป็นหนทางที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนด้วย  นั่นคือ พระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นความเป็นจริงของชีวิตพวกเขา และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้คือแกะของพระเจ้า  มีผู้คนบางคนที่ภายนอกดูไม่เลวร้ายและค่อนข้างซื่อสัตย์ทีเดียว แต่พวกเขาไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติหลังจากที่ได้รับฟังพระวจนะเหล่านั้น  ผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่แกะของพระเจ้า  มีผู้คนแบบนั้นมากมายในหมู่คนลงแรงที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะฟังพระวจนะด้วยวิธีการใดก็ตาม และยิ่งไม่สามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้เลย  พวกเขาสามารถเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีโดยไม่มีการได้รับชีวิต  เพราะฉะนั้นผู้คนควรเข้าใจว่าใครสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระวจนะของพระเจ้า  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีมากมายเท่าใด  แม้มีคนเพียงหนึ่งคนที่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ก็จะยังคงทรงพระราชกิจที่สมควรทำ  ตามที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า มีคนเพียงแปดคนที่ถูกช่วยให้รอดเมื่อครั้งที่โนอาห์สร้างเรือใหญ่ขึ้นมา  จากช่วงเวลาแห่งพันธสัญญาเดิมจนถึงปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกช่วยให้รอด  ในยุคธรรมบัญญัติ เมื่อพระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจแห่งความรอดอย่างเป็นทางการและไม่ประทานความจริงให้กับมวลมนุษย์ มีมนุษย์สักกี่คนที่พระเจ้าทรงยอมรับ?  มีมากมายเช่นนั้นหรือ?  มีผู้คนจำนวนน้อยมากที่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ระหว่างช่วงเวลานั้น  แล้วพระราชกิจในยุคสุดท้ายเล่า?  แม้จำนวนของผู้คนที่สามารถยอมรับความจริงผ่านการพิพากษา การตีสอน บททดสอบและการถลุงมีเป็นส่วนน้อย แต่จำนวนนี้ก็ยังมากกว่าผู้ที่ได้รับจากพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณเสียอีก  ในเวลานี้มีผู้คนจำนวนค่อนข้างมากพอสมควรที่สามารถให้คำพยานจากประสบการณ์และมีบางส่วนที่เปลี่ยนอุปนิสัยของตนเองได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วพระทัยของพระเจ้าจะไม่ได้รับความชูใจจากเรื่องนี้บ้างได้อย่างไร?

เมื่อพวกเจ้าเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่เปลี่ยนแปลงอันใดเลย และยังเป็นเสมือนผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลาย พวกเจ้าก็จะคิดลบใช่หรือไม่?  (บางครั้งข้าพระองค์ก็คิดลบเล็กน้อย แต่ข้าพระองค์เห็นว่าไม่สำคัญว่าใครบางคนเป็นกบฏแค่ไหนหรือขีดความสามารถของพวกเขาจะต่ำแค่ไหน ตราบใดที่หัวใจของพวกเขานั้นถูกต้องและพวกเขาเต็มใจเพียรพยายามในการไล่ตามเสาะหาความจริง ตราบนั้นพระเจ้าก็จะทรงพระราชกิจเพื่อพวกเขาต่อไปด้วยความอดทนสูงสุด  ด้วยการแยกย่อยความจริงออกเป็นส่วนเล็กๆ แล้วสามัคคีธรรมกับพวกเขาในรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ข้าพระองค์ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าพระเจ้าทรงจ่ายมากขนาดไหนเพื่อทำให้มวลมนุษย์ครบถ้วนบริบูรณ์โดยไม่ทรงยอมแพ้จนกว่าพระองค์จะทรงประสบความสำเร็จ  ข้าพระองค์รู้สึกว่าไม่ว่าขีดความสามารถของข้าพระองค์จะต่ำเพียงใด ข้าพระองค์ต้องพยายามทำให้ดีขึ้น ขยันหมั่นเพียรในการไล่ตามเสาะหาของข้าพระองค์ และไม่หมดกำลังใจ)  เป็นข้อเท็จจริงที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าผู้คนมีขีดความสามารถต่ำหรือเป็นกบฏ  แต่พระเจ้าไม่เคยตรัสว่าเพราะเหตุนี้เจ้าจะไม่ได้รับความรอด  หากพระองค์จะไม่ทรงช่วยให้เจ้ารอด เช่นนั้นแล้วเหตุใดต้องตรัสพระวจนะเหล่านี้ต่อเจ้า หรือต้องทรงยอมลำบากขนาดนั้นด้วยเล่า?  ในการทรงทำสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ เจตนารมณ์ของพระเจ้าได้รับการบอกกล่าวอย่างชัดเจนต่อมวลมนุษย์และเปิดเผยให้ทราบอย่างชัดแจ้ง  นี่ไม่ใช่ความลับแต่เป็นที่ทราบกันดี และใครก็ตามที่มีหัวใจและมีวิญญาณย่อมสามารถเข้าใจได้ พวกคนโง่เขลาที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณเท่านั้นที่สามารถคิดลบ และพวกที่ไม่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่จะรู้สึกผิดหวังและท้อใจด้วยความเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับความรอด  สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการเชื่อในพระเจ้าคือเจ้าต้องเชื่อพระวจนะและความจริงทั้งหมดที่พระองค์ตรัส  ตราบใดที่เจ้ามีการตัดสินใจแน่วแน่ และสามารถนำความจริงมาปฏิบัติได้ ตราบนั้นความจริงก็สามารถกลายเป็นชีวิตของเจ้า  ไม่สำคัญว่าชีวิตของเจ้าจะเติบโตเพียงใดในท้ายที่สุด ตราบใดที่เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในเชิงบวกและในเชิงรุกโดยไม่จงใจละเมิดพระวจนะหรือความจริง ปฏิบัติให้มากเท่าที่เจ้าเข้าใจและเพียรพยายามเพื่อความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสุดหัวใจและสุดกำลังของเจ้า ตราบนั้นก็คือการได้ตามมาตรฐาน  ข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ไม่ได้สูงเลย  ความจริงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมนั้นครอบคลุมแล้ว และพระวจนะของพระองค์มีรายละเอียดและมีความจำเพาะเป็นพิเศษ  เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?  นี่เป็นการประทานแก่มวลมนุษย์ ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มเล็กๆ กลุ่มเดียวหรือแค่ผู้คนสองสามประเภท  ในความจริงทั้งหมดที่ประทานแก่มวลมนุษย์ มีขีดจำกัดสำหรับสิ่งที่เจ้าสามารถปฏิบัติและบรรลุได้  เหตุใดเราถึงกล่าวว่ามีขีดจำกัด?  เพราะขีดความสามารถ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความสามารถที่จะเข้าใจของคนทุกคนนั้นแตกต่างกัน เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้พวกเขาและหน้าที่ทั้งหลายที่พวกเขาปฏิบัติ “ความแตกต่าง” เหล่านี้นำทางแต่ละบุคคลให้สามารถปฏิบัติและเข้าสู่เพียงบางส่วนของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และสิ่งที่พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์หรือนำไปปฏิบัตินั้นมีขีดจำกัด  ยกตัวอย่างเช่น เหมาะสมหรือไม่หากใครบางคนมีประสบการณ์กับบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วย โดยตระหนักรู้ว่าบททดสอบนั้นมาจากพระเจ้า แต่แล้วเขากลับคิดว่าพระเจ้าควรทำให้ทุกคนได้รับประสบการณ์จากบททดสอบเรื่องความเจ็บป่วยเช่นเดียวกัน?  (ไม่เหมาะสม)  เรื่องนี้มาจากเจตจำนงของมนุษย์ทั้งสิ้น  พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อคนทุกคนแตกต่างกัน และบททดสอบนี้พุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ  พระเจ้าทรงพระราชกิจต่อพวกเขาเพื่อให้พวกเขามีประสบการณ์กับบททดสอบความเจ็บป่วย  ผู้คนทั้งหมดได้รับอะไรหลังจากพระเจ้าทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งมีประสบการณ์กับบททดสอบที่เป็นความเจ็บป่วย?  ระหว่างบททดสอบ ผู้คนควรเรียนรู้วิธีการนบนอบพระเจ้า เรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะรู้จักความเป็นกบฏในตัวเอง ปรับแก้สัมพันธภาพระหว่างสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและพระผู้สร้างให้ถูกต้อง แก้ไขสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์และพระเจ้าให้ถูกต้อง และทำอย่างไรจึงจะสามารถเข้าใจพระทัยของพระเจ้า อันเป็นการสัมฤทธิ์การนบนอบพระองค์ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เข้าใจพระเจ้าผิด แต่กลับนบนอบพระองค์เสียก่อน  แง่มุมนี้ของความจริงคือสิ่งที่ทุกคนควรได้รับ  หากเจ้าได้รับความจริงแง่มุมนี้จากประสบการณ์ของคนอื่น เช่นนั้นเจ้าต้องมีประสบการณ์จากบททดสอบนี้ด้วยหรือไม่?  ไม่จำเป็น  พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้คนที่แตกต่างกัน—บางทีเป็นคนที่ถูกต้องหรือเป็นคนพิเศษบางคน—เพื่อมีประสบการณ์จากบททดสอบนี้และเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษย์และเป็นสิ่งที่พระองค์จะทรงทำ  ผู้คนบางคนได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดของการสูญเสียคนอันเป็นที่รัก และจากการสูญเสียนี้มีประสบการณ์และคำพยาน มีการนบนอบพระเจ้า มีการไว้วางใจและการเชื่อที่แท้จริง  จากพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำต่อกลุ่มผู้คนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ทุกคนสามารถมองเห็นได้ว่าคำพยานที่ว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและสิ่งที่ผู้คนควรเลือกคือการนบนอบ ไม่วิเคราะห์ ไม่ค้นคว้า หรือเถียงพระองค์ ให้พระองค์อธิบายอย่างชัดเจนและถี่ถ้วน พวกเขาควรนบนอบโดยไม่มีเงื่อนไขและไม่มีการพร่ำบ่นใดๆ  นอกจากนี้ ผู้คนควรเรียนรู้ที่จะเข้าใจความหมายและคุณค่าของพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ  จากหนทางแห่งพระราชกิจของพระเจ้าเหล่านี้ และจากพระวจนะของพระองค์ทุกแง่มุม สิ่งที่แต่ละคนมีประสบการณ์เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  ในส่วนเล็กๆ นี้ สิ่งที่เจ้ามีประสบการณ์จากพระวจนะของพระเจ้าขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของเจ้า สภาพแวดล้อมของครอบครัวเจ้า และหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ คือหนึ่งในหนึ่งหมื่นของพระวจนะทั้งหมดหรือเจ้าสามารถพูดได้เพียงหนึ่งในหนึ่งหมื่นเท่านั้น  หากเจ้าเข้าสู่หนึ่งในหนึ่งหมื่นนี้และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าอย่างไร้เงื่อนไขและโดยสมบูรณ์อย่างแท้จริง วางตัวเจ้าเองในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง และสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่พระเจ้าต้องประสงค์ให้บรรลุในตัวเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอด  นี่เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าใจและคือหนทางที่สิ่งทั้งหลายเป็นอยู่

สิ่งสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าคือพวกเจ้าอุทิศตน  อะไรคือการอุทิศตน?  ความจงรักภักดีหมายถึงจริงจังและรับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของพวกเจ้าอย่างเต็มที่ โดยไม่มีการสุกเอาเผากินแม้แต่น้อย  หากเจ้าสุกเอาเผากิน เช่นนั้นแล้ว เมื่อบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดขึ้นมา ย่อมจะเป็นเครื่องหมายของความน่าละอาย และนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน  ยิ่งไปกว่านั้น ในเรื่องงานในพระนิเวศของพระเจ้าที่มอบหมายให้พวกเจ้า ทุกคนควรสามัคคีธรรมร่วมกันให้มากขึ้น แสวงหาหลักธรรมความจริงให้มากขึ้น และค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้อง  เมื่อปัญหาทั้งหลายถูกค้นพบ ก็ควรถูกแก้ไขโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นก็ต้องรีบรายงานปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ให้กับผู้บังคับบัญชาในทันที  เพียรพยายามให้แน่ใจว่างานของพระนิเวศของพระเจ้าเป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรค ช่องโหว่หรือการล่าช้า  จงทำงานของพวกเจ้าให้ดี ส่งเสริมงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และจงปล่อยให้น้ำพระทัยของพระเจ้าดำเนินไปบนแผ่นดินโลกโดยทั่วถึง  หน้าที่ของพวกเจ้าจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีด้วยหนทางนี้  ที่จริงแล้ว ภายในขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของใครบางคน สิ่งเหล่านี้คือแง่มุมบางประการของความจริงที่พวกเขาสามารถปฏิบัติ สัมฤทธิ์ และสัมผัสถึง และการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้คือการสัมฤทธิ์มาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่พระเจ้าพึงประสงค์จากมวลมนุษย์  ความเชื่อของผู้คนบางคนอ่อนแอ บางคนเป็นคนขี้ขลาด คนอื่นก็มีขีดความสามารถต่ำหรือมีความเข้าใจที่บิดเบือน หรือมีการคิดอ่านที่โง่เขลา สิ่งเหล่านี้และสิ่งอื่นที่เป็นลบในทุกด้านย่อมจะส่งผลต่อความสามารถของผู้คนในการนำความจริงไปปฏิบัติและทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างมีประสิทธิผล  พระเจ้าทรงสร้างข้อกำหนดของพระองค์ให้กับผู้คนตามขีดความสามารถ ลักษณะนิสัยและระดับการเข้าใจความจริงของพวกเขา  มาตรฐานที่กำหนดนี้คืออะไร?  พระเจ้าทรงดูว่าคนบางคนมีความจริงใจในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ ทั้งสองสิ่งนี้คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสองประการ  ผู้คนบางคนนั้นโง่โดยธรรมชาติ มีความบิดเบือนในการเข้าใจสิ่งต่างๆ ของพวกเขา ขาดพร่องความเข้าใจในเชิงลึก เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจสิ่งใดก็ตามที่คนอื่นพูด และจำเป็นต้องให้จับมือสอน—ผู้คนเหล่านี้คือพวกที่มีขีดความสามารถต่ำ และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง  คนอื่นๆ อาจมีความรู้มากมาย หรือเต็มไปด้วยปัญญาลึกซึ้ง ภายนอกดูเฉลียวฉลาดมาก แต่มีแนวโน้มที่จะมีความบิดเบือนในการเข้าใจเรื่องที่สัมพันธ์กับความจริง  ต่อให้พวกเขาเข้าใจความจริงก็ตาม แต่พวกเขายังคงไม่สามารถยอมรับ และนี่คือจุดตายของพวกเขา  คนประเภทนี้ได้รับอิทธิพลจากความรู้และคำสอนขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนได้โดยง่าย และพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะกระทำการตามหลักธรรมความจริงหรือเปลี่ยนทัศนะของตนเองที่มีต่อสิ่งต่างๆ  ดังนั้นพวกเขาควรทำอย่างไรหากพวกเขาต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง?  สิ่งสำคัญคือการได้เห็นว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงหรือไม่  หากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ เช่นนั้นแล้วปัญหาก็จะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย แต่หากพวกเขาดื้อดึงปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้วก็จบกัน  ไม่เพียงพวกเขาจะล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี แต่เราเกรงว่าพวกเขาจะไม่มีหนทางได้รับความรอดด้วยเช่นกัน  ทั้งความสำเร็จทางการศึกษาและความฉลาดหลักแหลมของคนเราล้วนไม่สำคัญ—สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือการสามารถยอมรับความจริงและรักพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งที่พระเจ้าทรงพิจารณาคือเมื่อได้รับความรู้แจ้งเพื่อให้เข้าใจความจริงในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้นั้น เจ้าสามารถปฏิบัติความจริงได้มากเพียงใด  พระองค์ทรงดูว่าเจ้าทุ่มเทตนเองให้กับภารกิจที่พระองค์ทรงกำหนดให้มากเพียงใด เจ้าทุ่มแรงกายของเจ้าให้กับภารกิจเหล่านั้นมากขนาดไหน เจ้าใช้ความพยายามมากมายเพียงใด  ยกตัวอย่างเช่น เจ้ามีขีดความสามารถปานกลาง ไม่ได้รับการศึกษาดีมาก ความสามารถในการเข้าใจของเจ้าต่ำและบิดเบือนเล็กน้อย  สิ่งเหล่านี้คือข้อเท็จจริงที่แท้จริง  กระนั้นเมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นและพระเจ้าทรงอนุญาตให้เจ้าเห็นจุดบกพร่องทั้งหลายในสิ่งนั้น ให้เจ้าเห็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นและเป็นความรับผิดชอบของผู้ใด เมื่อนั้นเรื่องนี้ก็จะเผยให้เห็นว่าเจ้าสามารถยึดถือหลักธรรมและเป็นผู้ปฏิบัติความจริงหรือไม่  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างอุทิศตนและจริงใจต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าควรทำเช่นไรกับสิ่งนั้น?  เจ้าควรทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับความจริง เพื่อทำสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด?  ในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงดูที่ขีดความสามารถของเจ้าหรือเจ้าได้รับการศึกษาแค่ไหน หรือเจ้าเชื่อในพระองค์มาแล้วกี่ปี  พระองค์ทรงดูที่ทัศนคติและท่าทีของเจ้าต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าเจ้าจริงใจหรือไม่ และเจ้านำมโนธรรมของเจ้ามาปฏิบัติในเวลานั้นหรือไม่  หากเจ้าจริงใจต่อพระเจ้า เจ้าจะมีสำนึกแห่งความรับผิดชอบ และเจ้าจะคิดว่า “สิ่งนี้อาจไม่ได้ตกอยู่กับฉัน แต่เกี่ยวพันกับงานของคริสตจักร  ฉันต้องสอบถามข้อมูลและรับฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น”  และเมื่อเจ้าทำการสอบถามข้อมูลแล้ว เจ้าอาจเรียนรู้ว่าผู้ดูแลคนนั้นหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายและไม่รับผิดชอบมาโดยตลอด พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญและทำให้เรื่องนี้ล่าช้า  จากนั้นเจ้าจะไปหาผู้ดูแลและสามัคคีธรรมกับพวกเขา เพื่อแก้ไขประเด็นปัญหานั้นในทันที  เจ้าไม่จำเป็นต้องแสวงหาจากเบื้องบน เจ้าจะแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเอง  เจ้ามีขีดความสามารถธรรมดาและมีความบกพร่องและความผิดพลาดบ้างเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นจะส่งผลต่อการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือส่งผลต่อความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้าหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่ส่งผล  ผู้คนบางคนกล่าวว่าพวกเขาโง่เขลาและความเข้าใจของพวกเขาบิดเบือน บ้างก็กล่าวว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  และคนอื่นก็กล่าวว่า พวกเขามีขีดความสามารถต่ำและไม่ได้รับการศึกษา  หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะไม่ปฏิบัติความจริงเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือ?  พระเจ้าไม่ทรงมองที่ขีดความสามารถของผู้คนหรือระดับการศึกษาของพวกเขา  สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติความจริงเท่าใดนัก  ความขาดแคลนและความบกพร่องเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติความจริงของเจ้า หรือต่อความจงรักภักดีต่อพระเจ้าของเจ้า หรือต่อความรับผิดชอบที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  พระเจ้าทรงดูว่าเจ้าจริงใจหรือไม่—นี่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดและเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถสัมฤทธิ์ได้  พระเจ้าทรงใช้วิธีการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดเพื่อทำการประเมินวัดบุคคลแต่ละคน  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ ฉันไม่รู้ความ และฉันมีความรู้มากเกินไป นี่มีอิทธิพลต่อฉันในการนำความจริงไปปฏิบัติ”  เหล่านี้ล้วนเป็นข้อแก้ตัวทั้งสิ้นและข้อแก้ตัวเหล่านี้ฟังไม่ขึ้น  แต่เป็นเพราะเหตุใด?  เพราะนั่นไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าประเมินวัดผู้คน  นั่นเป็นมาตรฐานของตัวเจ้าเอง ไม่ใช่มาตรฐานของพระเจ้า  อะไรคือมาตรฐานของพระเจ้าเมื่อประเมินวัดใครบางคน?  พระเจ้าทรงพิจารณาว่าใครบางคนจงรักภักดีต่อพระองค์หรือไม่ และเขาจริงใจหรือไม่  หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่สำคัญว่าความเข้าใจของเจ้าจะบิดเบือนหรือไร้สาระสักเล็กน้อยหรือไม่  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ”  แล้วเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าจงรักภักดี เช่นนั้นแล้วย่อมจะไม่ส่งผลต่อการนำความจริงไปปฏิบัติของเจ้า  นี่ชัดเจนเพียงพอหรือไม่?  หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยความจริงใจ เจ้าจะยังคงคิดลบและอ่อนแอเมื่อถูกตัดแต่งหรือไม่?  เช่นนั้นแล้วควรทำเช่นใดหากเจ้าคิดลบและอ่อนแอจริงๆ?  (พวกเราควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า พยายามคิดในสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนด คิดทบทวนในสิ่งที่พวกเราขาดพร่อง สิ่งผิดพลาดที่พวกเราได้ทำลงไป ในบริเวณที่เราได้ร่วงหล่น นั่นเป็นจุดที่พวกเราควรไต่กลับขึ้นมาอีกครั้ง)  ถูกต้อง  การคิดลบและความอ่อนแอไม่ใช่ปัญหาใหญ่  พระเจ้าไม่ได้ทรงกล่าวโทษพวกเขา  ตราบเท่าที่ใครบางคนสามารถไต่กลับขึ้นมายังจุดพวกเขาได้ตกลงไป และเรียนรู้บทเรียนของพวกเขา และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้เป็นปกติ ก็แค่เพียงเท่านั้นเอง  จะไม่มีใครทำให้เจ้าลำบากใจ ดังนั้นจงอย่าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  หากเจ้าละทิ้งหน้าที่ของเจ้าและหลบหนีจากหน้าที่นั้น เจ้าก็จะทำลายตัวเองให้ย่อยยับโดยสิ้นเชิง  ทุกคนคิดลบและอ่อนแอได้เป็นบางครั้ง—เพียงแค่ค้นหาความจริง ความคิดลบและความอ่อนแอย่อมจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย  สภาวะของผู้คนบางคนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าหนึ่งบทหรือร้องเพลงนมัสการเพียงสองสามเพลง พวกเขาสามารถเปิดหัวใจของพวกเขาในการอธิษฐานถึงพระเจ้า และพวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์  เช่นนั้นแล้วปัญหาของพวกเขาจะไม่ได้รับการแก้ไขหรือ?  ที่จริงแล้ว การถูกตัดแต่งเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่ง  ถึงแม้พระวจนะที่ตัดแต่งเจ้าจะกร้าวกระด้าง จะกัดกร่อนไปบ้าง นั่นเพราะเจ้ากระทำการโดยไม่ใคร่มีสำนึก และเจ้าได้ละเมิดหลักธรรมโดยไม่มีแม้แต่การตระหนักรู้—เจ้าจะไม่ถูกตัดแต่งในรูปการณ์แวดล้อมเช่นนั้นได้อย่างไร?  การตัดแต่งเจ้าด้วยวิธีนี้เป็นการช่วยเหลือเจ้าอย่างแท้จริง นี่คือความรักสำหรับเจ้า  เจ้าควรเข้าใจเรื่องนี้และไม่พร่ำบ่น  ดังนั้น หากการตัดแต่งก่อให้เกิดความคิดลบและการพร่ำบ่น นั่นคือความโง่เขลาและการไม่รู้ความอันเป็นพฤติกรรมของใครบางคนที่ไร้สำนึก

สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องมุ่งเน้นเมื่อเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  ไม่ว่าขีดความสามารถของใครบางคนจะสูงหรือต่ำก็ตาม ไม่ว่าพวกเขามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่ หรือการตัดแต่งที่พวกเขาเผชิญอยู่จะเป็นแบบไหนก็ตาม—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเลย  สิ่งสำคัญในทุกวันนี้คืออะไร?  คือหนทางที่พวกเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  ในการทำเช่นนั้น อะไรคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดที่ใครบางคนควรจะมี?  พวกเขาต้องมีหัวใจที่จริงใจ  จริงใจหมายถึงอะไร?  หมายถึงการไม่ปลิ้นปล้อนเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับพวกเจ้า ไม่พิจารณาผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่วางอุบายต่อผู้อื่น และไม่เล่นเกมหลอกลวงพระเจ้า  หากเจ้าสามารถคดโกงพระเจ้าและขาดพร่องความจริงใจต่อพระองค์ เช่นนั้นชีวิตเจ้าก็จบสิ้นลงโดยสิ้นเชิงและพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด ดังนั้นอะไรคือประเด็นของการเข้าใจความจริง?  เจ้าอาจมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถที่ดี มีคารมคมคาย และสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีการคาดคะเนตามหลักเหตุผล และเข้าใจทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส แต่หากเจ้าเล่นเกมหลอกลวงพระเจ้าเมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า นี่คืออุปนิสัยเยี่ยงซาตานและเป็นสิ่งที่อันตรายมาก  ขีดความสามารถของเจ้าไม่มีประโยชน์ไม่ว่าจะดีเพียงใดก็ตาม และพระเจ้าจะไม่ต้องประสงค์เจ้า  พระเจ้าจะตรัสว่า “เจ้าพูดได้ดี มีขีดความสามารถที่ดี มีไหวพริบ และมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ แต่มีปัญหาเพียงเรื่องเดียว—เจ้าไม่รักความจริง”  ผู้ที่ไม่รักความจริงเหล่านั้นเป็นปัญหา และพระเจ้าไม่ต้องประสงค์พวกเขา  บุคคลที่ไม่มีจิตใจที่ดีจะถูกกำจัดออกไป เปรียบเสมือนรถยนต์ที่เหมือนดูแลดีจากสภาพภายนอกแต่เครื่องยนต์ที่ใช้การไม่ได้จะถูกโละทิ้งทั้งหมด  ผู้คนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน  ไม่สำคัญว่าขีดความสามารถของเจ้าจะดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าฉลาด มีคารมคมคาย หรือมีความสามารถเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้ารับมือกับปัญหาได้ดีเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไม่มีประโยชน์ และนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  ดังนั้นอะไรคือเรื่องสำคัญ?  เป็นเรื่องของหัวใจใครบางคนว่ารักความจริงหรือไม่  ไม่เกี่ยวกับการฟังว่าพวกเขาพูดอย่างไร แต่อยู่ที่พวกเขากระทำอย่างไร  พระเจ้าไม่ทรงดูสิ่งที่เจ้าพูดหรือสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระองค์  พระองค์ทรงดูว่าสิ่งที่เจ้าทำมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  อีกอย่างพระเจ้าไม่สนพระทัยว่าการกระทำของเจ้าสูงส่ง ลุ่มลึก หรือทรงพลังเพียงใด และต่อให้เจ้าทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพียงใดก็ตาม หากพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความจริงใจในทุกการเคลื่อนไหวของเจ้า พระองค์จะตรัสว่า “บุคคลผู้นี้เชื่อในตัวเราอย่างจริงใจ  พวกเขาไม่เคยโอ้อวด  พวกเขาประพฤติปฏิบัติตามตำแหน่งหน้าที่ของตน  แม้พวกเขาอาจไม่ได้สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อพระนิเวศของพระเจ้าและมีขีดความสามารถต่ำ พวกเขายังคงแน่วแน่และมีความจริงใจในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ”  “ความจริงใจ” ที่ว่านี้ประกอบด้วยอะไรบ้าง?  ความจริงใจที่ว่าประกอบด้วยความยำเกรงและการนบนอบพระเจ้า รวมไปถึงความเชื่อและความรักที่แท้จริง ประกอบด้วยทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จะเห็น  ผู้คนเช่นนี้อาจดูไม่พิเศษในสายตาของผู้อื่น และพวกเขาอาจเป็นคนทำอาหารหรือทำความสะอาด เป็นใครบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ธรรมดา  ผู้คนเช่นนี้ไม่โดดเด่นสำหรับผู้อื่น ไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่น่ายกย่อง น่าชื่นชมหรือน่าอิจฉา—พวกเขาเป็นเพียงผู้คนธรรมดา  แต่ทุกสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์พบได้ในหมู่พวกเขาและมีชีวิตในหมู่พวกเขา และพวกเขาทุ่มเทให้กับพระเจ้า  จงบอกเราว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งใดมากไปกว่านี้อีก?  พระองค์พอพระทัยพวกเขา  เพราะฉะนั้น จงอย่าเพิ่งหมดกำลังใจและคิดลบเพียงเพราะวุฒิภาวะของเจ้าน้อยเกินไปและเพราะเจ้าไม่เข้าใจความจริง หรือเพราะเจ้าเห็นผู้อื่นเดินบนเส้นทางแห่งการได้รับการทำให้เพียบพร้อมหลังจากเผชิญหน้าความทุกข์เข็ญและกำลังมีประสบการณ์จากบททดสอบและการถลุง และจงอย่าคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงรักเจ้าหรือไม่ทรงเต็มใจทำให้เจ้าเพียบพร้อม  อะไรคือความเร่งรีบของเจ้า?  สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับบุคคลแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และเมื่อเจ้าประเมินวัดตัวเอง ประการแรก จงประเมินวัดสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้กับเจ้าและภาวะทั้งหลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นล้วนเป็นสิ่งดี  ใครบางคนอาจกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันยังคงดีอยู่หรือไม่?”  ใช่ เป็นสิ่งดี  คนบางคนอาจกล่าวว่า “ฉันโง่มาก  สิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันยังคงดีอยู่หรือไม่?”  ใช่ ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งดี  ทำไมถึงดีทั้งหมด?  หากเจ้าไม่โง่ เจ้าก็อาจจะโอหังและลืมที่ทางของเจ้า ดังนั้น นี่จึงคุ้มครองเจ้าและเป็นสิ่งที่ดี  หากพวกเจ้าทุกคนมีความสามารถและทักษะที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเจ้าเป็นอยู่ในปัจจุบัน ใครจะสามารถรักษาความประพฤติดีและความเต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า?  ไม่ใช่ว่ามีผู้คนบางส่วนที่เป็นเช่นนี้ แต่มีไม่มากหรอกหรือ?  (ใช่)  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีและถูกต้อง เพียงแต่ผู้คนไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน  ผู้คนมักต้องการจากพระเจ้ามากขึ้นอยู่เป็นนิจ ราวกับว่า ยิ่งพระองค์ประทานให้ใครบางคนมากเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งสามารถนำความจริงไปปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น  พระเจ้าได้ประทานให้เจ้าอย่างเพียงพอแล้ว พระองค์ประทานให้เจ้าทุกอย่างและประทานชีวิตของพระองค์ให้กับเจ้า แล้วเจ้ายังต้องการอันใดอีก?  พระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำมีมากมายและเพียงพอสำหรับมวลมนุษย์  ไม่มีสิ่งใดที่ผู้คนสามารถเรียกร้องต่อพระเจ้าและพวกเขาไม่ควรพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์พร้อมกล่าวว่า “ฉันจะทำสิ่งใดได้ด้วยขีดความสามารถหรือพรสวรรค์อันน้อยนิดที่พระเจ้าประทานให้กับฉัน?”  เจ้าสามารถทำได้มากมายเหลือเกิน  สิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดฝัน—พระองค์ต้องประสงค์ให้เจ้านำความจริงไปปฏิบัติ ทำสิ่งทั้งหลายตามหลักธรรม และลุล่วงหน้าที่ทั้งหลายที่เจ้าควรลุล่วง  เจ้าไม่ทำสิ่งที่เจ้าสามารถทำได้ แต่ทำในสิ่งที่เจ้าไม่สมควรทำอย่างมืดบอด  นี่เรียกว่าการละเลยการงานของเจ้า  เจ้าไม่ได้วางจุดมุ่งหมายสูงเกินไปสักหน่อยหรือ?  (สูงเกินไป)  ผู้คนต้องการทำอะไร?  ต้องการสร้างเกียรติยศท่ามกลางผู้อื่น ต้องการให้คำพูดและการกระทำของพวกเขาน่าเลื่อมใสและได้รับการยกย่องอย่างสูง และมีชื่อเสียงในวงกว้าง  พระเจ้าไม่ต้องประสงค์ให้เจ้ากลายเป็นบุคคลประเภทนั้น ดังนั้นพระองค์จึงไม่ประทานสิ่งเหล่านั้นให้กับเจ้า  หากเจ้ามีโอกาสได้เป็นบุคคลประเภทนั้น เจ้าจะเต็มใจปฏิเสธหรือไม่?  เจ้าสามารถปล่อยมือไปง่ายๆ หรือไม่?  ผลที่ตามมาเป็นอันตราย  เจ้าสันนิษฐานว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของดีใช่หรือไม่?  เหตุใดผู้คนบางคนจึงกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์?  ไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาพอมีทักษะอยู่บ้างเล็กน้อย แล้วพวกเขาก็เลยโอหังอย่างยิ่งหรอกหรือ?  เหตุใดพวกเขาจึงสามารถเดินบนเส้นทางนั้นได้?  พวกเขาเป็นบุคคลประเภทที่ว่า ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องเดินบนเส้นทางนั้น และพระเจ้าไม่ทรงมีแผนการในการตรัสความจริงกับพวกเขาหรือช่วยพวกเขาให้รอด  ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เจ้าย่อมแตกต่างจากสิ่งที่พระองค์ประทานให้คนอื่นอย่างแน่นอน  หากเจ้าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอ และต้องการมีเหมือนกับสิ่งที่พวกเขามีอยู่เป็นนิจ นี่คือความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่?  เจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า!  เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าตระหนักรู้ว่าขีดความสามารถของเจ้าต่ำ เจ้าไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและมีความเข้าใจที่บิดเบี้ยว เจ้าอ่อนแออยู่เป็นนิจ หรือคิดว่าเจ้ามีปัญหาและข้อบกพร่องมากมายเกินไป ก่อนอื่นเจ้าต้องไตร่ตรองว่าเหตุใดพระเจ้าไม่ประทานพรสวรรค์พิเศษให้กับเจ้า  มีเจตนารมณ์อันดีงามของพระองค์อยู่ในเรื่องนี้  ลองดูอีกครั้งว่าเส้นทางใดที่คนที่มีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษเหล่านั้นส่วนใหญ่เลือกเดิน และท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขาคืออะไร  อะไรคือประโยคที่เจ้าจะต้องการพูดมากที่สุดทันทีที่เจ้าเข้าใจในเรื่องนี้?  (ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการคุ้มครองของพระองค์)  ถูกต้อง เจ้าควรขอบคุณพระเจ้าและกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงดีกับข้าพระองค์เหลือเกิน พระองค์ไม่ได้ประทานพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษและทำให้ข้าพระองค์เป็นเหมือนคนเขลา คนโง่  นี่คือพรของข้าพระองค์!  ข้าพระองค์ไม่คิดลบหรือเศร้าเสียใจ  สิ่งที่ข้าพระองค์ขาดพร่องในเวลานี้คือความจริงใจและการจงรักภักดีต่อพระองค์  ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้ฉลาดหลักแหลมและมีคารมคมคาย หรือขอพรสวรรค์และความสามารถพิเศษ  ข้าพระองค์เพียงต้องการมอบถวายความจริงใจของข้าพระองค์ต่อพระองค์  พรสวรรค์ ความสามารถพิเศษและความรู้รวมทั้งสถานะและชื่อเสียงในหมู่ผู้คนไม่ใช่สิ่งดี และข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น”  นี่ไม่ได้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงหรอกหรือ?  (แสดงถึงการเปลี่ยนแปลง)  ดังนั้นเจ้าสามารถยังคงอยู่ในความเจ็บปวดและร่ำไห้เพราะเจ้ายังขาดพร่องอีกมากมายเหลือเกินหรือไม่?  เจ้าจะไม่ทำเช่นนี้อีกและจะไม่รู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม  มิฉะนั้น เมื่อผู้อื่นตัดแต่งเจ้าและเจ้าคิดว่า “ฉันโง่ ทุกคนบนโลกดูถูกฉัน และฉันจะไม่มีวันได้รับการส่งเสริมหรือครอบครองตำแหน่งที่สำคัญในพระนิเวศของพระเจ้าได้เลย”  ความหมายโดยนัยก็คือ  “พระเจ้าประทานให้ฉันน้อยนิดเหลือเกิน แล้วพระองค์ประทานให้ผู้อื่นมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?”  เจ้ามักพร่ำบ่นในหัวใจของเจ้าและรู้สึกอยู่เป็นนิจ  อันที่จริง พรอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงเจ้าและเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำ  หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต มุมมองของเจ้าจะแตกต่างออกไปใช่หรือไม่?  (ใช่ แตกต่างออกไป)  ผู้คนจะเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อมุมมองของพวกเขาแตกต่างจากเดิม?  (พวกเขาจะไม่มีจุดมุ่งหมายที่สูงลิบและไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่สูงส่งเช่นนั้น และจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดีด้วยหัวใจที่สำนึกในบุญคุณและอยู่กับความเป็นจริง)  พวกเขาสามารถมีเหตุผลที่หนักแน่น มีชีวิตที่แท้จริงและตามความเป็นจริง และไล่ตามเสาะหาเป้าหมายที่แตกต่างกัน  จงบอกเราว่า เป็นการดีกว่าหรือไม่ที่พระเจ้าทำให้เจ้าเป็นคนเขลาและเป็นคนโง่ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกควรและเป็นจริงเพื่อที่เจ้าจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด หรือให้พระองค์ประทานขีดความสามารถสูงๆ การศึกษาระดับสูง หน้าตาดีและคารมที่คมคาย รวมทั้งความสามารถในการทำงานและจุดแข็งที่พิเศษ เพื่อที่ว่าไม่ว่าเจ้าไปที่ใด ผู้คนจะยอมรับนับถือเจ้า และเจ้าคือยักษ์ท่ามกลางคนแคระ จากนั้นเจ้าก็จะเดินบนเส้นทางของศัตรูพระคริสต์?  เจ้าจะเลือกแบบไหนดี?  (การเป็นคนเขลาและคนโง่ย่อมดีกว่า)  ตอนนี้เจ้าสามารถพูดเช่นนี้ได้ แต่หากใครบางคนเรียกเจ้าว่าคนเขลาและคนโง่จริงๆ ก็จะทำให้เจ้าไม่พอใจ  เจ้าต้องคิดเช่นนี้ว่า “แม้ขีดความสามารถของฉันจะต่ำและฉันไม่รู้ความ ฉันก็ยังดีกว่าพวกคนชั่วและศัตรูของพระคริสต์ทั้งหลายเพราะฉันยังมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอยู่”  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะชูใจตนเอง  (ฉันจำได้ว่ามีคนอื่นอีกสองสามคนที่เชื่อในพระเจ้าร่วมกับฉัน  พวกเขาทุกคนล้วนมีขีดความสามารถสูงและฉลาดมาก แต่เพราะพวกเขามักต่อสู้เพื่ออำนาจและผลประโยชน์ และก่อกวนงานของคริสตจักรอยู่เสมอ พวกเขาถูกคัดออกและถูกขับออกไป  ฉันรู้สึกเหมือนฉันสามารถมาถึงจุดที่ฉันเป็นอยู่ในวันนี้ได้เพราะฉันมีขีดความสามารถต่ำ ฉันโง่ และฉันสามารถประพฤติตัวดี—นี่คือการคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน)  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงคุ้มครองเจ้า?  เพราะเจ้าโง่ใช่หรือไม่?  หรือพระองค์ทรงเห็นใจผู้อ่อนแอ?  ไม่ใช่ พระองค์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่เหมือนที่บรรดาผู้ไม่มีความเชื่อกล่าวว่า เด็กที่ร้องไห้ย่อมได้รับลูกกวาด  ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  วิธีที่จะมองเรื่องนี้ให้ชัดเจนคืออะไร?  วิธีพิจารณาแบบไหนที่สอดคล้องกับความจริง  (เพราะผู้คนเชื่อด้วยความจริงใจและความรักในความจริงเล็กน้อยในหัวใจ และเต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง—พระเจ้าช่วยผู้คนที่มีหัวใจเช่นนี้ให้รอด และด้วยเหตุนี้จึงทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมต่างๆ เอาไว้คุ้มครองพวกเขา)  ถูกต้อง  การคุ้มครองของพระเจ้าต่อเจ้าแลกเปลี่ยนกับความจริงใจของเจ้าที่มีต่อพระองค์  ดังนั้นอะไรคือสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุด?  ความจริงใจของมนุษย์ล้ำค่ามากที่สุด  เจ้ามีความรักเล็กน้อยให้กับสิ่งที่เป็นบวกและมีความจริงใจต่อพระเจ้า และเจ้าแลกเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้กับการคุ้มครองและพระคุณของพระเจ้า—เจ้าได้รับมามากมาย  ใครบางคนอาจกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ และแม้ฉันได้รับมาอย่างมากมาย แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย”  เจ้าไม่ค่อยเข้าใจใช่หรือไม่?  ความสามารถของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้าในวันนี้สัมพันธ์กับความเข้าใจในความจริงของเจ้า  คนอื่นอาจกล่าวว่า “ฉันเข้าใจอะไรบ้าง?  ฉันไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน”  เจ้าอาจจะไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่เจ้าสามารถยืนหยัดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้าเข้าใจมากมาย  ไม่ว่าความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ของเจ้าจะล้ำลึกหรือตื้นเขินเพียงใด สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์และใกล้เคียงกับความจริงอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าได้รับการเกื้อหนุนจนถึงตอนนี้และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้อย่างต่อเนื่อง  ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  การคิดว่าเจ้าเป็นคนเขลาหรือเป็นคนโง่ไม่ใช่สิ่งไม่ดี  เมื่อพิจารณาเรื่องนี้ในตอนนี้ “เขลา” และ “โง่เง่า” เป็นฉายาที่ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามหรือความหมายในทางดูแคลน  การถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่ เมื่อเปรียบเทียบกับการถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์ แบบไหนดีกว่ากัน?  (การถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่ย่อมดีกว่า)  หากวันหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “มาตรงนี้เถิดคนเขลา มาตรงนี้เถิดคนโง่” เจ้าอาจจะไม่ยินดี แต่หากเจ้าไตร่ตรองโดยคิดว่า “พระองค์ทรงเรียกฉันว่าคนโง่ ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นฉันจะเข้าไปหา”  แล้วเจ้าก็ไปอย่างมีความสุข  จากนั้นเมื่อใครบางคนถามว่า “ทำไมคุณถึงมีความสุขนักที่ถูกเรียกว่าคนโง่”  และเจ้าตอบว่า “พระองค์ทรงเรียกฉันว่าคนโง่และไม่ได้ตรัสว่าฉันเป็นศัตรูของพระคริสต์ หรือตรัสว่าฉันไม่สามารถได้รับความรอด  นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันมีความสุข”  การที่ทรงเรียกเจ้าว่าคนโง่ไม่ใช่การปฏิบัติต่อเจ้าเช่นคนนอก แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว เป็นใครบางคนที่คุ้นเคย  ก็เหมือนที่ผู้คนเรียกลูกหลานของพวกเขาว่า “ปิศาจน้อย” มันอาจจะฟังดูหยาบไปสักนิด แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นความจริงและเป็นเพียงคำพูดแสดงความรักเท่านั้น  หากเจ้าถูกเรียกว่าศัตรูของพระคริสต์จะเป็นอย่างไร?  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะต้องเดือดร้อน เพราะการเปลี่ยนชื่อเรียกหมายถึงนิสัยที่แตกต่างออกไป และจุดจบของเจ้าก็จะแตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน  พวกเจ้าจะเลือกแบบไหน?  (ฉันเลือกที่จะถูกเรียกว่าคนเขลาและคนโง่)  ไม่ใช่เรื่องดีที่เป็นคนเขลาและคนโง่อยู่เสมอ ต้องปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าให้ดีขึ้นสักนิดด้วย  ขีดความสามารถของเจ้าได้รับการปรับปรุงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่?  (มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มากเกินไปนัก)  ในเรื่องของการเข้าสู่ชีวิต หากเจ้าทำงานหนักและเพียรพยายามอย่างแท้จริงต่อไป เจ้าย่อมจะดีขึ้นได้อย่างแน่นอน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เห็นการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยส่วนใหญ่ในพริบตา  นี่เป็นกระบวนการการเติบโตอย่างช้าๆ แต่ตราบใดที่เจ้ามีการเข้าสู่ ตราบนั้นเจ้าจะไม่ถดถอย และตราบใดที่เจ้ายังไล่ตามเสาะหา ตราบนั้นการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจะเติบโตอย่างช้าๆ ทีละน้อย

ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพระเจ้าที่จะทรงพระราชกิจความจริงสู่ผู้คน  การนี้ไม่ได้เกิดขึ้นรวดเร็วเท่ากับความเร็วของการงอกของเมล็ดพันธุ์เมื่อถูกปลูกลงบนแผ่นดินโลก—การนี้แตกต่างกันมาก  ความรอดของพระเจ้าต่อมนุษย์นั้นคือการชำระล้างอย่างสมบูรณ์และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเขา และด้วยการอนุญาตให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงความจริงในพระวจนะของพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย  ถึงแม้เจ้าฟังคำเทศนา อ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานและมีประสบการณ์ในทุกๆ วัน ความก้าวหน้าของเจ้าจะถูกจำกัด และการเติบโตของชีวิตเจ้าจะเชื่องช้า  คนบางคนจำเป็นต้องมีกระบวนการมากมายเพื่อการเข้าใจความจริง  ผู้คนจำเป็นต้องมีประสบการณ์ซ้ำๆ กันหลายครั้ง และพวกเขาจำเป็นต้องพากเพียรและอุตสาหะในการพยายามเข้าใจความจริงต่อไป—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความจริงได้  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มีความจำเป็นด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ผู้คนได้รับจะยิ่งถูกจำกัดมากขึ้นไปอีก  ผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้ามานานยี่สิบหรือสามสิบปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดคำพยานจากประสบการณ์ของพวกเขาได้  นี่เพราะพวกเขาไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทุ่มเทความพยายามด้วยความตั้งใจเพื่อการเข้าใจความจริง ส่งผลให้ไม่ได้รับอะไรเลยแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายทศวรรษแล้วก็ตาม  ผู้คนจำเป็นต้องเข้าใจความจริง มีประสบการณ์และทำความเข้าใจความจริง และพวกเขาจำเป็นต้องให้พระเจ้าจัดเตรียมสภาพแวดล้อมไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะ  การรวมแง่มุมที่แตกต่างกันเหล่านี้เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้คนมีความเข้าใจและมีการเข้าสู่เล็กน้อย  ทันทีที่สิ่งนี้เกิดขึ้นภายในตัวเจ้า สิ่งนี้จะให้ความรู้ ความรู้สึกและความคิดที่แตกต่างกันแก่เจ้า ส่งผลให้จิตสำนึกและความคิดของเจ้าก้าวหน้าและเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งต่อมาจะทำให้ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อยและเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อความจริงของเจ้าและเส้นทางชีวิตของเจ้าเองเล็กน้อยด้วย  ทั้งหมดนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเหล่านี้จะทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อทัศนคติที่เจ้ามีต่อชีวิต และต่อความคิดและทัศนะของเจ้า และต่อท่าทีของเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายและที่มีต่อพระเจ้า  นี่คือพลังแห่งพระวจนะของพระเจ้า—ความจริง

บทตัดตอน 89

ในระหว่างที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอด พระองค์ประทานมาตรฐานขั้นต่ำใดให้แก่ผู้คน โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาจะเป็นกบฏเพียงใด หรืออุปนิสัยของพวกเขาจะเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งขนาดไหน?  กล่าวคือ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดที่พระเจ้าทรงทอดทิ้งและกำจัดผู้คนออกไป?  อะไรคือมาตรฐานขั้นต่ำที่สุดที่เจ้าต้องบรรลุเพื่อให้พระเจ้าทรงเก็บเจ้าไว้และไม่กำจัดเจ้า?  นี่คือสิ่งที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนต้องเข้าใจอย่างชัดเจน  ประการแรก จงอย่าปฏิเสธพระเจ้า—นี่คือเงื่อนไขพื้นฐานที่สุด  สิ่งที่หมายถึงการไม่ปฏิเสธพระเจ้านั้นมีเนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  นั่นไม่ใช่เพียงการยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งสถิตอยู่บนท้องฟ้า หรือพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าพระนามของพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  นี่ย่อมไม่เพียงพอ การนี้ไม่ถึงมาตรฐานของการเชื่อในพระเจ้า  อย่างน้อยที่สุด เจ้าต้องตระหนักว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์คือพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง เจ้าต้องไม่สงสัยหรือตัดสิน เจ้าต้องสามารถนบนอบแม้เจ้าจะมีมโนคติอันหลงผิดก็ตาม—นี่คือมาตรฐานของการเชื่อในพระเจ้า  ด้วยการบรรลุถึงมาตรฐานนี้เท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงยอมรับว่าเจ้าคือคนที่เชื่อในพระองค์  พระเจ้าทรงมีมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับผู้คนสามประการเป็นอย่างน้อย  มาตรฐานขั้นต่ำประการแรก พวกเขาต้องยอมรับพระองค์ เชื่อในพระองค์ และติดตามพระองค์  พวกเขาต้องเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ พวกเขาต้องทำหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถ และพวกเขาต้องไม่ทำชั่วหรือก่อให้เกิดการก่อกวน  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำประการแรก  มาตรฐานขั้นต่ำประการที่สอง ในครรลองของการติดตามพระเจ้า อย่างน้อยที่สุด พวกเขาต้องไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน  พวกเขาต้องเชื่อฟังและนบนอบขณะปฏิบัติหน้าที่ของตน สัมฤทธิ์ผลลัพธ์โดยเฉลี่ยในหน้าที่ และอย่างน้อยที่สุด ได้มาตรฐานในการลงแรงของพวกเขา  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำประการที่สอง  มาตรฐานขั้นต่ำประการที่สาม ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต้องได้มาตรฐาน  พวกเขาต้องได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนดี หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นผู้คนที่มีมโนธรรมและเหตุผล  โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาควรที่จะสามารถเข้ากันได้กับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรส่วนใหญ่ และไม่เป็นปลาเน่า  อย่างน้อยที่สุด ผู้คนเช่นนี้ก็ไม่ใช่ผู้คนที่ชั่วหรือไม่ดี  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำประการที่สาม  หากใครบางคนไม่สามารถยอมรับความจริงได้ และไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง—อย่างน้อยที่สุด ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาก็ไม่ได้มาตรฐาน  นี่หมายความว่าพวกเขาได้จมต่ำลงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำและต้องถูกกำจัด  บรรดาผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ที่ไม่ดี ผู้ที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้เลยแม้แต่น้อย ผู้ที่ก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวาง และไม่เล่นบทบาทที่เป็นบวกในคริสตจักรทั้งหมด อาจถูกระบุลักษณะเป็นผู้คนที่ชั่ว  ใครบางคนที่ไม่สามารถเข้ากันได้กับผู้คนส่วนใหญ่คือปลาเน่า เป็นคนชั่ว และยิ่งไปกว่านั้นคือ พวกเขาคือคนบางคนที่ได้จมต่ำลงกว่าบรรทัดฐานและควรถูกกำจัดออกไป  คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นอาจปฏิบัติหน้าที่ ทว่าพวกเขาเพียงก่อให้เกิดการขัดขวาง การก่อกวน การทำลายล้าง และทำชั่ว—พระเจ้าจะประสงค์ผู้คนเยี่ยงนี้ได้หรือ?  พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่หรือไม่?  (พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตน)  ในสายพระเนตรของพระเจ้า การกระทำของพวกเขาได้ฝ่าฝืนมาตรฐานขั้นต่ำไปแล้ว  พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ และความเสียหายที่พวกเขาก่อให้เกิดขึ้นนั้นเกินกว่าหน้าที่ใดก็ตามที่พวกเขาปฏิบัติเสียอีก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องถูกชำระออกจากคริสตจักร  นี่คือหลักธรรมที่ผู้คนได้รับการปฏิบัติในพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  มีใครเคยถูกเอาตัวออกไปเพราะพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ชั่วขณะหนึ่ง และรู้สึกเป็นลบและอ่อนแอหรือไม่?  มีใครเคยถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนเพราะพวกเขาทำอย่างสุกเอาเผากินเล็กน้อยเป็นบางโอกาสและไม่ปฏิบัติหน้าที่ให้ดีบ้างหรือเปล่า?  มีใครเคยถูกเอาตัวออกไปเพราะพวกเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์อันต่ำต้อยในหน้าที่ของตน หรือเพราะพวกเขาเผยความคิดหรือแนวคิดบางอย่างที่ไม่ดีหรือไม่?  มีใครเคยถูกเอาตัวออกไปเพราะพวกเขามีวุฒิภาวะอ่อนด้อย รวมถึงมีมโนคติอันหลงผิดและความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าเกิดขึ้นในตัวพวกเขาหรือเปล่า?  (ไม่มี)  เช่นนั้นแล้ว หลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในการเอาผู้คนออกไปคืออะไร?  ผู้คนแบบไหนที่ถูกเอาตัวออกไปและถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ของตน?  (พวกที่การลงแรงของพวกเขาก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าผลดี และพวกที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนมาโดยตลอด)  คนประเภทนี้ไม่คู่ควรต่อการปฏิบัติหน้าที่  นี่ไม่ได้หมายความว่าใครบางคนมีอคติกับพวกเขาหรือจำกัดพวกเขาและเอาพวกเขาออกไปเพราะความพยาบาทส่วนตัว แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ในหน้าที่ของตน และพวกเขาก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน  พวกเขาถูกเอาตัวออกไปก็เพราะพวกเขาไม่คู่ควรกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริง  การนี้เป็นไปโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง  หลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้รับมือและปฏิบัติต่อผู้คนล้วนเป็นธรรม  พระนิเวศของพระเจ้าไม่พยายามจ้องจับผิดผู้คน ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือก่อความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผล  พวกเจ้าต้องเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าถูกปกครองโดยความจริง  แน่นอนว่า ผู้คนบางคนที่ถูกเอาตัวออกไปแล้วอาจยังคงมีความหวังที่จะได้รับความรอดหากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงได้ และกลับใจต่อพระเจ้าอย่างจริงใจ  แต่พวกผู้ไม่เชื่อและคนชั่วที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้แม้เพียงเล็กน้อย พวกที่ขาดมโนธรรมและเหตุผล จะถูกกำจัดออกไปตลอดกาลหลังจากที่พวกเขาถูกเผยออกมา  นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า

บทตัดตอน 90

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงประสงค์ให้ผู้คนรู้จักพระองค์?  เหตุใดพระองค์จึงทรงประสงค์ให้ผู้คนรู้จักตัวเอง?  อะไรคือจุดประสงค์ของการรู้จักตัวเอง?  อะไรคือผลลัพธ์ที่ต้องการ?  และอะไรคือจุดประสงค์ของการรู้จักพระเจ้า?  การทำให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าจะสัมฤทธิ์ผลใดต่อพวกเขา?  พวกเจ้าเคยพิจารณาคำถามเหล่านี้หรือไม่?  พระเจ้าทรงใช้วิถีทางนานัปการเพื่อทำให้ผู้คนรู้จักตัวเอง  พระองค์ได้จัดเตรียมสภาพแวดล้อมทุกรูปแบบเพื่อให้ผู้คนเผยความเสื่อมทรามของตน และให้พวกเขาค่อยๆ รู้จักตนเองผ่านประสบการณ์อย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปงจากพระวจนะของพระเจ้า หรือการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ พวกเจ้าเข้าใจเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในทรงพระราชกิจนี้หรือไม่?  จุดประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยหนทางนี้คือ ทรงอนุญาตให้คนทุกคนที่มีประสบการณ์ในพระราชกิจของพระองค์รู้ว่ามนุษย์คืออะไร  และ “การรู้ว่ามนุษย์คืออะไร” หมายถึงอะไร?  หมายถึงการให้มนุษย์รู้จักตัวตนและสถานะของตนเอง รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบของตน  นั่นหมายถึงการให้เจ้ารู้จักความหมายของการเป็นมนุษย์ การให้เจ้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นใคร  นี่คือเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในการทำให้ผู้คนรู้จักตนเอง  แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงให้ผู้คนรู้จักพระองค์?  นี่คือพระคุณพิเศษที่พระองค์ทรงประทานให้แก่มวลมนุษย์ เพราะมนุษย์สามารถเข้าใจความจริงทั้งหลายและสามารถมองทะลุความล้ำลึกมากมายได้ด้วยการรู้จักพระเจ้า  ผู้คนได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากการรู้จักพระเจ้า  เมื่อผู้คนรู้จักพระเจ้า พวกเขาย่อมเรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตในหนทางที่มีความหมายมากที่สุด ดังนั้นการให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า เป็นพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์  และพระเจ้าทรงมีหนทางมากมายเพื่อให้ผู้คนรู้จักพระองค์ ซึ่งหนทางที่สำคัญที่สุดคือการพิพากษาและการตีสอน การทรงนำ และการจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์  แน่นอนว่าพระองค์ทรงทำให้ผู้คนรู้จักอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการพิพากษาและการตีสอนด้วยเช่นกัน—นี่เป็นทางลัดในการรู้จักพระเจ้า  อะไรคือผลลัพธ์สูงสุดที่สัมฤทธิ์ได้โดยผู้คนที่เห็นและรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า?  ผลลัพธ์สูงสุดคือการทำให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าคือใคร แก่นแท้ของพระองค์คืออะไร พระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์คืออะไร สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคืออะไร และพระอุปนิสัยของพระองค์เป็นอย่างไร  นั่นทำให้คนทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นพระผู้สร้าง และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรนบนอบต่อพระผู้สร้างอย่างไร  เส้นทางในชีวิตของมนุษย์ย่อมกระจ่างแจ้งโดยสมบูรณ์จากการรู้จักทั้งหมดนี้  เมื่อผู้คนรู้จักตนเองอย่างแท้จริง พวกเขาจะไม่สามารถค่อยๆ ปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและจากเจตนาที่ไม่เป็นธรรมนานาประการเชียวหรือ?  (สามารถ)  แล้วจากนั้นพวกเขาจะไปถึงจุดที่พวกเขาสามารถปล่อยมือได้โดยสมบูรณ์หรือไม่?  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล  คนคนหนึ่งสามารถปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและข้อเรียกร้องอันหลากหลายต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและได้รับความรู้และคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับแก่นแท้ พระอัตลักษณ์ และสถานะของพระองค์ผ่านพระราชกิจของพระองค์  มีเพียงบุคคลประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความปรารถนาและความประสงค์ที่จะรักพระเจ้าอย่างจริงใจจากก้นบึ้งของหัวใจพวกเขา และนำความรักต่อพระเจ้าไปปฏิบัติ เฉกเช่นเปโตร  ด้วยเหตุนี้การรู้จักพระเจ้าและการรู้จักตนเอง—ไม่สามารถละเว้นได้ทั้งสองประการ  เจ้ากล่าวว่าเจ้าต้องการที่จะรักพระเจ้า แต่เจ้าสามารถรู้จักวิธีรักพระองค์ได้หรือหากเจ้าไม่เข้าใจพระองค์?  ส่วนใดของพระองค์ควรค่าที่จะรัก?  แง่มุมใดของพระองค์ควรค่าที่จะรักมากที่สุด?  หากเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ เจ้าก็ไม่สามารถรักพระองค์ได้  เจ้าจะไม่สามารถรักพระองค์ต่อให้เจ้าต้องการที่จะรักก็ตาม และเจ้าอาจพบแม้แต่มโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และความเป็นกบฏที่เกิดขึ้นในตัวเจ้าโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่ความคิดลบ  บุคคลประเภทนี้จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  พวกเขาจะไม่ได้รับความเห็นชอบ  เมื่อใครบางคนไม่รู้จักพระเจ้าแต่กลับพูดว่าพวกเขารักพระองค์ คำว่า “รัก” ที่ว่านี้ล้วนเป็นเพียงทฤษฎีอันว่างเปล่าที่เกิดจากตรรกะและการใช้เหตุผลของมนุษย์  ไม่ได้เกิดขึ้นจากความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและไม่เป็นที่ยอมรับในสายพระเนตรของพระเจ้าเลย  ตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดถึงทั้งสองเรื่องนี้แล้วใช่ไหม?  (เข้าใจแล้ว)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถกล่าวถึงในตอนนี้เล่า?  นี่พิสูจน์ว่าการรู้จักตนเองของพวกเจ้าจากประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้นสับสนเลอะเลือน และพวกเจ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเจ้ารู้ไหมว่าประเด็นปัญหาในที่นี้คืออะไร?  (พวกเรายังไม่ได้พบเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้อง  พวกเราไม่สามารถเข้าจากแง่มุมของการรู้จักพระเจ้าและการรู้จักตัวเองพร้อมกันทั้งสองแง่มุม  พวกเรามุ่งเน้นเพียงการเข้าสู่จากแง่มุมเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นการจำกัดการเติบโตของชีวิตพวกเรา)  เมื่อนี่คือสภาวะของพวกเจ้าในเวลานี้ แล้ววุฒิภาวะของพวกเจ้าเป็นอย่างไร?  ไม่เป็นผู้ใหญ่ใช่หรือไม่?  พวกเจ้ายังห่างไกลจากมาตรฐานที่พระเจ้าทรงกำหนดในแง่ของการรู้จักตนเองมากนักมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าก็ยังไม่สามารถปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีและเจตนารมณ์ส่วนตน  ความนบนอบต่อพระเจ้าของพวกเจ้าสามารถสอดคล้องกับความจริงได้หรือไม่?  เจ้าสามารถรู้ไหมว่าพระเจ้าทรงมีสถานะในหัวใจของเจ้าหรือไม่?  มีผู้คนจำนวนมากที่ยังคงมีคำถามแม้กระทั่งในเวลานี้ว่าการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านั้นคือมนุษย์หรือพระเจ้า พวกเขาเหยียบเรือสองแคม ชั่วขณะหนึ่งเชื่อในพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ชั่วขณะต่อมาก็เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือบนท้องฟ้า  และมีใครบางคนที่ตั้งคำถามแม้กระทั่งแก่นแท้ของพระเจ้า โดยกล่าวว่า “พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์และพระเจ้าบนท้องฟ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันไปได้อย่างไร?  หากพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ เหตุใดพระองค์จึงไม่ทรงแสดงปาฏิหาริย์และหมายสำคัญทั้งหลายเล่า?”  นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ายังคงไร้ซึ่งความเข้าใจฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรง  นั่นคือวุฒิภาวะของพวกเจ้าที่แม้พระเจ้าจะตรัสอะไรมากมายแต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจ  ตอนนี้พวกเจ้ารับรู้แต่เพียงว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พวกเจ้ารับรู้เพียงความจริงที่แสดงโดยพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ แต่พวกเจ้าไม่มีความรู้ใดๆ มากนักเมื่อเป็นเรื่องของแก่นแท้ พระอัตลักษณ์ และสถานะของพระเจ้า  พวกเจ้าอาจกล่าวได้ว่าความรู้เรื่องนี้ในหัวใจของเจ้าเป็นศูนย์ หรือไม่ใช่?  (เป็นศูนย์)  และนี่สามารถพิสูจน์ได้ในข้อเท็จจริง  ก่อนเราสามัคคีธรรมในแง่มุมเหล่านั้นของความจริง เช่น แก่นแท้ของพระเจ้าหรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า เจ้าคิดว่าความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้านั้นลุ่มลึก และเจ้าคิดว่าความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแน่วแน่และไม่โลเล  แต่เมื่อเราสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเหล่านั้น เช่น พระเจ้าพระองค์เอง พระอุปนิสัยของพระเจ้า และแก่นแท้ของพระเจ้า คำพูดและเนื้อหาเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงในหัวใจของพวกเจ้า  ปฏิกิริยานี้แรงกล้าและทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเจ้าที่จะยอมรับ ก่อให้เกิดความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวงกับพระเจ้าที่พวกเจ้าคิดฝันในหัวใจของพวกเจ้า  นี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งหรอกหรือ?  (เป็นข้อเท็จจริง)  ดังนั้นเมื่อเราพูดบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน พวกเจ้าพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับในตอนแรก ราวกับว่าเจ้าไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดถึง  นี่พิสูจน์ว่าวุฒิภาวะของพวกเจ้าน้อยเกินไป น้อยจนพวกเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใจหรือคู่ควรกับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเจ้าจำเป็นจะต้องมีประสบการณ์อีกหลายปีก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้

บทตัดตอน 91

พันธสัญญาเดิมได้บันทึกการประเมินที่พระเจ้ามีต่อโยบไว้ดังนี้ “ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย” (โยบ 1:8)  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าไม่เพียงเป็นพยานให้กับข้อเท็จจริงที่ว่าเปโตรรักพระองค์อย่างแท้จริงเท่านั้น  แต่ยังรวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าโยบคือผู้ที่มีความเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอีกด้วย และพระเจ้าทรงกำหนดว่าประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรต้องมีความเชื่อเช่นโยบเป็นอย่างน้อยหากจะติดตามพระองค์ไปจนถึงปลายทาง  ในความคิดฝันของพวกเจ้าและในขอบเขตของข้อความอันจำกัดที่พวกเจ้าเข้าใจ โยบเป็นคนเช่นใด?  เขาเป็นคนดีหรือไม่?  (เป็น)  เรื่องนี้สำแดงให้เห็นในลักษณะใดมากที่สุด?  อย่างแรก เขาเป็นมนุษย์ที่ยำเกรงพระเจ้า และไม่เคยทำความชั่ว  นี่คือเครื่องหมายและลักษณะที่สำคัญของคนดี  ยิ่งไปกว่านั้น เขายังประพฤติปฏิบัติตนตามหลักธรรม และปฏิบัติต่อลูกๆ และครอบครัวตามหลักธรรม  เขาไม่ได้พยายามปิดบังข้อเสียของลูกๆ ของตน ทั้งเขายังอธิษฐานถึงพระเจ้าและวางใจฝากลูกของตนไว้กับพระองค์ ซึ่งแสดงให้ผู้คนเห็นว่าท่าทีที่เขามีต่อลูกๆ นั้นถูกต้องสมบูรณ์และสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเจ้าคิดว่าในฐานะลูก การมีพ่อเช่นนี้จะเป็นอย่างไร?  นี่จะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกเป็นสุขหรอกหรือ?  ว่าแต่เพื่อนๆ ของโยบเป็นเช่นไร?  เมื่อโยบเผชิญบททดสอบและความทุกข์เข็ญ เพื่อนๆ ของโยบปฏิบัติกับเขาอย่างไร?  ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสามารถเข้าใจโยบ ทั้งยังตัดสินเขาเสียอีกว่า “ท่านล่วงเกินพระเจ้า และพระองค์ก็ได้สาปแช่งท่าน  ดูเถิดว่าการที่ท่านเชื่อในพระเจ้าให้อะไรแก่ท่านบ้าง  ช่างน่าเวทนานัก!”  กระทั่งภรรยาของโยบยังกล่าวว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อตรงอยู่อีกหรือ?  จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9)  ในช่วงที่ทุกข์ทนอย่างแสนสาหัสนี้ เพื่อนๆ และภรรยาของโยบปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ ซึ่งทำให้เขาเจ็บช้ำและเจ็บปวดมากมายนัก  แต่มีน้อยคนนักที่เข้าใจโยบ—ข้อนี้จริง  บัดนี้ที่พวกเราได้อ่านเรื่องราวของโยบ พวกเราย่อมรู้สึกว่าที่จริงแล้ว ผู้คนอย่างโยบนั้นไว้ใจได้และเชื่อถือได้มากที่สุด และคนเช่นนี้เองที่เป็นคนดีอย่างแท้จริง  พวกเขาจะไม่มีวันหลอกลวงหรือทำร้ายเจ้า และจะปฏิบัติต่อเจ้าโดยยึดหลักธรรมเสมอ  หากเจ้าเป็นคนที่ประพฤติตัวถูกต้อง พวกเขาย่อมจะไม่กล่าวโทษหรือว่าร้ายเจ้าเพียงเพราะเจ้าทำเรื่องแย่อย่างหนึ่งหรือเพราะคนอื่นพูดให้เจ้าเสียหาย  พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับข้อเท็จจริงและพูดจาคดโกงใส่ความใครต่อใครอย่างผิดๆ  พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกหรือความถูกใจมาชี้นำถ้อยคำของตน  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะมองเห็นว่า “นี่เองคือคนดี  เมื่อใดก็ตามที่พวกเราพบเจอความยากลำบากเล็กน้อย พวกเราก็เอาแต่ทิ้งหน้าที่ของตัวเอง แต่พวกเขาไม่เคยละทิ้งพระนามของพระเจ้าไม่ว่าบททดสอบและความทุกข์เข็ญที่พวกเขาเผชิญจะสาหัสเพียงใด  ไม่น่าแปลกใจเลยที่พระเจ้าพอพระทัยคนเช่นนี้  หากฉันมีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะมีความป่วยไข้หรือความทุกข์เข็ญอะไรเกิดขึ้นกับฉัน พวกเขาก็จะยังคงสามารถช่วยเหลือ จุนเจือ เอาใจใส่ดูแล และยอมผ่อนปรนให้ฉันต่อไปเหมือนที่เป็นมา  คนเช่นนี้ยอดเยี่ยมนัก  ต่อให้มีบางครั้งที่พวกเขาทำฉันหงุดหงิดหรือต่อให้พวกเราไม่ได้เห็นตรงกันทุกครั้งไป ฉันก็ขอมีพวกเขาอยู่เคียงข้างดีกว่ามีพวกซาตานและมารเหล่านั้นสักตนหนึ่งมากนัก!”  โดยมากแล้ว เหล่าซาตานและพวกมารจะพูดให้ได้ยินว่า “เธอยอดมาก  ฉันรักและห่วงใยเธอนัก” แต่ทันทีที่เจ้าเผชิญเรื่องยุ่งยากบางอย่าง พวกเขาก็จะเมินเจ้า ตอนนี้เองที่เจ้าจะตระหนักว่าคนดีเป็นอย่างไร และคนที่พึ่งพาได้เป็นเช่นใด  มีเพียงคนที่ไว้วางใจได้ ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้นที่เป็นคนดีอย่างแท้จริง และคนดีก็ล้ำค่านัก  หากเจ้ามีคนเช่นโยบสักสิบกว่าคนอยู่เคียงข้างก็จะวิเศษมาก—แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีสักคน!  ถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะรู้สึกแล้วว่าคนดีหายากเพียงใด  ทุกคนล้วนต้องการคนดีเช่นนี้  ทุกคนชอบคนที่ชอบธรรมและอาทร คนที่ใจดีมีเมตตาและกระทำการตามหลักธรรม มีสำนึกเรื่องความยุติธรรม ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว รวมทั้งคู่ควรแก่ความไว้วางใจ

ยามเจ้าถูกความทุกข์เข็ญและความป่วยไข้รุมเร้า ยามที่หัวใจของเจ้าทุกข์ทรมานที่สุด เจ้าต้องการให้คนแบบใดอยู่เคียงข้าง?  เจ้าต้องการคนที่พูดคำเท็จอาบน้ำผึ้งกระนั้นหรือ?  เจ้าต้องการคนที่ตัดสิน กล่าวโทษ และวิจารณ์เจ้ากระนั้นหรือ?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว คนที่เจ้าต้องการที่สุดเป็นคนแบบไหน?  เจ้าต้องการคนที่แสดงความเห็นอกเห็นใจที่เจ้าพบเจอความยากลำบากต่างๆ และปลอบใจเจ้าได้ คนที่ฟังเจ้าพูดถึงความเจ็บปวดในใจ แล้วจากนั้นก็ช่วยให้เจ้าพ้นจากความคิดลบ ความอ่อนแอ และความทุกข์ได้  คนแบบนี้ช่วยเจ้าได้—พวกเขาจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรือซ้ำเติมยามเจ้าหดหู่ และพวกเขาจะไม่ทำเป็นไม่เห็นความลำบากของเจ้า  กล่าวคือ หากเจ้าต้องการให้พวกเขาชูใจเจ้า และเจ้าพบเจอความยากลำบาก มีช่วงเวลาที่อ่อนแอ และปัญหาส่วนตัว เจ้าก็บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้พวกเขาฟังได้ และพวกเขาก็จะไม่เอาไปเล่าต่อลับหลังเจ้า ล้อเลียนเจ้า เยาะหยันเจ้า หรือทำให้เรื่องส่วนตัวของเจ้ายุ่งเหยิง  พวกเขาสามารถพิจารณาความยากลำบาก ความอ่อนแอ ความคิดลบ และจุดอ่อนในสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าได้อย่างถูกต้อง  การพิจารณาเรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องก็ตรงตามหลักธรรมมิใช่หรือ? ทั้งหมดนี้คือลักษณะของคนดีมิใช่หรือ?  คนแบบนี้เข้าใจเจ้าได้ ยอมผ่อนปรนให้เจ้า และดูแลเจ้าได้  พวกเขาเกื้อหนุนเจ้าได้ ให้สิ่งที่เจ้าต้องการ และช่วยให้เจ้าพาตัวเองพ้นจากความเจ็บปวดและความอ่อนแอของตัวเองได้  พวกเขาให้ความช่วยเหลือเจ้าได้มากขนาดนั้น  คนเช่นนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง  นี่เองคือคนดี!  สมมุติว่าบางคนเมินเจ้า ถึงกับเยาะหยันและล้อเลียนเจ้าเมื่อเขาเห็นว่าเจ้ามีปัญหา  เจ้าอยากเล่าความในใจบางอย่างให้เขาฟัง แต่แล้วเจ้าก็คิดในใจว่า “ฉันจะบอกเขาไม่ได้  ถ้าทำแบบนั้น อาจมีเรื่องร้ายตามมาก็เป็นได้  เขาอาจเที่ยวไปเล่าเรื่องส่วนตัวของฉันลับหลังฉัน  และแล้วทุกคนก็จะหัวเราะเยาะฉัน แล้วใครจะรู้ว่าเขาจะปั้นแต่งเรื่องอะไรมาป้ายสีฉัน”  เจ้าจะกล้าคุยกับคนแบบนี้หรือไม่?  แท้จริงแล้วเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง  ไม่เพียงเขาอาจไม่ช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนเจ้าเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เรื่องส่วนตัวของเจ้ายุ่งเหยิงได้ หลอกลวงและทำร้ายเจ้าได้  เจ้าจะกล้าเล่าความในใจให้เขาฟังหรือ?  ถึงตอนนี้เจ้าย่อมจะตระหนักว่าคนดีนั้นสำคัญ มีคุณค่า และล้ำค่าเพียงใด และการเป็นคนดีก็มีค่ามากกว่าการเป็นคนแบบอื่น  กระทั่งพ่อแม่ของเจ้าก็อาจไม่เข้าใจความยากลำบากและความต้องการของเจ้าอย่างแท้จริงในยามที่เจ้าทนทุกข์และอยู่ในความเจ็บปวด พ่อแม่ของเจ้าจึงไม่อาจปลอบใจเจ้าได้  มีลูกบางคนทำงานหนักและออกไปทำงานนอกบ้าน—โดยเฉพาะผู้หญิงบางคนต้องประจบประแจงเจ้านาย หรือแม้แต่ขายเรือนกายแลกเงินอันน้อยนิด—และพ่อแม่ก็ไม่เคยถามว่าการที่ลูกๆ ทำงานนอกบ้านนั้นยากเย็นขนาดไหน หรือยากเพียงใดกว่าจะหาเงินมาได้  พวกเขาบ่นด้วยซ้ำไปหากลูกๆ ไม่หาเงินเข้าบ้านมากๆ แล้วก็เอาลูกไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  นี่ย่อมทำให้ลูกรู้สึกอย่างไร?  (เศร้า ท้อใจ)  หัวใจของพวกเขาย่อมดำดิ่ง  พวกเขารู้สึกว่าโลกช่างมืดมน กระทั่งพ่อแม่ของตัวเองก็เป็นเช่นนี้ และสงสัยว่าตัวพวกเขาเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร  นี่คือสาเหตุที่เจ้าต้องเป็นคนดี  ทุกคนต้องการคนดีสักคน  แล้วคนดีเกิดขึ้นมาอย่างไร?  พวกเขาแค่หล่นลงมาจากฟ้าอย่างนั้นหรือ?  พวกเขางอกขึ้นจากดินหรือไร?  พวกเขาวิวัฒน์มาจากสัตว์บางชนิดหรือไม่?  พวกเขาเป็นผลิตผลของการศึกษาในโรงเรียนอันดับสูงๆ หรือเปล่า?  หรือเป็นผลิตผลของการอบรมบ่มเพาะทางศาสนาแบบนักพรต?  ไม่ใช่ คำอธิบายที่กล่าวมานี้ไม่มีข้อใดถูกต้อง แน่นอนที่สุดว่าทั้งหมดนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้  คนเราจะกลายเป็นคนดีได้ก็ด้วยการติดตามพระเจ้า ปฏิบัติความจริง และยอมรับความรอดจากพระเจ้าเท่านั้น  คนดีไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในทันใดของมนุษย์ที่เสื่อมทราม—ผู้คนต้องเชื่อในพระเจ้าและน้อมรับความรอดจากพระองค์ พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ได้รับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกทำให้เพียบพร้อมเพื่อที่จะกลายเป็นคนดี  ทุกคนต้องการคนดีสักคนเคียงข้างตนในฐานะมิตรและคนรู้ใจ  จงบอกเราเถิดว่าพระเจ้าต้องการคนเช่นนี้ด้วยหรือไม่?  (ต้องการ)  พระเจ้าต้องการคนดี และผู้คนก็ต้องการคนดีเช่นกัน  การเข้าใจเรื่องนี้จะส่งผลอย่างไรต่อเจ้า?  เจ้าต้องมีปณิธานข้อนี้และมีความปรารถนาข้อนี้ว่าจะพากเพียรเป็นคนดี  หากเจ้ากล่าวว่า “การเป็นคนดีนั้นยากและเหนื่อย แต่ฉันต้องมีปณิธานที่จะพากเพียรเป็นคนดีให้ได้  ผู้คนต้องการคนดีกันอย่างมาก และฉันเองก็ต้องการคนดี  ดังนั้นก่อนอื่นตัวฉันเองจะเป็นคนดี คอยช่วยและเกื้อหนุนผู้อื่น พยายามช่วยให้พระเจ้าได้คนดีไว้มากขึ้น” เช่นนั้นแล้วนี่ก็ถูกต้อง  หากทุกคนเสาะแสวงที่จะเป็นคนดี เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติย่อมจะมีความหวัง  เจ้าอาจกล่าวว่า “มนุษยชาติแสนจะเสื่อมทรามและชั่ว  ถ้ามีผู้เชื่อในพระเจ้าเพียงไม่กี่คนที่เป็นคนดี นั่นก็ไม่มีประโยชน์  พวกเขาจะถูกรังแกอยู่ดีเพราะคนชั่วมีมากเกินไป”  การกล่าวเช่นนี้เป็นเรื่องเขลา  เจ้าเชื่อในพระเจ้าเพื่อบรรลุความรอด  หากเจ้ากลายเป็นคนดีและชอบธรรม พระเจ้าย่อมจะทรงอวยพรเจ้า  ไม่ว่ามนุษย์จะชั่วและเสื่อมทรามเพียงใด พระเจ้าก็มีวิธีจัดการพวกเขา  ผู้คนไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้  เจ้าเพียงต้องจดจ่อกับการไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุความรอดของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์  เมื่อโนอาห์ต่อเรือใหญ่ สุดท้ายแล้วก็มีคนถูกช่วยให้รอดเพียงแปดคนเท่านั้น  ทุกคนที่ไม่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า และไม่ได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ล้วนถูกอุทกภัยของพระเจ้าทำลายล้างในตอนจบ  นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้รับการยอมรับแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถยอมรับมหิทธานุภาพของพระเจ้า?  เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมรับว่าพระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม?  เมื่อพระเจ้าสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่าจะมีผู้ที่ได้รับความรอดกี่คน ยุคนี้ก็ต้องสิ้นสุด  มหันตภัยย่อมต้องอุบัติ และพระเจ้าจะคลี่คลายปัญหาทั้งหมดนี้  เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และกลายเป็นคนชอบธรรมก็เพื่อตัวเจ้าเอง—นี่เป็นประโยชน์กับเจ้า และเป็นประโยชน์กับผู้อื่น  บางคนกล่าวว่า “คนดีไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาสมควรได้” แต่คำกล่าวนี้ไม่ถูกต้อง  ท้ายที่สุดแล้วคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงจะมีที่ทางของตนในราชอาณาจักรสวรรค์ และไม่ว่าคนชั่วจะรุ่งเรืองขนาดไหนบนแผ่นดินโลก ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็จะถูกทำลายและถูกโยนลงนรกทั้งสิ้น  ดังนั้น ทั้งคนดีและคนชั่วย่อมได้รับสิ่งที่ตนสมควรได้แล้วมิใช่หรือ?  พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าอย่างไร?  “เราจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน” (วิวรณ์ 22:12)

สิ่งที่โยบทำ ซึ่งมีการบันทึกไว้ในพระธรรมโยบนั้น ที่จริงแล้วกินเนื้อที่เพียงน้อยนิด สิ่งเหล่านี้แสนเรียบง่าย และไม่ได้มีจำนวนมากมาย  แต่เจ้าก็ควรค้นหาเบาะแสจากการกระทำของโยบได้ และพบเจอหลักธรรมและเส้นทางที่โยบใช้ปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นคนดี  ประการแรก หลักธรรมที่โยบใช้ปฏิบัติต่อลูกๆ และผู้คนที่ใกล้ชิดเขาที่สุดคืออะไร?  คือการไม่อิงความรักใคร่เอ็นดูของตน แต่กลับยึดมั่นในหลักธรรม  เขาจะไม่ทำบาปต่อพระเจ้าเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น  นี่คือหลักเกณฑ์ข้อแรกแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วของเขา—โดยเริ่มจากวิธีที่เขาปฏิบัติกับสมาชิกในครอบครัวของตัวเอง  ประการที่สองคือวิธีที่เขาปฏิบัติกับสินทรัพย์ของตัวเอง  โยบรู้ว่าแม้สินทรัพย์ของเขาจะเป็นเพียงสิ่งภายนอก แต่ก็มาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เขา เป็นพรจากพระเจ้า และเขาก็ควรบริหารจัดการและดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างรอบคอบและถูกควร  การดูแลสินทรัพย์ของตนอย่างถูกควรไม่ได้หมายถึงการลุ่มหลงในสินทรัพย์ และมิได้หมายถึงการมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้  แต่ผู้คนควรขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งเหล่านี้ มองเห็นการจัดวางเรียบเรียงแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าและอธิปไตยของพระองค์ที่อยู่ในสิ่งเหล่านี้ สัมฤทธิ์การรู้จักพระเจ้าและการนบนอบพระเจ้าผ่านทางสิ่งเหล่านี้  การรู้จักพระเจ้าและนบนอบอธิปไตยของพระองค์ได้นี้—คือหลักเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของการเป็นคนดี  หากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมได้เวลาจัดการผู้อื่น แต่เจ้าไม่สามารถนบนอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าเป็นคนดีจริงหรือไม่?  ไม่ เจ้าไม่ใช่คนดี  ยิ่งไปกว่านั้น ในการปฏิบัติต่ออธิปไตยและการจัดแจงของพระเจ้า โยบสามารถนบนอบอธิปไตยและการจัดแจงของพระเจ้าได้ทั้งหมด  การจัดแจงของพระเจ้าหมายรวมถึงการลิดรอนจากพระองค์และบททดสอบของพระองค์  บางครั้งพระเจ้าทรงปฏิเสธผู้คน บางครั้งพระองค์ทรงทดสอบพวกเขา  บททดสอบของพระองค์มีเรื่องใดบ้าง?  บางครั้งพระองค์อาจทำให้เจ้าป่วย หรือสร้างสภาวการณ์อันเป็นโทษให้เกิดขึ้นในครอบครัวของเจ้า หรือพระองค์อาจทำให้เจ้าประสบความลำบากยากเย็นและการตัดแต่งบางอย่าง และถูกพระองค์สั่งสอน บ่มวินัย พิพากษา และตีสอนระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการจัดแจงของพระเจ้า—และเจ้าควรทำตัวเช่นไรต่อการจัดแจงเหล่านี้?  หากเจ้ามิอาจนบนอบต่อสิ่งเหล่านี้ได้ และเจ้าอยากจะหนีจากสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  นอกจากนั้น ผู้คนยังต้องมีการอุทิศตนและต้องมีท่าทีที่อุทิศตนต่อหน้าที่ของตัวเอง  การอุทิศตนในที่นี้หมายถึงอะไร?  หมายถึงการมอบถวายทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้และทุกสิ่งที่ตนครอบครอง  นี่คือการอุทิศตน!  นี่คือมาตรฐานแห่งการเป็นคนดี  หากในหมู่พวกเจ้าตอนนี้ มีเพียงคนเดียวที่เป็นเช่นโยบ—แค่คนเดียว ไม่ต้องมากไปกว่านี้—เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าย่อมจะมีเสาหลักในหมู่พวกเจ้า  หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเจ้า คนเช่นนี้ย่อมจะเป็นบุคคลต้นแบบให้พวกเจ้าได้ตลอดเวลา  พวกเจ้าเพียงต้องทำอย่างที่เขาทำ และผ่านไประยะหนึ่งพวกเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง  พวกเจ้าจะปรับปรุงตัวอยู่เสมอ ตั้งแต่ความคิดของพวกเจ้าไปจนถึงการกระทำของพวกเจ้า จากการแสวงหาความจริงไปสู่การปฏิบัติความจริง  สภาวะของพวกเจ้าจะดีขึ้นทันที เคลื่อนไปในทิศทางที่เป็นบวก ช่วยให้พวกเจ้าเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องแห่งการเชื่อในพระเจ้า  หลังมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในลักษณะนี้ได้หลายปี พวกเจ้าเองก็จะสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้เหมือนโยบ และกลายเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม

บทตัดตอน 92

พวกเจ้ากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย  ชีวิตครอบครัวของพวกเจ้าส่วนใหญ่มั่งคั่งขึ้นกว่าเดิม และเจ้าก็มีความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุในทุกด้านของชีวิต  พวกเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร?  นี่เป็นเพียงความสุขเล็กน้อยทางเนื้อหนังเท่านั้น  แต่อะไรคือความแตกต่างระหว่างความสุขแบบนี้กับความสุขในหัวใจ?  พวกเจ้าทุกคนมีประสบการณ์และมองทะลุถึงแก่นแท้ของบางสิ่งมาแล้ว การไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พวกเจ้ารู้สึกได้ว่าการไล่ตามเสาะหาความยินดีทางเนื้อหนังนั้นว่างเปล่า และพวกเจ้าทุกคนก็เต็มใจที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริง—พวกเจ้ามีประสบการณ์แบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า?  ความสุขทางเนื้อหนังที่ผู้คนได้จากวัตถุประเภทต่างๆ สามารถนำความชูใจทางฝ่ายวิญญาณมาให้พวกเขาหรือไม่?  ความรู้สึกว่าตนมีชีวิตที่เหนือกว่าและชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยวัตถุนำอะไรมาให้ผู้คนบ้าง?  ชีวิตเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ผู้คนต่ำทรามและหลงทางได้เท่านั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนย่อมจะสูญเสียสำนึกของตนโดยง่าย กลายเป็นคนที่ไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว กลายเป็นคนที่ไม่มีเหตุผล และจะค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ของตนไป พวกเขาจะหลงระเริงอยู่กับความสุขสบายมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมากขึ้นทุกที  และย่อมจะมีบางคนที่ถึงกับสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเอง  พวกเขาจะไม่สามารถมีชีวิตอย่างเป็นเอกเทศได้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถหาเลี้ยงชีวิตตนเองได้ และกลายเป็นคนที่พึ่งพาพ่อแม่  พวกเขาจะไม่รู้จักพอและไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ  สรุปได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ที่เหนือกว่าและชีวิตที่มั่งคั่งไปด้วยวัตถุพาแต่ความต่ำทรามมาให้ผู้คนเท่านั้น ทำให้พวกเขารักความเกียจคร้านและดูถูกการทำงาน ทำให้พวกเขากลายเป็นคนโลภที่ไม่รู้จักพอ และทำให้พวกเขาไร้สำนึกของความละอาย  แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ทำประโยชน์ให้ใคร  ในส่วนของเนื้อหนังนั้น ยิ่งเจ้าประคบประหงมมันดีมากขึ้นเท่าใด เนื้อหนังก็จะยิ่งละโมบมากขึ้นเท่านั้น  การสู้ทนความทุกข์เล็กน้อยจึงเป็นเรื่องที่สมควร  ผู้คนที่สู้ทนความทุกข์บ้างย่อมจะเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องและลงมือทำงานที่เหมาะสม  ถ้าเนื้อหนังไม่สู้ทนความทุกข์ หลงระเริงอยู่กับความสุขสบาย และเติบโตอยู่ในรังนอนที่สุขสบาย เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สัมฤทธิ์สิ่งใด และเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถได้มาซึ่งความจริง  หากผู้คนเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติและความวิบัติที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ พวกเขาย่อมจะขาดจิตสำนึกและกลายเป็นคนไร้เหตุผล  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็มีแต่จะต่ำทรามลงเรื่อยๆ  มีตัวอย่างแบบนี้อยู่มากมิใช่หรือ?  เจ้าจะเห็นได้ว่าในโลกที่ไม่มีความเชื่อ มีนักร้องและดาราภาพยนตร์มากมายที่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะสู้ทนความยากลำบากและทุ่มเทให้กับงานของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดัง  แต่เมื่อพวกเขามีชื่อเสียงและเริ่มทำเงินได้มหาศาล พวกเขากลับไม่เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง  บางคนเสพยา บางคนฆ่าตัวตาย และชีวิตของพวกเขาก็ถูกบั่นให้สั้นลง  นี่เกิดจากอะไร?  พวกเขามีความสุขสำราญทางวัตถุมากเกินไป พวกเขาสุขสบายเกินไป และไม่รู้ว่าจะทำให้ตนเองได้รับความสุขสำราญหรือความตื่นเต้นมากขึ้นได้อย่างไร  บางคนจึงหันไปหายาเสพติดเพื่อค้นหาความตื่นเต้นและความหรรษามากขึ้น และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่สามารถเลิกมันได้  บางคนเสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด ส่วนคนอื่นเมื่อไม่รู้ว่าจะทำให้ตัวเองเป็นอิสระจากยาเสพติดได้อย่างไร ก็ฆ่าตัวตายในที่สุด  มีตัวอย่างแบบนี้อยู่มากนัก  ไม่ว่าเจ้าจะกินดีขนาดไหน แต่งตัวดีขนาดไหน ใช้ชีวิตดีเพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะสนุกสนานเพียงใด หรือชีวิตของเจ้าจะสุขสบายขนาดไหน และไม่ว่าความปรารถนาของเจ้าจะได้รับการตอบสนองครบถ้วนอย่างไร ในท้ายที่สุดมันก็คือความว่างเปล่าที่ทบลงไปบนความว่างเปล่า และผลที่ได้ย่อมเป็นการทำลายล้าง  ความสุขที่ผู้ไม่มีความเชื่อไล่ตามไขว่คว้านั้นเป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่?  อันที่จริงนั่นไม่ใช่ความสุข  นั่นเป็นการจินตนาการของมนุษย์ เป็นความต่ำทรามรูปแบบหนึ่ง เป็นเส้นทางที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นคนต่ำทราม  สิ่งที่เรียกกันว่าความสุขที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้านั้นเทียมเท็จ  แท้จริงแล้วนั่นคือความทุกข์  ความสุขเช่นนั้นไม่ใช่เป้าหมายที่ผู้คนควรไล่ตามเสาะหาและไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าในการดำรงชีวิต  หนทางและวิธีการบางอย่างที่ซาตานใช้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้น กำลังทำให้พวกเขาแสวงหาเป้าหมายที่เป็นความพึงพอใจในเนื้อหนังและความลุ่มหลงในตัณหา  ด้วยวิธีนี้ซาตานจึงทำให้ผู้คนด้านชา ล่อใจผู้คน และทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ทำให้พวกเขารู้สึกว่านั่นคือความสุข และนำพวกเขาให้ไล่ตามเป้าหมายนั้น  ผู้คนเชื่อว่าการได้สิ่งเหล่านั้นมาคือการได้มาซึ่งความสุข ดังนั้นผู้คนจึงทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้เพื่อมุ่งหน้าไขว่คว้าเป้าหมายนั้น  จากนั้นหลังจากที่พวกเขาได้มันมา สิ่งที่พวกเขารู้สึกกลับไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความว่างเปล่าและความเจ็บปวด  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่านั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง เป็นทางไปสู่ความตาย  เหตุใดผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจึงไม่เดินบนเส้นทางสายนี้เหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ?  ความสุขที่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้ารู้สึกอยู่นั้นเป็นอย่างไร?  ความสุขนั้นแตกต่างจากความสุขที่ผู้ไม่มีความเชื่อไขว่คว้าอย่างไร?  หลังจากเชื่อในพระเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมไม่ไขว่คว้าความร่ำรวยมากมาย  พวกเขาไม่ไขว่คว้าความรุ่งเรืองบนโลก ความสำเร็จในอาชีพการงาน หรือการกลายเป็นคนดัง  แต่พวกเขากลับทำหน้าที่ของตนอย่างเงียบๆ ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และไม่มีความต้องการคุณภาพชีวิตที่สูงมากนัก  บางคนรู้สึกพอใจกับการแค่มีกินมีใช้ด้วยซ้ำ  ในโลกที่มืดมนและเลวร้ายเช่นนี้ เหตุใดพวกเขาจึงยังเลือกเส้นทางแบบนี้กันได้?  เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าไม่มีความสามารถที่จะหาเงินก้อนใหญ่?  พูดไม่ได้แน่นอน  เพราะหลังจากที่ผู้คนเหล่านี้เชื่อในพระเจ้าไม่ว่าจะมากหรือน้อย พวกเขาก็รู้สึกลึกๆ อยู่ในหัวใจว่าการติดตามพระเจ้าเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และความสุขนี้ไม่สามารถแทนที่ด้วยวัตถุใดๆ ในโลก  บางคนถึงกับเคยพยายามมาแล้ว พวกเขาก้าวผ่านความยากลำบากบนโลกมานานหลายปีและพบว่ามันเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก  แม้พวกเขาจะหาเงินได้บ้างและได้สัมผัสความสุขทางเนื้อหนัง แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี และชีวิตของพวกเขาก็ว่างเปล่าและขมขื่นมากขึ้นเรื่อยๆ  พวกเขารู้สึกว่าตายเสียดีกว่าที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น  ผู้คนเหล่านี้เข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้ว  ไม่ใช่ว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริงว่าการติดตามพระเจ้าและการเดินตามเส้นทางที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตลอดจนการสละและอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้พระเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ให้ความชูใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดแก่หัวใจของพวกเขาและเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา การได้มาซึ่งพระเจ้าและได้มาซึ่งความจริงเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของผู้คนสงบสุข เบิกบาน และแน่วแน่เป็นที่สุด  พวกเขารู้สึกถึงความสุขนี้แล้ว นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่จินตนาการขึ้นมา  อาจกล่าวได้ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนมีประสบการณ์กับความทุกข์เข็ญและบททดสอบมาบ้างแล้ว จึงเข้าใจความจริงและเข้าใจสิ่งต่างๆ มากมายอย่างถ่องแท้  พวกเขายืนยันว่าการเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงคือเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่มีเส้นทางอื่นใดให้เดินได้อีกแล้วในโลกนี้ และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง—และพวกเขาก็ได้ตั้งมั่นบนเส้นทางนี้แล้ว  คนแบบนี้มีความเชื่อที่แท้จริง และความทุกข์ยากตลอดหลายปีมานี้ย่อมจะไม่สูญเปล่า  ไม่ว่าคำพยานจากประสบการณ์ที่พวกเขากล่าวจะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือหากเจ้าพยายามขัดขวางไม่ให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและทำให้พวกเขากลับสู่ทางโลก ไม่ว่าในกรณีใดพวกเขาก็จะไม่มีวันไปทางนั้น  ต่อให้โลกมีภูเขาทองคำที่ดึงดูดใจและอาจทดลองใจพวกเขาในเวลานั้น พวกเขาก็จะคิดใคร่ครวญว่า “การได้ภูเขาทองคำหรือภูเขาเงินย่อมจะไม่ทำให้ฉันมีความสุขเท่ากับการสละตนเองเพื่อพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉัน  ถ้าฉันได้โชคลาภเป็นทองคำและเงิน ฉันย่อมจะมีความสุขมากในขณะนั้น แต่ก็จะทุกข์ทรมานและเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ ดังนั้นฉันจะเดินทางนั้นไม่ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  การหาพระเจ้าพบไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าฉันย้อนกลับไปอีก ฉันจะไปหาพระเจ้าพบที่ไหน?  โอกาสที่จะติดตามพระเจ้านั้นหายากมาก!  มีเวลาไม่มากนัก และเวลาเองก็ผ่านไปเร็ว—นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากจริงๆ!”  พวกเขามองเห็นการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว และการยึดมั่นในพระเจ้าก็เหมือนกับการคว้าเครื่องช่วยชีวิตเอาไว้  จงบอกเราเถิดว่าคนที่กำลังจมน้ำรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาคว้าเครื่องชูชีพได้?  (พวกเขารู้สึกเหมือนมีความหวังที่จะอยู่รอด ดังนั้นพวกเขาจึงยึดมันไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยมือ)  พวกเขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ  เมื่อพวกเขากำลังคว้าเครื่องชูชีพ พวกเขาจะคิดอย่างไร?  “ฉันไม่ต้องตายแล้ว ในที่สุดก็มีหวังที่จะรอดตายแล้ว!  เมื่อความตายเข้ามาใกล้ ตราบใดที่ยังมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่สักนิด ต่อให้ต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี ฉันก็จะปล่อยมือไม่ได้  ไม่ว่าจะยากลำบากหรือเจ็บปวดขนาดไหน ฉันก็จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้  ต่อให้เหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ฉันก็จำเป็นต้องยึดห่วงชูชีพนี้ไว้”  เมื่อบางคนรู้สึกว่าตนมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเขาย่อมรู้สึกมีความสุขไม่ใช่หรือ?  ทีนี้เมื่อพวกเจ้าคิดเงียบๆ ไตร่ตรอง อธิษฐาน หรืออุทิศตนฝ่ายวิญญาณ และเจ้าตระหนักว่าเจ้าได้รับไปมากเพียงใดจากการติดตามพระเจ้า ความรู้สึกเป็นสุขนี้ย่อมเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าไม่ใช่หรือ?  จงบอกความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเจ้ามาเถิด  (ถ้าพวกเราไม่ติดตามพระคริสต์ ก็คงตกอยู่ในความวิบัติไปแล้ว และผลที่ตามมาย่อมจะไม่สามารถจินตนาการได้  ตอนนี้ ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน พวกเราจึงมาเข้าใจความจริงหลายประการ มีความเชื่อที่แท้จริง และสามารถยำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนเองได้อีกด้วย พวกเราจึงได้เรียนรู้ที่จะนบนอบพระเจ้า  พวกเราได้รับมามากเหลือเกินและสำนึกรู้คุณในการนำทางของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง)  ถูกต้องแล้ว  พวกเจ้าได้รับไปมากมายนักจากการติดตามพระเจ้าและการทำหน้าที่ของเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงนำมาให้มนุษย์  พวกเจ้าควรสำนึกขอบคุณพระเจ้าให้ถูกต้องเหมาะสมและสรรเสริญพระองค์

เมื่อผู้คนที่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเกิดปัญหาต่างๆ พวกเขาสามารถแสวงหาความจริง และหลังจากผ่านประสบการณ์บางอย่างแล้ว พวกเขาย่อมจะสามารถได้รับความจริงบางอย่าง  ความสุขที่ความจริงเหล่านี้นำมาให้นั้นเพียงพอที่จะแทนที่ความสำราญที่เกิดจากวัตถุและความสบาย  ในส่วนของสิ่งเหล่านั้น ยิ่งเจ้าได้สิ่งเหล่านั้นมา เจ้าก็จะยิ่งรู้สึกพอใจน้อยลง และจะยิ่งแยกแยะดีชั่วได้น้อยลง  แต่ยิ่งผู้คนเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้และยิ่งพวกเขาได้รับความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งรู้ว่าควรขอบคุณพระเจ้าและสำนึกในพระคุณ หัวใจของพวกเขายิ่งปรารถนาที่จะรักพระเจ้า และพวกเขาก็ยิ่งนบนอบพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้าได้  นี่คือความสุขที่แท้จริง  การไล่ตามไขว่คว้าความสุขทางวัตถุนำอะไรมาให้ผู้คน?  ความว่างเปล่าและความต่ำทราม ซึ่งมีแต่จะทำให้พวกเขาไล่ตามไขว่คว้าและปรารถนาวัตถุสิ่งของต่างๆ มากขึ้น เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะโยนสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ที่มาทดลองทิ้งไป  ดังนั้น ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าจะละทิ้งความสุขทางวัตถุเหล่านี้ได้อย่างไร?  ด้วยการอธิษฐานทุกวันและใช้ความยับยั้งชั่งใจใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่ ทำได้ด้วยการเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างถ่องแท้)  คนเราจะรู้ทันสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?  (ด้านหนึ่งด้วยการเปิดโปงแห่งพระวจนะของพระเจ้า อีกด้านหนึ่งก็ด้วยประสบการณ์และการตระหนักรู้ของตนเอง และค่อยๆ เกิดความเข้าใจในความจริงบางอย่างจนคนเรารู้ทันสิ่งเหล่านี้ได้)  เจ้าเข้าใจความจริงจึงสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้ายอมรับความจริงแล้ว  ในส่วนลึกแล้วเจ้ายอมรับพระวจนะของพระเจ้า—สิ่งที่พระองค์ตรัสกับมนุษย์และสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จากมนุษย์—และนั่นก็กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าไปแล้ว  ความเป็นจริงนี้ใช่ชีวิตของเจ้าหรือไม่?  ความเป็นจริงนี้ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าไปแล้ว  ในการทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าได้รับความจริงมาเป็นชีวิตของเจ้าแล้วโดยไม่ทันรู้ตัว  เป็นไปได้ว่าเจ้ายังไม่มีความรู้สึกใดๆ ในเรื่องนี้ เจ้าคิดว่าตัวเองดูมีวุฒิภาวะน้อยมากและมีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจ—แต่เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และนี่ก็แสดงให้เห็นว่าชีวิตของพระเจ้าได้ถูกสร้างขึ้นในตัวเจ้าแล้ว  การเติบโตในชีวิตเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ารู้สึกในทางใดทางหนึ่ง  ต่อให้เจ้าไม่สามารถกล่าวออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนได้ ในความเป็นจริงเจ้าย่อมมีความก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เพราะฉะนั้น พร้อมไปกับการยอมรับความจริงชีวิตของพระเจ้า หัวใจของเจ้าได้เข้าใกล้พระเจ้าแล้วโดยไม่รู้ตัว และตลอดเวลาดังกล่าว พระเจ้าก็ทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าและเฝ้าสังเกตหัวใจของเจ้า  คราวนี้จงคิดให้ดี—นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ออกจะมีความสุขหรอกหรือ?  นี่มีความสุขอย่างยิ่ง!  พวกเจ้าโชคดีมากที่มีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้าย มีสิทธิพิเศษที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของเจ้า  พระวจนะของพระเจ้าได้ถูกสร้างขึ้นในตัวพวกเจ้าโดยตรงซึ่งทำให้พวกเจ้าได้รับความจริงมาเป็นชีวิตของตน  เมื่อมีชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริง และมีชีวิตแห่งความจริงเป็นความเป็นจริง การดำรงอยู่ของมนุษย์ย่อมมีคุณค่าโดยแท้มิใช่หรือ?  ชีวิตของเจ้าสูงส่งขึ้นโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำไม่ใช่หรือ?  การมีชีวิตอยู่ค่อยๆ เริ่มมีศักดิ์ศรีมากขึ้นใช่หรือไม่?  ถึงตอนนี้เท่านั้นที่ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับไปมากมายจากการเชื่อในพระเจ้า  การเข้าใจความจริงบางอย่างสามารถนำการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมาสู่ผู้คนได้ ก่อนหน้านี้พวกเขามองเรื่องนี้ไม่ออก แต่ตอนนี้พวกเขามองเห็นทุกสิ่งอย่างชัดเจน  กลับกลายเป็นว่าความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตภายในตัวพวกเขาไปแล้ว  ความจริงได้หยั่งรากลงไปในหัวใจและผลิดอกออกผล—นั่นคือชีวิต เป็นดอกผลที่เกิดจากการเข้าใจความจริงและไม่มีอะไรสามารถแทนที่ได้  ในภายหลังเมื่อพวกเจ้ามีประสบการณ์กับการบ่มวินัย การสั่งสอน การพิพากษา และการตีสอนบางอย่าง สามารถยอมรับและเชื่อฟังทั้งหมดนั้นได้ เมื่อนั้นหลังจากเข้าใจความจริงไปหลายประการแล้ว เจ้าย่อมจะรู้จักพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว และชีวิตของเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ  นั่นไม่ใช่การเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปหรอกหรือ?  พวกเจ้าตั้งตารอวันนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็ต้องพากเพียรเพื่อความจริง

บทตัดตอน 93

ผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงพึ่งพาอะไรเวลาที่พวกเขาทำสิ่งต่างๆ?  พวกเขาพึ่งพาวิธีการของมนุษย์ สติปัญญาของมนุษย์ และความเฉลียวฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของมนุษย์  เมื่อสิ่งต่างๆ เสร็จสิ้นและครบบริบูรณ์โดยการใช้สิ่งเหล่านี้ ผู้คนก็จะเริ่มโอหัง  พวกเขารู้สึกว่าตนมีต้นทุน อีกทั้งสามารถคุยโวและโอ้อวดความอาวุโสของตนได้  นี่เรียกว่าการขาดสำนึก  ที่จริงแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนได้ทำลงไปนั้น แท้จริงแล้วสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่  พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาขาดความเข้าใจเชิงลึก  ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งบางอย่างบังเกิดขึ้นกับพวกเขา คนเช่นนี้ก็มีแนวโน้มที่จะคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง  เมื่อพวกเขาทำผิดพลาดในการทำหน้าที่ของตนและถูกตัดแต่ง พวกเขาก็มองหาเหตุผลภายนอก โดยกล่าวโทษสิ่งนี้สิ่งนั้น  พวกเขากล่าวโทษรูปการณ์แวดล้อมที่ย่ำแย่ พวกเขากล่าวโทษตนเองที่ไม่คิดเรื่องต่างๆ ให้รอบคอบในเวลานั้น  พวกเขาแค่มองหาเหตุผลภายนอก โดยไม่ยอมรับว่าตนไม่เข้าใจความจริง หรือไม่เข้าใจหลักธรรมความจริงอย่างถ่องแท้  หัวใจของพวกเขาคิดลบ และเต็มไปด้วยความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และพวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงเผยพวกเขา  เป็นเช่นนี้จริงหรือ?  ในการทำหน้าที่ของตนนั้น พวกเขาเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  พวกเขาทำสิ่งต่างๆ โดยที่ไม่มีหลักธรรมและไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับความจริงเลย  พวกเขาช่างน่าเวทนา  ผู้คนเช่นนี้ทำหน้าที่ของตนโดยไม่มีการนบนอบ พวกเขาไม่สามารถพูดได้ว่าตนมีการอุทิศตนหรือความทุ่มเทใดๆ และการที่พวกเขาจะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้  พวกเขาพึ่งพาวิธีการของมนุษย์ในการทำสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกระทำการและใช้ความพยายามเพียงภายนอกเท่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจความจริง  มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของผู้คนเหล่านี้หรือไม่?  สัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่?  มีการปรับปรุงใดๆ ในเรื่องการนบนอบและความยำเกรงที่พวกเขามีต่อพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่มี)  ไม่มีการปรับปรุงในชีวิตของพวกเขาเลย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  พวกเขารังแต่จะฉลาดแกมโกงมากขึ้นและเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้น ใช้วิธีการหลอกลวงยิ่งขึ้นและโอหังมากขึ้นไปอีก  ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญกับสิ่งใด พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตาน โดยสรุปประสบการณ์ของตนและบทเรียนที่เรียนรู้มาอย่างต่อเนื่อง สังเกตว่าตนได้ล้มเหลวและผิดพลาดตรงไหน และบทเรียนใดที่ตนควรเรียนรู้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ล้มเหลวและผิดพลาดอีกครั้ง  พวกเขาสรุปประสบการณ์และบทเรียนของตนเช่นนี้เสมอ โดยไม่แสวงหาความจริงเลย  คนเราสามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนขณะดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตานได้หรือไม่?  หากไม่สามารถทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้ พวกเขายังจะได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่?  การไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นอันตราย เพราะไม่มีหนทางที่จะเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าได้  หลังจากเชื่อในพระเจ้าในแบบเลอะเลือนเช่นนี้มานานหลายปี พวกเขาสามารถได้มาซึ่งความจริงหรือไม่?  มโนธรรมและสำนึกของพวกเขาสามารถกลับมาเป็นปกติยิ่งขึ้นได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  การสรุปประสบการณ์และบทเรียนเช่นนี้ รวมทั้งการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเราอาจลดความผิดพลาดได้ แต่นับเป็นการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  (ไม่นับ)  คนคนนี้สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  คนเช่นนี้มีสถานะของพระเจ้าในหัวใจของตนหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้ที่กระทำการโดยไม่คำนึงถึงความจริงหรือพระเจ้าคือผู้ไม่เชื่อที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดของพระเจ้า!  พวกเจ้าสามารถแยกแยะผู้คนเช่นนี้ได้หรือไม่?

เมื่อใครบางคนทำบางสิ่งบางอย่าง ไม่ว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนหรือดูแลเรื่องส่วนตัว จงใส่ใจว่าพวกเขามุ่งความสนใจไปที่ใด  หากพวกเขากำลังมุ่งเน้นไปที่ปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักหรือไล่ตามเสาะหาความจริง  หากคนคนหนึ่งเพียรพยายามไปสู่ความจริงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาก็ตาม หากพวกเขาเข้าถึงความจริงในการไตร่ตรองของตนเสมอ โดยคิดว่า “การทำเช่นนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ข้อกำหนดของพระเจ้าคืออะไร?  การทำเช่นนี้เป็นการทำบาปต่อพระเจ้าหรือไม่?  จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์หรือไม่?  จะทำให้พระเจ้าเสียพระทัยหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงรังเกียจหรือไม่?  การทำเช่นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?  จะก่อกวนหรือขัดขวางงานของคริสตจักรหรือไม่?  จะทำให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียหายหรือไม่?  จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อพระนามของพระเจ้าหรือไม่?  นี่คือการปฏิบัติความจริงหรือไม่?  คือการทำชั่วหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?” หากพวกเขาครุ่นคิดถึงคำถามเหล่านี้อยู่เสมอ ย่อมเป็นสัญญาณของการใด?  (เป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังแสวงหาและไล่ตามเสาะหาความจริง)  ถูกต้อง  เป็นสัญญาณว่าพวกเขากำลังแสวงหาความจริง และพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ผู้ที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของตนจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างไร?  (พวกเขากระทำการตามสติปัญญาและพรสวรรค์ของตนเอง โดยไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำของพวกเขาก็ผสมปนเปกับเจตนาของตนเอง)  พวกเขาไม่เพียงผสมปนเปกับเจตนาของตนเองเท่านั้น แต่เวลาที่พวกเขากระทำตามเจตนาของตนเอง พวกเขากลับไม่ตรวจสอบหรือทบทวนตนเองเลย  พวกเขาไม่ยอมอ่อนข้อ โดยยึดติดกับหนทางของตนเองอย่างดื้อดึง  พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ตามที่พวกเขาต้องการ ไม่อธิษฐานถึงพระเจ้า และไม่แสวงหาความจริง  พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระเจ้าเลย  เป็นการง่ายที่ผู้คนเช่นนี้จะทำผิดและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นแสดงให้เห็นคุณลักษณะใดในชีวิตประจำวันของตน ในแง่ของวิธีที่พวกเขาประพฤติปฏิบัติตนและจัดการสิ่งต่างๆ และอุปนิสัยที่พวกเขาเผยให้เห็น?  (พวกเขากระทำตัวบุ่มบ่ามและไม่มีการยับยั้งชั่งใจ ดูถูกผู้อื่น อีกทั้งโอหังและทำตัวเหลวไหลเป็นพิเศษ รวมถึงทำการตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียว)  หลักๆ แล้วก็คือสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ พวกเขาโอหัง ทะนงตน หุนหันพลันแล่นอย่างบุ่มบ่าม ทำตัวเหลวไหล และไม่ยับยั้งชั่งใจ พวกเขากระทำการโดยไร้สำนึก ทำสิ่งต่างๆ ตามความพอใจของตน อีกทั้งป่าเถื่อนและพาลเกเรอยู่เสมอ  เมื่อไม่ได้รับการตัดแต่ง พวกเขาก็แยกเขี้ยวข่มขู่  เมื่อเผชิญการถูกตัดแต่ง พวกเขาก็คิดลบ รู้สึกคัดค้าน แข็งขืน และเป็นกบฏ และธรรมชาติเยี่ยงปีศาจของพวกเขาก็ถูกเปิดโปงออกมาอย่างสิ้นเชิง  เมื่อคนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเหล่านี้ไม่ได้ทำหรือพูดอะไร พวกเขาก็ดูเหมือนคนทั่วไป  แต่ทันทีที่พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็ปรากฏออกมาและอุปนิสัยนั้นก็ป่าเถื่อนและโหดเหี้ยม  ในพระวจนะของพระเจ้าบรรยายถึงคนเช่นนี้ไว้ว่าอย่างไร?  (“สิ่งที่ถูกเปิดเผยในพวกเจ้านั้นหาใช่ความประพฤติผิดของเด็กๆ ที่ได้หลงผิดไปจากพ่อแม่ไม่ แต่เป็นความเดียรัจฉานที่ระเบิดออกมาจากสัตว์ที่แส้ของนายมันเฆี่ยนไม่ถึง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?))  อุปนิสัยที่คนเช่นนี้เผยออกมานั้นสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเยี่ยงสัตว์ และพวกเขาขาดพร่องความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  หากมีคนเช่นนี้อยู่ในฝูงชน พวกเจ้าจะสามารถแยกแยะพวกเขาออกมาได้หรือไม่?  (ได้เล็กน้อย)  บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและบรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งในวิธีประพฤติตนและสิ่งที่พวกเขาเผยออกมา  สิ่งที่บรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาความจริงสำแดงออกมาอย่างชัดเจนคือการไร้สำนึก ไร้มโนธรรม และกระทำตนโดยไม่คำนึงถึงหลักธรรมความจริง  พวกเขากระทำการอย่างมุทะลุและดื้อรั้น และอาจหาญจนสุดโต่ง  บรรดาผู้ที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นทั้งน่าสมเพชและน่าชิงชัง  พวกเขาทำให้ตัวเองดูโง่ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อผู้อื่น  หากพวกเขาไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดต่อผู้อื่น เช่นนั้นพระเจ้าจะไม่เกลียดชังพวกเขาหรือ?  (เกลียดชัง)  พวกเขาเองมีการตระหนักรู้ในเรื่องนี้บ้างหรือไม่  (ไม่มี)  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพวกเขาน่าสมเพชกระนั้นหรือ?  นี่เป็นเพราะพวกเขาเป็นเช่นนี้แต่พวกเขาเองกลับไม่แม้แต่จะตระหนักรู้ในเรื่องนี้เลย  พวกเขาขาดความคล้ายคลึงของสภาพเสมือนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังคิดว่าตนปรกติดี และยังกล้ากระทำตนด้วยความมุทะลุ  นั่นน่าสมเพชเสียจริงไม่ใช่หรือ?  ในการแยกแยะผู้คน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการแยกแยะว่าพวกเขาปฏิบัติความจริง แสวงหาความจริง และยอมรับความจริงหรือไม่  นี่คือวิธีที่เจ้าแยกแยะพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ และเห็นผู้คนทุกหมวดหมู่อย่างชัดเจน

พวกเจ้าคือบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่?  (พวกเราไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเรากำลังพากเพียรเพื่อความจริง)  ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยามที่พวกเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเจ้าได้แสดงพฤติกรรมทั้งหลายที่เราเพิ่งเอ่ยถึงบ้างหรือไม่?  (พวกเราแสดง)  เมื่อพวกเจ้าแสดงพฤติกรรมเหล่านั้น การใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนั้นไม่ทำให้หัวใจของพวกเจ้าเจ็บปวดหรอกหรือ?  (ใช่ พวกเรากำลังทนทุกข์ แต่พวกเราไม่ได้ตระหนักในเรื่องนี้)  การไม่ตระหนักในเรื่องนี้ช่างน่าเวทนานัก!  เมื่อคนเราไม่เข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริงความจริง ก็น่าเวทนาและน่าโทมนัสที่สุด  การยึดมั่นในความจริงเหล่านี้ ฟังคำเทศนาอยู่เป็นนิตย์ แต่กลับไม่ได้รับอะไรเลยและยังคงใช้ชีวิตอยู่ภายในบ่วงมัดของซาตาน กระทำการและเอ่ยวาจาโดยไม่มีเหตุผล ขาดพร่องความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจน—ช่างน่าเวทนานัก!  ด้วยเหตุนี้การไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด!  ตอนนี้พวกเจ้าตระหนักถึงเรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่?  (ใช่ พวกเราตระหนักแล้ว)  การที่พวกเจ้าตระหนักถึงเรื่องนี้ย่อมเป็นสิ่งดี  สิ่งที่น่าวิตกคือยามที่ผู้คนเฉื่อยชาและโง่ทึ่ม และไม่สามารถตระหนักถึงเรื่องนี้ได้  หากคนเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ตระหนักในเรื่องนี้ นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด  สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือการที่คนเราตระหนักถึงเรื่องนี้แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่กลับใจแต่อย่างใด  นี่เป็นการจงใจกระทำผิด  บรรดาผู้ที่กระทำผิดโดยรู้ตัวและปฏิเสธที่จะยอมรับความจริงอย่างสิ้นเชิงนั้นมีหัวใจที่ดื้อแพ่งและมุ่งร้าย และรังเกียจความจริง  ผู้คนที่ดื้อแพ่งเหล่านั้นสามารถยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  หากพวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาจะสามารถบรรลุความเข้ากันได้กับพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ได้)  บรรดาผู้ที่มีหัวใจอันดื้อแพ่งนั้นมีท่าทีเช่นใดต่อพระเจ้า?  พวกเขาต้านทาน เป็นกบฏ และไม่กลับใจ และพวกเขาไม่รับรู้เลยว่าพระเจ้าคือความจริง  พวกเขาไม่ยอมรับความจริงและต่อต้านพระเจ้าจนถึงปลายทาง!  ปลายทางของคนเช่นนี้เป็นอย่างไร?  (พวกเขาจะถูกพระเจ้าลงโทษและถูกทำลาย)  พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเหล่านั้นให้รอด  พวกผู้นำ 250 คนที่ถูกเอ่ยถึงในพระคัมภีร์นั้นเป็นคนดื้อแพ่งและเป็นกบฏหรือไม่?  สุดท้ายแล้วพวกเขาเป็นเช่นไร?  (แผ่นดินโลกกลืนพวกเขาลงไป)  นั่นคือจุดจบ  ไม่สำคัญว่าใครบางคนเชื่อในพระเจ้ามานานแค่ไหน หากพวกเขาไม่รู้ถึงความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง หากพวกเขาไม่เข้าใจถึงความชิงชังและผลสืบเนื่องของการรังเกียจความจริง เช่นนั้นแล้วจุดจบของพวกเขาจะเป็นเช่นไร?  พวกเขาย่อมจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน  ผู้เชื่อใหม่นั้นโง่เขลาและไม่รู้ความ ยังไม่รู้จักวิธีประกอบกิจอันถูกควรหรือเส้นทางเดินที่ถูกต้อง  นั่นคือแง่มุมที่น่าเวทนาของผู้คน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและสามารถทำหน้าที่ของตน แต่กลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นก็เป็นเพียงการลงแรง  หากเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างอุทิศตน ลงแรงด้วยความเต็มใจ ไม่ทำชั่ว และไม่ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวนใดๆ เช่นนั้นแล้วต่อให้เจ้ายังไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าก็จะยังไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะว่าเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนอย่างอุทิศตน  แต่หากคนเราเข้าใจความจริงบางประการ และตระหนักถึงความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริง แต่ยังไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วความรอดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขา  อย่างดีที่สุด พวกเขาอาจยังคงอยู่ในฐานะคนลงแรงที่จงรักภักดีได้  แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ไม่เต็มใจจะลงแรง แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ และก่อกวนชีวิตและงานของคริสตจักร จุดจบของพวกเขาถูกกำหนดเอาไว้แล้ว  พวกเขาได้ร่วงลงสู่ความวิบัติแล้วและกำลังรอคอยความตาย  พวกเขาควรเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง!

บทตัดตอน 94

มีบางคนที่เพิ่งมาเชื่อในพระเจ้าซึ่งมักคิดลบและอ่อนแอ  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาด้อยวุฒิภาวะเกินไป และพวกเขาขาดพร่องความเข้าใจในความจริงทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในพระเจ้า เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าตนเองมีขีดความสามารถต่ำ ไม่สามารถตามให้ทัน มีความลำบากยากเย็นมากมาย—ซึ่งก่อให้เกิดความคิดลบ และถึงกับทำให้พวกเขายอมแพ้ กล่าวคือ พวกเขาตัดสินใจล้มเลิก ตัดสินใจหยุดไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขากำจัดตนเองออกไป  สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ “ไม่ว่าในกรณีใด พระเจ้าก็จะไม่ทรงเห็นชอบในตัวฉันสำหรับการที่ฉันเชื่อในพระองค์  ทั้งพระเจ้าก็ไม่ทรงโปรดฉัน  และฉันก็ไม่มีเวลามากนักที่จะไปร่วมการชุมนุม  ชีวิตครอบครัวของฉันลำบากยากเย็นและฉันจำเป็นต้องหาเงิน” เป็นต้น  ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นเหตุผลทั้งหลายที่พวกเขาไม่สามารถไปร่วมการชุมนุมได้  หากเจ้าไม่รีบหาให้พบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะตัดสินลงไปว่าพวกเขาไม่รักความจริง และไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง หรือไม่เจ้าก็จะตัดสินลงไปว่าพวกเขาใฝ่หาความสุขสบายทางเนื้อหนัง ไล่ตามไขว่คว้าโลก และไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ ทางโลก—และด้วยเหตุนี้ เจ้าย่อมจะทอดทิ้งพวกเขา  นี่ตรงตามหลักธรรมความจริงกระนั้นหรือ?  เหตุผลเหล่านี้แสดงถึงแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ?  ในข้อเท็จจริงนั้น ที่พวกเขากลายเป็นคิดลบก็เป็นเพราะความลำบากยากเย็นและความพัวพันของพวกเขา หากเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาก็จะไม่คิดลบมากเช่นนั้น และจะสามารถติดตามพระเจ้าได้  เมื่อพวกเขาอ่อนแอและคิดลบ พวกเขาก็จำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนจากผู้คน  หากเจ้าช่วยเหลือพวกเขา พวกเขาก็จะสามารถกลับลุกขึ้นยืนได้  แต่หากเจ้าเพิกเฉยต่อพวกเขา พวกเขาย่อมจะยอมแพ้เนื่องจากความคิดลบอย่างง่ายดาย  การนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนที่ทำงานของคริสตจักรมีความรักหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาแบกรับภาระนี้หรือไม่  การที่ผู้คนบางคนมาร่วมชุมนุมไม่บ่อยนัก มิใช่หมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง มิใช่หมายถึงการไม่ชอบความจริง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาละโมบในความยินดีทั้งหลายของเนื้อหนัง และไม่สามารถละวางครอบครัวและงานของพวกเขาได้—นับประสาอะไรที่พวกเขาควรถูกตัดสินว่าเจ้าอารมณ์หรือลุ่มหลงในเงินทองมากเกินไป  เพียงแต่ว่าในเรื่องเหล่านี้ วุฒิภาวะและปณิธานของผู้คนย่อมแตกต่างกัน  บางคนรักความจริงและสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ พวกเขาเต็มใจที่จะทนทุกข์เพื่อที่จะละทิ้งสิ่งเหล่านี้  บางคนมีความเชื่อเล็กน้อย และเมื่อเผชิญหน้าความลำบากยากเย็นจริง พวกเขาก็ไร้พลังและไม่สามารถเอาชนะได้  หากไม่มีผู้ใดช่วยเหลือหรือเกื้อหนุนพวกเขา พวกเขาก็จะโยนผ้ายอมแพ้ และถอดใจไม่ไปต่อ ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุน การดูแลห่วงใย และการให้ความช่วยเหลือจากผู้คน  เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ไม่เชื่อ ปราศจากความรักสำหรับความจริง และไม่ใช่คนดี—ซึ่งในกรณีนั้น พวกเขาก็สามารถถูกเพิกเฉยได้  หากพวกเขาคือใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง และไม่ได้เข้าชุมนุมบ่อยครั้งเนื่องจากมีความลำบากยากเย็นที่แท้จริงบางอย่าง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาต้องไม่ถูกทอดทิ้ง แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือและการเกื้อหนุนที่เปี่ยมรัก  หากพวกเขาเป็นคนดีและมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจ อีกทั้งมีขีดความสามารถที่ดี เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยิ่งสมควรได้รับการช่วยเหลือและเกื้อหนุน

บทตัดตอน 95

เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง การทำงานหนักอย่างเดียวไม่พอ เจ้าต้องทุ่มเทจิตใจลงไปด้วย วิธีเดียวที่นับได้ว่าเจ้าพยายามอย่างเต็มกำลังคือเมื่อลงมือทำด้วยหัวใจทั้งหมด หากเจ้าไม่ใส่ใจลงไป เจ้าก็ไม่ได้พยายามอย่างเต็มกำลัง หากเจ้าแค่ลงแรงทั้งหมดที่มีแต่ไม่ได้ให้ใจทั้งหมด เช่นนั้นเจ้าก็เพียงแค่ทำงานหนักโดยไม่ได้ทุ่มเทจิตใจลงไป  พระเจ้าไม่ทรงยอมรับวิธีการปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้ เมื่อปฏิบัติหน้าที่ เจ้าควรทำอย่างเต็มที่ทุกเมื่อเพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัยด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า และสุดกำลังของเจ้า  หากเจ้าลงแรงแค่เพียงครึ่ง และเก็บแรงอีกครึ่งไว้ด้วยความคิดว่า “ฉันไม่อยากเหน็ดเหนื่อย ใครจะจัดหาให้ฉันเมื่อฉันเหนื่อยล้าหมดแรง” ท่าทีเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ (ไม่) หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยแนวคิดเช่นนี้ เจ้าจะประสบความสูญเสียหรือไม่ (ใช่) การสูญเสียแบบใดเล่า (พระเจ้าจะทรงชิงชังข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปทีละน้อย) การไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการสูญเสีย หากผู้คนเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีโดยไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความสูญเสียของพวกเขานั้นจะใหญ่หลวงมากจนทำให้พวกเขาจะไม่ได้รับสิ่งใดเลย ราวกับว่าพวกเขามีความเชื่อมาโดยสูญเปล่า มีหลายคนที่ไม่ได้เสาะหาความจริง และถูกกำจัดออกไปภายในไม่กี่ปีหลังจากการเชื่อ นั่นก็คือไม่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามมากเพียงใดเมื่อปฏิบัติหน้าที่ หากเจ้าไม่ใส่ใจกับมัน เจ้าก็จะไม่สามารถได้รับความจริง สิ่งนี้คือการสูญเสียหรือไม่ พวกเจ้าตระหนักหรือไม่ว่านี่คือการสูญเสีย หากเจ้าเป็นคนที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะเห็นว่าความสูญเสียนี้ช่างใหญ่หลวงเหลือเกิน ในหมู่ผู้คนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้ามานานห้าปีหรือสิบปี บางคนก็ได้รับความเป็นจริงความจริง ในขณะที่คนอื่นยังคงพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน ข้อนี้มีความแตกต่างสำคัญหรือไม่ (มี) ผู้ที่เข้าถึงความเป็นจริงความจริงจะสัมฤทธิ์การนี้ได้อย่างไร นั่นก็เพราะประสบการณ์ สิ่งนี้พระเจ้าเป็นผู้ทรงประทานให้พวกเขาหรือไม่ (ใช่) แล้วเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่ไม่เข้าถึงความเป็นจริงความจริง และยังคงพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแต่ยังคงไม่ได้รับความจริง เนื่องจากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ด้วยแรงกายอย่างเดียวแต่ไม่ใช้หัวใจ การเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ได้รับความจริงถือเป็นพรหรือคำสาป (เป็นคำสาป) ทำไมจึงเป็นคำสาป เจ้ามองออกหรือไม่ การที่เจ้าเข้าไม่ถึงความจริงถือเป็นปัญหาใหญ่หรือปัญหาเล็ก (ปัญหาใหญ่) ปัญหาใหญ่นี้เกี่ยวข้องกับอะไร เกี่ยวข้องกับความรอดหรือไม่ (ใช่)  การที่พวกเจ้าพร่ำประกาศคำพูดและคำสอนตลอดทั้งวันมีความหมายว่าอย่างไร นี่ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อการได้รับการช่วยให้รอด และเป็นเรื่องยากที่จะสัมฤทธิ์ผล บางคนเชื่อในพระเจ้ามาเป็นสิบปีแต่ยังคงประกาศคำพูดและคำสอน  คนอื่นๆ ก็เชื่อมายี่สิบปีแต่ยังคงไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงความจริง และยังไม่รู้ว่าความเป็นจริงความจริงหมายถึงอะไร  คนเหล่านี้ตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?  การที่พวกเขาจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้หรือไม่นั้นไม่ชัดเจนใช่หรือไม่? (ใช่)  บอกเราหน่อยว่าในบรรดาผู้ที่เชื่อมาเป็นจำนวนปีเท่ากัน คนประเภทใดมีโอกาสใหญ่กว่าและความหวังมากกว่าที่จะได้รับความรอด?  คือคนที่ประกาศคำพูดและคำสอนหรือผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง? (ผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง)  เรื่องนี้ชัดเจน  เช่นนั้นพวกเจ้าอยากเป็นคนแบบใดเล่า? (คนที่มีความเป็นจริงความจริง)  คนเราจะเป็นคนที่มีความเป็นจริงความจริงได้อย่างไร? (ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ) (ด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยสุดใจ ด้วยสุดจิต และสุดกำลังที่มีตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และไม่ลดละความอุตสาหะที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย)  ถูกต้องแล้ว  หากเจ้าทำอะไรก็ตามที่พระเจ้าทรงรับสั่งให้เจ้าทำ เจ้าก็จะได้รับความจริง  เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับอะไร?  เรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับจุดจบและบั้นปลายของคนเรา  บางคนโง่เขลาและลำพองใจ และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนได้สูญเสียไปมากแค่ไหน หรือพวกเขาประสบความเสียหายอะไรบ้าง  พวกเขาเอาแต่นั่งพร่ำประกาศคำพูดและคำสอน และยังคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองอยู่ในจุดเสี่ยงอันตราย!  จุดจบของผู้ที่ไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดเป็นอย่างไร?  ลำดับแรก พวกเขาจะถูกพระเจ้ากำจัดออกไป และเมื่อมองดูการณ์ข้างหน้า จุดจบของพวกเขาเป็นอย่างไร? (ความพินาศและการทำลายล้าง)  นี่คือจุดจบของพวกเขา คือบั้นปลายของพวกเขา  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าและลงเอยเช่นนี้ นี่คือเจตนาเดิมของพวกเขาในการเชื่อในพระองค์หรือไม่ (ไม่)  ไม่มีใครต้องการลงเอยเช่นนี้  หากเจ้าไม่ต้องการจุดจบเช่นนี้ ก็จงอย่าดำเนินตามเส้นทางนั้น  เจ้าควรเดินตามเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอด

หากผู้คนไม่สามารถได้รับพระราชกิจในยุคสุดท้าย พวกเขาจะจบสิ้นไปโดยสมบูรณ์และจะไม่ได้รับโอกาสอีก  นี่ไม่เหมือนพระราชกิจในยุคพระคุณ ที่หากผู้คนที่ไม่ได้รับพระราชกิจ ไม่ว่าพวกเขาจะเกิดในประเทศใด ก็ยังสามารถรอคอยโอกาสที่จะได้รับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย  การสิ้นสุดพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายก็คือการสิ้นสุดแผนการบริหารจัดการของพระองค์ แล้วการสิ้นสุดนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าจะทรงกำหนดจุดจบของแต่ละคน และจุดจบของสรรพสิ่งก็ใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกับจุดจบของมนุษยชาติ พระราชกิจของพระเจ้าได้ดำเนินมาถึงระยะนี้แล้ว และหากผู้คนไม่ได้มีนิมิตนี้ในหัวใจของพวกเขา หากพวกเขาสับสนอยู่เสมอ และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน หากพวกเขาไม่อาจจริงจังกับการไล่ตามเสาะหาความจริง และคิดว่าตราบใดที่พวกเขาเชื่อ พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นพวกเขาก็จะพลาดโอกาสสุดท้ายของตนในการได้รับความรอด วันหนึ่งเมื่อมหันตภัยใหญ่หลวงทั้งหลายมาถึง และพระราชกิจก็เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจในการให้น้ำและมอบความจริงให้แก่ผู้คนอีกต่อไป  พระเจ้าจะสบพระพักตร์กับมนุษยชาติด้วยพระอุปนิสัยแบบใดในเวลานั้น เจ้ารู้หรือไม่?  พระองค์จะทรงมีพระพิโรธอย่างยิ่งและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์จะได้รับการเปิดเผยแก่มวลมนุษย์ทุกคนในแบบที่ไม่เคยทรงทำมาก่อน  นี่จะเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวงครั้งสุดท้ายสำหรับมวลมนุษย์  ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจเพื่อช่วยผู้คนให้รอด พระองค์ทรงอดทนอดกลั้นและรอคอยเรื่อยมา รอคอยอะไรหรือ?  รอคอยคนที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้แล้ว ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร ให้ผู้ที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอดมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์  ให้คนเหล่านั้นยอมรับการพิพากษา และการตีสอนของพระองค์ และยอมรับความรอดจากพระองค์  เมื่อผู้คนเหล่านี้ได้รับการทำให้เพียบพร้อมแล้ว พระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าก็จะเสร็จสิ้น และพระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอีกต่อไป  นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาของโนอาห์ อีกทั้งไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการทำลายล้างของเมืองโสโดม หรือช่วงเวลาแห่งการสร้างโลก แต่คือช่วงเวลาแห่งจุดจบของโลก  บางคนยังคงฝันอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้ามาถึงระยะใดแล้ว  แม้ว่าพวกเขาจะได้รับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่รีบเร่ง พวกเขายังคงสับสนและไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ  เมื่อพระราชกิจระยะนี้สิ้นสุดลง จุดจบของแต่ละคนจะเป็นไปตามนั้น และจะไม่เปลี่ยนแปลง  มนุษย์โง่เขลาและยังคิดว่า “ไม่เป็นไร พระเจ้าจะทรงให้โอกาสพวกเราอีก!” มีการให้โอกาสในช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว  เมื่อยุคนี้จบลงจะมีโอกาสอีกครั้งได้อย่างไร?  นั่นเป็นเพียงความฝันไม่ใช่หรือ?

ก่อนหน้า:  พระวจนะเรื่องพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนอย่างไร

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger