พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้า
บทตัดตอน 1
บางคนมาเชื่อในพระเจ้าเมื่อพวกเขาเห็นว่าพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นเป็นความจริงอย่างแท้จริง อย่างไรก็ดี เมื่อพวกเขามาถึงพระนิเวศของพระเจ้าและเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นคนธรรมดา พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดขึ้นในหัวใจ คำพูดและการกระทำของพวกเขากลายเป็นไร้การควบคุม พวกเขาขาดความยับยั้งชั่งใจ และพูดจาอย่างไร้ความรับผิดชอบ ตัดสินและใส่ร้ายป้ายสีตามใจชอบ นี่คือวิธีที่คนชั่วเช่นนี้ถูกเผยออกมา สิ่งมีชีวิตที่ไร้ความเป็นมนุษย์เหล่านี้มักจะทำชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักร และจะไม่มีสิ่งดีใดๆ เกิดขึ้นกับพวกเขาเลย! พวกเขาต่อต้านพระเจ้าอย่างเปิดเผย ใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าอย่างเปิดเผย ตัดสินและประณามพระเจ้าอย่างเปิดเผย และหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างเปิดเผยเช่นนี้ อีกทั้งตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ คนเช่นนี้ย่อมเป็นเป้าหมายของการลงโทษอย่างรุนแรง บางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จ และหลังจากที่ถูกปลด พวกเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา พวกเขาฉวยโอกาสในการชุมนุมเพื่อแพร่มโนคติอันหลงผิดของตนและระบายคำพร่ำบ่นของตนอย่างไม่ลดละ พวกเขาอาจถึงกับโพล่งวาจาที่รุนแรงหรือวาจาที่ระบายความเกลียดชังของตนออกมา คนเช่นนี้เป็นปีศาจไม่ใช่หรือ? หลังจากถูกพระนิเวศของพระเจ้าเอาตัวออกไป พวกเขาก็รู้สึกสำนึกผิด โดยอ้างว่าตนพูดสิ่งที่ผิดพลาดไปด้วยความโง่เขลาชั่วขณะ บางคนแยกแยะพวกเขาไม่ออก จึงกล่าวว่า “พวกเขาน่าสงสารยิ่งนัก และพวกเขาก็สำนึกผิดอยู่ในใจ พวกเขายังกล่าวด้วยว่าพวกเขาเป็นหนี้พระเจ้าและไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้นโปรดยกโทษให้พวกเขาเถิด” สามารถให้อภัยกันอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ? แม้แต่มนุษย์ก็มีศักดิ์ศรีของตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระเจ้าเลย! หลังจากผู้คนเหล่านี้หมิ่นประมาทและใส่ร้ายป้ายสีแล้ว เมื่อบางคนเห็นว่าคนเหล่านั้นสำนึกผิด ก็ต้องการให้พวกเขาได้รับการอภัย และกล่าวว่าพวกเขากระทำไปด้วยความโง่เขลาชั่วขณะ—แต่นั่นเป็นความโง่เขลาชั่วขณะจริงหรือ? พวกเขาพูดโดยมีเจตนาบางประการเสมอ และถึงกับกล้าตัดสินพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าปลดพวกเขา พวกเขาย่อมสูญเสียผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งและกลัวว่าจะถูกกำจัดออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงเอ่ยคำพร่ำบ่นมากมาย ต่อมาพวกเขาก็รู้สึกสำนึกผิดและร้องไห้อย่างขมขื่น การทำเช่นนี้มีประโยชน์อันใดหรือไม่? เมื่อเจ้ากล่าวคำพูดออกไปแล้ว คำพูดเหล่านั้นก็เหมือนน้ำที่ราดลงบนพื้นดินซึ่งไม่อาจเอากลับคืนมาได้ พระเจ้าทรงทนยอมให้ผู้คนต่อต้านพระองค์ ตัดสินพระองค์ และหมิ่นประมาทพระองค์ตามใจชอบ แล้วทรงเพิกเฉยได้กระนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงมีศักดิ์ศรีใดๆ เลย บางคนกล่าวหลังจากที่ต่อต้านพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ไถ่ข้าพระองค์แล้ว พระองค์ทรงให้พวกเรายกโทษให้ผู้คนเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด—พระองค์ก็ควรจะทรงให้อภัยข้าพระองค์ด้วยเช่นกัน!” ช่างไร้ยางอายเสียจริง! บางคนเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับพระเจ้า และรู้สึกกลัวหลังจากที่ใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ ด้วยความกลัวที่จะถูกลงโทษ พวกเขาก็รีบคุกเข่าลงและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ ขออย่าทรงลงโทษข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอสารภาพ ข้าพระองค์ขอสำนึกผิด ข้าพระองค์เป็นหนี้พระองค์ ข้าพระองค์ทำผิดไปแล้ว” จงบอกเราทีว่า คนเช่นนี้จะได้รับการอภัยหรือไม่? ไม่! เหตุใดจึงไม่ได้เล่า? สิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นล่วงเกินพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบาปของการหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่มีวันได้รับการอภัย ไม่ว่าจะในชีวิตนี้หรือในโลกที่จะมาถึง! พระเจ้าทรงยึดมั่นในพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงมีศักดิ์ศรี พระพิโรธ และอุปนิสัยอันชอบธรรม เจ้าคิดหรือว่าพระเจ้าทรงเหมือนมนุษย์ที่หากใครทำดีกับพระองค์สักหน่อย พระองค์ก็จะทรงมองข้ามการกระทำผิดในอดีตของพวกเขา? ไม่มีเรื่องเช่นนั้นเลย! เรื่องราวจะลงเอยด้วยดีสำหรับเจ้าหรือไม่หากเจ้าต่อต้านพระเจ้า? เป็นเรื่องที่ให้อภัยได้หากเจ้าทำผิดเพราะความโง่เขลาชั่วขณะ หรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาเล็กน้อยเป็นครั้งคราว แต่หากเจ้าต่อต้านพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า และตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าโดยตรง และหากเจ้าใส่ร้ายป้ายสี หมิ่นประมาท และเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลเกี่ยวกับพระองค์ เช่นนั้นเจ้าก็ถึงคราวพินาศอย่างแน่นอน คนเช่นนี้ไม่จำเป็นจะต้องอธิษฐานอีกต่อไป พวกเขาควรรอรับการลงโทษเท่านั้น ไม่อาจให้อภัยพวกเขาได้! เมื่อถึงเวลานั้น จงอย่ากล่าวอย่างไร้ยางอายว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทรงให้อภัยข้าพระองค์ด้วยเถิด!” ไม่ว่าเจ้าจะวิงวอนอย่างไร เราเกรงว่ามันจะไร้ประโยชน์ หลังจากเข้าใจความจริงบางประการแล้ว หากผู้คนยังจงใจกระทำผิด พวกเขาย่อมไม่อาจได้รับการอภัย ก่อนหน้านี้มีการกล่าวว่าพระเจ้าไม่ทรงจดจำการกระทำผิดของคนเรา นั่นหมายถึงการกระทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกี่ยวกับกฎการปกครองของพระเจ้าและไม่ล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาทและใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้า แต่หากเจ้าหมิ่นประมาท ตัดสิน หรือใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว นี่จะเป็นมลทินถาวรที่ไม่อาจลบเลือนได้ ผู้คนถึงกับต้องการหมิ่นประมาทและด่าทอพระเจ้าตามอำเภอใจ แล้วก็ใช้ประโยชน์จากพระองค์เพื่อให้ได้รับพร ไม่มีอะไรในโลกที่จะได้มาง่ายดายเช่นนั้น! ผู้คนคิดเสมอว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก ทรงมีเมตตา ทรงมีพระทัยที่กว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต พระองค์ไม่ทรงจดจำการกระทำผิดของผู้คนและทรงปล่อยให้การกระทำผิดและการกระทำในอดีตของผู้คนเป็นเรื่องที่แล้วไปแล้ว การปล่อยให้แล้วไปแล้วไปนั้นเกิดขึ้นกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พระเจ้าจะไม่ทรงให้อภัยผู้ที่ต่อต้านและหมิ่นประมาทพระองค์อย่างเปิดเผยเด็ดขาด
แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรจะเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่พวกเขากลับไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้อันแท้จริงเกี่ยวกับอุปนิสัยของพระเจ้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผู้คนไม่ยำเกรงพระเจ้าหรือเกรงขามพระองค์ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาก็พูดอะไรก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อพวกเขาพูดจบแล้ว เรื่องจะจบลงแค่นั้นหรือไม่? พวกเขาต้องจ่ายราคาสำหรับสิ่งที่ตนพูด และนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย! เมื่อคนบางคนหมิ่นประมาทพระเจ้า เมื่อพวกเขาตัดสินพระเจ้า พวกเขารู้แก่ใจหรือไม่ว่าตนกำลังพูดอะไรอยู่? ทุกคนที่พูดสิ่งเหล่านี้ย่อมรู้แก่ใจว่าตนพูดอะไร นอกจากผู้ที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำและผู้มีสำนึกที่ผิดปกติแล้ว คนปกติย่อมรู้แก่ใจว่าตนกำลังพูดอะไรอยู่ หากพวกเขาบอกว่าไม่รู้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังโกหก เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาคิดว่า “ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ข้าพระองค์กำลังบอกว่าสิ่งที่พระองค์ทำอยู่นั้นไม่ถูกต้อง—พระองค์จะทำอะไรข้าพระองค์ได้? พระองค์จะทำอย่างไรเมื่อข้าพระองค์พูดจบ?” พวกเขาทำเช่นนี้อย่างค่อนข้างจงใจ—เจตนาก่อกวนผู้อื่น ดึงผู้อื่นมาเข้าข้างตน และทำให้ผู้อื่นพูดและกระทำในลักษณะเดียวกัน พวกเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นการไม่ยอมรับพระเจ้าอย่างเปิดเผย เป็นการตั้งตนต่อต้านพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้า หลังจากที่พวกเขาไตร่ตรองดูแล้ว พวกเขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ฉันกำลังพูดอะไรอยู่? เป็นความมุทะลุชั่ววูบและฉันเสียใจจริงๆ!” ความเสียใจของพวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ หากเจ้าคิดว่าพวกเขาโง่เขลาและสับสนชั่วขณะ คิดว่าพวกเขามองไม่เห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน นี่ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว แม้ว่าผู้คนจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจนนัก หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ต้องมีความรู้ทั่วไปเป็นอย่างน้อย ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเกรงขามพระองค์และยำเกรงพระองค์ พวกเขาไม่สามารถหมิ่นประมาทพระเจ้า หรือตัดสินหรือใส่ร้ายป้ายสีพระองค์ตามใจชอบได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า “การตัดสิน” “การหมิ่นประมาท” และ “การใส่ร้ายป้ายสี” หมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่รู้หรือว่าคำพูดที่เจ้ากล่าวออกมานั้นเป็นการตัดสินพระเจ้า? บางคนมักจะพูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเคยเป็นเจ้าภาพรับรองพระเจ้า และมักจะพบเห็นพระเจ้า และได้ฟังสามัคคีธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพูดถึงสิ่งเหล่านี้กับทุกคนที่พวกเขาพบเจอ พร่ำพูดแต่เรื่องภายนอกเพียงอย่างเดียว พวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงเลย พวกเขาอาจไม่มีเจตนาร้ายเมื่อพูดสิ่งเหล่านี้ พวกเขาอาจมีเจตนาดีต่อพี่น้องชายหญิงและปรารถนาที่จะกระตุ้นทุกคน แต่เหตุใดพวกเขาจึงเลือกที่จะพูดถึงสิ่งเหล่านี้? หากพวกเขาเป็นฝ่ายหยิบยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาก่อน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมมีเจตนาบางอย่าง โดยหลักแล้วก็เพื่ออวดตัวและทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา หากพวกเขาปรารถนาที่จะทำให้ผู้คนมีความเชื่อและกระตุ้นการเชื่อในพระเจ้าของผู้คน พวกเขาอาจจะอ่านพระวจนะของพระองค์ซึ่งเป็นความจริงให้ผู้คนฟังมากขึ้น แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยืนกรานที่จะพูดถึงเรื่องภายนอกดังกล่าว? รากเหง้าของการพูดสิ่งเหล่านี้ของพวกเขาก็คือ พวกเขาขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่เกรงกลัวพระเจ้า ผู้คนจะอวดดีและพูดพล่ามต่อพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างไร? พระเจ้าทรงมีศักดิ์ศรี! หากพวกเขาตระหนักในเรื่องนี้ พวกเขาจะยังคงพูดสิ่งเหล่านั้นอยู่หรือไม่? ผู้คนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกเขาพูดตามอำเภอใจว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไรและพระเจ้าทรงมีลักษณะเช่นใดด้วยแรงจูงใจของตนเอง เพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัวที่จะทำให้ผู้อื่นยกย่องตน นี่เป็นการตัดสินพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างแท้จริง คนเช่นนี้ไม่มีวี่แววของหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกเขาล้วนเป็นคนที่ต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาล้วนเป็นวิญญาณชั่วและปีศาจ บางคนเชื่อในพระเจ้ามาไม่กี่ปี แต่หลังจากที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับตัวไป พวกเขาก็กลายเป็นยูดาส ถึงกับทำตามพญานาคใหญ่สีแดงในการหมิ่นประมาทพระเจ้า ขณะที่ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนก็พูดตามคนในศาสนาโดยกล่าวสิ่งที่ตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าและกล่าวโทษพระเจ้า พวกเขารู้ดีว่าการพูดสิ่งเหล่านั้นเป็นการต่อต้านพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ การพูดสิ่งเหล่านั้นไม่เหมาะสม ไม่ว่าแรงจูงใจของเจ้าจะเป็นเช่นใดก็ตาม เจ้าพูดเรื่องอื่นไม่ได้หรือ? เหตุใดเจ้าจึงต้องพูดสิ่งเหล่านี้? นี่เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าไม่ใช่หรือ? หากคำพูดเช่นนั้นออกมาจากปากของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็กำลังหมิ่นประมาทพระเจ้า การพูดสิ่งเหล่านี้คือการไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะทำโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าคล้อยตามผู้อื่นและกล่าววาจาหมิ่นประมาทเพื่อเอาใจผู้อื่นและได้พวกเขามาเป็นพวก เจ้าช่างไม่ยำเกรงพระเจ้าเอาเสียเลย! เจ้าเกลือกกลั้วอยู่ในความโสมมกับมารเหล่านี้! เจ้าสามารถเล่นตลก ตัดสิน ตีกรอบ และหมิ่นประมาทพระเจ้าตามอำเภอใจได้หรือ? การทำเช่นนั้นช่างเลวร้ายนัก! หากเจ้าพูดอะไรผิดไปและล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ถึงคราวพินาศแล้ว นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย! บางคนคิดว่า “ผู้คนในศาสนาถูกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสชักพาให้หลงผิด และพวกเขาส่วนใหญ่เคยพูดสิ่งที่หมิ่นประมาทพระเจ้า ตัดสินและกล่าวโทษพระราชกิจของพระองค์ บางคนได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายและกลับใจ พระเจ้าจะทรงช่วยคนเหล่านั้นให้รอดอย่างแท้จริงหรือไม่? หากพวกเขาทั้งหมดถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ก็จะมีคนน้อยเหลือเกินที่จะได้รับความรอด แทบจะไม่มีใครได้รับการช่วยให้รอดเลย” เจ้าไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งใช่หรือไม่? อุปนิสัยของพระเจ้าคือความชอบธรรม และพระองค์ทรงชอบธรรมต่อทุกคน ในสมัยของโนอาห์ มีเพียงแปดคนที่ได้เข้าสู่นาวาและได้รับการช่วยให้รอด ส่วนที่เหลือถูกทำลายล้าง เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรม? มวลมนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้ง พวกเขาล้วนมีธรรมชาติของซาตาน พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาล้วนต่ำช้าและไร้ค่า หากพวกเขาไม่สามารถยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าได้ พวกเขาก็จะถูกทำลายล้างเช่นเดียวกัน บางคนอาจคิดในใจว่า “หากพวกเราไม่มีใครสามารถได้รับความรอดจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่สูญเปล่าหรอกหรือ? ในมุมมองของฉัน พระเจ้าไม่สามารถทรงพระราชกิจแห่งความรอดต่อมวลมนุษย์โดยปราศจากผู้คนได้ หากปราศจากมนุษย์ การบริหารจัดการของพระเจ้าก็จะหายไป” เจ้าคิดผิดแล้ว แม้ไม่มีใครเลย พระเจ้าก็จะทรงดำเนินแผนการบริหารจัดการของพระองค์ต่อไปเช่นเดิม ผู้คนตีค่าตนเองสูงเกินไป เมื่อไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ผู้คนย่อมขาดความเลื่อมใสต่อพระพักตร์พระเจ้าเลย และพวกเขาก็ไม่ประพฤติตนให้เหมาะสม เพราะผู้คนดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานและมีธรรมชาติของซาตาน พวกเขาจึงมีแนวโน้มที่จะตัดสินพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระเจ้าได้ทุกที่ทุกเวลา นี่เป็นเรื่องที่เลวร้าย—เป็นการล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า!
บทตัดตอน 2
ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าใจสิ่งสำคัญบางประการ อย่างน้อยที่สุดในใจเขาต้องรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงอะไร ความจริงใดที่ผู้เชื่อควรจะเข้าใจ และรู้ว่าควรปฏิบัติการนบนอบพระเจ้าอย่างไร รวมถึงในการนบนอบพระเจ้า ความจริงข้อใดและพระวจนะของพระองค์ข้อใดที่คนเราควรเข้าใจ และคนเราควรมีความเป็นจริงใดบ้างเพื่อให้พระองค์พอพระทัย หากเจ้ามีความเชื่อและความตั้งใจเช่นนี้ แม้บางครั้งเจ้าจะมีมโนคติอันหลงผิดหรือซ่อนเร้นแรงจูงใจบางประการไปบ้าง การปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเรื่องง่าย ส่วนคนที่ไม่มีความเชื่อเช่นนี้เขามักจะเลือกนบนอบพระเจ้าในบางเรื่อง และบางครั้งเขามักจะชอบโต้เถียง จับผิด เก็บซ่อนความขุ่นเคืองใจ และบ่นต่อว่า… พฤติกรรมที่เป็นกบฏทุกรูปแบบจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า! ไม่เพียงแต่ครั้งสองครั้งเท่านั้น และไม่ใช่แค่ความคิดชั่วแล่น แต่เป็นความสามารถที่จะพูดถ้อยคำที่เป็นกบฏและทำสิ่งที่เป็นกบฏ สิ่งนี้บ่งบอกถึงอุปนิสัยที่เป็นกบฏที่ร้ายแรงโดยเฉพาะ ผู้คนนั้นมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามแม้ว่าเขามีความตั้งใจที่จะนบนอบพระเจ้า แต่การนบนอบของเขาก็มีจำกัด ผู้คนนบนอบพระเจ้าด้วยการเทียบเคียง แค่บางครั้งบางโอกาส แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ มีเงื่อนไขและไม่สมบูรณ์ ด้วยว่ามีอุปนิสัยเสื่อมทราม การเป็นกบฏของพวกเขาจึงใหญ่หลวงเป็นพิเศษ พวกเขายอมรับพระเจ้าแต่ไม่สามารถนบนอบพระองค์ และพวกเขายินดีรับฟังพระวจนะของพระองค์แต่ไม่สามารถนบนอบพระวจนะเหล่านั้นได้ พวกเขารู้ว่าพระเจ้าทรงแสนดี และพวกเขาต้องการรักพระองค์แต่ก็ไม่อาจทำได้ พวกเขาไม่สามารถรับฟังพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์ ไม่สามารถให้พระองค์จัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งได้ และพวกเขายังคงมีทางเลือกของตัวเอง ยังคงซ่อนเร้นความตั้งใจและแรงจูงใจของตัวเอง และมีแผนการ ความคิด และวิถีทางในการทำสิ่งต่างๆ เป็นของตัวเอง การมีวิถีทางในการทำสิ่งต่าง ๆ เป็นของตัวเอง มีวิธีการของตัวเอง หมายความว่าไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมนบนอบพระเจ้าได้ พวกเขาเพียงทำตามความคิดของตัวเองและกบฏต่อพระเจ้า คนที่เป็นกบฏย่อมเป็นเช่นนี้! ดังนั้นธรรมชาติของมนุษย์จึงไม่ใช่เพียงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามธรรมดาๆ อย่างความคิดว่าตนเองถูก การคิดว่าตนสำคัญ และความทะนงตนที่ผิวเผิน หรือการโกหกหลอกลวงต่อพระเจ้าเป็นครั้งคราว ตรงกันข้าม แก่นแท้ของมนุษย์ได้กลายเป็นแก่นแท้ของซาตานไปเสียแล้ว หัวหน้าทูตสวรรค์ทรยศพระเจ้าอย่างไรเมื่อครั้งกระโน้นหรือ? แล้วผู้คนสมัยนี้ล่ะ? กล่าวตามตรง ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับได้หรือไม่ ผู้คนในทุกวันนี้ไม่เพียงแต่ทรยศพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงเหมือนที่ซาตานเคยทำเท่านั้น แต่ยังเป็นศัตรูโดยตรงกับพระเจ้าทั้งในใจ ความคิด และคตินิยมของพวกเขาอีกด้วย นี่คือความเสื่อมทรามของซาตานที่ทำให้มนุษยชาติกลายเป็นมาร มนุษย์ได้กลายเป็นลูกหลานของซาตานอย่างแท้จริง พวกเจ้าอาจจะกล่าวว่า “พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูกับพระเจ้า เราฟังสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส” นั่นเป็นสิ่งผิวเผิน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าฟังสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส แต่ความจริงแล้วขณะที่เราสามัคคีธรรมและพูดอย่างเป็นทางการ ผู้คนส่วนมากไม่มีมโนคติอันหลงผิด ประพฤติตัวดีและเชื่อฟัง แต่เมื่อเราพูดและกระทำสิ่งทั้งหลายแบบในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ หรือดำเนินชีวิตและกระทำในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาก็เกิดขึ้น แม้พวกเขาต้องการจะมีที่ว่างในใจให้กับเรา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถให้เราเข้าไปอยู่ในใจได้ และไม่ว่าความจริงได้รับการสามัคคีธรรมอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถละทิ้งมโนคติอันหลงผิดไปได้ นี่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถนบนอบพระเจ้าได้แค่บางเรื่องเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เจ้าทราบว่าพระองค์คือพระเจ้า และเจ้าก็ทราบว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมต้องมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ฉะนั้นเหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบพระเจ้าอย่างสุดใจ? พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์คือพระคริสต์ คือบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงมีทั้งเทวสภาพและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ภายนอกพระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่เทวสภาพของพระองค์ดำรงอยู่และทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้ ตอนนี้พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะพระคริสต์ ทรงมีทั้งเทวสภาพและสภาวะความเป็นมนุษย์ แม้กระนั้นบางคนก็สามารถนบนอบพระวจนะและพระราชกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ได้แค่บางส่วนเท่านั้น ถือเอาพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์และภาษาอันล้ำลึกของพระองค์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ในขณะที่พวกเขาเพิกเฉยต่อพระวจนะและพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์บางส่วนไป บางคนถึงกับมีแนวคิดและมโนคติอันหลงผิดในหัวใจของพวกเขา โดยเชื่อว่าภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เท่านั้นที่เป็นพระวจนะของพระเจ้า และภาษาเยี่ยงมนุษย์ของพระองค์ไม่ใช่ คนเช่นนี้สามารถยอมรับความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงได้หรือ? พวกเขาจะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าได้หรือ? พวกเขาไม่สามารถทำได้ เพราะคนเช่นนี้ทำความเข้าใจด้วยวิธีการที่ไร้เหตุผล และไม่สามารถได้มาซึ่งความจริง กล่าวโดยสรุป โลกภายในของมนุษย์มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และเรื่องที่เป็นกบฏเหล่านี้ก็ซับซ้อนเป็นพิเศษ—ไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียดเลย ผู้คนสามารถนบนอบเทวสภาพของพระเจ้าได้ แต่ไม่สามารถนบนอบบางส่วนของพระราชกิจและพระวจนะแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังไม่ได้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง การนบนอบพระเจ้าของผู้คนมีเงื่อนไขเสมอ พวกเขาฟังสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องและมีเหตุผล และไม่เต็มใจที่จะรับฟังสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าไม่ถูกต้องและไม่มีเหตุผล พวกเขาไม่นบนอบสิ่งที่พวกเขาไม่เต็มใจจะฟังหรือสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ การนี้เรียกว่าการนบนอบที่แท้จริงได้หรือ? ไม่ได้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยทั้งหลายของผู้คนไม่ดี อุปนิสัยของพวกเขาชั่วร้ายและต่ำทรามเป็นพิเศษ—นี่เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง! กล่าวคือ แม้แต่เวลาที่ผู้คนนบนอบพระเจ้าเล็กน้อยก็ตาม การนบนอบนั้นก็เลือกที่รักมักที่ชังและมีเงื่อนไข อีกทั้งไม่เคยเป็นการนบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์เลย หากมีคำกล่าวว่ามีบุคคลหนึ่งรับฟังและนบนอบ นี่ก็เป็นเพียงการกล่าวโดยเทียบเคียงเท่านั้น เพราะเจ้ายังไม่ได้แตะต้องผลประโยชน์ของพวกเขาหรือตัดแต่งพวกเขาอย่างแท้จริง เจ้ายังไม่ได้ตัดแต่งพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย ทันทีที่เจ้าตัดแต่งพวกเขาจริง พวกเขาจะตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเจ้าและแสดงสีหน้าบึ้งตึงทั้งวัน หากเจ้าถามบางอย่างกับพวกเขา พวกเขาจะไม่ตอบกลับ และหากเจ้าบอกให้พวกเขาทำบางอย่าง พวกเขาก็จะไม่เต็มใจทำ เมื่อเจ้าบอกให้พวกเขาทำสิ่งที่พวกเขาไม่เต็มใจจะทำ พวกเขาก็จะเริ่มทำลายข้าวของและดื้อรั้นกับเจ้า อุปนิสัยของบุคคลหนึ่งสามารถแย่ลงได้แค่ไหน! เมื่อทราบว่าพระองค์คือพระเจ้า เหตุใดเจ้าจึงปฏิบัติต่อพระองค์เช่นนั้น? นี่ไม่ได้แตกต่างจากพวกฟาริสีและเปาโลเมื่อครั้งอดีตเลย เปาโลทราบหรือไม่ว่าพระเยซูคือพระเจ้า? เหตุใดเขาจึงข่มเหงบรรดาสาวกของพระเยซู? เหตุใดเขาจึงจับกุมสาวกของพระองค์มากมายถึงเพียงนั้น? ในที่สุด พระเยซูทรงเห็นว่าเปาโลเลยเถิดไปมากแล้วในการข่มเหงของเขา พระองค์จึงทรงบดขยี้เปาโลบนถนนไปสู่เมืองดามัสกัส แสงสว่างส่องล้อมรอบตัวเขา และเปาโลก็ล้มลงกับพื้น หลังจากล้มลง เขาถามพระเยซูว่า: “พระองค์เป็นใคร?” พระเยซูตอบเขาว่า: “เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง” (กิจการ 9:5) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เปาโลก็เชื่อฟังมากขึ้น หากพระเยซูมิได้ทรง “ให้ความกระจ่าง” และบดขยี้เขา เปาโลคงมิได้ยอมรับพระเยซู นับประสาอะไรที่จะประกาศเพื่อพระองค์ สิ่งนี้พิสูจน์อะไร? สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าผู้คนมีธรรมชาติที่เลวร้ายได้ถึงขีดสุด
ผู้คนมักจะกล่าวว่า: “มนุษย์เราล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ไม่มีใครในพวกเราสามารถทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้” และว่า “มนุษย์มีความคิดว่าตนเองถูกและคิดว่าตนสำคัญ พวกเขาเชื่อเสมอว่าตนเองเป็นคนดี และพวกเขาดีกว่าคนอื่น!” อันที่จริงแล้ว นี่เป็นความเข้าใจที่ตื้นเขินที่สุด นี่เป็นแค่แง่มุมเล็กๆ ของอุปนิสัยเสื่อมทรามเท่านั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดคุยถึงความคิดและเจตนารมณ์ในการกบฏต่อพระเจ้าและขัดขืนต่อพระเจ้าในธรรมชาติของเจ้าเองเลย? พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เจ้าทำบางสิ่งในแบบหนึ่ง แล้วเจ้ากลับต้องทำในอีกแบบหนึ่ง พระเจ้าทรงพระราชกิจในแบบหนึ่ง แล้วเจ้ากลับต้องเรียกร้องให้พระองค์ทรงพระราชกิจในอีกแบบหนึ่ง นี่ไม่ใช่การต่อกรกับพระเจ้าหรือ? ทุกคนมีอุปนิสัยชนิดนี้ ไม่มีใครรอดพ้นได้ บางทีคนบางคนอาจจะบอกว่า: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉัน ฉันไม่รู้มาก่อน!” นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า เมื่อเจ้าได้ติดต่อสัมพันธ์แล้ว และหลังจากใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ค่อยๆ ทำความรู้จักพระองค์ รับประกันได้เลยว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา นี่ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง และไม่ใช่การประเมินเจ้าต่ำ ทุกวันนี้ผู้คนไม่เพียงแต่มีอุปนิสัยเสื่อมทราม ธรรมชาติของพวกเขาก็เสื่อมทรามเช่นกัน ความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขาเสื่อมทรามจนกระทั่งขาดวิ่นและหลงหายอย่างสิ้นเชิงแล้ว นั่นก็คือผู้คนไม่เหลือความเป็นมนุษย์ที่ปกติอยู่อีกต่อไป พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติแต่ผู้คนล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และไม่ได้มีในเรื่องของความเป็นมนุษย์ที่ปกติมากมายนัก ทำให้การอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวกับพระเจ้าของพวกเขาเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจะมีความแตกต่างและโต้เถียงกับพระเจ้าในหลายประเด็นอย่างแน่นอน อาจไปถึงขั้นเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ด้วยซ้ำ นี่เป็นเพราะผู้คนไม่ได้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือหัวใจที่นบนอบพระเจ้า คนเราไม่สามารถเรียกร้องกับผู้คนว่า “ในเมื่อคุณรับรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า คุณต้องนบนอบพระองค์ไม่ว่าจะตรัสอย่างไรก็ตาม” ยิ่งไปกว่านั้น การเรียกร้องให้พวกเขายอมจำนนต่อพระเจ้าในทุกเรื่องยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ นี่ไม่ใช่เรื่องของการยอมจำนน ผู้คนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และในที่สุดแล้ว พระเจ้าก็คือพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์—ซึ่งจำเป็นต้องมีเส้นแบ่งระหว่างทั้งสอง ในยุคธรรมบัญญัติ คนรับใช้ของอับราฮัมได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าอย่างไร? “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์” (ปฐมกาล 24:12) เขาแบ่งแยกลำดับชั้นอย่างชัดเจน ในขณะที่ผู้คนในยุคนี้เชื่อว่า: “พระเจ้าก็ไม่ต่างอะไรมากจากพวกเรา พระองค์ก็มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และมีความต้องการ มีอารมณ์ความรู้สึกครบถ้วน มีพระชนม์ชีพ และมีกิจกรรมของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แม้ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจอันศักดิ์สิทธิ์ แต่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ก็ถือเป็นสิ่งที่ขาดมิได้!” ทันทีที่มนุษย์มีแนวคิดคร่าว ๆ เกี่ยวกับ “สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ” ภายในพวกเขาแล้ว พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะกำหนดพระราชกิจของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ให้เป็นสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของมนุษย์ ปฏิเสธแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ นี่เป็นข้อผิดพลาดใหญ่หลวง นี่ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักพระเจ้าใช่หรือไม่? พวกเจ้ายังไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า ใครในพวกเจ้ากล้าจะกล่าวว่า “หากฉันได้ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเวลาหนึ่งปี ฉันรับประกันได้ว่าฉันจะไม่เป็นกบฏเลย”? ไม่มีใครสามารถมั่นใจได้ขนาดนั้น คนส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้ามามากกว่า 10 หรือ 20 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถบรรลุซึ่งการนบนอบที่แท้จริงต่อพระองค์ได้ นี่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และอุปนิสัยของซาตานได้หยั่งรากลึกเข้าไปในหัวใจของผู้คนแล้ว มีสิ่งเสื่อมทรามบางประการที่พวกเจ้าไม่สามารถขุดขึ้นมาด้วยตัวเองได้เลยเสียด้วยซ้ำ เราได้กล่าวคำพูดมากมาย ได้แสดงความจริงมากมาย แต่แทบจะไม่มีใครเลยที่เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง ผู้คนในเวลานี้ดื้อดึงดันทุรัง พวกเขาเฉยชาและโง่เขลาเบาปัญญาอย่างยิ่ง นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขามีความไม่รู้เพียงเล็กน้อย ธรรมชาติที่เป็นกบฏของพวกเขาได้ก่อรูปก่อร่างขึ้นแล้ว แต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่ได้มองเห็นสิ่งนี้อย่างชัดเจน
บางคนเมื่อพบเจอพระคริสต์สักหนึ่งหรือสองวัน ก็ไม่คุ้นเคยกับพระองค์และรู้สึกค่อนข้างสำรวมว่า “นี่คือพระเจ้าประทับอยู่ตรงนี้!” พวกเขามีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่หลังจากที่คลุกคลีกับพระองค์สัก 10 วันหรือสองสัปดาห์ เมื่อพวกเขาคุ้นเคยกับพระองค์มากขึ้นทีละน้อยและใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาก็กลายเป็นคนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่แยกแยะสถานะของตนกับของพระองค์อีกต่อไป ราวกับว่าเท่าเทียมกันทุกอย่าง ไม่มีลำดับชั้นแต่อย่างใด พวกเขาคิดว่าถูกควรแล้วที่พระเจ้าจะทรงแบ่งปันชีวิตและความเบิกบานกับตน บางครั้งเราก็นึกตรองอยู่ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ถ้าเราจะตัดแต่งและอบรมสั่งสอนพวกเขาตลอดเวลา ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะประพฤติตัวดีและนบนอบ บางครั้งเวลาเราพูดคุยกับใครสักคนเหมือนคนที่เสมอภาคกัน พวกเขาก็คิดว่า “อืม ดูเถิดว่าพระเจ้าดีกับฉันขนาดไหน!” การที่เราดีกับเจ้าไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยที่เป็นกบฏหรือว่าแก่นแท้ธรรมชาติของเจ้านั้นดี ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? กับบางคน เวลาเราปฏิบัติต่อพวกเขาดีขึ้นมานิดและยิ้มให้สักหน่อย พวกเขาก็ลืมที่ทางของตนในจักรวาล ลืมว่าตนมาจากไหน อัตลักษณ์และแก่นแท้ของตนเป็นเช่นไร—พวกเขาลืมทั้งหมดนี้ ธรรมชาติของผู้คนแย่ถึงที่สุดแล้วโดยแท้ พวกเขาไม่มีสำนึกแม้แต่น้อย! ถ้าบางคนเชื่อว่าตนเป็นคนดีทีเดียว เช่นนั้นแล้วก็จงไปมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าสักระยะหนึ่ง และดูว่าความเป็นกบฏและการแข็งขืนทั้งหมดในตัวเจ้าจะถูกเปิดโปงออกมาอย่างไร จงเข้าไปเกี่ยวข้องกับพระเจ้าสักระยะ—เราจะไม่เตือนเจ้า ไม่ตำหนิ หรือตัดแต่งเจ้า และจะไม่มีใครสามัคคีธรรมกับเจ้า เจ้าจะมีประสบการณ์ด้วยตนเอง และพวกเราก็จะเห็นกันว่าเจ้าจะมีประสบการณ์ได้ถึงเพียงไหน หากไม่ได้มาซึ่งความจริง ก็แน่นอนว่าเจ้าจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ผลที่ตามมาย่อมจะไม่อาจคาดคิดได้ อุปนิสัยที่เป็นกบฏของผู้คนนั้นร้ายแรงเกินไป หัวใจของพวกเขาไม่สามารถเปิดรับผู้อื่น! อุปนิสัยที่เป็นกบฏของเจ้า ธรรมชาติเยี่ยงซาตาน และหัวใจที่โอหังของเจ้าไม่สามารถเปิดรับผู้อื่น! บางครั้งหลังจากที่มีปฏิสัมพันธ์กับเราสักระยะหนึ่ง บางคนก็เกิดความคิดบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ถ้าความคิดเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อกลายเป็นมโนคติอันหลงผิดหรือการตัดสินไปแล้ว พวกเขาก็จะพบว่าตนนั้นมีภัย บางคนกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะพระองค์ธรรมดาและปกติเกินไป ข้าพระองค์ไม่เป็นเช่นนี้เวลาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า” เวลาที่เจ้าเชื่อในพระเยซูก็เหมือนกัน ถ้าเอาพวกเจ้าไปไว้ในยุคของพระเยซู พวกเจ้าก็จะไม่ดีไปกว่าพวกฟาริสี ความรู้สึกนึกคิดของพวกเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด จงอย่าคิดว่าเจ้าจะดีไปกว่ายูดาส เขาสามารถหักหลังองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตนและลักเงินของพระองค์ไปใช้ได้ลงคอ เจ้าอาจจะไม่หักหลังพระองค์เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือใช้เงินของคริสตจักรโดยไม่ยั้งคิด แต่จะไม่ใช่คนที่นบนอบองค์พระผู้เป็นเจ้า และแน่นอนว่าเจ้าย่อมจะเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิด ความเป็นกบฏ และการแข็งขืน พระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าคือการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า เหตุใดยูดาสจึงต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า? ธรรมชาติของเขาเลวเกินไป เขาไม่อาจเปิดใจรับพระคริสต์ได้ และยืนกรานที่จะเป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ สมัยนั้นเปโตรก็ทนทุกข์มากเช่นกันมิใช่หรือ? ในที่สุด เพราะความเป็นมนุษย์ของเขาดีกว่าผู้อื่นในสมัยนั้นอยู่บ้างเมื่อเปรียบเทียบกัน และเพราะเขาสามารถไล่ตามเสาะหาที่จะรักพระเจ้า เขาจึงได้รับการทำให้เพียบพร้อมในท้ายที่สุด ย้อนไปในยุคนั้น เขาก็มีมโนคติอันหลงผิดและความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับพระเยซูเช่นกัน แต่เพราะเขาสามารถไล่ตามเสาะหาที่จะรักองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงรู้จักองค์พระเยซูเจ้าขึ้นมาบ้างในท้ายที่สุด ดังนั้น จงอย่าคุยโว อย่ารับรองว่าเจ้านั้นสามารถประสบความสำเร็จและทำคะแนนเต็มได้ในสิ่งที่เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ เรื่องนี้ไม่จริงและไม่อยู่กับความเป็นจริง เจ้าต้องมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ก่อน เมื่อนั้นเท่านั้นความรู้และความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้าแบ่งปันจึงจะสัมพันธ์กับชีวิตจริง จงอย่ากล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า เสด็จมาที่บ้านของข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์สัญญาว่าจะไม่ทำให้พระองค์กริ้วเหมือนที่คนอื่นทำ ข้าพระองค์สัญญาว่าจะไม่ทำตัวไร้มนุษยธรรมดังที่คนอื่นทำ” เรื่องนี้ไม่แน่นอน เพราะองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ที่ปกติภายในตัวผู้คนได้ถูกทำลายไปแล้ว ความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขาหมดสิ้นไปแล้ว เช่นเดียวกับมโนธรรมและสำนึกของพวกเขา—สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ การพูดจาอย่างเรียบง่ายและซื่อตรง การสามารถรับฟังและนบนอบ สิ่งที่เป็นบวกทั้งปวงนี้หมดไปจากตัวผู้คนแล้ว ดังนั้น หลักธรรมในการดำรงชีวิตและจุดหมายในชีวิตของผู้คนจึงเปลี่ยนไปแล้ว พวกเขายึดถือปรัชญาของซาตานกันทุกคนและถูกธรรมชาติของซาตานครอบงำ วาจาของพวกเขากลิ้งกลอกและหลอกลวง ลมพัดไปทางไหน พวกเขาก็ไปทางนั้น และเก่งกาจในการกล่าวคำที่ฟังรื่นหู—พวกเขาเชื่อว่าการใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม เหตุใดจึงกล่าวว่ามนุษย์ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก? เมื่อถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกเช่นนั้น ผู้คนยังคงมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติบ้างหรือไม่? เจ้าเชื่อว่าตนเองมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ซึ่งเจ้าก็เชื่อไปว่าเป็นเพียงการโอหัง คิดว่าตนถูก และหยิ่งทะนงบ้าง ใช้วาจาค่อนข้างหลอกลวง หรือสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่บ้าง—เท่านั้นเอง แต่การรู้เช่นนี้กลับตื้นเขินเกินไป เป็นการรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น กุญแจสำคัญอยู่ที่มนุษย์นั้นชั่ว โดยธรรมชาติ ผู้คนล้วนเคารพความชั่ว ปฏิเสธและแข็งขืนต่อพระเจ้า และความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพวกเขาก็หายไปจากผิวโลกเรียบร้อยแล้ว เป็นดังนี้มิใช่หรือ? ดังนั้นผู้คนควรทำเช่นไรเพื่อที่จะมีมาตรฐานของการเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? กุญแจสำคัญอยู่ที่การหาเส้นทางปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม ภายในพระวจนะของพระเจ้า พวกเจ้าทุกคนรู้ว่าในหมู่มวลมนุษย์ไม่มีผู้คนที่ดีเป็นพิเศษ แล้วเหตุใดจึงกล่าวกันในตอนนี้ว่าบางคนมีความเป็นมนุษย์ ขณะที่คนอื่นไม่มี? ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์สามารถนำความจริงเหล่านี้ไปปฏิบัติได้โดยแท้หรือไม่? พวกเขาก็ปฏิบัติไม่ได้เช่นกัน เพียงแต่เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขามีเมตตาและอ่อนโยนอยู่ในหัวใจขึ้นมาหน่อย และมีความรับผิดชอบในงานของตนมากขึ้นมาหน่อย—แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการเปรียบเทียบ ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน ถ้าเจ้าประเมินใครสักคนและกล่าวว่าคนคนนี้ดีแน่นอนไม่มีข้อเสียหรือความเป็นกบฏเลย พวกเขาพร้อมที่จะทำตามและนบนอบทุกประการ ไม่สุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตนแต่อย่างใด นี่ย่อมจะเป็นการพูดเกินจริงมิใช่หรือ? นี่ตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่? แท้จริงแล้วมีคนแบบนี้หรือไม่? ถ้านี่คือความเข้าใจที่พวกเจ้ามีต่อสิ่งต่างๆ ความเข้าใจนี้ก็บิดเบี้ยว แต่ถ้าพวกเจ้าเชื่อว่า “พวกเราที่เป็นมนุษย์จบสิ้นแล้ว พวกเราไม่มีใครดีเลย ดังนั้นการเชื่อในพระเจ้าจะมีประโยชน์อะไร? ฉันจะเลิกเชื่อในพระเจ้าและรอคอยความตายก็แล้วกัน!” นี่ก็ไร้เหตุผลเช่นกัน พวกเจ้ามักจะไปสุดโต่งอยู่เสมอ ราวกับพวกเจ้าไม่เข้าใจภาษามนุษย์ พวกเจ้าเอนเอียงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งตลอดเวลา ถ้าเราพูดให้เบาลงและอ่อนโยนขึ้น พวกเจ้าก็จะไม่สามารถรู้จักตัวเอง แต่ถ้าเราพูดจาขึงขังและเกรี้ยวกราดเกินไป พวกเจ้าก็จะคอตก คิดลบ และถึงกับละทิ้งความหวังกับตนเอง เวลาที่บางคนได้ฟังคำพิพากษาและคำกล่าวโทษของพระเจ้า พวกเขาก็ทรุดลงทันทีและเชื่อว่าตนจบสิ้นแล้ว ไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนเหล่านี้เป็นพวกที่ช่วยให้รอดได้ยากที่สุดจริงๆ เพราะพวกเขาไม่เข้าใจภาษามนุษย์! ทั้งนี้ เวลาพระเจ้าตรัสและเปิดโปงผู้คน นั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจรากเหง้าของธรรมชาติที่เสื่อมทรามในตัวมนุษย์ และเข้าใจว่าเหตุใดมนุษย์จึงสามารถกบฏต่อพระเจ้าได้ การเปิดโปงสิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คน ถ้าไม่มีการเปิดโปงสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะเชื่อไปจนถึงปลายทางโดยที่ไม่เคยรู้จักตัวเอง พูดอยู่เสมอว่าหัวหน้าทูตสวรรค์นึกถึงแต่ตัวเอง หรือกล่าวว่าคนนี้โอหัง คนนั้นก็เป็นกบฏ แล้วตัวเจ้าเองเป็นเช่นไร? ยังมีผู้คนที่พูดอยู่เสมอว่า “พวกเราเป็นกบฏต่อพระเจ้าโดยแท้” แต่ก็ยังคงไม่รู้จักมูลเหตุของความเป็นกบฏที่ตนมี และไม่รู้เท่าทันหรือเข้าใจแก่นแท้ของสภาวะเหล่านั้น นี่หมายความว่าพวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้และไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด พวกเจ้าสามารถเข้าใจวจนะเหล่านี้หรือไม่? (สามารถ)
เรื่องที่เราเพิ่งสามัคคีธรรมไปนี้มีสองแง่มุมที่สำคัญ แง่หนึ่งคือคนเราควรสัมฤทธิ์การนบนอบที่แท้จริงในการเชื่อในพระเจ้า ทำได้ถึงมาตรฐานของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอย่างครบถ้วน อีกแง่หนึ่งคือการเปิดโปงความเป็นกบฏในตัวผู้คนและเปิดโปงธรรมชาติของพวกเขานั้นเปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักตัวเอง ถ้าพวกเขาไม่ถูกเปิดโปงเช่นนี้ ไม่มีการทำให้พวกเขารู้จักตัวเอง เช่นนั้นแล้วทุกคนก็จะพูดว่าตนดีและก็ดีกว่าผู้อื่น ตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวว่า “ฉันก็เสื่อมทรามอย่างหนักเช่นกัน” แต่เมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นไปสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็เชื่อว่าตนเองยังคงดีกว่าผู้อื่น คิดไปว่า “ฉันไม่ใช่คนดีอะไร ฉันเห็นแล้วว่าเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉัน และแท้จริงแล้วยังแย่กว่าฉันด้วยซ้ำ!” จงอย่าคิดว่าเจ้านั้นดีกว่าผู้อื่น เจ้าไม่ได้ดีกว่าผู้อื่นแม้แต่น้อย ธรรมชาติที่เป็นกบฏของผู้คนล้วนเหมือนกัน ทั้งหมดนี้ชัดเจนหรือไม่? ในเมื่อตอนนี้พวกเราสามัคคีธรรมเรื่องนี้จบแล้ว พวกเจ้าทุกคนคิดอย่างไร? พวกเจ้าคิดอยู่หรือเปล่าว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี นึกว่าตัวเองเป็นคนที่นบนอบพระเจ้า มาวันนี้ พอพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมเสร็จสิ้นแล้ว ฉันถึงตระหนักในที่สุดว่าฉันไม่ได้นบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และยังไม่ได้ปฏิบัติต่อพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า ฉันไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ด้วยซ้ำ—ฉันไร้สำนึกโดยสิ้นเชิงและความเชื่อของฉันก็สับสนอย่างยิ่ง!” ถ้าเจ้ารู้เช่นนี้จริง ก็มีหวังที่เจ้าจะเข้าสู่ครรลองอันถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าและกลายเป็นคนที่นบนอบพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะสามารถได้รับความรอด
บทตัดตอน 3
ผู้เชื่อจำนวนมากไม่ให้ความสำคัญกับการแปลงสภาพในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิต แต่กลับมุ่งเน้นและห่วงกังวลเรื่องตัวเองกับท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา และพวกเขาครอบครองที่ทางในพระหทัยของพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะคาดเดาว่าพวกเขาดูเป็นอย่างไรในสายพระเนตรของพระเจ้า และว่าพวกเขาครองตำแหน่งในพระหทัยของพระองค์หรือไม่ ผู้คนมากมายเก็บงำความคิดประเภทนี้ และหากพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาจะสังเกตเสมอว่าพระองค์ทรงมีความสุขหรือมีโทสะในยามที่พระองค์ตรัสกับพวกเขา แล้วก็มีบรรดาผู้ที่ชอบตั้งคำถามกับผู้อื่นว่า “พระเจ้าทรงเอ่ยถึงความลำบากยากเย็นของฉันหรือเปล่า? จะว่าไป พระองค์ทรงคิดกับฉันอย่างไรหรือ? พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความห่วงกังวลที่มีต่อฉันหรือไม่?” บางคนถึงกับมีประเด็นปัญหาที่ร้ายแรงกว่าด้วยซ้ำ—หากพระเจ้าแค่ชายพระเนตรมองพวกเขานิดเดียว นั่นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจับสังเกตเห็นปัญหาใหม่เข้าแล้วว่า “โอ ไม่นะ พระเจ้าเพิ่งชำเลืองทอดพระเนตรฉัน และแววพระเนตรของพระองค์ก็ไม่ได้ดูมีความสุขนัก นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย” ผู้คนให้ความสำคัญใหญ่หลวงกับสิ่งเช่นนั้น คนบางคนกล่าวว่า “พระเจ้าที่พวกเราเชื่อคือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ดังนั้นถ้าพระองค์ไม่ใส่พระทัยพวกเรา นั่นย่อมหมายถึงจุดจบสำหรับพวกเราไม่ใช่หรือ?” การนี้ที่พวกเขาหมายถึงคือ “ถ้าพวกเราไม่มีที่ทางในพระหทัยของพระเจ้า ทำไมพวกเราควรยุ่งยากกับการเชื่อเล่า? พวกเราควรหยุดเชื่อแค่นั้นเอง!” นี่ไม่ใช่การไร้สำนึกหรอกหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้คนควรเชื่อในพระเจ้า? ผู้คนไม่เคยไตร่ตรองว่าพระเจ้าทรงมีที่ทางในหัวใจพวกเขาหรือไม่ และถึงกระนั้นพวกเขาก็ต้องการที่ทางในพระหทัยพระเจ้า พวกเขาช่างโอหังและทะนงตนอะไรเช่นนี้! นี่คือส่วนที่พวกเขาขาดสำนึกมากที่สุด มีผู้ที่ไร้สำนึกจนถึงขนาดที่เมื่อพระเจ้าทรงไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบถึงผู้อื่นและไม่พูดถึงชื่อของพวกเขาเลย หรือแสดงความห่วงกังวลและความเอาใจใส่ต่อผู้อื่นแทนที่จะเป็นพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกไม่พึงพอใจ อีกทั้งเริ่มโอดครวญและพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้า โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม รวมทั้งไม่เป็นธรรมและไม่มีเหตุผลด้วยซ้ำ นี่คือปัญหาเกี่ยวกับสำนึกของพวกเขา และพวกเขาก็ค่อนข้างผิดปกติทางจิตอีกด้วย ภายใต้สภาพการณ์ปกติ ผู้คนมักกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าพวกเขาจะนบนอบการจัดการเตรียมการและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันพร่ำบ่นไม่ว่าพระเจ้าจะทำอย่างไรกับพวกเขา และยินดีให้พระเจ้าตัดแต่ง พิพากษา หรือตีสอนพวกเขา แต่เมื่อเผชิญสิ่งดังกล่าวในความเป็นจริง พวกเขากลับไม่ยอมรับสิ่งเหล่านั้น ผู้คนมีสำนึกหรือไม่? ผู้คนคิดถึงตัวเองอย่างสูงส่งและเชื่อว่าตัวเองสำคัญมากจนถึงขั้นที่ว่า หากพวกเขาล่วงรู้สักนิดว่าพระเจ้าได้ทรงมองพวกเขาในทางที่ผิด พวกเขาก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความหวังที่จะบรรลุความรอดเสียแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่า พระเจ้าจะทรงตัดแต่งพวกเขาอย่างแท้จริง หรือหากพระเจ้าตรัสกับพวกเขาด้วยพระกระแสเสียงที่ดุดันขึ้น และนั่นก็ทิ่มแทงหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมคิดลบ และเริ่มคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นไร้ความหมาย พวกเขาคิดว่า “ฉันจะสามารถเชื่อพระเจ้าต่อไปได้อย่างไรหากพระองค์ทรงเพิกเฉยฉัน?” บางคนขาดวิจารณญาณเกี่ยวกับผู้คนประเภทนี้และคิดว่า “ดูสิว่าความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขานั้นแท้จริงแค่ไหน พระเจ้าทรงสำคัญต่อพวกเขายิ่งนัก พวกเขาถึงขั้นสามารถตีความความหมายของพระเจ้าได้โดยการตวัดตามองแวบเดียว พวกเขาจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง—พวกเขามองพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเฉกเช่นเดียวกับพระเจ้าบนสวรรค์” เป็นอย่างนี้ใช่หรือไม่? ผู้คนเหล่านี้เลอะเลือนยิ่งนัก ขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในทุกเรื่อง วุฒิภาวะของพวกเขานั้นด้อยเกินไป และพวกเขากำลังเผยให้เห็นความอัปลักษณ์ทุกประเภทจริงๆ ผู้คนมีสำนึกต่ำขนาดนั้น—พวกเขามีข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป และพวกเขาร้องขอจากพระองค์มากเกินไป พวกเขาถึงขนาดไม่มีสำนึกเลยแม้แต่น้อย ผู้คนกำลังเรียกร้องเสมอให้พระเจ้าทรงทำนี่นั่น และไม่สามารถที่จะนบนอบต่อพระองค์หรือนมัสการพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับเรียกร้องพระเจ้าอย่างไร้สำนึกตามความชอบของตน เรียกร้องให้พระองค์อภัยให้มาก ให้พระองค์ไม่มีวันกริ้วเพราะสิ่งใด และเมื่อใดที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้คน พระองค์ก็ควรแย้มสรวลอยู่เสมอและควรตรัสคุยกับพวกเขาเสมอ รวมทั้งจัดหาความจริงให้แก่พวกเขา และสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขายังเรียกร้องด้วยเช่นกันให้พระองค์ทรงอดทนเสมอ และให้พระองค์ทรงแสดงความชื่นบานเสมอยามอยู่ใกล้พวกเขา ผู้คนมีข้อเรียกร้องมากเกินไป พวกเขาเรื่องมากเกินไปแล้ว! พวกเจ้าควรตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ สำนึกของมนุษย์ต่ำเหลือเกินใช่หรือไม่? ผู้คนไม่เพียงแต่ไม่มีความสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หรือยอมรับทั้งหมดที่มาจากพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม พวกเขาบังคับใช้ข้อเรียกร้องเพิ่มเติมกับพระเจ้า ผู้คนที่มีข้อเรียกร้องเช่นนี้สามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาสามารถรักพระเจ้าได้อย่างไร? ทุกคนมีข้อเรียกร้องว่าพระเจ้าควรรักพวกเขา ทนยอมรับพวกเขา คอยสอดส่อง คุ้มครอง และดูแลพวกเขาอย่างไร ทว่าไม่มีพวกเขาคนใดที่มีข้อเรียกร้องว่าตนเองควรรักพระเจ้า คิดและคำนึงถึงพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพอพระทัย มีพระเจ้าในหัวใจ และนมัสการพระเจ้าอย่างไร สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ในหัวใจของผู้คนหรือไม่? เหล่านี้เป็นสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนควรสำเร็จลุล่วง ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่ดั้นด้นต่อไปอย่างขยันขันแข็งในสิ่งเหล่านี้เล่า? ผู้คนบางคนสามารถมีใจกระตือรือร้นสักพักหนึ่ง และสามารถละทิ้งสิ่งทั้งหลายและสละตนได้พอสมควร แต่นั่นก็ไม่คงทน การไปเจอกับความพลาดพลั้งเล็กน้อยสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นหมดกำลังใจ สูญสิ้นความหวัง และพร่ำบ่น ผู้คนมีความลำบากยากเย็นมากมายเหลือเกิน และมีผู้คนน้อยเกินไปที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพยายามรักและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย มนุษย์ไร้สำนึกอย่างถึงที่สุด พวกเขายืนในตำแหน่งที่ผิด และมองตัวพวกเขาเองว่ามีค่าเป็นพิเศษ มีพวกที่กล่าวด้วยว่า “พระเจ้าทรงมองพวกเราเป็นแก้วตาดวงใจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงลังเลที่จะอนุญาตให้พระบุตรพระองค์เดียวของพระองค์ถูกตอกตรึงติดกับกางเขน เพื่อที่จะไถ่มวลมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาอย่างหนักเพื่อซื้อพวกเราคืนมา—พวกเรามีค่าอย่างเหลือเชื่อ และทุกคนล้วนครองที่ทางในพระหทัยของพระเจ้า พวกเราเป็นกลุ่มคนพิเศษ และมีสถานะสูงกว่าพวกผู้ไม่มีความเชื่อมากมาย—พวกเราเป็นประชากรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” พวกเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งและยิ่งใหญ่ทีเดียว ในอดีต ผู้นำมากมายมีวิธีคิดแบบนี้ โดยเชื่อว่าพวกเขาได้มีสถานะและตำแหน่งบางอย่างในพระนิเวศของพระเจ้าหลังจากได้รับการเลื่อนขั้น พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าทรงนับถือฉันและคิดถึงฉันในแง่ดี และพระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันทำงานรับใช้ในฐานะผู้นำ ฉันต้องวิ่งวุ่นไปทั่วและทำงานเพื่อพระองค์ให้ดีที่สุด” พวกเขาครึ้มอกครึ้มใจเป็นอันมาก อย่างไรก็ตามที หลังผ่านช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาได้ทำบางสิ่งที่แย่และตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาก็แสดงออกมาให้เห็น แล้วจากนั้นพวกเขาก็ถูกปลด และพวกเขากลายเป็นหดหู่และคอตก เมื่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพวกเขาถูกเปิดโปงและตัดแต่ง พวกเขากลับกลายเป็นคิดลบมากยิ่งขึ้น และไม่สามารถที่จะเชื่อต่อไป พวกเขาคิดในใจว่า “พระเจ้าไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฉันเลย พระองค์ไม่คิดที่จะไว้หน้าฉันเลย พวกเขาพูดว่าพระเจ้าทรงเห็นใจความอ่อนแอของมนุษย์ แล้วทำไมพอกระทำผิดเรื่องเล็กๆ ฉันกลับถูกปลด?” แล้วพวกเขาก็กลายเป็นหมดกำลังใจและต้องการทิ้งความเชื่อของตน ผู้คนเช่นนั้นมีความเชื่อที่เที่ยงแท้ในพระเจ้าหรือไม่? หากพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะยอมรับการตัดแต่ง เช่นนั้นวุฒิภาวะของพวกเขาก็น้อยเกินไป และนั่นก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะสามารถยอมรับความจริงในภายหน้าได้หรือไม่ ผู้คนดังกล่าวย่อมมีภัย
ผู้คนไม่สร้างข้อเรียกร้องสูงจากตัวพวกเขาเอง แต่พวกเขาสร้างข้อเรียกร้องสูงจากพระเจ้า พวกเขาขอให้พระองค์ทรงแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความใจดีมีเมตตาพิเศษ และให้ทรงอดทนและโอนอ่อนผ่อนตามต่อพวกเขา ทรงทะนุถนอมพวกเขา ทรงจัดเตรียมสำหรับพวกเขา และทรงแย้มพระสรวลกับพวกเขา ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา ทรงอนุญาตให้พวกเขาทำบางสิ่งที่เคยไม่ทรงเห็นชอบ และทรงดูแลพวกเขาในหนทางมากมาย พวกเขาคาดหวังให้พระองค์ไม่ทรงเข้มงวดกับพวกเขาเลย หรือทรงทำสิ่งใดก็ตามซึ่งจะทำให้พวกเขาหัวเสียแม้แต่เพียงเล็กน้อย และพวกเขาพึงพอใจก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงปากหวานกับพวกเขาทุกๆ วันเท่านั้น มนุษย์มีสำนึกต่ำเช่นนั้นเอง! พวกเขาไม่ชัดเจนในเรื่องที่ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด พวกเขาควรสำเร็จลุล่วงสิ่งใด พวกเขาควรมีทัศนคติใด พวกเขาควรยืนในตำแหน่งใดเพื่อรับใช้พระเจ้า และตัวพวกเขาเองเหมาะสมที่จะวางอยู่ในตำแหน่งใด ผู้คนที่พอจะมีสถานะสักเล็กน้อยนั้น มีความคิดเห็นที่สูงมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง และพวกที่ไม่มีสถานะก็ยังคิดกับตัวพวกเขาเองอย่างค่อนข้างสูงส่งด้วยเช่นกัน เหล่ามนุษย์ไม่เคยรู้จักตัวพวกเขาเองเลย พวกเจ้าต้องมาสู่จุดหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้าซึ่งเป็นจุดที่เจ้าสามารถเชื่อต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีการพร่ำบ่น และยังคงทำหน้าที่ของเจ้าต่อไปตามปกติ โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์ตรัสกับเจ้าอย่างไร พระองค์ทรงเคร่งครัดกับพวกเจ้าอย่างไร และพระองค์อาจจะทรงเพิกเฉยกับพวกเจ้ามากเพียงใด เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะเป็นบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์คนหนึ่ง และเจ้าย่อมจะมีวุฒิภาวะอยู่บ้างและมีสำนึกของบุคคลปกติอยู่นิดหน่อยอย่างแท้จริง เจ้าย่อมจะไม่สร้างข้อเรียกร้องจากพระเจ้า เจ้าย่อมจะไม่มีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้ออีกต่อไป และเจ้าย่อมจะไม่ทำการร้องขอจากผู้อื่นหรือจากพระเจ้าบนพื้นฐานของการเลือกชอบของเจ้าเองอีกต่อไป นี่จึงจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีสภาพเสมือนมนุษย์ถึงระดับหนึ่ง ปัจจุบันพวกเจ้ามีข้อเรียกร้องมากเกินไป และข้อเรียกร้องเหล่านี้ก็สุดแสนจะเกินเหตุ เจ้ามีเจตนาเยี่ยงมนุษย์มากเกินไป นี่พิสูจน์ให้เห็นว่า เจ้าไม่ได้กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ตำแหน่งที่เจ้ากำลังยืนอยู่นั้นสูงเกินไป และเจ้าได้มีทรรศนะต่อตัวเจ้าเองว่าทรงเกียรติมากเกินไป—ราวกับว่าเจ้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าพระเจ้ามากนัก เพราะฉะนั้น จึงเป็นการลำบากยากเย็นที่จะจัดการกับเจ้า และแน่นอนว่านี่ก็คือธรรมชาติของซาตาน หากสภาวะเช่นนั้นดำรงอยู่ภายในตัวเจ้า แน่นอนว่าเจ้าจะยิ่งคิดลบบ่อยขึ้นและเป็นปกติน้อยครั้งลง ดังนั้นความก้าวหน้าของชีวิตเจ้าจะเชื่องช้า ในทางตรงข้าม พวกที่มีหัวใจอันผ่องแผ้วและเรื่องมากน้อยกว่าจะยอมรับความจริงง่ายกว่าและสร้างความก้าวหน้าได้เร็วกว่า บรรดาผู้ที่มีหัวใจผ่องแผ้วไม่ได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากขนาดนั้น แต่เจ้ามีความรู้สึกที่หนักหน่วงมาก เจ้าเรื่องมากเกินไป และเจ้าสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าเสมอ ดังนั้นเจ้าจึงเผชิญสิ่งกีดขวางอันใหญ่โตต่อการยอมรับความจริง และความก้าวหน้าของชีวิตเจ้าก็คืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า บางคนไล่ตามเสาะหาเหมือนเคย ไม่ว่าผู้อื่นจะโจมตีหรือกีดกันพวกเขาอย่างไร ก็ไม่ส่งผลต่อพวกเขาแม้แต่น้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่ถือสาหาความ พวกเขาจึงทนทุกข์น้อยกว่านิดและเผชิญอุปสรรคขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของตนน้อยกว่าหน่อย เจ้าเรื่องมากและได้รับผลกระทบไม่จากสิ่งใดก็สิ่งหนึ่งเสมอ—ใครที่มองเจ้าในทางที่ผิด ใครที่ดูแคลนเจ้า ใครที่เพิกเฉยต่อเจ้า หรือสิ่งใดที่พระเจ้าตรัสแล้วสะกิดใจเจ้า หรือพระวจนะดุดันใดที่พระเจ้าตรัสแล้วทิ่มแทงหัวใจของเจ้าและทำร้ายความเคารพนับถือตนเองของเจ้า หรือสิ่งดีใดที่พระองค์ทรงมอบให้แก่ผู้อื่นและไม่ให้แก่เจ้า—และจากนั้นเจ้าก็กลายเป็นคิดลบและถึงกับเข้าใจพระเจ้าผิด ผู้คนเช่นนี้เรื่องมากและไม่ค่อยจะมีสำนึก ไม่สำคัญว่าบุคคลหนึ่งสามัคคีธรรมถึงความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเอาเลยและปัญหาของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการแก้ไขต่อไป ผู้คนเหล่านี้จัดการยากที่สุด
เราได้ยินพวกเจ้าสามัคคีธรรมกันบ่อยครั้งในหนทางนี้ที่ว่า “ฉันสะดุดตอนที่กำลังทำบางอย่างอยู่แล้วต่อมา หลังจากที่ก้าวผ่านการทนทุกข์ไปบ้าง ฉันก็ได้รับความเข้าใจมานิดหน่อย” ผู้คนส่วนใหญ่ได้มีประสบการณ์ประเภทนี้—ประสบการณ์นี้ผิวเผินนัก ความเข้าใจน้อยนิดนี้อาจได้มาถึงหลังผ่านประสบการณ์มาเป็นปีๆ และผู้คนก็อาจได้รับประสบการณ์กับความทุกข์มากมายและล้มลุกคลุกคลานผ่านความลำบากยากเย็นมาอย่างต่อเนื่องเพียงเพื่อได้รับความเข้าใจและการแปลงสภาพเล็กน้อยนี้เท่านั้น ช่างน่าเวทนาอะไรเช่นนี้! ในความเชื่อของผู้คนมีราคีอยู่มากมายเหลือเกิน การเชื่อในพระเจ้านั้นช่างหนักหนาสาหัสเหลือเกินสำหรับพวกเขา! จนทุกวันนี้ก็ยังคงมีราคีมากมายอยู่ภายในทุกตัวบุคคล และพวกเขายังคงสร้างข้อเรียกร้องมากมายต่อพระเจ้า—เหล่านี้ล้วนเป็นราคีของมนุษย์ การมีราคีทั้งหลายเช่นนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าความเป็นมนุษย์ของเขามีปัญหา และเป็นการเผยของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา ระหว่างข้อเรียกร้องที่ถูกควรกับไม่ถูกควรที่มนุษย์มีต่อพระเจ้านั้นมีความแตกต่างอยู่ประการหนึ่ง—นี่ต้องถูกแยกแยะอย่างชัดเจน คนเราต้องชัดเจนว่า มนุษย์ควรที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งใดและมนุษย์ควรมีสำนึกเช่นใด เราได้สังเกตเห็นว่าคนบางคนกำลังมุ่งเน้นอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีการแสดงออกประเภทใดเมื่ออยู่รอบตัวผู้คน รวมทั้งศึกษาอยู่ตลอดเวลาว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติดีต่อใครและพระองค์ทรงปฏิบัติแย่ต่อใคร หากพวกเขาเห็นว่าพระเจ้าทรงมองพวกเขาด้วยสีพระพักตร์ในเชิงลบ หรือได้ยินพระองค์ทรงเปิดโปงและกล่าวโทษพวกเขา พวกเขาก็ปล่อยวางไม่ได้—ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขาอย่างไรก็ไม่เป็นผล และไม่สำคัญว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร พวกเขาก็ไม่สามารถกลับตัวได้ พวกเขาให้คำตัดสินแก่ตัวเอง ยึดติดอยู่กับการที่คนเราเปล่งวลีออกมาและใช้วลีนั้นกำหนดพิจารณาท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา พวกเขาเกลือกกลั้วอยู่ในความคิดลบ และไม่ว่าใครก็ตามสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ นี่ไม่มีเหตุผลจริงๆ ชัดเจนว่ามนุษย์ขาดความรู้แม้สักนิดเกี่ยวกับอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และก็ไม่เข้าใจอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเอาเสียเลย ตราบที่ผู้คนสามารถกลับใจและแปลงสภาพได้ ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน หากท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทีของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ? หากเจ้าเปลี่ยนแปลง หนทางที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนไปด้วย แต่หากเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าก็จะไม่เปลี่ยนเช่นกัน คนบางคนยังคงไม่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง สิ่งที่พระองค์ทรงชอบ ความชื่นบานยินดี พระโทสะ ความเศร้า และความสุขของพระองค์ พระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ รวมทั้งพระปัญญาของพระองค์ และพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดเกี่ยวกับความรู้ในเชิงประสาทสัมผัสรับรู้ด้วยซ้ำ—นี่คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ช่างลำบากยากเย็นที่จะรับมือ มนุษย์ลืมพระวจนะซึ่งมีเจตนาดีทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขา แต่หากพระองค์แค่ทรงให้ข้อคิดที่ดุดันหนึ่งข้อ หรือตรัสประโยคที่เกี่ยวกับการตัดแต่ง หรือการพิพากษาหนึ่งประโยค นั่นย่อมทิ่มแทงหัวใจมนุษย์ เหตุใดผู้คนจึงไม่จริงจังกับพระวจนะแห่งการชี้แนะที่เป็นบวก แต่กลับหงุดหงิด คิดลบ และไม่สามารถที่จะฟื้นฟูได้เมื่อได้ยินพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตัดแต่ง? ในท้ายที่สุดแล้ว อาจต้องใช้ช่วงเวลานานสำหรับการไตร่ตรองก่อนที่พวกเขาจะกลับตัว และพวกเขาจะตื่นขึ้นก็หลังจากที่ผสานการนี้เข้ากับบางพระวจนะที่ชูใจของพระเจ้าแล้วเท่านั้น หากปราศจากพระวจนะที่ชูใจเหล่านี้ พวกเขาก็คงไม่สามารถที่จะปีนป่ายออกมาจากความคิดลบของพวกเขาได้ เมื่อผู้คนแค่กำลังเริ่มมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาก็มีความรู้ที่ผิดพลาดและความเข้าใจที่ผิดๆ มากมายเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาเชื่อเสมอว่าพวกเขาถูก ยึดติดอยู่กับแนวคิดของตัวเองเสมอ และพวกเขาไม่รับสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นพูดเลย หลังจากที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มาสามถึงห้าปีแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มเข้าใจ ได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ระลึกรู้ว่าพวกเขาผิด และสำนึกว่าตัวพวกเขานั้นจัดการได้ลำบากยากเย็นแค่ไหน ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งเติบโตเมื่อถึงตอนนั้นนั่นเอง เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาก็เริ่มเข้าใจพระเจ้า และความเข้าใจผิดทั้งหลายของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าก็น้อยลง พวกเขาไม่พร่ำบ่นอีกต่อไป และพวกเขาเริ่มมีความเชื่อในพระเจ้าที่เป็นปกติ เมื่อเทียบกับที่ผ่านมา วุฒิภาวะของพวกเขาคล้ายวุฒิภาวะของผู้ใหญ่มากขึ้น พวกเขาเคยเป็นเหมือนเด็ก—หมิ่นเหม่ที่จะโกรธขึ้ง กลายเป็นคิดลบ และแยกตัวเองห่างจากพระเจ้าเป็นบางครั้ง พวกเขาอาจพร่ำบ่นเมื่อเผชิญกับบางเรื่อง พระวจนะบางคำของพระเจ้าอาจได้กลายเป็นมูลเหตุของมโนคติอันหลงผิดใหม่ล่าสุดของพวกเขา และพวกเขาอาจจะได้เริ่มกังขาเกี่ยวกับพระเจ้าเป็นบางครั้ง—นี่คือวิธีที่เป็นไปเมื่อวุฒิภาวะของใครบางคนนั้นน้อยเกินไป ถึงตอนนี้ที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ไปมากเหลือเกินแล้ว และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปีแล้ว พวกเขาได้สร้างความก้าวหน้าแล้ว และกลายเป็นมั่นคงกว่าที่พวกเขาเป็นในอดีต ทั้งหมดล้วนเป็นผลลัพธ์ของการเข้าใจความจริง—นี่คือการที่ความจริงส่งผลภายในตัวพวกเขา ดังนั้นตราบที่ผู้คนเข้าใจความจริงและสามารถยอมรับความจริง ย่อมไม่มีความลำบากยากเย็นใดเลยที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ และพวกเขาจะได้รับบางสิ่งเสมอ ไม่ว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์อยู่นานเท่าไร แน่นอนว่านั่นจะใช้ไม่ได้เลยหากพวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์มานานมากพอ แต่ตราบที่พวกเขาเก็บเกี่ยวผลกำไรจากแต่ละประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาจะเติบโตในชีวิตอย่างรวดเร็ว
ข้อเท็จจริงที่ว่าบัดนี้พวกเจ้ากำลังได้รับการบ่มเพาะให้กลายเป็นผู้นำ คนทำงานหรือผู้ดูแล หรือให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญนั้นไม่พิสูจน์ว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะที่สูงกว่า ทั้งหมดนั้นหมายความว่าพวกเจ้ามีขีดความสามารถดีกว่าบุคคลทั่วไปเล็กน้อย ว่าพวกเจ้าตั้งใจจริงในการไล่ตามเสาะหามากกว่าเล็กน้อย และการบ่มเพาะเจ้านั้นมีคุณค่ามากกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง แน่นอนว่า นั่นมิใช่หมายความว่าพวกเจ้ามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้า หรือวางตัวเองไว้ในความกรุณาแห่งการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และนี่ไม่ใช่หมายความว่า พวกเจ้าได้ละวางความหวังและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ของเจ้าแล้ว ผู้คนยังไม่มีสำนึกประเภทนี้ พวกเจ้ายังคงพกพาความคิดลบ ตลอดจนความตั้งใจและความทะเยอทะยานที่จะได้รับพระพร และแม้แต่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทั้งหลายของมนุษย์ไว้กับตัวขณะที่พวกเจ้ากำลังทำงาน ในเวลาเดียวกัน เจ้าก็แบกภาระบางอย่างขณะที่ทำงานของเจ้า ราวกับเจ้ากำลังชดใช้บาปในอดีตด้วยการสั่งสมคุณความดีมากกว่าที่จะทำงานด้วยความเต็มใจแบบมีความสุขที่จะทำ เจ้ายังไม่ได้ไปถึงจุดที่เจ้าใส่ใจเพียงการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์และข้อเรียกร้องของพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร พวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้หรือไม่? ผู้คนไม่มีสำนึกเช่นนี้ พวกเขาล้วนต้องการอ่านพระดำริของพระเจ้าออก โดยคิดว่า “พระเจ้าทรงมีท่าทีประเภทใดต่อฉันกันแน่? พระองค์กำลังให้ฉันทำงานรับใช้ หรือว่ากำลังช่วยฉันให้รอดและทำให้ฉันเพียบพร้อม?” พวกเขาล้วนต้องการอ่านพระดำริในหนทางนี้ พวกเขาก็แค่ไม่กล้าพอที่จะพูด ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาไม่กล้าพอที่จะพูดนั้น พิสูจน์ว่ายังคงมีแนวคิดหนึ่งกำลังครอบงำพวกเขาอยู่ที่ว่า “ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งนี้—นั่นก็แค่ธรรมชาติของฉัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลง ตราบที่ฉันกันตัวเองจากการทำสิ่งใดที่ไม่ดี นั่นก็มากพอแล้ว—ฉันไม่เรียกร้องมากเกินไปสำหรับตัวเอง” พวกเขาจำกัดตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำที่สุดที่จะเป็นไปได้ และในท้ายที่สุดก็ไม่สร้างความก้าวหน้าที่ปลายทางเลย ในขณะเดียวกันก็มีวิธีการคิดแบบสุกเอาเผากินในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยเช่นกัน เพียงหลังจากที่ได้รับการสามัคคีธรรมไม่กี่ครั้งเท่านั้น พวกเจ้าทุกคนก็เริ่มเข้าใจความจริงนิดหน่อยและเริ่มรู้ความเป็นจริงของความจริงเล็กน้อย ไม่ว่าเจ้ากำลังถูกใช้หรือไม่ หรือพระเจ้าทรงมีท่าทีใดต่อเจ้า—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ กุญแจสำคัญอยู่ในความพยายามเชิงรุกทั้งหลายของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน และอยู่ตรงที่ว่าเจ้าสามารถแปลงสภาพได้ในท้ายที่สุดหรือไม่—เหล่านี้คือประเด็นต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุด ไม่สำคัญว่าท่าทีของพระเจ้าที่อาจทรงมีต่อเจ้านั้นดีงามสักเพียงใด นั่นก็ใช้ไม่ได้หากเจ้าไม่แปลงสภาพ หากเจ้าสะดุดเมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งตกมาถึงเจ้า และเจ้าก็ขาดพร่องแม้แต่ความจงรักภักดีที่เล็กน้อยที่สุด เช่นนั้นไม่ว่าทัศนคติที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้านั้นดีงามเพียงใด นั่นก็จะไร้ประโยชน์ สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดคือเส้นทางที่เจ้าเลือกเดิน ในอดีตนั้น พระเจ้าอาจเคยทรงสาปแช่งเจ้าและตรัสพระวจนะแห่งความเกลียดชังและความรังเกียจกับเจ้า แต่หากในตอนนี้เจ้าได้เปลี่ยนไปแล้ว เช่นนั้นท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ผู้คนหวาดกลัวอยู่เสมอ กระวนกระวาย และไม่มีความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า บัดนี้ที่พวกเจ้ามีความเข้าใจอยู่บ้าง เจ้าจะยังคงกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอเมื่อสิ่งทั้งหลายตกมาถึงเจ้าในภายภาคหน้าหรือไม่? เจ้าจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงและตั้งมั่นในคำพยานหรือไม่? เจ้าจะมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่? หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ เจ้าจะมีสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ บัดนี้พวกเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ รวมทั้งความรอดและเจตนารมณ์ของพระเจ้าบ้างแล้วใช่หรือไม่? อย่างน้อยพวกเจ้าก็มีแนวคิดคร่าวๆ วันหนึ่งเมื่อเจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงบางอย่างของทุกแง่มุมของความจริง เจ้าก็จะใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติอย่างครบบริบูรณ์
บทตัดตอน 4
ส่วนที่สำคัญที่สุดของการไล่ตามเสาะหาความจริงคือการมุ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้า คนคนหนึ่งจะสามารถรับได้เท่าใดจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำความเข้าใจของตน แม้ว่าทุกคนจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่มีบางคนที่สามารถเข้าใจความหมายที่แท้จริงและพบความสว่างในพระวจนะเหล่านั้น และตราบใดที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะได้รับบางสิ่ง อย่างไรก็ตาม คนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขามุ่งเน้นแต่การเข้าใจคำสอนเท่านั้นเวลาที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ผลก็คือหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาเข้าใจคำสอนมากมาย แต่ทว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาประสบปัญหา พวกเขากลับไม่สามารถแก้ปัญหาได้ สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มาไม่มีประโยชน์สักอย่าง เกิดอะไรขึ้นในที่นี้? ถึงแม้ว่าผู้คนทั้งหมดจะอ่านพระวจนะของพระเจ้า แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่าง ผู้ที่รักความจริงสามารถยอมรับความจริงได้ ส่วนผู้ที่ไม่รักความจริง ต่อให้พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ พวกเขาจะไม่แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญปัญหาใด ผู้คนที่มีประสบการณ์อยู่บ้างสามารถหารือบางสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามารถพูดคุยถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริง—นี่คือการเข้าใจความจริง ผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ย่อมเข้าใจความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และพวกเขาไม่มีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์แม้แต่น้อย—นี่ไม่สามารถถือได้ว่าเป็นการเข้าใจความจริง ผู้นำบางคนมักจะบอกผู้อื่นว่าพวกเขาไปที่คริสตจักรเพื่อให้ความจริงโดยเฉพาะ ถ้อยแถลงนี้ถูกต้องหรือไม่? คำว่า “ให้ความจริง” ไม่ควรกล่าวออกมาโดยง่าย ผู้ใดมีความจริง? ผู้ใดกล้ากล่าวอ้างว่าพวกเขาให้ความจริง? คำกล่าวอ้างนี้ไม่ใหญ่โตเกินไปหรอกหรือ? เมื่อพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระองค์ พวกเจ้าก็เป็นเพียงคนที่ยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น หากเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ นั่นก็ดีมากแล้ว ต่อให้คนคนหนึ่งสามารถเข้าใจความจริงบางอย่าง และพูดถึงความรู้ที่ได้จากประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับความจริงได้ ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาให้ความจริงเพราะไม่มีผู้ใดมีความจริง จะเรียกการพูดคุยถึงความรู้ที่ได้จากประสบการณ์บางอย่างว่าเป็นการให้ความจริงได้อย่างไร? เพราะฉะนั้นจึงบรรยายได้เพียงว่าผู้นำและคนทำงานกำลังปฏิบัติงานให้น้ำ และรับผิดชอบเป็นการเฉพาะต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริง ต่อให้คนคนหนึ่งมีวุฒิภาวะอยู่บ้าง ก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริงแก่ผู้อื่น พูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด มีกี่คนที่เข้าใจความจริง? วุฒิภาวะของคนคนหนึ่งทำให้พวกเขามีคุณสมบัติที่จะให้ความจริงกระนั้นหรือ? ต่อให้บางคนมีประสบการณ์และความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความจริง ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาสามารถให้ความจริงได้ พูดเช่นนั้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด นั่นไร้สำนึกเกินไป บางคนภาคภูมิใจในการให้น้ำคริสตจักรและให้ความจริง ราวกับพวกเขาเข้าใจความจริงมากมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่สามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้ นี่ขัดแย้งกันมิใช่หรือ? หากบางคนถามเจ้าว่าความจริงคืออะไร และเจ้าตอบว่า “พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง ความจริงคือพระวจนะของพระเจ้า” เจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่? เจ้าสามารถกล่าวเพียงคำพูดและคำสอนเท่านั้น และเจ้าขาดความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ว่าความจริงคืออะไร ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ความจริงแก่ผู้อื่น ขณะนี้คนที่ทำหน้าที่ผู้นำทั้งหมดล้วนขาดประสบการณ์ พวกเขาแค่มีขีดความสามารถเล็กน้อยและเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาเหมาะกับการบ่มเพาะและการฝึกฝน และพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในการทำหน้าที่ได้ ต่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมถึงความรู้บางอย่างได้ แต่จะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขาให้ความจริง? ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่สามารถพูดคุยถึงความรู้บางอย่างได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริง จะว่าไปแล้ว พวกเขาฟังคำเทศนามาหลายปีและมีความรู้ที่ผิวเผินอยู่บ้าง พวกเขาเต็มใจที่จะสามัคคีธรรมความจริงและพอจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาให้ความจริง ผู้นำและคนทำงานสามารถให้ความจริงได้หรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าไม่ได้ ผู้นำและคนทำงานประกาศและให้น้ำคริสตจักร ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาต้องสามารถแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ นั่นคือหนทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถให้น้ำคริสตจักรได้อย่างแท้จริง ขณะนี้ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถแก้ปัญหามากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ ต่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมถึงความรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับความจริงได้ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นเพียงคำพูดและคำสอน พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความเป็นจริงของความจริงได้อย่างชัดเจน แล้วพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ? ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่มีความสามารถในการทำความเข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และพวกเขายังไม่มีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากนัก สามารถพูดได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงมากกว่าผู้อื่นและมีความเป็นจริงความจริงมากกว่าผู้อื่น? ไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ พวกเขายังไปไม่ถึงจุดนั้น ผู้นำและคนทำงานบางคนได้เลื่อนตำแหน่งก็เพื่อจุดประสงค์ของการบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว พวกเขาได้รับโอกาสให้ฝึกฝนปฏิบัติเพราะพวกเขามีขีดความสามารถอยู่บ้าง มีความสามารถในการทำความเข้าใจเล็กน้อย และสภาพแวดล้อมในครอบครัวของพวกเขาก็เหมาะสม การส่งเสริมใครสักคนไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงและสามารถให้ความจริงได้ เพียงแต่ว่าผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงย่อมได้รับความรู้แจ้งและความสว่างก่อนผู้อื่น แต่ความสว่างเล็กน้อยนี้ยังห่างไกลจากความจริง ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความจริง เพียงแต่เป็นไปตามความจริงเท่านั้น มีเพียงสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกมาโดยตรงเท่านั้นที่เป็นความจริง ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมยึดตามความจริงเท่านั้น เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบความรู้แจ้งให้ผู้คนตามวุฒิภาวะของพวกเขา พระองค์ไม่ตรัสความจริงกับผู้คนโดยตรง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพระองค์ทรงมอบความสว่างที่พวกเขาสามารถบรรลุได้ให้แก่พวกเขา เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ หากคนคนหนึ่งพอที่จะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระวจนะของพระเจ้า และมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์อยู่บ้าง นี่นับว่าเป็นความจริงหรือไม่? ไม่ อย่างมากพวกเขาก็พอจะเข้าใจความจริงบ้าง ถ้อยคำที่เป็นความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ตัวแทนของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ตัวแทนของความจริง และไม่ใช่ความจริง อย่างมากคนคนนั้นก็มีความเข้าใจความจริงอยู่บ้าง และได้รับความรู้แจ้งเล็กน้อยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากคนคนหนึ่งได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความจริง แล้วมอบความเข้าใจนั้นแก่ผู้อื่น สิ่งที่พวกเขากำลังทำย่อมเป็นเพียงการมอบความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ของตนให้กับผู้อื่นเท่านั้น เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขากำลังให้ความจริงแก่ผู้อื่น ไม่เป็นไรหากเจ้าพูดว่าพวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริง นี่คือคำบรรยายที่เหมาะสม เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะสิ่งที่เจ้ากำลังสามัคคีธรรมคือความเข้าใจที่เจ้ามีในความจริงและไม่เทียบเท่ากับตัวความจริงเอง เพราะฉะนั้น เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่าเจ้ากำลังสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์บางอย่าง เจ้าจะพูดได้อย่างไรว่าเจ้ากำลังให้ความจริง? การให้ความจริงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ใดคู่ควรที่จะกล่าวประโยคนี้? มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้ความจริงแก่ผู้คนได้ ผู้คนสามารถทำได้หรือ? เพราะฉะนั้นเจ้าต้องมองเห็นเรื่องนี้อย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการใช้คำผิดเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญคือเจ้ากำลังละเมิดและบิดเบือนข้อเท็จจริง สิ่งที่เจ้ากล่าวอ้างคือการกล่าวเกินจริง ผู้คนอาจมีความเข้าใจบางอย่างที่ได้จากประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีความจริง หรือว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายความจริง เจ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าผู้คนจะได้รับความเข้าใจมากเพียงใดจากความจริง เจ้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขามีชีวิตที่เป็นความจริง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะอยู่ฝ่ายความจริง เจ้าจะพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ผู้คนเข้าใจความจริงเพียงเล็กน้อย มีความสว่างเล็กน้อย และมีหนทางปฏิบัติอยู่บ้าง พวกเขาแค่มีความเป็นจริงของการนบนอบอยู่บ้าง และมีความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงบางอย่าง แต่เจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพวกเขาได้รับความจริงแล้ว พระเจ้าทรงให้ชีวิตแก่ผู้คนด้วยการแสดงความจริง พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนเข้าใจความจริงและได้ความจริงไว้อีกด้วยเพื่อที่จะรับใช้พระองค์และทำให้พระองค์พอพระทัย ต่อให้มีสักวันที่ผู้คนมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าจนถึงจุดที่พวกเขาได้ความจริงไว้อย่างแท้จริง เจ้าก็พูดไม่ได้อยู่ดีว่าผู้คนมีธรรมชาติของความจริง และยิ่งพูดไม่ได้ว่าผู้คนมีความจริง นี่เป็นเพราะต่อให้ผู้คนมีประสบการณ์มานานหลายปี ก็มีขีดจำกัดว่าพวกเขาจะได้รับความจริงมากน้อยเท่าใด และย่อมได้รับน้อยมาก ความจริงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและล้ำลึกที่สุด เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น แม้ผู้คนจะได้รับประสบการณ์ความจริงตลอดชั่วชีวิต แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับก็จะจำกัดมาก ผู้คนจะไม่มีวันสามารถได้รับความจริงทั้งหมด เข้าใจความจริงได้หมด หรือดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างสมบูรณ์ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสว่าผู้คนจะเป็นเด็กอ่อนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าพระองค์
บางคนเชื่อว่าเมื่อพวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงไว้ และเข้าใจความจริงทุกแง่มุมอย่างถ่องแท้ สามารถกระทำการตามความจริงได้ เมื่อนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถแสดงความจริงได้ พวกเขาคิดว่าโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาย่อมจะดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ ดังที่เปาโลกล่าวไว้ไม่มีผิดว่า “เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์” (ฟีลิปปี 1:21) มุมมองนี้ถูกต้องหรือไม่? นี่คือการสนับสนุนข้อโต้แย้งเรื่อง “มนุษย์พระเจ้า” อีกแล้วมิใช่หรือ? นี่ผิดอย่างแน่นอนที่สุด! ผู้คนต้องเข้าใจสิ่งหนึ่งคือ ไม่ว่าเจ้าจะมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับความจริงมากเพียงใด หรือต่อให้เจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้ว สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า สามารถนบนอบพระเจ้าและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า และไม่ว่าการเข้าสู่ชีวิตของเจ้าจะสูงส่งหรือลุ่มลึกเพียงใด ชีวิตของเจ้าก็ยังคงเป็นชีวิตมนุษย์ และมนุษย์ไม่มีวันกลายเป็นพระเจ้าได้ นี่คือข้อเท็จจริงเบ็ดเสร็จที่ผู้คนต้องเข้าใจ ต่อให้ในท้ายที่สุดเจ้ามีประสบการณ์และความเข้าใจในทุกแง่มุมของความจริง ยอมให้พระเจ้าจัดวางเรียบเรียงตัวเจ้าและกลายเป็นคนที่เพียบพร้อม นี่ก็พูดไม่ได้อยู่ดีว่าเจ้ามีธรรมชาติของความจริง ต่อให้เจ้าสามารถกล่าวคำพยานที่แท้จริงจากประสบการณ์ได้ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถแสดงความจริง ในอดีตนั้น เป็นเรื่องปกติที่ภายในกลุ่มศาสนาจะกล่าวว่าคนเรามี “ชีวิตของพระคริสต์อยู่ภายใน” นี่คือถ้อยแถลงที่ผิดและคลุมเครือ แม้ว่าผู้คนจะไม่พูดเช่นนี้กันแล้ว แต่ความเข้าใจของพวกเขาในเรื่องนี้ยังคงไม่ชัดเจน บางคนคิดว่า “ในเมื่อพวกเราได้รับความจริงแล้วและความจริงก็อยู่ในตัวพวกเรา พวกเราย่อมครองความจริง และมีความจริงอยู่ในหัวใจ และพวกเราก็สามารถแสดงความจริงได้เช่นกัน” นี่ก็ผิดเหมือนกันมิใช่หรือ? ผู้คนมักจะคุยกันว่าพวกเขามีความจริงหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงว่าพวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่ ทุกคนผ่านประสบการณ์กับความจริง แต่สภาวะที่แต่ละคนมีประสบการณ์ด้วยนั้นแตกต่างกัน สิ่งที่แต่ละคนได้รับจากความจริงก็แตกต่างเช่นกัน หากเจ้านำความเข้าใจที่ได้จากประสบการณ์ของทุกคนมารวมกัน ก็จะไม่สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของความจริงอย่างครบถ้วนอยู่ดี นั่นคือระดับความลึกซึ้งและล้ำลึกของความจริง! เหตุใดเราจึงพูดว่าทุกสิ่งที่เจ้าได้รับมาและความเข้าใจทั้งหมดของเจ้าไม่สามารถแทนที่ความจริงได้? หลังจากที่ผู้คนได้ฟังเจ้าสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจบางอย่างที่เจ้าได้จากประสบการณ์แล้ว พวกเขาย่อมจะเข้าใจสิ่งที่เจ้ากล่าว และไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์นานเพื่อที่จะเข้าใจและได้ประสบการณ์ทั้งหมดนั้นไว้ ต่อให้นั่นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย พวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องผ่านประสบการณ์นานหลายปี แต่สำหรับความจริงแล้ว ผู้คนจะไม่ผ่านประสบการณ์กับความจริงทุกประการในชั่วชีวิตของพวกเขา ต่อให้เจ้ารวมทุกคนเข้าด้วยกัน พวกเขาก็จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับความจริงทั้งมวล อย่างที่เจ้ามองเห็นได้ ความจริงนั้นลึกซึ้งและล้ำลึกเกินไป คำพูดไม่สามารถอธิบายความจริงได้อย่างถี่ถ้วน หากใช้ภาษามนุษย์ ความจริงก็คือสัจธรรมสำหรับมนุษย์ มนุษย์จะไม่มีวันสามารถผ่านประสบการณ์กับความจริงทั้งหมดได้ และไม่มีวันสามารถดำเนินชีวิตตามความจริงได้อย่างครบถ้วน นี่เป็นเพราะต่อให้ผู้คนใช้เวลาหลายพันปี พวกเขาก็จะไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับความจริงประการหนึ่งอย่างครบถ้วน ไม่ว่าผู้คนจะผ่านประสบการณ์มากี่ปี ความจริงที่พวกเขาเข้าใจและได้รับจะยังคงมีจำกัด อาจกล่าวได้ว่าความจริงคือน้ำพุนิรันดร์แห่งชีวิตของมนุษยชาติ พระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของความจริง และการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทั้งหลายก็เป็นกิจที่ไม่จบสิ้น
ความจริงคือชีวิตของพระเจ้าพระองค์เอง เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ เนื้อแท้ของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น หากเจ้ากล่าวว่าเมื่อมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์บางอย่างแล้ว เจ้าย่อมมีความจริง เช่นนั้นเจ้าได้สัมฤทธิ์ความบริสุทธิ์แล้วกระนั้นหรือ? เหตุใดเจ้ายังคงเผยความเสื่อมทรามออกมาเล่า? เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถแยกแยะผู้คนประเภทต่างๆ? เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า? ต่อให้เจ้าเข้าใจความจริงอยู่บ้าง เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้หรือ? เจ้าสามารถใช้ชีวิตตามพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ? เจ้าอาจจะมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวกับบางแง่มุมของความจริง และคำพูดของเจ้าอาจให้ความกระจ่างได้บ้าง แต่สิ่งที่เจ้าสามารถจัดเตรียมให้ผู้คนนั้นมีจำกัดอย่างที่สุดและไม่สามารถคงอยู่ได้นาน นี่เป็นเพราะความเข้าใจของเจ้าและความสว่างที่เจ้าได้มาไม่ใช่ตัวแทนแห่งแก่นแท้ของความจริง และไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริงทั้งมวล นี่เป็นเพียงตัวแทนของด้านหนึ่งหรือแง่มุมเล็กๆ ของความจริง เป็นเพียงระดับหนึ่งที่มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ได้เท่านั้น และยังคงห่างไกลจากแก่นแท้ของความจริง ความสว่าง ความรู้แจ้ง ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์อันน้อยนิดนี้ไม่มีวันสามารถแทนที่ความจริงได้ ต่อให้ผู้คนทั้งหมดสัมฤทธิ์ผลลัพธ์บางอย่างผ่านการมีประสบการณ์กับความจริงข้อหนึ่ง และแม้จะนำความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ทั้งหมดของพวกเขามารวมกัน ก็จะยังไม่ครอบคลุมทั้งหมดและไม่บรรลุถึงแก่นแท้แม้เพียงบรรทัดเดียวของความจริงข้อนี้ ได้มีการกล่าวไว้ในอดีตว่า “เราจึงสรุปการนี้ทั้งหมดด้วยคำพังเพยสำหรับพิภพมนุษย์ว่า ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา” ประโยคนี้คือความจริง เป็นแก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต เป็นสิ่งลุ่มลึกที่สุดอย่างหนึ่ง และเป็นการแสดงออกของพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าผ่านประสบการณ์ต่างๆ และหลังจากผ่านประสบการณ์มาสามปี เจ้าอาจมีความเข้าใจที่ผิวเผินอยู่บ้าง และหลังจากเจ็ดหรือแปดปี เจ้าก็อาจมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่ความเข้าใจนี้ไม่มีวันสามารถแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้ หลังจากสองปี ผู้อื่นบางคนอาจมีความเข้าใจเล็กน้อย หรือมีความเข้าใจมากขึ้นบ้างหลังจากสิบปี หรือมีความเข้าใจที่ค่อนข้างสูงหลังจากชั่วชีวิตหนึ่ง แต่ความเข้าใจร่วมของพวกเจ้าทั้งคู่ไม่สามารถแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้ ไม่ว่าความคิดความเข้าใจเชิงลึก ความสว่าง ประสบการณ์ หรือความรู้ที่พวกเจ้าทั้งสองอาจมีร่วมกันแล้วจะมีมากเพียงใด ก็ไม่มีวันแทนที่ความจริงบรรทัดนี้ได้ กล่าวคือ ชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นชีวิตมนุษย์อยู่เสมอ และไม่ว่าความรู้ของเจ้าจะสอดคล้องกับความจริง เจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเช่นไร ก็ไม่มีวันแทนที่ความจริงได้ การกล่าวว่าผู้คนมีความจริงหมายความว่าผู้คนเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง ใช้ชีวิตตามความเป็นจริงบางส่วนในพระวจนะของพระเจ้า รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงอยู่บ้าง และสามารถยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าได้ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกล่าวได้ว่าผู้คนครองความจริงอยู่แล้ว เพราะความจริงลุ่มลึกเกินไป พระวจนะของพระเจ้าเพียงบรรทัดเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อที่จะมีประสบการณ์ด้วย และต่อให้มีประสบการณ์มาหลายชีวิตหรือหลายพันปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าบรรทัดเดียวได้อย่างสมบูรณ์ เป็นที่ชัดเจนว่ากระบวนการของการเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้านั้นไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ และมีขีดจำกัดว่าผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้มากเพียงใดในประสบการณ์ชั่วชีวิตหนึ่ง ผู้คนบางคนพูดว่าพวกเขามีความจริงทันทีที่พวกเขาเข้าใจความหมายตามข้อความในพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นเรื่องเหลวไหลมิใช่หรือ? ทั้งในแง่ของความสว่างและความรู้ย่อมมีเรื่องของความลึกซึ้ง ความเป็นจริงความจริงที่บุคคลสามารถเข้าสู่ในช่วงชีวิตหนึ่งของความเชื่อนั้นมีจำกัด เพราะฉะนั้น เพียงเพราะเจ้าครองความรู้และความสว่างอยู่บ้างไม่ได้หมายความว่าเจ้าครองความเป็นจริงความจริง เรื่องหลักที่เจ้าต้องพิจารณาก็คือว่าความสว่างและความรู้นี้เกี่ยวพันกับแก่นแท้ของความจริงหรือไม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้คนบางคนรู้สึกว่าพวกเขาครองความจริงเมื่อพวกเขาสามารถให้ความสว่างหรือให้ความเข้าใจที่ผิวเผินได้เล็กน้อย นี่ทำให้พวกเขาเป็นสุข ดังนั้นพวกเขาจึงกระหยิ่มยิ้มย่องและหยิ่งทะนง ในข้อเท็จจริงนั้นพวกเขายังคงห่างไกลจากการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ความจริงอันใดที่ผู้คนครอง? ผู้คนที่ครองความจริงสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อและทุกที่หรือไม่? เมื่อผู้คนครองความจริง พวกเขาจะยังคงสามารถเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าและทรยศพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้ากล่าวอ้างว่าเจ้าครองความจริง นั่นก็พิสูจน์ว่าภายในตัวเจ้ามีชีวิตของพระคริสต์—นั่นคือแย่มาก! เจ้ากลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว เจ้ากลายเป็นพระคริสต์ไปแล้วกระนั้นหรือ? นี่คือถ้อยแถลงที่ไร้สาระ และเป็นสิ่งที่ผู้คนอนุมานขึ้นมาทั้งสิ้น นี่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ และฟังไม่ขึ้นสำหรับพระเจ้า
เมื่อพูดถึงการที่ผู้คนเข้าใจความจริง และดำรงชีวิตอยู่กับความจริงดั่งเป็นชีวิตของตน “ชีวิต” ในที่นี้อ้างอิงถึงสิ่งใด? นี่หมายความว่าความจริงเป็นใหญ่สูงสุดในหัวใจของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาสามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และหมายความว่าพวกเขามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า และมีความเข้าใจที่จริงแท้ในความจริง เมื่อผู้คนครองชีวิตใหม่นี้ภายในตัวพวกเขา นี่ย่อมสัมฤทธิ์ได้ด้วยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและมีประสบการณ์กับพระวจนะ สร้างขึ้นบนรากฐานของความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และบรรลุได้ด้วยการที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ภายในอาณาจักรแห่งความจริง ทั้งหมดที่มีอยู่ในชีวิตของผู้คนคือการได้รู้จักและมีประสบการณ์กับความจริง นั่นคือรากฐานของชีวิต และไม่ออกนอกวงเขตนั้น นี่เองคือชีวิตที่กำลังถูกอ้างอิงถึงเมื่อพูดถึงการได้รับความจริงและชีวิต การที่สามารถดำรงชีวิตตามความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่ามีชีวิตของความจริงอยู่ในตัวผู้คน และไม่ได้หมายความว่าหากพวกเขาครองความจริงประดุจชีวิตของตนแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นความจริง และชีวิตภายในของพวกเขาจะกลายเป็นชีวิตของความจริง นับประสาอะไรกับการที่พวกเขาคือชีวิตและความจริง ในท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของพวกเขายังคงเป็นชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง
หากเจ้าสามารถดำรงชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และครองความรู้เกี่ยวกับความจริง หากความรู้นี้หยั่งรากลงภายในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และความจริงที่เจ้าได้รับผ่านประสบการณ์ได้กลายเป็นพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของเจ้า หากเจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ย่อมจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ และซาตานก็ไม่สามารถชักพาเจ้าให้หลงผิดหรือทำให้เจ้าเสื่อมทราม เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมได้รับความจริงและชีวิตแล้ว ซึ่งหมายถึงความเข้าใจ ประสบการณ์ และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้ามีเกี่ยวกับความจริง และไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าก็จะใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ และเจ้าจะไม่ออกนอกวงเขตของสิ่งเหล่านี้ นี่คือความหมายของการครองความเป็นจริงความจริง และผู้คนเช่นนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการที่จะได้มาด้วยพระราชกิจของพระองค์ แต่ไม่ว่าผู้คนจะเข้าใจความจริงดีเพียงใด แก่นแท้ของพวกเขาก็ยังคงเป็นแก่นแท้ของมนุษยชาติ และไม่อาจเปรียบเทียบได้กับแก่นแท้ของพระเจ้าแต่อย่างใดเลย นี่เป็นเพราะพวกเขาจะไม่มีวันสามารถมีประสบการณ์กับความจริงทั้งหมด และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะใช้ชีวิตตามความจริงโดยบริบูรณ์ พวกเขาได้แต่ใช้ชีวิตตามความจริงที่มนุษย์สามารถบรรลุได้ซึ่งเป็นส่วนที่จำกัดอย่างยิ่งเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถกลายเป็นพระเจ้าได้อย่างไร? หากพระเจ้าพระองค์เองทรงทำให้ผู้คนกลุ่มหนึ่งเพียบพร้อมโดยแยกออกเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าและพระเจ้าที่ด้อยกว่า นั่นจะไม่กลายเป็นความอลหม่านหรอกหรือ? นอกจากนี้ เรื่องเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้และไร้สาระ—เป็นแนวคิดที่ไม่เข้าท่าของมนุษย์ พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง และจากนั้นพระองค์ก็ทรงสร้างมนุษย์เพื่อให้มนุษย์นบนอบและนมัสการพระองค์ การสร้างมนุษย์ของพระเจ้าคือกิจการที่มีความหมายที่สุด พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เท่านั้น พระองค์ไม่ได้สร้างพระเจ้าทั้งหลาย พระเจ้าทรงพระราชกิจในรูปของการประสูติเป็นมนุษย์ แต่นี่กับการสร้างพระเจ้าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้สร้างพระองค์เองขึ้นมา พระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระองค์เอง และนี่ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงควรอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาแสวงหาความจริงบ่อยๆ เท่านั้น ผู้คนไม่ควรพูดเรื่องเหลวไหลตามจินตนาการของตน หากเจ้ามีประสบการณ์เล็กน้อยกับพระวจนะของพระเจ้า และกำลังดำรงชีวิตตามความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ที่แท้จริงเกี่ยวกับความจริง เช่นนั้นแล้ว พระวจนะของพระเจ้าจะค่อยๆ กลายเป็นชีวิตของเจ้า อย่างไรก็ดี เจ้าก็ยังคงไม่สามารถกล่าวได้ว่า ความจริงเป็นชีวิตของเจ้า หรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังแสดงออกนั้นเป็นความจริง หากเช่นนี้คือข้อคิดเห็นของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ผิดเสียแล้ว หากเจ้าเพียงมีประสบการณ์กับแง่มุมหนึ่งของความจริงโดยเฉพาะ สิ่งนี้ในตัวเองแล้วสามารถแสดงว่าเจ้าครองความจริงได้หรือไม่? นี่สามารถถือว่าเป็นการได้รับความจริงหรือไม่? เจ้าสามารถอธิบายความจริงได้อย่างทั่วถึงหรือไม่? เจ้าสามารถค้นพบพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น จากความจริงได้หรือไม่? หากไม่มีการสัมฤทธิ์ผลเหล่านี้ นี่ก็พิสูจน์ว่าการมีประสบการณ์กับความจริงเพียงแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งเท่านั้นไม่สามารถถือได้ว่าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง หรือรู้จักพระเจ้า ยิ่งไม่สามารถพูดได้ว่าได้รับความจริงแล้ว ทุกคนมีประสบการณ์กับความจริงในแง่มุมและในขอบเขตเดียวเท่านั้น พวกเขามีประสบการณ์กับความจริงภายในขอบเขตอันจำกัดของตน และไม่อาจสัมผัสทุกแง่มุมของความจริงซึ่งมีอยู่นับไม่ถ้วนได้ ผู้คนสามารถใช้ชีวิตตามความหมายดั้งเดิมของความจริงได้หรือไม่? ประสบการณ์เสี้ยวเล็กๆ ของเจ้านับรวมได้เป็นจำนวนมากเพียงใด? ทรายเพียงเม็ดเดียวบนชายหาด น้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทร เพราะฉะนั้น ไม่ว่าความรู้และความรู้สึกที่เจ้าได้รับจากประสบการณ์ของเจ้านั้นจะล้ำค่าเพียงใด ก็ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นความจริง สามารถพูดได้เพียงว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริงเท่านั้น ความจริงมาจากพระเจ้า แล้วความหมายเชิงลึกและความเป็นจริงของความจริงก็ครอบคลุมแนวเขตที่กว้างมาก และไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกถึงหรือหักล้างได้ ตราบใดที่เจ้ามีความเข้าใจที่เป็นจริงเกี่ยวกับความจริงและพระเจ้า เจ้าก็จะเข้าใจความจริงบางประการ จะไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างความเข้าใจที่เป็นจริงเหล่านี้ได้ และคำพยานที่บรรจุความเป็นจริงความจริงไว้ย่อมจะเชื่อถือได้ตลอดไป พระเจ้าทรงเห็นชอบผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง ตราบใดที่เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง และเจ้าสามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า และสามารถยอมรับความจริงว่าเป็นชีวิตของเจ้าได้ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ตราบนั้นเจ้าก็จะมีเส้นทาง สามารถอยู่รอด และได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ถึงแม้ว่าสิ่งน้อยนิดที่ผู้คนได้รับจะสอดคล้องกับความจริง ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่านี่คือความจริง ยิ่งไม่สามารถกล่าวได้ว่าพวกเขาได้รับความจริงแล้ว ความสว่างน้อยนิดที่ผู้คนได้รับมานั้นเพียงเหมาะสมกับตัวพวกเขาเองหรือผู้อื่นบ้างภายในวงเขตหนึ่งๆ เท่านั้น แต่จะไม่เหมาะสมภายในวงเขตที่ต่างออกไป ไม่สำคัญว่าประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งลุ่มลึกเพียงใด ประสบการณ์นั้นก็ยังคงมีขีดจำกัดอยู่มาก และประสบการณ์ของพวกเขาย่อมจะไม่มีวันลึกซึ้งเท่าความจริง ความสว่างของบุคคลหนึ่งและความเข้าใจของบุคคลหนึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับความจริงได้เลย
เมื่อผู้คนพอจะมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าบ้าง เข้าใจความจริงบางอย่างและพอเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่บ้าง เมื่อพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง และอุปนิสัยของพวกเขาก็ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงสักนิดและได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว ก็ยังคงพูดได้แต่เพียงว่าพวกเขาคือคนคนหนึ่งและเป็นมนุษย์ทรงสร้าง แต่แน่นอนว่านี่คือคนปกติอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้ ดังนั้นตัวเจ้าเป็นคนประเภทใด? บางคนบอกว่า “ฉันเป็นคนที่มีความจริง” การพูดเช่นนี้ย่อมจะไม่เหมาะ เจ้าพูดได้แต่เพียงว่า “ฉันคือคนที่ซาตานทำให้เสื่อมทราม เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้ามาแล้ว ในที่สุดฉันก็เข้าใจความจริง และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันก็ได้รับการชำระให้สะอาด ฉันเป็นเพียงคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด” หากเจ้าจะพูดว่า “ฉันคือคนที่มีความจริง ฉันได้ผ่านประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดและเข้าใจพระวจนะทุกคำ ฉันรู้ความหมายของทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส รวมทั้งบริบทและรูปการณ์แวดล้อมที่มีการตรัสพระวจนะเหล่านั้น ฉันรู้ทั้งหมด นี่หมายความว่าฉันมีความจริงไม่ใช่หรือ?” เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมจะผิดอีกครั้ง การมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้ามาบ้างและได้รับความสว่างจากพระวจนะอยู่บ้าง ไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นคนที่มีความจริง ผู้ที่แค่สามารถเข้าใจและหารือถึงคำสอนบางอย่างได้ก็ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะกล่าวอ้างเช่นนั้น ผู้คนต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าคนคนหนึ่งควรมีฐานะเช่นใดต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้าความจริง ผู้คนคืออะไร ชีวิตในตัวมนุษย์คืออะไร และชีวิตของพระเจ้าคืออะไร ผู้คนต้องเข้าใจว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร หลังจากผ่านประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาไม่กี่วัน และเข้าใจคำพูดและคำสอนบางส่วนแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าพวกเขามีความจริง นี่คือผู้คนที่โอหังที่สุด และพวกเขาไร้สำนึก มีความจำเป็นที่จะต้องชำแหละเรื่องนี้เพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจตนเองและมารู้จักมวลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจได้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคืออะไร หลังจากที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนสัมฤทธิ์ได้ถึงระดับใด และอะไรคือวิธีที่เหมาะสมในการพูดจากับคนเหล่านี้และการเรียกพวกเขา ผู้คนควรรู้จักสิ่งเหล่านี้และไม่ควรหลงระเริงไปกับแนวคิดเพ้อฝันทั้งหลาย จะเป็นการดีกว่าหากผู้คนจะมีวิธีประพฤติปฏิบัติตนที่อยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น ในหนทางนั้นพวกเขาย่อมจะมีความถ่อมตนมากขึ้นเล็กน้อย คนที่เชื่อในพระเจ้าบางคนไล่ตามไขว่คว้าความฝันของตนเองเสมอและปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตตามชีวิตและภาพลักษณ์ของพระเจ้าตลอดเวลา นี่อยู่กับความเป็นจริงหรือไม่? ผู้คนอยากจะมีชีวิตอย่างพระเจ้าเสมอ—นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมิใช่หรือ? นี่คือความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโอหังของมนุษย์ และเหมือนกับความมักใหญ่ใฝ่สูงอันโอหังของซาตานไม่มีผิด หลังจากทำงานในคริสตจักรมาระยะหนึ่ง บางคนก็เริ่มครุ่นคิดว่า “หลังจากที่พญานาคใหญ่สีแดงร่วงจากอำนาจ พวกเราควรจะเป็นกษัตริย์และใช้อำนาจหรือไม่? พวกเราควรควบคุมเมืองใหญ่กันคนละกี่เมือง?” หากคนคนหนึ่งสามารถเผยสิ่งดังกล่าวออกมาได้ นั่นก็เลวร้ายยิ่ง ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์ย่อมชอบพูดคุยถึงคำสอนและหลงระเริงอยู่กับเรื่องเพ้อฝัน และขณะที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังรู้สึกฉลาด ราวกับว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า ราวกับว่าพวกเขากำลังดำรงชีวิตเป็นพระคริสต์และพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดคือสาวกของเปาโล และพวกเขาก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเปาโล หากพวกเขาดึงดันไม่ยอมกลับใจ ผู้คนทั้งหมดนี้ย่อมจะกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์และทุกข์ทนกับการลงโทษที่ร้ายแรง
บทตัดตอน 5
สำหรับพระวจนะเหล่านี้ที่ตรัสโดยพระเจ้า เมื่อพวกเจ้าฟัง พวกเจ้านำพระวจนะเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับตัวเองหรือไม่ หรือเพียงฟังในฐานะคำสอน ผ่านความคิดสักครั้งหนึ่งเพื่อให้เข้าใจความหมายของพระวจนะเหล่านี้ และจบลงเพียงเท่านั้น? ขณะที่ฟังอยู่นั้น พวกเจ้ามีท่าทีและเจตนาแบบใด? หากพวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าตรัสอย่างแท้จริง—ว่าพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดออกไป พวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงไม่ใช่คนดี แต่เป็นคนชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า—เช่นนั้นเจ้าก็ควรทบทวนตัวเองและดูว่าการกระทำใดของเจ้าที่ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง อีกทั้งการปฏิบัติและท่าทีใดของเจ้าที่พระเจ้าทรงมองว่าเป็นการสำแดงถึงการไม่ปฏิบัติความจริง พวกเจ้าเคยพยายามไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้หรือไม่? พวกเจ้าเคยทบทวนตัวเองบ้างหรือไม่? การอ่านพระวจนะของพระเจ้าแบบผ่านตานั้นไม่เพียงพอ พวกเจ้าต้องรู้จักไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้นและทบทวนตนเอง เปรียบเทียบความคิดและการกระทำของตนเองกับพระวจนะแห่งการเปิดโปงของพระเจ้า และสัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่พวกเจ้าจะสามารถกลับใจและเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง หากพวกเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่รู้จักไตร่ตรองหรือทบทวนตัวเอง แต่กลับมุ่งเน้นที่การเข้าใจคำสอนเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นพวกเจ้าจะไม่มีการเข้าสู่ชีวิตผ่านการเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะไม่ก้าวผ่านการเปลี่ยนสภาพที่แท้จริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการรู้จักไตร่ตรอง แสวงหาความจริง และทบทวนตนเองขณะอ่านพระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พระวจนะของพระเจ้าคืออะไร? พระวจนะคือความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เป็นบวก คือความจริง คือหนทาง และเป็นชีวิตที่พระเจ้าประทานแด่มนุษย์ พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่คำสอน พระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่คำขวัญ ไม่ใช่ประเภทหนึ่งของทฤษฎีและหลักคำสอน และไม่ใช่ความรู้เชิงปรัชญา ตรงกันข้าม พระวจนะเหล่านี้คือความจริงที่ผู้คนต้องเข้าใจและได้รับ และเป็นชีวิตที่พวกเขาต้องได้รับ เพราะฉะนั้นพระวจนะของพระเจ้าจึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการใช้ชีวิตของผู้คน ชีวิตของพวกเขา เส้นทางที่พวกเขาควรเดิน รวมถึงจุดจบและบั้นปลายของพวกเขา หากใครบางคนเข้าใจความจริงโดยแท้จริงและได้รับความจริงแล้ว ทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขาย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น หากใครบางคนไม่สามารถเข้าใจความจริงหรือดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้เลย พวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงหรือได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า จุดจบและบั้นปลายสำหรับคนคนนั้นมีเพียงการทนทุกข์กับความพินาศและการถูกทำลายล้าง นี่คือความสำคัญของพระวจนะของพระเจ้าและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงต่อผู้คน หากเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่รู้จักไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้น ไม่ทบทวนตนเอง หรือไม่เชื่อมโยงพระวจนะเหล่านั้นกับปัญหาและความยากลำบากที่แท้จริงของตัวเอง เช่นนั้นทั้งหมดที่เจ้าสามารถเข้าใจได้ย่อมผิวเผินมาก และเจ้าจะไม่อาจเข้าใจความจริงหรือจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้เลย เพราะฉะนั้น เจ้าต้องเรียนรู้วิธีไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าเพื่อให้เข้าใจความจริง เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด มีหลายวิธีที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า กล่าวคือ เจ้าอาจจะอ่านพระวจนะอย่างเงียบๆ และอธิษฐานในหัวใจของเจ้า โดยแสวงหาความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าอาจสามัคคีธรรมและอ่าน-อธิษฐานด้วยกันกับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย และแน่นอนว่าเจ้าอาจผสมผสานการสามัคคีธรรมและคำเทศนาในการไตร่ตรองของเจ้าเพื่อให้ความเข้าใจและการจับใจความพระวจนะของพระเจ้าของเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น หนทางมีมากมายและหลากหลาย โดยสรุปแล้ว หากในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า เจ้าปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระวจนะ เช่นนั้นการไตร่ตรองและการอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าจึงสำคัญยิ่ง จุดประสงค์ของการอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถท่องพระวจนะ หรือจดจำจนขึ้นใจ แต่เพื่อให้เจ้าสามารถได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำหลังจากที่ได้อ่านอธิษฐานและไตร่ตรองพระวจนะ และเพื่อให้เจ้าสามารถรู้ถึงความหมายของพระวจนะเหล่านี้ที่ตรัสโดยพระเจ้า รวมทั้งเจตนารมณ์ของพระองค์ เพื่อให้เจ้าสามารถค้นพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะเหล่านี้ และเพื่อหลีกเลี่ยงการเบี่ยงเบนเข้าหาหนทางของตนเอง นอกจากนี้ก็เพื่อให้เจ้าสามารถแยกแยะสภาวะนานาสารพัดชนิดกับผู้คนทุกประเภทที่ถูกเปิดโปงในพระวจนะของพระเจ้า และเพื่อปฏิบัติต่อคนแต่ละประเภทตามหลักธรรม รวมถึงหลีกเลี่ยงการหลงทางได้ในเวลาเดียวกัน ต่อเมื่อเจ้าเรียนรู้วิธีอ่านอธิษฐานและไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า และทำเช่นนั้นบ่อยครั้งแล้วเท่านั้น พระวจนะของพระเจ้าจึงสามารถหยั่งรากลงในหัวใจของเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า
บทตัดตอน 6
ในยุคสุดท้าย พระผู้สร้างตรัสพระวจนะอย่างเปิดเผยเอาไว้มากมาย เพื่อเผยผู้คนทุกประเภท บัดนี้ เมื่อผู้คนประเภทต่างๆ เผชิญหน้ากับความจริง หนทางที่แท้จริง และถ้อยดำรัสของพระผู้สร้าง เสียงและทัศนะทุกรูปแบบก็ถูกเผยออกมา มีผู้ที่มีความคิดและทัศนะบิดเบี้ยว ผู้ที่คิดว่าตนเองถูกและโอหัง และผู้ที่อนุรักษนิยม ยึดปฏิบัติตามวัฒนธรรมดั้งเดิมและหัวโบราณ นอกจากนี้ยังมีคนโง่เขลาและไม่รู้ความอีกมากมาย ถึงกับมีบางคนที่เกลียดชังและเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงซึ่งอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราดเหมือนสุนัขบ้า ตัดสินอย่างมักง่ายและกล่าวโทษความจริงและสิ่งที่เป็นบวกอย่างไม่ยั้งคิด พวกเขาตัดสินและกล่าวโทษสิ่งที่เป็นบวกและการแสดงออกซึ่งความจริงตามอำเภอใจและไม่พยายามแยกแยะเลยว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด หรือสิ่งนั้นมีความจริงอยู่หรือไม่ คนเหล่านี้เป็นสัตว์และเป็นมาร เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับความจริงและหนทางที่แท้จริง พวกเขาก็มีทัศนะที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งเผยและเปิดโปงความอัปลักษณ์เยี่ยงซาตานในความใจแคบ ความดื้อรั้น การดื้อแพ่ง และความโอหังของพวกเขา พวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะและพยายามที่จะได้รับความเข้าใจเชิงลึกจากเรื่องนี้ ขณะเดียวกันก็แสวงหาความจริงบางอย่างผ่านเรื่องนี้ด้วย หากสิ่งเหล่านี้ถูกเผยในผู้ที่ไม่มีความเชื่อ และผู้ที่ยังไม่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย แล้วพวกเจ้าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาเองบ้างหรือไม่? บางครั้งวิธีที่พวกเจ้าแสดงออกนั้นแตกต่างกัน และสิ่งที่พวกเจ้าพูดก็แตกต่างกัน แต่แท้จริงแล้วพวกเจ้าเผยอุปนิสัยเดียวกันกับที่พวกเขาเผยออกมา คล้ายคลึงกับที่เมื่อบางคนยอมรับองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาก็เชื่อว่าทุกคนภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้ที่ไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้าล้วนต่ำต้อยกว่า พวกเขาเชื่อว่าเพราะพวกเขาได้ยอมรับความรอดจากกางเขนขององค์พระเยซูเจ้าแล้ว พวกเขาจึงเป็นคนที่สูงส่งกว่า และพวกเขาก็ดูถูกทุกคน นี่เป็นอุปนิสัยแบบใด? พวกเขาขาดความเข้าใจเชิงลึก พวกเขาใจแคบเกินไป และพวกเขาโอหังและคิดว่าตนเองถูกเป็นพิเศษ พวกเขาเห็นว่าผู้อื่นกำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่พวกเขาไม่เห็นว่าตนก็กำลังเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกันนั้นออกมาด้วย แล้วพวกเจ้าแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาบ้างหรือไม่? พวกเจ้าย่อมแสดงออกมาอย่างแน่นอน อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของมนุษย์นั้นเหมือนกันอย่างแท้จริง และเพียงเพราะพระราชกิจของพระเจ้าและความรอดจากพระเจ้า ความจำเป็นของพระราชกิจของพระองค์ หรือการทรงลิขิตของพระองค์ จึงมีความแตกต่างในแก่นแท้ธรรมชาติ การไล่ตามเสาะหา และความปรารถนาของผู้คนแต่ละประเภท บางคนไม่มีหัวใจหรือจิตวิญญาณ พวกเขาเป็นเหมือนคนตายและเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่เข้าใจความเชื่อ คนเหล่านี้ต่ำต้อยที่สุดในมวลมนุษย์และไม่อาจนับเป็นมนุษย์ได้ ผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเข้าใจความจริงมากขึ้น ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจในพระเจ้าของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้น และทฤษฎีและทัศนะของพวกเขาก็สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับที่ผู้ที่เชื่อในศาสนาคริสต์มีความเข้าใจในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าและมีความเข้าใจเชิงลึกในการทรงสร้างและพระราชกิจของพระผู้สร้างมากกว่าผู้เชื่อในพระยาห์เวห์ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ ผู้ที่ยอมรับพระราชกิจระยะที่สามก็มีความเข้าใจในพระเจ้ามากกว่าผู้เชื่อในศาสนาคริสต์ เพราะพระราชกิจแต่ละระยะของพระเจ้านั้นสูงขึ้นกว่าระยะก่อน แน่นอนว่าความเข้าใจของผู้คนจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แต่หากเจ้ามองในอีกแง่หนึ่ง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเจ้าเผยออกมาหลังจากที่พวกเจ้ายอมรับพระราชกิจระยะนี้ก็มีแก่นแท้เหมือนกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่คนในศาสนาเผยออกมา แตกต่างกันเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกเจ้าได้ยอมรับพระราชกิจระยะนี้ ได้ฟังคำเทศนามากมาย เข้าใจความจริงมากมาย ได้รับความเข้าใจที่แท้จริงในแก่นแท้ธรรมชาติของตน และได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริงในบางหนทางโดยการยอมรับและปฏิบัติความจริง ดังนั้น เมื่อพวกเจ้ามองดูพฤติกรรมที่คนในศาสนาแสดงออกมาอีกครั้ง พวกเจ้าก็คิดว่าพวกเขาเสื่อมทรามกว่าพวกเจ้า แต่ในความเป็นจริง หากพวกเจ้าถูกนำมาเปรียบเทียบกับพวกเขา ท่าทีของพวกเจ้าต่อพระเจ้าและความจริงก็จะเหมือนกับพวกเขา พวกเจ้าทุกคนกระทำการตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันและตามความชอบของตน และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าก็เหมือนกัน หากพวกเขายอมรับพระราชกิจระยะนี้ ได้ฟังคำเทศนาเหล่านี้ และเข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว ก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกเจ้ากับพวกเขามากนัก พวกเจ้าสามารถมองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง? พวกเจ้าสามารถมองเห็นว่าความจริงนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ผู้คน พระวจนะที่พระเจ้าตรัสและคำเทศนาที่พระองค์ทรงประกาศเหล่านี้คือความรอดสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวง และเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์ทั้งปวงต้องการ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหมายที่จะตอบสนองเฉพาะผู้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่ง ประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือสีผิวใดสีผิวหนึ่ง มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและมีอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่มีความแตกต่างกันมากนักในแง่ของแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของพวกเขา เพียงแต่สีผิว ชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อม และระบบสังคมที่พวกเขาเติบโตมานั้นไม่เหมือนกัน หรือมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในวัฒนธรรมดั้งเดิม ภูมิหลัง และการศึกษาที่พวกเขาได้รับ แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงลักษณะภายนอก—มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ถูกซาตานตนเดียวทำให้เสื่อมทราม และแก่นแท้ธรรมชาติที่เสื่อมทรามของพวกเขาเหมือนกัน ดังนั้นพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัสและพระราชกิจนี้ที่พระองค์ทรงทำจึงไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้คนจากกลุ่มชาติพันธุ์หรือประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่กลับมุ่งเป้าไปที่มวลมนุษย์ทั้งปวง แม้ว่าจะมีความแตกต่างในวัฒนธรรมและภูมิหลังของชาติพันธุ์ต่างๆ หรือความแตกต่างในการศึกษาที่พวกเขาได้รับ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็เหมือนกันทุกประการในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้น แม้พระองค์จะทรงพระราชกิจระยะหนึ่งในสถานที่แห่งหนึ่งก่อนเพื่อเป็นต้นแบบในการเผยแผ่พระราชกิจของพระองค์ไปยังที่อื่นๆ แต่นั่นก็สามารถใช้ได้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง และสามารถช่วยให้รอดและจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ บางคนกล่าวว่า “ชาวยุโรปและผู้คนจากประเทศอื่นๆ ไม่ใช่ลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่พระเจ้าจะตรัสว่ามวลมนุษย์ทั้งปวงเสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งมิใช่หรือ?” คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง มวลมนุษย์ทั้งปวงมีแก่นแท้ธรรมชาติเหมือนกันซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม) ถูกต้อง—“ลูกหลานของพญานาคใหญ่สีแดง” เป็นเพียงชื่อเรียกผู้คนในชาติพันธุ์หนึ่งเท่านั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าผู้คนที่มีชื่อนี้และผู้คนที่ไม่มีชื่อนี้มีแก่นแท้ที่แตกต่างกัน ในความเป็นจริง แก่นแท้ของพวกเขายังคงเหมือนกัน มวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ใต้อุ้งมือของซาตาน พวกเขาล้วนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และแก่นแท้ธรรมชาติที่เสื่อมทรามของพวกเขาเหมือนกันทุกประการ บัดนี้ เมื่อคนจีนได้ยินพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัส พวกเขาก็กบฏและต่อต้าน พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน นี่คือสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา เมื่อพระวจนะเหล่านี้ถูกกล่าวซ้ำกับผู้คนในชาติพันธุ์อื่น พวกเขาก็แสดงความคิดฝัน มโนคติอันหลงผิด ความเป็นกบฏ ความโอหัง ความคิดว่าตนเองถูก แม้กระทั่งการไม่ยอมรับออกมาเช่นกัน—ซึ่งเหมือนกันทุกประการ มวลมนุษย์ทั้งปวง ไม่ว่าจะชาติพันธุ์และภูมิหลังทางวัฒนธรรมใด ก็ไม่แสดงอะไรออกมานอกจากการสำแดงของมนุษย์ที่เสื่อมทรามซึ่งพระเจ้าทรงเปิดโปง
อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเป็นสิ่งที่พบได้ในมวลมนุษย์ทั้งปวง พวกเขาล้วนเหมือนกันหมด มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าความแตกต่าง และไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจน พระวจนะที่พระเจ้าตรัสและความจริงที่พระองค์ทรงแสดงเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้รอดเพียงชาติพันธุ์เดียว ประเทศเดียว หรือกลุ่มคนกลุ่มเดียว—พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด เรื่องนี้แสดงให้พวกเจ้าเห็นอะไร? มีผู้ใดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ไม่เคยผ่านการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน และอยู่ในประเภทหรือชนชั้นที่แตกต่างกันหรือไม่? มีผู้ใดที่ไม่ใช่เป้าหมายแห่งอธิปไตยของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่มี) วจนะที่เรากล่าวเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร? พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์ทั้งปวง และมวลมนุษย์ทั้งปวงถูกสร้างโดยพระเจ้าองค์เดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด เป็นมนุษย์ประเภทใด หรือมีความสามารถเพียงใด พวกเขาทั้งหมดถูกสร้างโดยพระเจ้า ในสายตาของมนุษย์ บางคนแตกต่างจากผู้อื่นและสูงส่งกว่า แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเหมือนกัน มนุษย์ทุกคนเหมือนกันในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเจ้าเห็นเช่นนี้ได้จากที่ใด? ความแตกต่างทางสีผิวและภาษาเป็นเพียงลักษณะภายนอก แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามและแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนนั้นเหมือนกัน นี่คือความจริงของเรื่องนี้ สำหรับมนุษย์ทุกคนที่มีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน พระวจนะของพระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ พระวจนะของพระองค์มุ่งเป้าไปที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาและสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของพวกเขาได้ นี่แสดงให้เห็นว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าเป็นความจริง สามารถจัดเตรียม ชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ นี่เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ บัดนี้ พระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้ายได้เผยแผ่ไปทั่วทุกประเทศและทุกชาติพันธุ์ทั่วโลกแล้ว—นี่คือข้อเท็จจริง! และปฏิกิริยาของมวลมนุษย์เป็นอย่างไร? (มีปฏิกิริยาทุกรูปแบบ) และปฏิกิริยาทุกรูปแบบเหล่านี้บ่งชี้หรือสะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของมวลมนุษย์ในปัจจุบันอย่างไร? สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์นั้นเหมือนกัน ปฏิกิริยาของผู้คนในปัจจุบันเหมือนกับของพวกฟาริสีและพวกยิวเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ และมวลมนุษย์ต่างรังเกียจความจริง เต็มไปด้วยความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และเชื่อในพระองค์ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันอันลวงตา มวลมนุษย์โดยรวมไม่รู้จักพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ เมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ปฏิกิริยาแรกของพวกเขา หรือสิ่งที่อยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาที่เผยออกมาโดยธรรมชาติ คือการต่อต้านและความเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พวกเขาทุกคนมีร่วมกัน เสียงและทัศนะเชิงลบทั้งหมดของพวกเขาเมื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นเกิดจากแก่นแท้ธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม และเป็นตัวแทนของเผ่าพันธุ์มนุษย์นี้ มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาก็เหมือนกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันที่พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีมีเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พวกเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คนในศาสนาแบกไม้กางเขนมา 2,000 ปีแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เมื่อผู้คนไม่ได้รับความจริง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเขาเผยออกมาโดยธรรมชาติและออกมาจากธรรมชาติที่แท้จริงของพวกเขา และนี่คือท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้า ดังนั้น หากคนคนหนึ่งเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง จะสามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้หรือไม่? (ไม่สามารถแก้ไขได้) ไม่ว่าพวกเขาเชื่อมานานเท่าใด พวกเขาก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนได้หากพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อสองพันปีก่อน พวกฟาริสีต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง และตอกตรึงพระองค์ไว้บนกางเขน บัดนี้ศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส บาทหลวง และบิชอปในโลกศาสนาก็ยังคงต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกับที่พวกฟาริสีเคยทำ หากใครจะเข้าไปในหมู่พวกเขาและเป็นพยานยืนยันว่าพระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์แล้ว คนนั้นก็อาจถูกจับและถูกประหารชีวิต และหากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์จะเสด็จไปยังสถานนมัสการของแต่ละศาสนาหลักเพื่อประกาศ พวกเขาก็จะยังคงตอกตรึงพระองค์ไว้บนกางเขนหรือส่งมอบพระองค์ให้แก่ผู้มีอำนาจอย่างแน่นอน พวกเขาจะไม่ปรานีพระองค์อย่างเด็ดขาด เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้นเหมือนกันทั้งหมด พวกเจ้ามีปฏิกิริยาใดในใจเมื่อได้ยินพระวจนะเหล่านี้หรือไม่? พวกเจ้าคิดว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแต่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงในระดับใดเลยนั้นน่ากลัวมากหรือไม่? (ค่อนข้างน่ากลัว) เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก! การถือพระคัมภีร์และกางเขน การพึ่งพาธรรมบัญญัติ การสวมเสื้อผ้าของพวกฟาริสีหรือเสื้อคลุมของปุโรหิต และการต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าอย่างเปิดเผยในพระวิหาร—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเจ้าทำในเวลากลางวันแสกๆ ไม่ใช่หรือ? ผู้คนที่กล่าวโทษและต่อต้านพระเจ้าอยู่ที่ไหน? ไม่จำเป็นต้องมองไปไกล ใครก็ตามในหมู่ผู้เชื่อของพระองค์ที่ไม่ยอมรับความจริงและรังเกียจความจริงคือผู้ต่อต้านพระเจ้า คือศัตรูของพระคริสต์ และคือฟาริสี
หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่สามารถได้รับความจริง พวกเขาก็จะไม่มีวันรู้จักพระเจ้า เมื่อผู้คนไม่รู้จักพระเจ้า พวกเขาก็จะยังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์เสมอ และเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเข้ากันได้กับพระองค์ ไม่ว่าหัวใจของเจ้าจะปรารถนาที่จะรักพระเจ้าอย่างจริงจังเพียงใดและไม่ปรารถนาที่จะต่อต้านพระองค์เพียงใด ก็ไร้ประโยชน์ การมีเพียงความปรารถนา หรือการต้องการที่จะยับยั้งตนเองนั้นไร้ประโยชน์ นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจควบคุมได้ซึ่งถูกกำหนดโดยธรรมชาติของผู้คน ดังนั้นเจ้าต้องไล่ตามเสาะหาที่จะเป็นคนที่มีความจริง ไล่ตามเสาะหาที่จะปฏิบัติความจริง ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระเจ้า นี่คือเส้นทางที่ถูกต้อง พวกเจ้าต้องรู้ในใจของตนว่าส่วนที่สำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้าคือการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเจ้าต้องสามารถเข้าใจสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในด้านต่างๆ เช่น พวกเจ้าควรเริ่มต้นในแง่มุมใดและสิ่งที่พวกเจ้าจำเป็นต้องทำเมื่อไล่ตามเสาะหาความจริง วิธีเข้าหาหน้าที่ของพวกเจ้า วิธีเข้าหาผู้คนทุกประเภทที่อยู่รอบตัวพวกเจ้า วิธีเข้าหาสิ่งต่างๆ ทุกชนิด พวกเจ้าควรนำทัศนะใดมาใช้เมื่อเข้าหาสิ่งเหล่านั้น และแนวทางใดที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงหรือไม่เข้าใจหลักธรรมความจริง และทำได้เพียงนำข้อบังคับมาใช้และตีกรอบสิ่งต่างๆ ตามข้อบังคับเหล่านั้น ตลอดจนตามตรรกะ มโนคติอันหลงผิด และความคิดฝัน เช่นนั้นวิธีการปฏิบัติของเจ้าก็ผิดพลาด และพิสูจน์ให้เห็นว่าในช่วงหลายปีที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าได้แต่ปฏิบัติตามข้อบังคับตามตัวอักษรเท่านั้น แต่ไม่ได้จับใจความเข้าใจความจริงและไม่มีความเป็นจริง การทำตามข้อบังคับและการดำเนินชีวิตตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันนั้นน่าเหน็ดเหนื่อยและลำบากสำหรับเจ้า แต่ทั้งหมดเป็นความพยายามที่สูญเปล่าและพระเจ้าจะไม่ทรงเห็นชอบเลย แม้เจ้าเหน็ดเหนื่อยจนตาย นั่นก็สมควรแล้ว! หากเจ้ามีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ และเจ้ามีความเข้าใจอันถ่องแท้เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนาและสามัคคีธรรม ยิ่งเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจและได้รับมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งที่เจ้าจับใจความเข้าใจได้ทั้งหมดก็จะสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสอดคล้องกับความจริง เมื่อนั้น เจ้าก็จะได้รับความจริงและได้รับชีวิต หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี หากสิ่งที่เจ้าได้รับและจับใจความเข้าใจได้ยังคงเป็นเรื่องของคำสอนและข้อบังคับ ยังคงเป็นเรื่องของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน เป็นกฎเกณฑ์และข้อบังคับซึ่งผูกมัดเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็จบสิ้นโดยสิ้นเชิง นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง และไม่มีชีวิต ไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม และไม่ว่าเจ้าสามารถประกาศคำพูดและคำสอนได้มากเพียงใด เจ้าก็ยังคงเป็นคนเหลวไหลและเป็นคนที่เลอะเลือน แม้การพูดเช่นนั้นจะไม่น่าฟัง แต่นี่คือข้อเท็จจริง มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แต่กลับไม่เห็นว่าความจริงและพระคริสต์ทรงมีอำนาจในพระนิเวศของพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง คนเช่นนี้ไม่มีความสามารถในการจับใจความเข้าใจสิ่งใดเลย และไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด บางคนเห็นพระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน ทรงทำให้คนกลุ่มหนึ่งเพียบพร้อม แต่ทรงกำจัดคนอื่นๆ ออกไปมากมาย ดังนั้นพวกเขาจึงสงสัยในความรักของพระเจ้าและแม้กระทั่งความชอบธรรมของพระองค์ คนเช่นนี้มีความสามารถในการทำความเข้าใจหรือไม่? พวกเขามีความสามารถในการจับความเข้าใจสิ่งต่างๆ หรือไม่? การกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนที่เหลวไหลและไม่มีความสามารถในการจับใจความเข้าใจสิ่งต่างๆโดยสิ้นเชิงจึงเป็นธรรม คนเหลวไหลมักจะมองสิ่งต่างๆ ในแง่มุมที่ไร้สาระเสมอ มีเพียงผู้ที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถมองสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำและสอดคล้องกับข้อเท็จจริง
บทตัดตอน 7
ผู้คนบางคนที่ประกาศข่าวประเสริฐ คนที่ถ่ายทอดและเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจของพระเจ้านั้นทำผิดพลาดอย่างมหันต์—พวกเขาตัดทอนพระวจนะของพระเจ้าเพื่อสอดรับกับส่วนที่ผู้คนในศาสนามีแนวโน้มจะเกิดมโนคติอันหลงผิดมากที่สุดออก แล้วส่งมอบพระวจนะของพระเจ้ารูปแบบย่อและกระชับให้ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ข้อแก้ตัวของพวกเขาก็คือ พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิด แต่การนี้ถูกต้องหรือไม่? พระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าคือความจริง ไม่ว่าผู้คนมีมโนคติอันหลงผิดหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขายอมรับหรือรักพระวจนะเหล่านี้หรือไม่ ความจริงก็คือความจริง บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงย่อมได้รับการช่วยให้รอด ในขณะที่พวกไม่ยอมรับความจริงจะพินาศ ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธความจริงนั้นสมควรตายและพินาศไปเสีย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐอย่างไร? ผู้ที่ประกาศข่าวประเสริฐควรปล่อยให้ผู้คนได้อ่านพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าแทนที่จะตัดทอนพระวจนะเหล่านั้นให้สั้นลงเพราะกลัวผู้คนจะมีมโนคติอันหลงผิด เมื่อผู้คนสืบค้นหนทางที่แท้จริง พวกเขาต้องการดูว่าพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าว่าไว้อย่างไร ในพระวจนะเหล่านั้นมีเนื้อหาแบบใด และถ้อยแถลงดั้งเดิมที่สุดของพระเจ้าในบางเรื่องเป็นเช่นไร ผู้คนต้องการที่จะรู้ว่า “พวกคุณบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง แล้วพระวจนะที่พระองค์ตรัสคืออะไร? ลักษณะในการตรัสของพระองค์เป็นอย่างไร?” พวกเจ้ายืนกรานที่จะดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เช่นเดียวกับเวลาที่คนในศาสนาอธิบายพระคัมภีร์แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาพูดล้วนสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ เจ้ายืนกรานที่จะแสดงพระวจนะที่ถูกดัดแปลงของพระเจ้าแก่ผู้คน และไม่ยอมให้พวกเขาเห็นพระวจนะดั้งเดิมของพระองค์ ทั้งหมดนี้คืออะไร? พวกเจ้าก็มีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าใช่หรือไม่? พวกเจ้าเชื่อเช่นเดียวกับคนในศาสนาใช่หรือไม่ว่าพระวจนะของพระองค์ที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้นไม่ใช่ความจริง และมีเพียงพระวจนะที่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้นที่เป็นความจริง? หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็คือความผิดพลาดของมนุษย์ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าถูกตรัสอย่างไร และไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือไม่ พระวจนะเหล่านั้นก็คือความจริง เพราะมนุษย์ผู้เสื่อมทรามไม่มีและไม่รู้จักความจริงเท่านั้น พวกเขาจึงเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า—นี่คือความโง่เขลาและไม่รู้ความของมนุษย์ พวกเจ้าไม่ได้เห็นโดยชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีผลกระทบบางอย่างที่เป็นรูปธรรมเป็นพิเศษ และเจ้าไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่ามนุษย์มีขีดความสามารถย่ำแย่เพียงใด และผู้คนจะเข้าใจยากแค่ไหนหากพระวจนะของพระเจ้านั้นรวบรัดและเป็นทฤษฎีมากเกินไป นึกถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจ สาวกมากมายของพระองค์ไม่สามารถเข้าใจพระวจนะของพระองค์ และต้องขอให้พระองค์ทรงยกตัวอย่างและเปรียบเปรยให้ฟังเพื่อที่จะจับความเข้าใจความหมายของพระวจนะเหล่านั้น มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? วันนี้ เมื่อเรากล่าวโดยให้รายละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากเกินไป พวกเจ้าก็พร่ำบ่นว่าสิ่งนั้นเยิ่นเย้อเกินไป เมื่อเรากล่าวอย่างลึกซึ้งพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่เมื่อเราสรุปความและทำให้เป็นทฤษฎี พวกเจ้าก็มองว่าเป็นคำสอน มนุษย์ช่างเอาใจยากในหนทางนี้ ทุกวันนี้ ในพระวจนะของพระเจ้ามีทั้งภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงภาษามนุษย์ มีทั้งความกระชับและความเฉพาะเจาะจง ทั้งยังมีตัวอย่างมากมายที่เปิดโปงสภาวะต่างๆ ของผู้คน พระวจนะบางคำดูมีรายละเอียดมากเกินไปสำหรับคนที่เข้าใจความจริงอยู่แล้ว แต่สำหรับผู้เชื่อใหม่ สิ่งนี้ย่อมถูกต้องพอดี และการที่จะสัมฤทธิ์ผลโดยไร้ซึ่งรายละเอียดและความเฉพาะเจาะจงในระดับนี้ก็เป็นเรื่องยาก สิ่งนี้เหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกๆ ตอนที่ลูกยังเล็ก พ่อแม่จำเป็นต้องทำสิ่งต่างๆ มากมายที่เต็มไปด้วยรายละเอียด แต่เมื่อลูกของพวกเขาเริ่มรู้สำนึกและสามารถดูแลตนเองได้แล้ว พวกเขาก็สามารถเลิกทำเช่นนั้นได้ นี่คือสิ่งที่ผู้คนเข้าใจ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงไม่เข้าใจในเรื่องของพระราชกิจของพระเจ้า? ผู้เชื่อใหม่ต้องอ่านพระวจนะที่ผิวเผินกว่าและมีตัวอย่างสนับสนุน พระวจนะที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและพิถีพิถัน บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและเข้าใจความจริงบางประการต้องอ่านพระวจนะที่ค่อนข้างลึกซึ้งและพวกเขาสามารถจับความเข้าใจได้ ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสเช่นไร ทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจความจริง สลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง พระองค์ตรัสเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้ ไม่ว่าพระวจนะของพระองค์นั้นลึกซึ้งหรือผิวเผิน ไม่ว่าผู้คนจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้หรือไม่ การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็ไม่ง่าย จงอย่าคิดเพียงว่าเพราะเจ้ามีขีดความสามารถดีและสามารถจับความเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งได้ เจ้าก็ครองความจริงที่ผิวเผินและครองความเป็นจริงแล้ว เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? ความจริงเกี่ยวกับการเป็นคนซื่อสัตย์เพียงอย่างเดียวนั้นเพียงพอแล้วสำหรับประสบการณ์ทั้งชีวิต ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าผิวเผินเพียงไร ไม่ว่าพระองค์ทรงยกตัวอย่างมากมายเพียงไหน เจ้าก็อาจไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงแม้จะมีประสบการณ์มาแปดหรือสิบปีแล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่อเข้าหาพระวจนะของพระเจ้า การมองดูพระวจนะในเชิงลึกย่อมไม่ถูกต้อง ทัศนะนี้ไม่ถูกต้อง การที่คนเราให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดต่อความเป็นจริงนั้นดีที่สุด เจ้ามิได้มีความเป็นจริงเพียงเพราะเจ้ามีความสามารถในการจับใจความและสามารถเข้าใจความจริง หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติความจริง สำหรับเจ้าแล้ว แม้แต่การจับใจความที่ดีที่สุดก็จะเป็นเพียงคำสอนอันว่างเปล่า เจ้าต้องนำความจริงไปปฏิบัติ เจ้าต้องมีความรู้ที่ได้จากประสบการณ์—นี่เท่านั้นคือความเป็นจริง ทุกคนที่พร่ำบ่นว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นละเอียดหรือสัพเพเหระมากเกินไปคือคนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูก อีกทั้งไม่มีความเป็นจริงความจริงเลย มนุษย์สามารถหยั่งถึงพระปัญญาในพระวจนะของพระเจ้าและพระดำริของพระองค์ได้หรือ? ผู้คนมากมายมีท่าทีที่โอหังและไม่รู้ความมากเกินไปต่อพระวจนะของพระเจ้า ทำตัวราวกับว่าพวกเขามีความเป็นจริงความจริงมากมาย ซึ่งที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติความจริงและไม่สามารถกล่าวคำพยานที่จริงแท้ได้เลย พวกเขาได้แต่เอ่ยคำพูดที่ว่างเปล่าในทางทฤษฎีเท่านั้น พวกเขาเป็นนักทฤษฎีและนักต้มตุ๋น บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร? พวกเขาควรแสวงหาความจริง การแสวงหาความจริงครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับหลายสิ่ง ดังนั้นแล้วสิ่งนี้สามารถกล่าวโดยไร้ซึ่งรายละเอียดได้หรือไม่? หากไร้ซึ่งการกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงและครอบคลุม จะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้หรือไม่? หากไร้ซึ่งตัวอย่างมากมายมาสนับสนุน ผู้คนจะสามารถเข้าใจโดยแท้จริงได้หรือ? ผู้คนมากมายคิดว่าพระวจนะบางส่วนของพระเจ้านั้นผิวเผินเกินไป—ถ้าเช่นนั้น เจ้าได้เข้าสู่พระวจนะที่ผิวเผินเหล่านี้มากแค่ไหนแล้ว? เจ้าสามารถแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ใดได้บ้าง? หากเจ้ายังไม่เข้าสู่พระวจนะอันผิวเผินเหล่านี้ด้วยซ้ำ เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจส่วนที่ลึกซึ้งกว่านี้ได้หรือ? เจ้าจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้อย่างแท้จริงหรือ? จงอย่านึกฝันไปว่าตนเองฉลาดเฉลียว อย่าเป็นคนที่โอหังและคิดว่าตนเองถูก!
กลับมาที่ประเด็นเรื่องการดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้ากันเถิด พระนิเวศของพระเจ้าได้ตีพิมพ์หนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ในรูปแบบเป็นมาตรฐาน และไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ดัดแปลงแก้ไขแม้แต่น้อย ไม่มีใครสามารถดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าที่เป็นมาตรฐานได้ และหากใครบางคนดัดแปลงแก้ไขพระวจนะเหล่านั้นจริง การนั้นจะถือว่าเป็นการดัดแปลงพระวจนะของพระองค์ พวกที่ดัดแปลงพระวจนะของพระองค์ไม่มีความเข้าใจในความโหยหาของบรรดาผู้ที่ถวิลหาความจริงและเฝ้ารอที่จะได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย คนเหล่านี้ต้องการอ่านพระวจนะของพระองค์ในรูปแบบที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐาน ซึ่งก็คือพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้า คือการแสดงออกถึงความหมายและเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระองค์นั่นเอง ผู้คนที่รักความจริงล้วนเป็นเช่นนี้ ผู้คนไม่เข้าใจเจตนารมณ์ จุดประสงค์ และความหมายดั้งเดิมของพระเจ้าในการทรงพระราชกิจทั้งปวงและตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้ อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระองค์จึงตรัสโดยละเอียดเช่นนั้น ผู้คนไม่เข้าใจ ทว่าพวกเขาก็ยังวิเคราะห์และสรุปพระวจนะด้วยความคิดของตน และลงเอยด้วยการดัดแปลงพระวจนะดั้งเดิมของพระเจ้าในส่วนที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ผลก็คือหลังจากที่ผู้อื่นอ่านพระวจนะที่ได้รับการดัดแปลงจบแล้ว ก็ยากที่พวกเขาจะเข้าใจความหมายดั้งเดิมของพระองค์ การนี้ไม่ส่งผลต่อความเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาหรอกหรือ? ในที่นี้ปัญหาคืออะไร? คือการที่บรรดาผู้ดัดแปลงแก้ไขพระวจนะของพระเจ้าขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้านั่นเอง วิธีการของพวกเขาคือวิธีการของผู้ไม่เชื่อ ทันทีที่พวกเขาปฏิบัติตน อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาก็เผยตัว พวกเขามีความคิดเห็นและแนวคิดบางอย่างกับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและตรัสเสมอ และพวกเขาก็ต้องการจัดการและดำเนินการสิ่งเหล่านี้ ใช้กรงเล็บปีศาจสีดำของพวกเขาเอื้อมไปเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระเจ้าให้เป็นคำกล่าวของพวกเขาเองอยู่ตลอดเวลา นี่คือธรรมชาติของซาตาน—ความโอหังนั่นเอง เมื่อพระเจ้าตรัสพระวจนะที่แท้จริงบางอย่าง พระวจนะในชีวิตประจำวันบางประการที่ใกล้เคียงกับความเป็นมนุษย์ ผู้คนก็ดูถูกและเหยียดหยามพระวจนะเหล่านี้ เข้าหาพระวจนะเหล่านี้ด้วยท่าทีเย้ยหยัน พวกเขาต้องการใช้ความรู้และความคิดฝันของมนุษย์เพื่อทำการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่เสมอ สิ่งนี้ไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ? (น่ารังเกียจ) พวกเจ้าต้องไม่ทำเช่นนี้โดยเด็ดขาด เจ้าต้องปฏิบัติตนตามหน้าที่ พระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพระองค์ตรัสเช่นไร พระวจนะเหล่านั้นก็ต้องถูกรักษารูปแบบดั้งเดิมไว้และไม่ทำการดัดแปลงแก้ไข มีเพียงคำเทศนาแบบถ่ายทอดสดเท่านั้นที่สามารถจัดการใหม่ได้เล็กน้อย ตราบเท่าที่เป็นเพียงการปรับแต่งในส่วนน้อยและไม่เปลี่ยนแปลงความหมายดั้งเดิม แน่นอนว่าความหมายดั้งเดิมต้องไม่ถูกเปลี่ยนแปลง หากเจ้าไม่มีความจริง เช่นนั้นจงอย่าแก้ไขดัดแปลง ผู้ใดก็ตามที่กระทำการแก้ไขดัดแปลงจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ พระนิเวศของพระเจ้ามอบหมายผู้คนหลายคนจัดระเบียบคำเทศนาและสามัคคีธรรม แต่พวกเขาต้องจัดระเบียบวจนะสิ่งเหล่านั้นตามหลักธรรม และต้องไม่ดัดแปลงสิ่งใดโดยเด็ดขาด พวกที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจความจริงนั้นไม่ควรก้าวก่าย พวกเขาจะได้ไม่ต้องเผชิญกับการลงโทษ ในเมื่อเจ้าเป็นหนึ่งในประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เจ้าก็ควรอ่านพระวจนะของพระองค์อย่างขะมักเขม้น มุ่งเน้นที่การเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริง อีกทั้งไม่กังขาในพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง เหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าใช้จิตใจและความรู้ของเจ้ามาพินิจพิเคราะห์พระวจนะของพระเจ้า การปฏิบัติชั่วอยู่เสมอไม่ใช่เรื่องดี ครั้นเจ้าก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า เจ้าก็ย่อมจะตกที่นั่งลำบาก บางคนเข้าใจความรู้ทางพระคัมภีร์เล็กน้อย พวกเขาศึกษาเรื่องเทววิทยาอยู่สองสามวันและอ่านหนังสือสองสามเล่ม จากนั้นก็คิดว่าตนเองเข้าใจความจริงแล้วคิดว่าพวกเขาเข้าใจความจริง รู้ดี และมีความสามารถ แต่ความสามารถเพียงเล็กน้อยของเจ้าจะมีประโยชน์อะไร? เจ้าสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรือ? เจ้ามีความเป็นจริงความจริงหรือไม่? เจ้าสามารถนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่? ทฤษฎีและความเชี่ยวชาญเพียงเล็กน้อยของเจ้าไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความจริงแม้แต่น้อย พระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ตรัสพระวจนะบางอย่างที่ทำให้ผู้คนจับความเข้าใจความหมาย พระวจนะบางอย่างที่ทำให้มวลมนุษย์เข้าใจง่ายขึ้น ทว่าผู้คนกลับไม่เชื่อ ต้องการเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระองค์อยู่เสมอ พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงพระวจนะของพระองค์ให้ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของตนเอง ให้เหมาะกับรสนิยมและความปรารถนาของพวกเขา ทำให้พระวจนะเหล่านั้นฟังได้อย่างสบายหู อีกทั้งดูได้อย่างสบายตาและสบายใจ นี่คืออุปนิสัยประเภทใด? นี่คืออุปนิสัยอันโอหัง การทำสิ่งทั้งหลายโดยไร้ซึ่งหลักธรรมความจริงและการปฏิบัติตนตามหนทางของซาตานย่อมจะขัดขวางและก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย นี่เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง! เมื่อเจ้าก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหามากทีเดียว และเจ้าก็สุ่มเสี่ยงที่จะถูกกำจัดออกไป
บางคนรู้สึกรังเกียจเมื่อเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงเส้นทางปฏิบัติสำหรับการเข้าสู่ชีวิตอย่างละเอียดมาก ในกรณีนั้น หากพวกเขาได้เห็นธรรมบัญญัติ กฤษฎีกา และบทบัญญัติทั้งปวงที่พระเจ้าทรงประกาศในพันธสัญญาเดิม พวกเขาย่อมจะรู้สึกรังเกียจยิ่งกว่าเดิมมิใช่หรือ? และต่อมาหากพวกเขาได้อ่านพระวจนะที่ละเอียดยิ่งกว่าเดิมจากพระบัญญัติดั้งเดิมในพระคัมภีร์ พวกเขาจะไม่เกิดมโนคติอันหลงผิดหรือ? พวกเขาจะคิดว่า “พระวจนะเหล่านี้หยุมหยิมเกินไป สิ่งที่สามารถกล่าวให้ชัดเจนได้ในประโยคเดียวกลับถูกยืดออกไปเป็นสามหรือสี่ประโยค ประโยคเหล่านั้นควรจะกระชับและตรงไปตรงมามากกว่านี้ ผู้คนจะได้เห็นทุกอย่างในทันทีและเข้าใจจากการฟังเพียงประโยคเดียว หากพระวจนะเหล่านี้ไม่เยิ่นเย้อ แต่กลับเรียบง่าย เข้าใจง่าย และปฏิบัติได้ง่ายก็คงจะดีเยี่ยมทีเดียว ประโยคเหล่านี้จะไม่เป็นพยานและถวายพระสิริให้พระเจ้าอย่างมีประสิทธิผลมากกว่าหรือ?” ความคิดนี้ดูเหมือนถูกต้อง แต่เจ้าคิดว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้าควรเหมือนการอ่านนิยายที่ยิ่งราบรื่นก็ยิ่งดีอย่างนั้นหรือ? พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง สิ่งเหล่านี้พึงต้องใช้การไตร่ตรอง อีกทั้งคนเราต้องปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้เพื่อที่จะเข้าใจและได้รับความจริง ยิ่งพระวจนะของพระเจ้าสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์น้อยเท่าไร ในพระวจนะเหล่านั้นก็ยิ่งมีความจริงมากขึ้น อันที่จริงไม่มีความจริงแง่มุมใดเลยที่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เคยเห็นหรือมีประสบการณ์มาก่อน ทว่าเป็นคำพูดที่สดใหม่ อย่างไรก็ตาม หลังจากอ่านและมีประสบการณ์กับพระวจนะมาหลายปี เจ้าย่อมจะรู้ว่าพระวจนะทั้งปวงของพระเจ้าคือความจริง บางคนมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ ปัญหานี้เกิดมาจากไหน? พวกเขาผิดพลาดอย่างไร? ปัญหานี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนไม่รู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าหรือพระอุปนิสัยของพระองค์ ทุกประโยคที่พระองค์ตรัสนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นข้อเท็จจริง โดยใช้ภาษาในชีวิตประจำวันของมนุษย์และไม่อาศัยภาษาในทางทฤษฎีหรือภาษาเชิงความรู้ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจความจริงของมนุษย์มากที่สุด ไม่มีผู้ใดสามารถจับความเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน—มีเพียงพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่สัมพันธ์กับชีวิตและเป็นจริงมากที่สุด ผู้คนยอมรับด้วยวาจาว่า “พระวจนะของพระเจ้านั้นถูกต้องทั้งหมด พระวจนะของพระองค์เป็นประโยชน์ต่อผู้คน แต่ผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้า พระองค์ทรงรู้ความต้องการของผู้คนดีที่สุด พระองค์ทรงรู้วิธีตรัสให้ผู้คนเข้าใจ วิธีตักเตือนและบอกกล่าวผู้คนของพระองค์นั้นยอมรับได้ง่ายกว่า พระเจ้าทรงรู้ถึงโครงสร้างภายในของผู้คนและทรงรู้ว่าพวกเขามีความคิดและมโนคติอันหลงผิดประเภทใด และพระองค์ก็ทรงยิ่งทรงทราบดีทีเดียวว่าผู้คนต้องการสิ่งใดมากที่สุด ในขณะที่พวกเขาเองไม่รู้เลย” แต่เมื่อเจ้าดูที่พระวจนะของพระเจ้า เจ้ากลับต้องการแก้ไขพระวจนะเหล่านั้นให้ง่ายลงและเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและรสนิยมของมนุษย์ แล้วเช่นนั้นพระวจนะของพระเจ้าจะยังเป็นความจริงได้อยู่หรือ? พระวจนะเหล่านั้นจะยังเป็นพระวจนะของพระองค์ได้อยู่หรือ? พระวจนะเหล่านั้นจะไม่กลายเป็นคำพูดมนุษย์ไปหรือ? ความคิดประเภทนี้ไม่โอหังและคิดว่าตนเองถูกจนเกินไปหรือ? ไม่ว่าตรงตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์หรือไม่ พระวจนะของพระเจ้าก็คือความจริง ไม่ว่าพระองค์ตรัสพระวจนะมากมายเพียงใดและไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นละเอียดแค่ไหน พระวจนะของพระเจ้าก็ไม่ได้ตรัสไปโดยเปล่าประโยชน์ หากพระองค์ทรงเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งประโยค นั่นก็เพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา หากพระองค์ทรงตัดทิ้งไปหนึ่งประโยค ผู้คนจะไม่เข้าใจได้ดีนัก และซาตานจะหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้ได้ง่ายขึ้น ผู้คนส่วนมากมีขีดความสามารถต่ำ และพวกเขาก็ไม่สามารถจับความเข้าใจพระวจนะได้จนกว่าพระเจ้าจะทรงขยายความและตรัสโดยละเอียด ผู้คนล้วนด้านชาและหัวทึบ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ควรตัดทิ้งแม้เพียงประโยคเดียว หากแง่มุมใดไม่ได้ถูกกล่าวถึงโดยละเอียดถี่ถ้วน ผู้คนย่อมจะไม่เข้าใจแง่มุมนั้น—เจ้าอาจจะเข้าใจ แต่คนอื่นไม่ กลุ่มของพวกเจ้าอาจจะเข้าใจ แต่อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่เข้าใจ มีบรรดาผู้ที่ไม่เข้าใจอยู่เสมอ พระเจ้ามิได้ตรัสต่อเจ้าเพียงผู้เดียว พระองค์ตรัสต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง ต่อทุกคนที่มีหูและสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าตรัสได้ ทัศนคติของเจ้าคับแคบเกินไปใช่หรือไม่? ผู้คนสามารถเห็นได้เฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเท่านั้น พลางคิดว่า “ฉันเข้าใจประโยคนี้ ทำไมพระเจ้ายังต้องทรงอธิบายรายละเอียดมากมายอยู่อีก?” หากพระวจนะนั้นเรียบง่ายเกินไป บรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถดีจะเข้าใจ แต่ผู้ที่มีขีดความสามารถปานกลางจะไม่สามารถเข้าใจได้ หากพระเจ้าทรงขยายความเพิ่มสองสามประโยคเพื่อผู้คนที่มีขีดความสามารถปานกลาง เจ้าก็ไม่เห็นด้วย การนั้นหมายความว่าเจ้าเป็นใครบางคนที่ยอมรับความจริงอย่างนั้นหรือ? การคัดค้านเหล่านี้ของเจ้ามาจากไหน? สิ่งนี้คืออุปนิสัยอันโอหังของซาตานมิใช่หรือ? ในยามที่พระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของเจ้าแม้เพียงเล็กน้อย เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยเล็กน้อยถึงทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น—ซึ่งคือการหวงแหน การเข้าใจ การเอาใจใส่ การเป็นห่วงกังวล และการเฝ้าดูแลผู้คนโดยทั่วถึง—เจ้าก็คิดว่าพระเจ้าทรงยืดเยื้อ คิดว่าพระองค์ตรัสมากเกินไป ทรงเสียเวลากับเรื่องสัพเพเหระ คิดว่าพระองค์ไม่ทรงควรทำเช่นนั้น สิ่งนี้เองคือการที่เจ้าเชื่อในมโนคติอันหลงผิดของตนเอง นี่คือภาพจำที่เจ้ามีต่อพระเจ้า คือความรู้ที่เจ้ามีต่อพระองค์ นี่คือวิธีที่เจ้ามองดูพระองค์ ดังนั้นความเชื่อของเจ้าที่ว่า “ทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำล้วนถูกต้อง พระเจ้าทรงเข้าใจมนุษย์มากที่สุด” จึงเป็นเพียงคำสอนใช่หรือไม่? สำหรับเจ้า คำพูดนี้ได้กลายมาเป็นคำสอน ความรู้ที่เจ้ามีต่อพระเจ้าไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผย ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย ที่มากกว่านั้นคือ นั่นไม่ใช่วิธีที่เจ้าปฏิบัติตนต่อพระเจ้า เจ้าปฏิบัติต่อพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง ตามอุปนิสัยอันโอหังของเจ้า เจ้าคือใครบางคนที่ยอมรับความจริงใช่หรือไม่? เจ้าไม่ใช่คนที่ยอมรับความจริง อีกทั้งไม่ใช่คนที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า เมื่อเผชิญกับพระวจนะและสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ เจ้าก็สามารถตัดสิน พร่ำบ่น คาดเดา กังขา ปฏิเสธ ขืนต้าน และมีตัวเลือกต่างๆ เจ้าคือผู้เชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าใช่หรือไม่? หากเจ้าไม่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ เจ้าจะได้รับความจริงหรือไม่? หากนี่คือวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้า ต่อพระราชกิจของพระองค์ ต่อความจริง ต่อทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และต่อทุกสิ่งที่มาจากพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรอดของพระองค์ได้หรือไม่? หากเจ้าไม่สามารถได้รับความจริง เจ้าย่อมจะอยู่ภายใต้การลงโทษ
ในการเข้าหาพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า จงอย่าวิเคราะห์หรือพินิจพิเคราะห์พระวจนะเหล่านั้น อย่าทำตัวฉลาดแกมโกง อย่ากังขา และอย่าเค้นสมองของเจ้า จงปฏิบัติต่อพระวจนะเหล่านี้อย่างที่เจ้าจะปฏิบัติต่อความจริง—นี่คือวิธีเข้าหาที่ฉลาดที่สุด ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าพูดกับตนเองว่า “ฉันเป็นคนสมัยใหม่ ฉันมีความรู้และมีการศึกษาดี ฉันรู้หลักไวยากรณ์ ฉันร่ำเรียนภาควิชานั้นภาควิชานี้มา ฉันเชี่ยวชาญในทักษะหรือวิชาชีพบางอย่าง ฉันเข้าใจ ฉันจับใจความได้ พระเจ้าทรงไม่รู้สิ่งนี้ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงเข้าใจมวลมนุษย์ทั้งปวง พระองค์ก็ไม่ทรงมีสิ่งใดอื่นนอกจากความจริง พระองค์ไม่ทรงเข้าใจเรื่องทางวิชาชีพ พระองค์ไม่ทรงถนัดเรื่องใดเลย พระองค์รู้เพียงวิธีแสดงความจริงเท่านั้น” นั่นก็ถูกต้อง พระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงได้เพียงอย่างเดียว และพระองค์ก็ทรงมองทะลุได้ทุกอย่างเพราะพระองค์คือความจริง พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงควบคุมโชคชะตาของเจ้า ไม่มีผู้ใดสามารถหนีพ้นอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไปได้ ผู้คนควรมีท่าทีเช่นไรต่อพระวจนะของพระเจ้า? พวกเขาควรเชื่อฟัง นบนอบ ยอมรับ และปฏิบัติตามด้วยการเชื่อฟังอย่างสุดความสามารถ—นี่คือท่าทีที่ผู้คนควรมี ไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าพินิจพิเคราะห์ เราได้กล่าวคำพูดมากมายกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าสามารถยอมรับได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าไม่ยอมรับคำพูดใดก็ตามที่ไม่ตรงตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์—เจ้าขืนต้านและโต้แย้งคำพูดเหล่านั้นอยู่ในหัวใจของเจ้าเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้ายอมรับเพียงคำพูดที่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และปฏิเสธคำพูดที่ไม่ตรงตามนั้น ในหนทางนี้เจ้าจะได้รับความจริงหรือ? คำพูดทั้งหลายที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์นั้นไม่ใช่ความจริงจริงหรือ? เจ้ากล้ามั่นใจเรื่องนี้หรือไม่? เช่นนั้นแล้วเราต้องถามเจ้าว่า เจ้าเข้าใจความจริงมากเพียงใด? เจ้าครองความจริงใด? จงแบ่งปันคำพยานของความจริงทั้งปวงที่เจ้าเข้าใจ แล้วให้ทุกคนตัดสินเถิดว่าคำพยานเหล่านั้นเป็นความจริงหรือไม่ หากเจ้ายอมรับได้ว่าเจ้าไม่มีความจริง นั่นก็หมายความว่าเจ้ามีสำนึก หากเจ้ามีสำนึกโดยแท้จริง เจ้าจะยังกล้าสรุปหรือไม่ว่าคำพูดที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์นั้นไม่ใช่ความจริง? เจ้ายังกล้าเดิมพันกับพระเจ้าอยู่หรือไม่? ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง จงอย่าทำตัวโอหังและคิดว่าตนเองถูกมากเกินไป อย่าคิดยกย่องตนเองมากนัก เจ้าไม่รู้จักความจริงเลย เจ้าจะไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าได้โดยสมบูรณ์แม้เพียงประโยคเดียวในชีวิตนี้ และเจ้าจะไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ชีวิตตามความจริงเหล่านั้นได้ในชีวิตของเจ้า หากเจ้าสามารถเข้าใจและนำความจริงเหล่านั้นมาปฏิบัติได้สักส่วนหนึ่ง นั่นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว มนุษย์ช่างยากจนข้นแค้นและน่าเวทนายิ่งนัก—นี่คือความจริงของเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเขาช่างยากจนข้นแค้นและน่าเวทนา เหตุใดพวกเขาจึงยังโอหังและคิดว่าตนเองถูกเหลือเกิน? นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งน่าเวทนาและน่ารังเกียจ เราขอแนะนำให้ผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้าในหนทางที่เชื่อฟัง ละทิ้งมโนคติอันหลงผิดของพวกเขาทันทีที่สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น อีกทั้งปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าในฐานะความจริงและใคร่ครวญพระวจนะเหล่านั้นอย่างสุดความสามารถ แล้วจึงมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น บางทีพวกเขาอาจจะเข้าใจได้ว่าความจริงคืออะไร จงอย่าใส่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าจะละเอียดและเยิ่นเย้อเพียงไหน หากเจ้าสามารถเข้าใจและมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น และเป็นพยานยืนยันให้พระวจนะเหล่านั้นได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าถึงจะถูกมองว่ามีความสามารถ สิ่งนี้คล้ายกับการที่ผู้คนมักจะเจาะจงอาหารที่พวกเขารับประทาน คิดไปว่าบางอย่างรสชาติดี และบางอย่างรสชาติไม่ดี แล้วเกิดอะไรขึ้นจากการนี้? อาหารที่รสชาติดีไม่จำเป็นจะต้องมีโภชนาการสมบูรณ์ และอาหารที่เจ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นจะต้องมีโภชนาการน้อยกว่า อาหารเหล่านั้นอาจมีโภชนาการมากกว่าและดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ผู้คนเกิดความยากลำบากในการแยกแยะว่าสิ่งใดคือความจริงและสิ่งใดมิใช่ความจริง สิ่งใดมาจากพระเจ้า และสิ่งใดมาจากมนุษย์ หลังจากที่เข้าใจความจริงแล้วเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง พวกที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง หากเจ้ารู้ว่าตนเองขาดพร่องการรับรู้ เจ้าก็ควรคงไว้ซึ่งการทำตัวถ่อมใจ เรียบง่าย และแสวงหาความจริงให้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่คนฉลาดทำ หากเจ้าไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่ายังคงแบกความโอหังที่มืดบอด กล้าตัดสินทุกอย่างและวิพากษ์วิจารณ์ใครก็ตามที่กล่าวความจริงนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไร้สำนึกโดยสิ้นเชิง พวกเจ้าไม่เห็นด้วยหรอกหรือว่าเป็นเช่นนี้? ไม่ว่าคนเราทำสิ่งใด พวกเขาก็ต้องไม่แยกเขี้ยวยิงฟันเมื่อเผชิญหน้ากับความจริง พวกเขาต้องรักษาหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเอาไว้และแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง—คนเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นคนปราดเปรื่องและมีปัญญาอย่างแท้จริง
บทตัดตอน 8
ปัญหาของการบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้ามีธรรมชาติเช่นใด? หากเจ้าเปลี่ยนแปลงถ้อยดำรัสของพระเจ้าและบิดเบือนพระวจนะของพระองค์ ก็เท่ากับเป็นการต่อต้านและการหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ร้ายแรงที่สุด มีเพียงพวกของซาตานเท่านั้นที่สามารถทำการชั่วเช่นนี้ได้ และพวกเขาก็เหมือนกับหัวหน้าทูตสวรรค์ หัวหน้าทูตสวรรค์กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งได้ และทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์—ข้าพระองค์ก็ทำได้เช่นกัน พระองค์ได้ทรงขึ้นครองบัลลังก์ และข้าพระองค์ก็จะทำเช่นนั้นเช่นกัน พระองค์ทรงปกครองบรรดาประชาชาติ และข้าพระองค์ก็เช่นกัน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ และข้าพระองค์ก็บริหารจัดการพวกเขา!” นี่คือความโอหังของหัวหน้าทูตสวรรค์ ปราศจากสำนึกโดยสิ้นเชิง ธรรมชาติของการบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าก็เหมือนกับการกระทำของหัวหน้าทูตสวรรค์ ดังนั้นการบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นการต่อต้านพระเจ้าโดยตรงและเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า ผู้คนที่บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าคือผู้ที่ต่อต้านพระองค์มากที่สุด และพวกเขาก็ล่วงเกินอุปนิสัยของพระองค์โดยตรง พระเจ้าไม่ทรงเกลียดชังผู้ใดมากไปกว่าผู้ที่บิดเบือนพระวจนะของพระองค์ อาจกล่าวได้ว่าการบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าคือการหมิ่นประมาทพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้ นอกเหนือจากผู้คนที่บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า นั่นคือเมื่อผู้คนกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงการจัดเตรียมงานโดยพลการ แล้วก็ส่งต่อไปยังคริสตจักรเพื่อชักพาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงผิด เป็นการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร นี่ก็เป็นการสำแดงของการต่อต้านพระเจ้าโดยตรง และเป็นสิ่งที่ล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้าเช่นกัน บางคนไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย พวกเขาเชื่อว่าการจัดเตรียมงานนั้นเขียนขึ้นโดยมนุษย์ มาจากมนุษย์ และส่วนใดก็ตามที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของคนเหล่านี้ พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงตามใจชอบ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เป็นการละเมิดกฎการปกครองของพระเจ้าข้อใด? (7. “ในงานและเรื่องราวทั้งหลายของคริสตจักร นอกเหนือไปจากการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว จงปฏิบัติตามคำแนะนำทั้งหลายของมนุษย์ผู้ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในทุกสิ่ง แม้แต่การละเมิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้ จงเด็ดขาดในการปฏิบัติตามของเจ้า และจงอย่าวิเคราะห์ว่าถูกหรือผิด สิ่งที่ถูกหรือผิดไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า เจ้าต้องให้ตัวเจ้าเองกังวลอยู่กับการเชื่อฟังอย่างเบ็ดเสร็จเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง)) สิ่งต่างๆ ที่ละเมิดกฎการปกครองคือสิ่งที่ล่วงเกินอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเจ้าไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งหรอกหรือ? บางคนมีท่าทีที่อวดดีอย่างยิ่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน พวกเขาเชื่อว่า “เบื้องบนทำการจัดการเตรียมงาน และพวกเราก็ทำงานในคริสตจักร คำพูดและกิจการบางอย่างสามารถนำไปปฏิบัติอย่างยืดหยุ่นได้ มันขึ้นอยู่กับพวกเราว่าจะทำอย่างไรโดยเฉพาะ เบื้องบนเพียงพูดและทำการจัดการเตรียมงาน พวกเราคือผู้ที่ลงมือปฏิบัติอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง ดังนั้น หลังจากที่เบื้องบนมอบหมายงานให้พวกเราแล้ว พวกเราก็สามารถทำตามใจชอบ จะทำอย่างไรก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะแทรกแซง” หลักธรรมที่พวกเขาปฏิบัติตามมีดังนี้ หากพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดถูกต้องหรือหากพวกเขาชอบสิ่งนั้น พวกเขาก็ยอมรับ หากพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือพวกเขาไม่ชอบสิ่งนั้น แม้ว่าสิ่งนั้นจะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง พวกเขาก็ไม่ยอมรับ หลักธรรมและมาตรฐานของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขาเชื่อ หากสิ่งใดไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็เชื่อว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่พวกเขาจะปฏิเสธที่จะยอมรับเท่านั้น แต่พวกเขายังต่อต้าน และกลายเป็นปฏิปักษ์กับผู้อื่นอย่างไม่อาจประนีประนอมได้ หากคำพูดหรือการจัดการเตรียมการของเบื้องบนไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาย่อมต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง และจะส่งต่อก็ต่อเมื่อได้รับการเห็นชอบจากพวกเขาแล้วเท่านั้น หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากพวกเขา ก็ไม่มีใครสามารถส่งต่อได้ ในขณะที่ในพื้นที่อื่นๆ การจัดเตรียมงานของเบื้องบนถูกส่งต่อไปตามที่เป็นอยู่ คนเหล่านี้กลับส่งต่อการจัดเตรียมงานฉบับที่พวกเขาแก้ไขแล้วไปยังคริสตจักรภายใต้การดูแลของพวกเขา คนเช่นนี้ปรารถนาที่จะผลักพระเจ้าไปไว้ข้างๆ เสมอ พวกเขากระตือรือร้นที่จะทำให้ทุกคนเชื่อในพวกเขา ติดตามพวกเขา และนบนอบพวกเขา ในใจของพวกเขา มีบางแง่มุมที่พระเจ้าเทียบกับพวกเขาไม่ได้ พวกเขาควรเป็นพระเจ้าเสียเอง และผู้อื่นควรเชื่อพวกเขา นี่คือธรรมชาติของเรื่องนี้ หากพวกเจ้าเข้าใจเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าจะยังคงร้องไห้เมื่อพวกเขาถูกปลดหรือไม่? พวกเจ้าจะยังคงรู้สึกสงสารพวกเขาหรือไม่? พวกเจ้าจะยังคงคิดว่า “เบื้องบนกระทำการอย่างไม่เหมาะสม พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาปลดคนที่ทนทุกข์มามากมายขนาดนั้นได้อย่างไร?” ผู้ที่พูดเช่นนี้คือผู้ที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะ พวกเขากำลังทนทุกข์เพื่อใคร? เพื่อพระเจ้าหรือไม่? เพื่องานของคริสตจักรหรือเปล่า? พวกเขากำลังทนทุกข์เพื่อทำให้สถานะของตนมั่นคง พวกเขากำลังทนทุกข์เพื่อสถาปนาอาณาจักรอิสระขึ้นมา พวกเขากำลังรับใช้พระเจ้าอยู่หรือไม่? พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนอยู่หรือเปล่า? พวกเขาจงรักภักดีและนบนอบพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตานอย่างแท้จริง และเมื่อพวกเขาทำงาน ก็เป็นพวกมารที่ครอบงำ พวกเขาทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง! บางคนกล่าวว่า “พวกเขาได้สู้ทนความทุกข์อย่างใหญ่หลวง ต้องใช้ความพยายามไม่น้อยในการเขียนสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดที่พวกเขาส่งต่อไปยังคริสตจักร” ถ้าเช่นนั้น เราขอถามพวกเจ้าว่า สิ่งที่พวกเขาเขียนนั้นเจริญใจผู้คนหรือไม่? เป้าหมายที่พวกเขาต้องการบรรลุคืออะไรกันแน่? เจ้าสามารถแยกแยะเรื่องเหล่านี้ได้หรือไม่? ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากเจ้าถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิด? เจ้าเคยพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่? บางคนรู้สึกสงสารคนเช่นนี้ โดยกล่าวว่า “พวกเขาได้ทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเขียนสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ดังนั้นพระนิเวศของพระเจ้าควรให้อภัยพวกเขาหากสิ่งที่พวกเขาเขียนมีการเบี่ยงเบนหรือการบิดเบือนอยู่บ้าง” ปัญหาของการที่พวกเขาพูดเช่นนี้คืออะไร? คนเราจะสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าเพียงเพราะสู้ทนความทุกข์อย่างใหญ่หลวงเท่านั้นจริงหรือ? คนเหล่านั้นกำลังทนทุกข์เพื่อใคร? หากพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์เพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แต่กลับเพื่อให้ตนได้รับสถานะ ไม่ว่าพวกเขาจะทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงเพียงใด นั่นจะมีความสำคัญหรือมีคุณค่าหรือไม่? ความทุกข์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เห็นแก่ตัวและต่ำช้า เลวร้ายและไร้ยางอาย! ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากศัตรูของพระคริสต์ประเภทนี้ไม่ถูกปลด? ผู้คนจะก่อกวนงานของคริสตจักรตามใจชอบและกลายเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าก่อนที่พวกเขาจะทันรู้ตัวเสียอีก นี่คือการขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? คนเหล่านั้นสู้ทนความทุกข์บางอย่างในงานของตนเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนเอง แต่นั่นทำให้พวกเขามีสิทธิ์ในการต่อต้านพระเจ้าหรือ? แล้วพวกเขาควรต่อต้านพระองค์และกบฏต่อพระองค์หรือ? พวกเขาควรทำตามอำเภอใจอย่างไม่ยั้งคิด และปฏิเสธที่จะนบนอบพระองค์เช่นนั้นหรือ? พวกเขาสามารถทำตามที่ตนต้องการได้หรือ? พวกเขาไม่มีความจริง แต่พวกเขากลับไม่นบนอบพระเจ้า และเพียงต้องการกระทำการอย่างมืดบอด โดยคิดว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสมเหตุสมผลและถูกต้อง พวกเขาเป็นมารอย่างแท้จริง และพวกเขาคือข้ารับใช้ของซาตานที่แท้จริงซึ่งมาเพื่อขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร! หากเจ้าไม่เพียงแต่ไม่สามารถแยกแยะผู้คนเช่นนี้ได้ แต่ยังเห็นอกเห็นใจพวกเขา หลั่งน้ำตาเพื่อพวกเขา และออกมาปกป้องพวกเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนไร้ค่าเช่นกัน เจ้าเป็นคนเลอะเลือนและโง่เขลา เจ้าอาจคิดว่า “เบื้องบนไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาเลย พวกเขาทนทุกข์มามากมายและเบื้องบนก็แค่ปลดพวกเขาเช่นนั้น” หากเจ้าพูดเช่นนี้เจ้าก็เป็นข้ารับใช้ของซาตานเช่นกันและเจ้าก็เป็นมาร มีผู้คนมากมายที่ดำเนินชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน ไม่เคยเปิดโปงหรือรายงานผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ จนกระทั่งวันหนึ่งศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งที่หายนะและในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่านี่เป็นกรณีที่ศัตรูของพระคริสต์ชักพาผู้คนให้หลงผิดอย่างแท้จริง บางคนถึงกับมีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยคิดว่า “พระเจ้าทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ควรรู้ว่ามีศัตรูของพระคริสต์กี่คนในคริสตจักร มีความจำเป็นใดที่เราจะต้องรายงานพวกเขาด้วยหรือ?” ผู้คนที่พูดเช่นนี้คือพวกที่เหลวไหลไม่ใช่หรือ? บัดนี้ พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจในความเป็นมนุษย์ และมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้นั้นก็เป็นมนุษย์ที่ปกติ ดังนั้นหากพวกเขาไม่ได้สัมผัสกับเรื่องราวของคริสตจักรโดยตรง พวกเขาจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร? หลายครั้ง เมื่อมีเหตุการณ์เกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ ปัญหาจะได้รับการแก้ไขก็ต่อเมื่อมีบางคนรายงานและเปิดโปงพวกเขา และเบื้องบนก็สั่งให้มีการสืบสวน พระราชกิจและการทรงชี้แนะผู้คนของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินั้นไม่ได้เหนือธรรมชาติเลย—นั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่ง—แต่พระองค์ทรงพิชิต เอาชนะ และทำให้ซาตานอับอาย ด้วยวิธีนี้เท่านั้น มหิทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์จึงถูกเผยออกมาได้ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พระองค์ทรงจัดวางผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรสามารถเรียนรู้บทเรียน และได้รับวิจารณญาณแยกแยะรวมถึงความเข้าใจเชิงลึก เมื่อผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้รับวิจารณญาณแยกแยะแล้ว ผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และคนชั่วจะไม่สามารถรอดพ้นจาก “เงื้อมมือกฎหมาย” ไปได้ พระเจ้าจะทรงใช้ข้อเท็จจริงเพื่อเผยพวกเขาออกมาและทำให้ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรทั้งหมดมองเห็นและเข้าใจอย่างชัดเจน ในอดีต คนชั่วและศัตรูของพระคริสต์มากมายถูกเผยและกำจัดออกไปไม่ใช่หรือ? เจ้ายังไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกหรือ? เช่นนั้นเจ้าก็เลอะเลือนเกินไปแล้ว!
แม้บางคนจะไม่เข้าใจการจัดการเตรียมงานบางส่วนของพระนิเวศของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังสามารถนบนอบได้ โดยกล่าวว่า “ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและมีความหมาย หากพวกเราไม่เข้าใจการจัดการเตรียมงานอย่างครบถ้วน พวกเราก็ควรนบนอบเสียก่อน พวกเราไม่สามารถตัดสินพระเจ้าได้! พวกเรายังควรเชื่อฟังการจัดการเตรียมงานต่อไป แม้จะไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเรา เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ และจิตใจของมนุษย์จะสามารถจับใจความเข้าใจอะไรได้? พวกเราควรนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าเท่านั้น แล้ววันหนึ่งพวกเราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แม้เมื่อถึงวันนั้นแล้ว พวกเราจะยังคงไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ พวกเราก็ควรนบนอบอย่างเต็มใจอยู่ดี พวกเราเป็นมนุษย์ ดังนั้นพวกเราควรนบนอบพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พวกเราควรทำ” แต่บางคนแตกต่างออกไป และเมื่อพวกเขาเห็นการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็จะศึกษาก่อน โดยกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าตรัส และนี่คือข้อกำหนดของพระองค์ ข้อแรกดูใช้ได้ แต่ข้อที่สองไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร ฉันจะแก้ไขเสียเลย” ผู้คนเช่นนี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? เจ้าเปลี่ยนแปลงการจัดการเตรียมงานตามใจชอบ แล้วปัญหานี้มีธรรมชาติเป็นเช่นใด? นี่คือการขัดขวางและก่อกวนงานของพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่หรือ? สิ่งที่เจ้ามีคือความจริงหรือไม่? หากเจ้ามีความจริงอย่างแท้จริง แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่แสดงออกมา? เหตุใดเจ้าจึงดัดแปลงพระวจนะของพระเจ้า? เจ้าเผยอุปนิสัยใดในการทำเช่นนี้? เจ้าเผยความโอหังและความคิดว่าตนเองถูก และการปฏิเสธที่จะนบนอบผู้ใด เจ้ากล้าเลือกเฟ้นแม้แต่การจัดการเตรียมการของพระเจ้า นี่แสดงให้เห็นว่ากรอบความคิดและอุปนิสัยของเจ้ามีปัญหาร้ายแรง ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คนเช่นนี้ ประการแรก ผู้คนเช่นนี้ไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาได้ แต่พวกเขากลับเชื่อว่าตนเข้าใจความจริงและจะไม่เชื่อฟังผู้ใดเลย ประการที่สอง เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงาน พวกเขาก็ไม่เอ่ยเรื่องนี้กับพระนิเวศของพระเจ้า แต่กลับเผยแพร่เรื่องนี้ไปทั่ว ประการที่สาม เมื่อพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและงานของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่เพียงพวกเขาจะไม่แก้ไขเท่านั้น พวกเขายังพยายามยุยงให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และลุกขึ้นต่อสู้กับพระองค์ เพื่อบีบบังคับให้พระองค์ทรงกระทำตามความปรารถนาของพวกเขาและทำให้พระองค์ทรงยอมจำนนในที่สุด จากพฤติกรรมสามประการนี้ คนเราย่อมสามารถแน่ใจได้ว่าผู้คนเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใด พวกเขาเป็นผู้ที่แสวงหาความจริงและนบนอบพระเจ้าหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน พวกเขาไม่แสวงหาความจริงแม้แต่น้อย และพวกเขายังรู้สึกขุ่นเคืองพระเจ้าอีกด้วย พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ ทำให้ทุกคนเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์และลุกขึ้นต่อสู้และต่อต้านพระองค์ เพื่อพิจารณาตามนี้ ก็สามารถระบุลักษณะได้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริงและโดยสมบูรณ์ ควรจัดการกับคนเช่นนี้อย่างไร? ควรช่วยเหลือพวกเขาด้วยความรักหรือไม่? ไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง แล้วการตัดแต่งพวกเขาเล่า? ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เพราะพวกเขาไม่ยอมรับความจริง หากผู้ที่เชื่อในพระเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงได้ ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรงและเป็นเรื่องเลวร้าย! หากเจ้ามองเรื่องนี้ง่ายเกินไปและเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งเจ้าย่อมจะล่วงเกินพระเจ้า เราเคยเห็นคนเช่นนี้มาบ้างแล้ว และแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ถูกเอาตัวออกไป แต่จุดจบของพวกเขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วจริงๆ นั่นคือ พวกเขาจะถูกกำจัดออกไป
อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และการยำเกรงพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ผู้คนต้องเกรงกลัวพระเจ้า พวกเขาต้องทำทุกสิ่งด้วยความระมัดระวังและใส่ใจ เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ให้ตนเอง และไม่ใช่แค่ทำทุกอย่างตามที่ตนต้องการ ตัวอย่างเช่น เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าปลดผู้นำเทียมเท็จบางคน บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาทำอะไรไปบ้าง และถึงแม้พวกเราจะรู้ พวกเราก็ไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่พวกเขาทำได้อย่างถ่องแท้ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง และจะมีสักวันที่พระองค์จะทรงทำให้สิ่งต่างๆ ชัดเจนและทรงอนุญาตให้พวกเราเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์” หากเจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงทำเช่นนี้ แต่เจ้ายังสามารถนบนอบได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนที่ค่อนข้างเลื่อมใสศรัทธา และอาจกล่าวได้ว่าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง หากเจ้าไม่เข้าใจ ถึงกับตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้าและก่อกวนพระราชกิจของคริสตจักร เช่นนั้นเจ้าก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว เมื่อใดก็ตามที่คริสตจักรปลดผู้นำเทียมเท็จและขับไล่ศัตรูของพระคริสต์บางคน ก็มักจะมีผู้ติดตามที่ภักดีอย่างไม่ลืมหูลืมตาของพวกเขาลุกขึ้นมาแก้ต่างให้พวกเขาเสมอ ตัดสินพระเจ้าอย่างเปิดเผยเพราะเรื่องนี้ โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ทรงชอบธรรม และทูลขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เผยข้อเท็จจริง สำหรับคนเช่นนี้ ไม่ว่าคุณงามความดีในการประกาศข่าวประเสริฐและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น การทรยศเพียงครั้งเดียวจะกำหนดชะตากรรมของเจ้าไปตลอดกาล เจ้าต้องมองเห็นแก่นแท้ของการทรยศอย่างชัดเจน จงอย่าคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อาจกล่าวได้ว่าพวกเจ้าทุกคนได้ต่อต้านพระเจ้า พวกเจ้าทุกคนได้กระทำผิดไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของเรื่องที่เราเพิ่งพูดถึงนั้นแตกต่างออกไป เรื่องนี้ร้ายแรงมากและถือเป็นการตัดสินและการต่อต้านพระเจ้าอย่างเปิดเผย บางคนชอบเขียนสิ่งต่างๆ และจดหมาย และส่งต่อไปทั่วคริสตจักรอย่างไม่ยั้งคิดเสมอ เรื่องนี้สอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่? สิ่งที่พวกเขาเขียนเป็นคำพยานที่แท้จริงหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ชีวิตหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เจริญใจประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่? หากไม่ใช่ แต่คนเหล่านี้ยังคงส่งต่อไปทั่วคริสตจักรอย่างไม่ยั้งคิด เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็กำลังชักพาผู้คนให้หลงผิด กำลังเผยแพร่ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ กำลังบิดเบือนข้อเท็จจริง กลับดำเป็นขาว และพูดจาเหลวไหลไร้สาระทั้งเพ บางคนถึงกับต้องการเขียนหนังสือของตนเอง จากนั้นก็ส่งไปยังคริสตจักรเพื่อให้มีชื่อเสียง ผู้คนยังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนอันลึกซึ้งจากตัวอย่างของเปาโลอีกหรือ? เจ้ายังต้องการเขียนหนังสือ เขียน “อัตชีวประวัติคนดัง” และเขียน “บทสรุปแห่งความจริง” เจ้าไม่มีสำนึกเลย! หากเจ้ามีความสามารถ เช่นนั้นจงเขียนคำพยานจากประสบการณ์หลายๆ ชิ้น ในช่วงไม่กี่ปีที่เจ้าได้เชื่อในพระเจ้า เจ้ายังผ่านการพิพากษาและความทุกข์ไม่มากพออีกหรือ? เจ้ายังไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่งอีกหรือ? ผู้คนเข้าใจอะไรบ้าง? คำพูดและคำสอนที่เจ้าพูดไม่สามารถแม้แต่จะแก้ไขปัญหาของตนเอง แต่เจ้าก็ยังต้องการที่จะจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่น เจ้าไม่มีความตระหนักรู้ในตนเองเลย! เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงพิมพ์และแจกจ่ายหนังสือในมาตรฐานเดียวกัน? เพราะหนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นหนังสือพระวจนะของพระเจ้า และที่เหลือเป็นหนังสือคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นบวกซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจำเป็นต้องมี ดังนั้นหนังสือที่พระนิเวศของพระเจ้าตีพิมพ์ออกมาอย่างสม่ำเสมอจึงจำเป็นต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทั้งสิ้น การนี้ก็ทำภายใต้การทรงชี้แนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน พวกเจ้าทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหนังสือที่พระนิเวศของพระเจ้าพิมพ์แจกจ่ายในมาตรฐานเดียวกันนั้นมีคุณค่าและความจำเป็นอย่างยิ่ง พวกเจ้ายังรู้ดีอีกด้วยว่าพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์อะไรจากการฟังคำเทศนา ดังนั้นหากพวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะสิ่งที่ถูกเผยแพร่โดยผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์แล้ว พวกเจ้าก็จะสามารถแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง แต่ด้วยวุฒิภาวะในปัจจุบันของพวกเจ้า พวกเจ้าเข้าใจเพียงคำสอนมากมายเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า และความจริงยังไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้า มีเรื่องสำคัญบางเรื่องที่พวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ทั้งยังดูคลุมเครือและเลือนรางสำหรับพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าก็ยังไม่มีความเป็นจริงความจริงใดๆ และยังไม่ค่อยมีวิจารณญาณแยกแยะเท่าไรนัก ไม่ว่าใครบางคนในคริสตจักรจะประพฤติหรือพูดอย่างไร พวกเจ้าก็ขาดวิจารณญาณแยกแยะที่ชัดเจนในเรื่องนั้น บางคนเชื่อว่าตราบใดที่คนเราพูดจาอย่างฉะฉาน พวกเขาก็สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้ และพวกที่พูดจาไม่ฉะฉานย่อมไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ได้แม้ว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์ก็ตาม พวกเขาคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่? พวกเขาผิดอย่างมหันต์ หากคนเรามีคำพยานจากประสบการณ์ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรย่อมสัมพันธ์กับชีวิตจริง และหากคนเราไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ สิ่งที่พวกเขาพูดย่อมไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถพูดคำสอนได้ดีเพียงใดก็ตาม เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? การพูดคำพูดและคำสอนไม่แสดงให้เห็นว่าคนคนหนึ่งมีความเป็นจริงความจริง และแม้พวกเขาจะเข้าใจความจริงบ้างเล็กน้อย ความเข้าใจนี้ก็ยังค่อนข้างตื้นเขินและถูกจำกัด และพวกเขาไม่สามารถเขียนคำพยานจากประสบการณ์ได้เลย หากใครบางคนไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ แต่พวกเขายังคงพูดคำพูดและคำสอนและสั่งสอนผู้คนอย่างไม่ละอาย เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมกลายเป็นฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดไปแล้ว พวกเขาทำได้เพียงแค่แต่งคำพยานเทียมเท็จขึ้นมาเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด นี่คือการสาปแช่งโดยพระเจ้า การที่ใครบางคนสามารถเป็นพยานที่แท้จริงได้หรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีคารมคมคายหรือไม่ จงดูว่าเปโตรมีคำพยานจากประสบการณ์มากเพียงใด แต่เขาเขียนจดหมายกี่ฉบับ? เขาเขียนบทความเกี่ยวกับคำพยานกี่บทความ? อาจจะมีเพียงไม่กี่บทความ แต่พระเจ้าทรงเห็นชอบว่าเปโตรเป็นบุคคลที่รู้จักพระองค์ดีที่สุด และเป็นผู้ที่รักพระองค์อย่างแท้จริง หากเจ้ามีคำพยานจากประสบการณ์อย่างแท้จริง เจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอนและจะกลายเป็นคนที่ประพฤติตัวดีขึ้นมาก เจ้าจะไม่ทำสิ่งที่กระตือรือร้นเหล่านั้น และไม่ทำสิ่งที่เจ้าคิดว่าดีอีกต่อไป เมื่อเจ้าตระหนักว่ามนุษย์ไร้ความสำคัญ ยากจน และน่าสมเพชเพียงใด เจ้าจะไม่กล้ากระทำการตามอำเภอใจ หรือเขียนหนังสือหรืออัตชีวประวัติ ทุกคนที่ปรารถนาจะเขียนหนังสือหรืออัตชีวประวัติ หรือสร้างความมีหน้ามีตาของตนขึ้นมาในนามของการสร้างคุณความดีบางอย่างล้วนเป็นคนโอหัง ทะนงตน และทะเยอทะยานซึ่งประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป พวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และชอบที่จะทำตามเจตจำนงของตนเองในการกระทำของพวกเขา ผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงล้วนให้ความสำคัญกับการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี การเข้าใจความจริง และการกระทำตามหลักธรรม พวกเขาคิดว่าการทำหน้าที่ของตนให้ดี การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย การเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และการมีคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริงนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาเช่นนี้ได้คือคนที่ฉลาดที่สุดและมีสำนึกที่สุด
บทตัดตอน 9
สำหรับโนอาห์ อับราฮัม และโยบผู้ซึ่งได้รับการจารึกไว้ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ความเป็นมนุษย์ของพวกเขามีลักษณะอย่างไร? พวกเขามีลักษณะใดของความเป็นมนุษย์ที่ปกติซึ่งทำให้พระเจ้าทรงมองว่าพวกเขาเป็นที่ยอมรับได้? (พวกเขามีมโนธรรมและสำนึกเป็นอย่างยิ่ง) นั่นถูกต้องทั้งหมด โยบมีอายุยืนยาวโดยที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสกับเขาด้วยพระองค์เองเลย และพระองค์ไม่ได้ทรงปรากฏให้เขาเห็นด้วยพระองค์เอง แต่โยบก็สามารถเข้าใจและรู้สึกถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ท้ายที่สุด เขาได้สรุปเป็นถ้อยคำที่แสดงถึงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) คำพูดเหล่านี้หมายถึงอะไร? คำพูดเหล่านี้หมายถึง “พระยาห์เวห์คือพระเจ้า พระองค์คือพระผู้สร้าง พระองค์คือพระเจ้าของฉัน และเวลาที่พระองค์ตรัส ต่อให้ฉันเข้าใจเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่พระองค์ตรัส ฉันก็ต้องฟังและปฏิบัติตามที่พระองค์ตรัสอย่างเคร่งครัด” พระเจ้าทรงเห็นว่าโยบเป็นที่ยอมรับได้ก็เมื่อความรู้ของโยบที่เกี่ยวกับพระองค์มาถึงระดับนี้แล้วเท่านั้น โยบมีประสบการณ์เช่นนี้ และเขายังสามารถยอมรับและนบนอบบททดสอบที่พระเจ้าทรงให้เขาเผชิญอีกด้วย—ทั้งหมดนี้สัมฤทธิ์ได้ก็เพราะเขามีมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ไม่ว่าเขาได้เห็นพระเจ้าหรือไม่ ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงทำสิ่งใดแก่เขา และไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงทดสอบเขาหรือทรงปรากฏต่อเขาหรือไม่ เขาก็เชื่อเสมอว่า “พระยาห์เวห์คือพระเจ้าของฉัน และฉันต้องปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าทรงสั่งสอน และสิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย ไม่ว่าฉันเข้าใจเรื่องนั้นหรือไม่ก็ตาม ฉันต้องเดินตามหนทางของพระองค์ และฉันต้องฟังและนบนอบพระองค์” ในหนังสือของโยบมีการบันทึกว่าบรรดาบุตรของโยบมักจะจัดงานเลี้ยง และโยบไม่เคยที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงเหล่านั้นเลย แต่กลับจะอธิษฐานและทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวแทนพวกเขา ข้อเท็จจริงที่ว่าโยบมักจะทำเช่นนี้ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเขารู้อยู่ในหัวใจว่าพระเจ้าทรงเกลียดการที่มวลมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับการกิน ดื่ม และสรวลเสเฮฮา รวมถึงชีวิตที่เต็มไปด้วยงานเลี้ยงหรูหราของมวลมนุษย์ โยบเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่านี่คือความจริง และถึงแม้เขาไม่เคยได้ยินพระเจ้าตรัสเรื่องนี้โดยตรง แต่เขาก็รู้อยู่ในหัวใจของตนว่านี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนา เมื่อโยบรู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาสิ่งใด เขาจึงสามารถฟังและนบนอบพระองค์ได้ เขายึดถือสิ่งนี้ไว้ตลอดเวลา และเขาไม่เคยเข้าร่วมในการกิน ดื่ม และงานเลี้ยงเลย โยบเข้าใจความจริงหรือไม่? เขาไม่เข้าใจ เขาสามารถทำเช่นนี้ได้ก็เพราะเขามีมโนธรรมและสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นอกจากมโนธรรมและสำนึกแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดก็คือเขามีความเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง นั่นคือ เขาตระหนักรู้จากก้นบึ้งของหัวใจตนว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง และสิ่งที่พระผู้สร้างตรัสคือน้ำพระทัยของพระเจ้า ในบริบทปัจจุบัน นี่คือความจริง คือคำสั่งสอนสูงสุด และคือสิ่งที่มนุษย์ต้องยึดปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่มนุษย์สามารถเข้าใจได้ หรือพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเพียงบางส่วน มนุษย์ก็ควรยอมรับและปฏิบัติตามนั้น นี่เองคือสำนึกที่มนุษย์ทุกคนควรมี เมื่อมนุษย์มีสำนึกเช่นนี้ การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติ และการนบนอบพระวจนะของพระองค์ย่อมกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมากสำหรับเขา จะไม่มีความยากลำบากหรือความทุกข์ และยิ่งไม่มีอุปสรรคใดๆ ในการทำเช่นนั้น โยบเข้าใจความจริงมากพอหรือไม่? เขารู้จักพระเจ้าหรือไม่? เขามีความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น หรือแก่นนิสัยของพระองค์หรือไม่? เมื่อเทียบกับผู้คนในปัจจุบัน เขาไม่รู้จักพระองค์ และเขาเข้าใจน้อยมาก อย่างไรก็ตาม เขามีสิ่งหนึ่ง นั่นคือ เขานำทุกสิ่งที่เขาเข้าใจไปปฏิบัติ หลังจากเข้าใจบางสิ่งแล้ว เขาจะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม นี่คือด้านที่สูงส่งที่สุดของความเป็นมนุษย์ของเขา แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนมองข้ามมากที่สุดเช่นกัน ผู้คนย่อมคิดว่า “โยบแค่ละเว้นจากการจัดงานเลี้ยงมิใช่หรือ? เขาแค่ทำเครื่องบูชาเผาทั้งตัวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นประจำมิใช่หรือ? ในบริบทปัจจุบัน เขาก็แค่ละเว้นจากการลุ่มหลงในความสุขสบายทางเนื้อหนังเท่านั้นไม่ใช่หรือ?” สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่สำแดงออกมาภายนอกเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ามองดูที่แก่นนิสัยและความเป็นมนุษย์ของโยบที่อยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ เจ้าจะเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย และไม่ง่ายเลยที่จะบรรลุผลสำเร็จ หากคนธรรมดาคนหนึ่งต้องละเว้นจากการจัดงานเลี้ยงเพื่อประหยัดเงิน นี่ย่อมจะเป็นสิ่งที่สัมฤทธิ์ได้โดยง่าย แต่โยบเป็นคนมั่งคั่งในเวลานั้น มีคนร่ำรวยคนไหนที่จะเลือกไม่จัดงานเลี้ยง? เช่นนั้นแล้วทำไมโยบจึงสามารถละเว้นจากการจัดงานเลี้ยงได้? (เขารู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดสิ่งนั้น เขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้) ถูกต้อง ในการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วนั้น โยบปฏิบัติสิ่งใดเป็นพิเศษ? เขารู้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดนั้นล้วนเป็นสิ่งชั่ว เขาจึงปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และเขาจะไม่ทำสิ่งใดที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง เขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้เป็นอันขาดไม่ว่าคนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม นี่หมายความว่าโยบยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เหตุใดโยบจึงสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้? เขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัวใจของตน? เขาสามารถที่จะไม่ทำสิ่งชั่วเหล่านี้ได้อย่างไร? เขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า การมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหมายถึงอะไร? นั่นหมายความว่า ในหัวใจของเขามีความเกรงกลัวพระเจ้า และสามารถเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ และมีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเขา เขาหลบเลี่ยงความชั่วไม่ใช่เพราะกลัวว่าพระเจ้าจะทรงเห็น หรือพระเจ้าจะพิโรธกับเรื่องนี้ แต่ในหัวใจของเขา เขาเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่และเต็มใจที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย และเต็มใจที่จะยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ตอนนี้ทุกคนสามารถกล่าววลีที่ว่า “การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” แต่พวกเขาไม่รู้ว่าโยบทำให้ลุล่วงได้อย่างไร ที่จริงแล้ว โยบถือว่า “การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” เป็นเรื่องพื้นฐานและสำคัญที่สุดในการเชื่อในพระเจ้า ดังนั้น เขาจึงสามารถยึดมั่นในพระวจนะเหล่านี้ราวกับว่าเขากำลังยึดมั่นในพระบัญญัติ เขาฟังพระวจนะของพระเจ้าเพราะในหัวใจของเขาเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะดูธรรมดาแค่ไหนในสายตาของมนุษย์ ต่อให้พระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงพระวจนะธรรมดา แต่ในหัวใจของโยบ พระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าผู้สูงสุด เป็นพระวจนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด ต่อให้พระวจนะเหล่านี้เป็นพระวจนะที่ผู้คนดูแคลน แต่ตราบใดที่เป็นพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนก็ควรปฏิบัติตาม ต่อให้พวกเขาถูกเย้ยหยันหรือใส่ร้ายป้ายสี พวกเขาก็ต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ต่อให้พวกเขาเผชิญกับความทุกข์เข็ญหรือถูกข่มเหง พวกเขาก็ต้องยึดมั่นพระวจนะของพระองค์จนถึงปลายทาง และพวกเขาไม่สามารถละทิ้งพระวจนะเหล่านั้นได้ นี่คือความหมายของการยำเกรงพระเจ้า เจ้าต้องยึดมั่นในทุกพระวจนะที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้สำหรับมนุษย์ สำหรับสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงห้ามหรือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด หากเจ้าไม่รู้เรื่องก็แล้วไป แต่เมื่อเจ้ารู้เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรจะไม่ทำสิ่งเหล่านั้นโดยเด็ดขาด เจ้าควรยึดมั่นไว้ให้ได้ ต่อให้ครอบครัวของเจ้าปฏิเสธเจ้า พวกผู้ไม่มีความเชื่อเย้ยหยันเจ้า หรือพวกที่ใกล้ชิดกับเจ้าเยาะเย้ยและล้อเลียนเจ้าก็ตาม ทำไมเจ้าจึงจำเป็นต้องยึดมั่น? แรงจูงใจของเจ้าคืออะไร? อะไรคือหลักการของเจ้า? หลักการก็คือ “ฉันต้องยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ฉันจะมั่นคงในการทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าโปรด และแน่วแน่ในการละทิ้งสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทรงเกลียด หากฉันไม่รู้ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า นั่นก็แล้วไป แต่หากฉันรู้และเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วฉันจะแน่วแน่ในการฟังและนบนอบพระวจนะของพระองค์ ไม่มีใครจะสามารถขัดขวางฉันได้ และฉันจะไม่หวั่นไหวจนถึงกาลอวสาน” นี่คือความหมายของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว
เงื่อนไขเบื้องต้นที่ทำให้ผู้คนสามารถหลบเลี่ยงความชั่วได้คือการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร? โดยการเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ การเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่หมายถึงอะไร? หมายถึงการที่คนเราสามารถประเมินทุกสิ่งโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า และยึดพระวจนะของพระเจ้าเป็นมาตรฐานและเกณฑ์เพราะพวกเขารู้ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและพวกเขายำเกรงพระเจ้าอยู่ในหัวใจ นี่คือความหมายของการเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ พูดง่ายๆ ก็คือการเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่คือการมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า ระลึกถึงพระเจ้า การไม่ลืมตนเองในสิ่งต่างๆ ที่เจ้าทำ และการไม่พยายามทำในหนทางของตนเอง แต่ให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ควบคุมแทน ในทุกสิ่ง เจ้าพึงคิดว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า ฉันเป็นแค่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเล็กๆ ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้ว ฉันควรปล่อยมือจากทัศนะ ข้อเสนอแนะ และการตัดสินใจที่มาจากเจตจำนงของตนเอง และปล่อยให้พระเจ้าทรงจัดการ พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าของฉัน ศิลาของฉัน และแสงสว่างอันสุกใสที่นำทางฉันในทุกสิ่งที่ฉันทำ ฉันต้องทำสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่คำนึงถึงตัวเองก่อน” นี่คือความหมายของการมีพระเจ้าในหัวใจของตน เมื่อเจ้าต้องการทำบางสิ่งบางอย่าง จงอย่ากระทำแบบหุนหันพลันแล่นหรือประมาท จงคิดเสียก่อนว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่าอย่างไร พระเจ้าจะทรงเกลียดการกระทำของเจ้าหรือไม่ และการกระทำของเจ้าตรงตามเจตนารมณ์ของพระองค์หรือไม่ ในหัวใจของเจ้า จงถามตัวเอง คิด และไตร่ตรองเสียก่อน จงอย่าผลีผลาม การผลีผลามคือการหุนหันพลันแล่น และการถูกกระตุ้นโดยความหัวร้อนและเจตจำนงของมนุษย์ หากเจ้าผลีผลามและหุนหันพลันแล่นอยู่เสมอ นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นเวลาที่เจ้ากล่าวว่าเจ้าเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ คำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นคำพูดที่ว่างเปล่ามิใช่หรือ? ความเป็นจริงของเจ้าอยู่ที่ไหน? เจ้าไม่มีความเป็นจริง และเจ้าไม่สามารถเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ เจ้าควบคุมดูแลทุกสิ่งด้วยตัวเอง ทำตามเจตจำนงของตนตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นเมื่อเจ้ากล่าวว่าเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ก็ย่อมเป็นเรื่องไร้สาระไม่ใช่หรือ? เจ้ากำลังหลอกลวงผู้คนด้วยคำพูดเหล่านี้ การสำแดงอย่างเป็นรูปธรรมของคนคนหนึ่งที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าคืออะไร? คือการเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ การสำแดงอย่างเป็นรูปธรรมของการเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่คือการที่พระเจ้ามีที่สถิตอยู่ในหัวใจของคนเรา—ซึ่งเป็นที่ที่สำคัญที่สุด พวกเขายอมให้พระเจ้าทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและครองหัวใจของตน ดังนั้นเมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาย่อมมีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า พวกเขาไม่ประมาท ไม่หุนหันพลันแล่น และไม่ปฏิบัติตนอย่างมุทะลุ แต่พวกเขากลับสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นอย่างสงบ และสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาหลักธรรมความจริง สิ่งต่างๆ ที่เจ้าทำสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือเจตจำนงของตัวเอง และเจ้ายอมให้เจตจำนงของตนเองหรือพระวจนะของพระเจ้าเข้ามามีอำนาจ นั่นขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ เจ้ากล่าวว่าพระเจ้าอยู่ในหัวใจของเจ้า แต่เวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น เจ้ากลับกระทำการอย่างมืดบอด ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาด และละเลยพระเจ้า นี่คือการสำแดงของการมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจเช่นนั้นหรือ? มีคนบางคนที่สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าเวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น แต่หลังจากอธิษฐานแล้ว พวกเขากลับครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้น โดยคิดว่า “ฉันคิดว่านี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ” เจ้ามักทำตามเจตจำนงของตนเองเสมอ และไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมกับเจ้า เจ้าก็ไม่รับฟัง นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรอกหรือ? เพราะเจ้าไม่แสวงหาหลักธรรมความจริง และไม่ปฏิบัติความจริง เวลาที่เจ้าพูดว่าเจ้าเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า คำพูดเหล่านี้ย่อมเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่า ผู้คนที่ไม่มีพระเจ้าและไม่สามารถเทิดทูนพระเจ้าว่ายิ่งใหญ่ในหัวใจของตนได้คือคนที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ผู้คนที่ไม่สามารถแสวงหาความจริงเวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น และไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้าล้วนเป็นผู้คนที่ขาดพร่องมโนธรรมและสำนึก หากคนเรามีมโนธรรมและสำนึกอย่างแท้จริง เวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขาก็จะสามารถแสวงหาความจริงได้อย่างเป็นธรรมชาติ พวกเขาต้องคิดเสียก่อนว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันมาเพื่อไล่ตามเสาะหาความรอดจากพระเจ้า เพราะฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และฉันมักปฏิบัติต่อตนเองในฐานะผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในสิ่งใดก็ตามที่ฉันทำเสมอ และต่อต้านเจตนารมณ์ของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ฉันต้องกลับใจ ฉันไม่สามารถกบฏต่อพระเจ้าด้วยวิธีนี้ได้อีกต่อไป ฉันต้องเรียนรู้ที่จะนบนอบต่อพระเจ้า ฉันต้องแสวงหาว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวถึงอะไร และหลักธรรมความจริงคืออะไร” สิ่งเหล่านี้คือความคิดและปณิธานที่เกิดจากสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมและท่าทีที่เจ้าควรมีในการทำสิ่งต่างๆ เมื่อเจ้ามีสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เจ้าย่อมมีท่าทีเช่นนี้ หากเจ้าไม่มีสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีท่าทีเช่นนี้ เพราะฉะนั้นการมีสำนึกของความเป็นมนุษย์ที่ปกติจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญยิ่ง สิ่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ผู้คนเข้าใจความจริงและสัมฤทธิ์การช่วยให้รอด