พระวจนะว่าด้วยการแสวงหาและปฏิบัติความจริง

บทตัดตอน 10

ทันทีที่หน้าที่ของพวกเขาเกิดยุ่งขึ้นมา มีผู้คนมากมายที่ไม่สามารถรับประสบการณ์กับสภาวะที่ปกติและไม่สามารถดำรงสภาวะที่ปกติเอาไว้ได้ และผลลัพธ์ก็คือพวกเขากำลังร้องขอตลอดเวลาให้มีการชุมนุมและการสามัคคีธรรมถึงความจริง  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  พวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาไม่มีรากฐานในหนทางที่แท้จริง ผู้คนเช่นนี้ถูกความกระตือรือร้นขับเคลื่อนในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ และไม่สามารถอดทนได้นาน  เมื่อผู้คนไม่เข้าใจความจริง ย่อมไม่มีหลักธรรมในสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำ  หากมีการจัดการเตรียมการให้พวกเขาทำบางสิ่ง พวกเขาย่อมทำให้ยุ่งเหยิง พวกเขาประมาทในสิ่งที่ตนทำและพวกเขาไม่แสวงหาหลักธรรม รวมทั้งไม่มีการนบนอบในหัวใจพวกเขาเลย—ซึ่งพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รักความจริงและไม่สามารถมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าทำสิ่งใด ก่อนอื่นเจ้าควรเข้าใจว่าเหตุใดเจ้ากำลังทำสิ่งนั้นอยู่ เป็นความตั้งใจอันใดที่ชี้นำเจ้าให้ทำสิ่งนี้ มีนัยสำคัญใดอยู่ในการที่เจ้าทำสิ่งนี้ อะไรคือธรรมชาติของเรื่องนี้ และสิ่งที่เจ้ากำลังทำเป็นสิ่งด้านบวกหรือสิ่งด้านลบ  เจ้าต้องมีความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ นี่ค่อนข้างจำเป็นสำหรับเจ้าในการที่จะสามารถลงมือกระทำด้วยหลักธรรม  หากเจ้ากำลังทำบางสิ่งบางอย่างที่สามารถจำแนกชั้นได้ว่าเป็นการทำหน้าที่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรไตร่ตรองว่า  ฉันควรปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงไปด้วยดีอย่างไร เพื่อที่ฉันจะไม่เพียงแค่กำลังทำหน้าที่นั้นอย่างขอไปที?  เจ้าควรอธิษฐานและเข้าใกล้ชิดพระเจ้าในเรื่องนี้  การอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นก็เพื่อที่จะแสวงหาความจริงแสวงหาหนทางที่จะปฏิบัติ แสวงหาความพึงปรารถนาของพระเจ้า และวิธีที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  การอธิษฐานนั้นก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลพวงเหล่านี้  การอธิษฐานถึงพระเจ้า เข้าใกล้พระเจ้า และอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทำภายนอก  นั่นทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงหลังจากการแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า  หากเจ้าพูดเสมอว่า “ขอบคุณพระเจ้า” ก่อนที่เจ้าจะกระทำการ และเจ้าอาจจะดูเป็นฝ่ายวิญญาณและเปี่ยมความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอย่างมาก แต่หากว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือกระทำ เจ้าก็ยังคงทำไปตามที่เจ้าต้องการอยู่ดี โดยไม่มีการแสวงหาความจริงแต่อย่างใดเลย เช่นนั้นแล้วคำ “ขอขอบคุณพระเจ้า” นี้ก็ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าบทสวด เป็นความเป็นฝ่ายวิญญาณแบบเทียมเท็จ  ยามที่เจ้าทำหน้าที่ของตน เจ้าควรคิดเสมอว่า  ฉันควรทำหน้าที่นี้อย่างไร?  สิ่งใดคือความพึงปรารถนาของพระเจ้า?  การอธิษฐานถึงพระเจ้าและเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าเพื่อแสวงหาหลักธรรมและความจริงสำหรับการกระทำของเจ้า แสวงหาความพึงปรารถนาของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และไม่ออกห่างจากพระวจนะของพระเจ้าหรือหลักธรรมความจริงในสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ—นี่เท่านั้นคือใครคนหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนที่ไม่รักความจริงไม่อาจบรรลุทั้งหมดนี้ได้  มีผู้คนมากมายที่ทำตามแนวคิดของตนเองไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม และพิจารณาสิ่งทั้งหลายในแบบที่เรียบง่ายเกินจริงอย่างมาก และไม่แสวงหาความจริงด้วย  ไม่มีหลักธรรมอย่างสิ้นเชิง และในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ได้นึกถึงวิธีปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงขอ หรือในหนทางที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขารู้เพียงแต่จะทำไปตามเจตจำนงของตนเองอย่างดื้อรั้นดันทุรังเท่านั้น พระเจ้าไม่มีที่ทางในหัวใจของผู้คนเช่นนี้  ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าก็ต่อเมื่อฉันเผชิญความลำบากยากเย็นเท่านั้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าการนี้มีผลพวงอันใด—ดังนั้น โดยทั่วไปแล้วเมื่อสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นกับฉันตอนนี้ ฉันก็ไม่อธิษฐานต่อพระเจ้า เพราะการอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่มีประโยชน์”  พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงไม่ว่าพวกเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ในเวลาปกติ พวกเขาเพียงแค่ทำตามแนวคิดของตนเองเท่านั้น  ดังนั้นแล้วการกระทำของพวกเขามีหลักธรรมหรือไม่?  ไม่อย่างแน่นอน  พวกเขามองทุกสิ่งอย่างเรียบง่าย  แม้ในเวลาที่ผู้คนสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถยอมรับหลักธรรมเหล่านั้นได้ เพราะการกระทำทั้งหลายของพวกเขาไม่เคยมีหลักธรรมอันใดเลย พระเจ้าไม่ทรงมีที่ทางในหัวใจของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขาก็ไม่มีใครเลยนอกจากตนเอง  พวกเขารู้สึกว่าความตั้งใจทั้งหลายของตนนั้นดี ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังกระทำความชั่ว ว่าความตั้งใจทั้งหลายของพวกเขาไม่สามารถถูกพิจารณาได้ว่าเป็นการละเมิดความจริง พวกเขาคิดว่าการปฏิบัติตนไปตามความตั้งใจของตนเองควรจะเป็นการปฏิบัติความจริง ว่าการปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นการนบนอบต่อพระเจ้า  อันที่จริง พวกเขาไม่ได้กำลังแสวงหาหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างแท้จริง แต่กระทำการตามความรู้สึกชั่วแล่น ตามเจตนาอันแรงกล้าของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงขอ พวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบต่อพระเจ้า ความปรารถนาเช่นนี้ไม่มีอยู่ในตัวพวกเขา  นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติของผู้คน  หากเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่ทว่าพระองค์ไม่ทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ได้กำลังพยายามหลอกลวงพระเจ้าอยู่หรอกหรือ?  และความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้าสามารถส่งผลพวงใดได้เล่า?  เจ้าสามารถได้รับสิ่งใดกันแน่?  และสิ่งใดหรือที่เป็นประเด็นของความเชื่อเช่นนั้นในพระเจ้า?

เวลาเจ้าทำบางสิ่งที่ละเมิดหลักธรรมความจริงและไม่เป็นที่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า เจ้าควรทบทวนตนเองและพยายามรู้จักตนเองอย่างไร?  ตอนที่เจ้ากำลังจะทำสิ่งนั้น เจ้าได้อธิษฐานถึงพระองค์หรือไม่?  เจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่า “การทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  พระเจ้าจะทรงมีทัศนะต่อเรื่องนี้อย่างไรหากมันถูกนำพาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์?  พระองค์จะทรงเป็นสุขหรือจะทรงฉุนเฉียว หากพระองค์ทรงทราบเกี่ยวกับการนี้?  พระองค์จะทรงเกลียดหรือทรงชังสิ่งนั้นหรือไม่?”  เจ้าไม่ได้เสาะแสวงสิ่งนั้น ใช่หรือไม่?  ต่อให้ผู้อื่นได้ย้ำเตือนเจ้า เจ้าก็จะยังคงคิดว่าเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และว่าสิ่งนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักธรรมใดและไม่ได้เป็นบาป  ผลลัพธ์ก็คือ เจ้าได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและยั่วยุให้พระองค์กริ้ว กระทั่งถึงจุดที่ทำให้พระองค์ทรงเกลียดเจ้า  นี่เกิดขึ้นจากความเป็นกบฏของผู้คน  เพราะเหตุนั้นเจ้าควรแสวงหาความจริงในทุกสิ่ง  นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม  หากเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจเพื่ออธิษฐานเสียก่อน แล้วจึงแสวงหาความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะไม่ผิดพลาด  เจ้าอาจมีความเบี่ยงเบนในการปฏิบัติความจริงอยู่บ้าง แต่การนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง และเจ้าจะสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหลังจากที่เจ้ามีประสบการณ์มาบ้าง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้ารู้วิธีกระทำการตามความจริง แต่กลับไม่ปฏิบัติความจริง ปัญหาย่อมเป็นว่าเจ้าไม่ชอบความจริง  ผู้ที่ไม่รักความจริงจะไม่มีวันแสวงหาความจริงไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา  เฉพาะผู้ที่รักความจริงเท่านั้นที่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อมีสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเกิดขึ้น พวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริง  หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่รู้วิธีปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้คนบางคนที่เข้าใจความจริง  หากเจ้าไม่สามารถหาคนที่เข้าใจความจริงได้ เจ้าก็ควรหาผู้คนที่มีความเข้าใจอันถ่องแท้สักสองสามคนมาร่วมอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยจิตใจและหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แสวงหาจากพระเจ้า รอเวลาของพระเจ้า และคอยให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่เจ้า  ตราบใดที่พวกเจ้าทุกคนโหยหาความจริง แสวงหาความจริง และสามัคคีธรรมถึงความจริงด้วยกัน เวลาที่พวกเจ้าคนใดคนหนึ่งคิดหาหนทางที่ดีในการแก้ปัญหาออกก็อาจมาถึง  หากเจ้าทุกคนพบทางออกที่เหมาะสมและหนทางที่ดี เช่นนั้นแล้ว นี่อาจเป็นเพราะความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์  จากนั้นหากเจ้ายังคงสามัคคีธรรมด้วยกันต่อไปเพื่อคิดหาเส้นทางปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น นี่ย่อมจะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงอย่างแน่นอน  ในการปฏิบัติของเจ้า หากเจ้าพบว่าหนทางปฏิบัติของเจ้ายังคงไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว  หากเจ้าทำผิดพลาดเล็กน้อย พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเจ้า เพราะเจตนาของเจ้าในสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง และเจ้ากำลังปฏิบัติตามความจริง  เจ้าเพียงแค่สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับหลักธรรมและทำผิดพลาดในการปฏิบัติของตน ซึ่งให้อภัยได้  แต่เวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำสิ่งทั้งหลาย พวกเขาทำไปตามวิธีที่พวกเขาคิดว่าควรทำ  พวกเขาไม่ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพื้นฐานในการใคร่ครวญว่าควรปฏิบัติตามความจริงอย่างไรหรือทำเช่นไรจึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับคิดแต่เพียงว่าจะทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างไร จะทำให้ผู้อื่นยอมรับนับถือตนอย่างไร และจะทำให้ผู้อื่นเลื่อมใสตนอย่างไร  พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายตามแนวคิดของตนเองทั้งสิ้นและเพื่อทำให้ตนเองพึงพอใจเท่านั้น ซึ่งก่อความเดือดร้อน  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันทำสิ่งทั้งหลายตามความจริง และพระเจ้าจะทรงเกลียดชังพวกเขาเสมอ  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าก็ควรจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหา สามารถตรวจสอบเหตุจูงใจและการปลอมปนในการกระทำของเจ้าอย่างจริงจังได้ สามารถกำหนดได้ว่าตามพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งใดเหมาะสมที่จะทำ และชั่งน้ำหนักและใคร่ครวญซ้ำๆ ว่าการกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงยินดี การกระทำใดทำให้พระเจ้าทรงขัดเคือง และการกระทำใดได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  เจ้าต้องทบทวนเรื่องเหล่านี้ในใจของเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเจ้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน  หากเจ้ารู้ว่าเจ้ามีเหตุจูงใจของตนเองในการทำบางสิ่ง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องคิดทบทวนว่าเหตุจูงใจของเจ้าคืออะไร เป็นการทำให้ตนเองพึงพอใจหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เป็นประโยชน์แก่ตัวเจ้าเองหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และจะก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร… หากเจ้าแสวงหาและใคร่ครวญเช่นนี้มากขึ้นในการอธิษฐานของเจ้า และตั้งคำถามกับตัวเจ้าเองให้มากขึ้นเพื่อแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้วความเบี่ยงเบนในการกระทำของเจ้าก็จะน้อยลงเรื่อยๆ  เฉพาะผู้ที่สามารถแสวงหาความจริงในหนทางนี้เท่านั้นที่เป็นผู้คนที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าและยำเกรงพระเจ้า เพราะเจ้ากำลังแสวงหาตามข้อพึงประสงค์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและด้วยหัวใจที่นบนอบ และบทสรุปปิดตัวที่เจ้าบรรลุจากการแสวงหาในหนทางนี้ย่อมจะเป็นไปตามหลักธรรมความจริง

หากการกระทำของผู้เชื่อไม่สอดคล้องกับความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็เป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อ  นี่คือบุคคลจำพวกที่ไม่มีพระเจ้าในหัวใจของตน และเป็นผู้ที่ไถลห่างจากพระเจ้า และบุคคลเช่นนี้เป็นเหมือนคนทำงานที่ได้รับการว่าจ้างในพระนิเวศของพระเจ้า ทำงานจิปาถะให้แก่เจ้านายของพวกเขา ได้รับค่าตอบแทนเล็กน้อยแล้วก็จากไป  นี่คือบุคคลหนึ่งผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  สิ่งใดควรทำเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับจากพระเจ้าคือเรื่องแรกที่เจ้าควรตรวจสอบและทำงานเพื่อให้ได้มาเมื่อเจ้าลงมือทำสิ่งต่างๆ นั่นควรเป็นหลักธรรมและวงเขตของการกระทำของเจ้า  เหตุผลที่เจ้าควรกำหนดว่าเจ้ากำลังทำสิ่งที่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหรือไม่คือว่า หากสิ่งนั้นลงรอยกับความจริงแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วสิ่งนั้นก็สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน  ไม่ใช่ว่าเจ้าควรประเมินวัดว่าเรื่องนั้นถูกหรือผิดหรือไม่ หรือสิ่งนั้นสอดคล้องกับรสนิยมของคนอื่นทุกคนหรือไม่ หรือสิ่งนั้นอยู่ในแนวเดียวกับความอยากของเจ้าเองหรือไม่ ตรงกันข้าม เจ้าควรกำหนดพิจารณาว่าสิ่งนั้นสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ และสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่องานและประโยชน์ของคริสตจักรหรือไม่  หากเจ้าให้การพิจารณาต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย  หากเจ้าไม่พิจารณาแง่มุมเหล่านี้ และเพียงพึ่งพาเจตจำนงของเจ้าเองเมื่อกระทำสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วก็รับประกันได้ว่าเจ้าจะทำสิ่งเหล่านั้นอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องเพราะเจตจำนงของมนุษย์ไม่ใช่ความจริงและแน่นอนว่าเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า  หากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องปฏิบัติไปตามความจริงมากกว่าปฏิบัติไปตามเจตจำนงของเจ้าเอง  ผู้คนบางคนมีส่วนร่วมกับเรื่องส่วนบุคคลบางเรื่องเพื่อเห็นแก่การทำหน้าที่ของพวกเขา  จากนั้นบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเขาก็มองเห็นการนี้ว่าไม่เหมาะสม และตำหนิพวกเขาเพราะการนั้น แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับการติเตียน  พวกเขาคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน การเงิน หรือผู้คนของคริสตจักร และไม่ใช่การทำชั่ว ดังนั้นผู้คนจึงไม่ควรแทรกแซง  สิ่งทั้งหลายบางอย่างอาจดูเหมือนว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมหรือความจริงใดๆ  อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูสิ่งที่เจ้าได้ทำ เจ้านั้นเห็นแก่ตัวยิ่งนัก  เจ้าไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือคำนึงว่านี่จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าเพียงพิจารณาแต่ประโยชน์ของเจ้าเอง  การนี้เกี่ยวข้องกับความสมควรของเหล่าวิสุทธิชนไปแล้ว รวมทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่ง  แม้ว่าสิ่งที่เจ้าได้กำลังทำไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของคริสตจักร อีกทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความจริง การมีส่วนร่วมกับเรื่องส่วนบุคคลขณะที่ทำการกล่าวอ้างว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้น ไม่อยู่ในแนวเดียวกับความจริง  โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เจ้ากำลังทำว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ของเจ้าในครอบครัวของพระเจ้าหรือกิจธุระส่วนตัวของเจ้าเอง เจ้าต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้นสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ รวมทั้งเป็นบางสิ่งที่บุคคลหนึ่งควรทำกับสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่  หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  หากเจ้าปฏิบัติอย่างจริงจังต่อทุกเรื่องและทุกความจริงในหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า  มีผู้ที่คิดว่า “การให้ฉันปฏิบัติความจริงเมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ก็สมควรอยู่ แต่ในเวลาที่ฉันกำลังดูแลกิจธุระส่วนตัว ฉันไม่สนใจว่าความจริงมีอะไรจะพูด—ฉันจะทำตามใจชอบ อะไรก็ได้ที่ต้องทำให้เป็นประโยชน์กับฉัน”  ในถ้อยคำเหล่านี้ เจ้าสามารถเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง  ไม่มีหลักธรรมในสิ่งที่พวกเขาทำ  พวกเขาจะทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์แก่พวกเขา โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ  ผลก็คือเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งลงไป พระเจ้ามิได้สถิตอยู่ในตัวพวกเขา และพวกเขาก็รู้สึกมืดมนและกลัดกลุ้ม และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  นี่ไม่ใช่การลงโทษพวกเขาอย่างสาสมหรอกหรือ?  หากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงในการกระทำของเจ้าและทำให้พระเจ้าเสื่อมเสียพระเกียรติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำบาปต่อพระองค์  หากมีบางคนไม่รักความจริงและกระทำการตามเจตจำนงของพวกเขาเองเป็นนิจ เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะล่วงเกินพระเจ้าเป็นนิจ  พระองค์จะทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา และวางพวกเขาไว้ข้างทาง  สิ่งที่คนเช่นนี้ทำมักจะไม่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า และหากพวกเขาไม่รู้จักกลับใจ เช่นนั้นแล้วการลงโทษก็อยู่ไม่ไกล

บทตัดตอน 11

การจะทำสิ่งใดให้ดีนั้น จำเป็นต้องแสวงหาหลักธรรมความจริง  ขณะที่ทำสิ่งนั้น เจ้าควรจดจ่ออยู่กับการคิดว่าจะทำให้ดีได้อย่างไร และจำเป็นต้องสงบใจเพื่ออธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  ก่อนทำสิ่งใด จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และหากไม่มีใครให้สามัคคีธรรมด้วย เจ้าต้องใคร่ครวญและอธิษฐานด้วยตนเอง พร้อมทั้งแสวงหาหนทางที่จะทำสิ่งนี้ให้ดี  นี่คือการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  การสงบใจไม่ได้หมายความว่าไม่คิดอะไรเลย เจ้าต้องลงมือทำและใคร่ครวญไปพร้อมๆ กัน แสวงหาวิธีที่เหมาะสมที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยท่าทีของการแสวงหาและรอคอยในหัวใจของเจ้า  หากเจ้าไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย จงหาใครสักคนมาสอบถามและปรึกษา  เจ้าควรมีท่าทีเช่นใดในช่วงเวลาของการไต่ถามนี้?  อันที่จริงแล้ว เจ้าควรแสวงหาและรอคอย เฝ้าดูว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างไร  พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะเจ้าราวกับพระองค์ทรงเปิดไฟที่ทำให้หัวใจของเจ้ากระจ่างขึ้นมาในทันที  พระเจ้ามักจะทรงใช้คนคนหนึ่งหรือเหตุการณ์หนึ่งเพื่อกระตุ้นเจ้าและทำให้เจ้าเข้าใจ  มีวิธีแสวงหามากมายนอกเหนือไปจากการคุกเข่าลงอธิษฐานอย่างจริงจังและอยู่เช่นนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพราะการทำเช่นนั้นย่อมทำให้เรื่องอื่นๆ ล่าช้าออกไปทั้งหมด  บางครั้งเจ้าอาจใคร่ครวญเรื่องใดเรื่องหนึ่งขณะเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง บางครั้งเมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น เจ้าอาจจะรีบสามัคคีธรรมเรื่องนั้นกับคนอื่น บางครั้งเจ้าอาจจะแสวงหาจากเบื้องบน บางครั้งเจ้าอาจจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง หากเป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้าก็เร่งรีบทำความเข้าใจความเป็นจริงของสถานการณ์นั้น จากนั้นจึงแสวงหาความจริง จัดการเรื่องนั้นตามหลักธรรม พร้อมอธิษฐานและแสวงหาในหัวใจ  พวกเจ้าต้องสามารถทำสิ่งต่างๆ ในหนทางนี้—นั่นแหละคือวุฒิภาวะ!  หากพวกเจ้ารู้สึกประหม่า ตื่นตระหนก และทำอะไรไม่ถูกทุกครั้งที่มีเรื่องเกิดขึ้น นั่นย่อมบ่งชี้ว่าพวกเจ้ามีวุฒิภาวะน้อยเกินไปและพวกเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มาก่อน และพวกเจ้าจำเป็นต้องผ่านประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ และฝึกฝนตนเองเพื่อให้วุฒิภาวะของพวกเจ้าเติบโตขึ้น  พวกเจ้าต้องเรียนรู้วิธีแสวงหาหลายๆ วิธี เมื่อพวกเจ้ายุ่งอยู่กับการทำหน้าที่ จงแสวงหาตามความยุ่งของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้ามีเวลา จงแสวงหาและรอคอยตามสภาพการณ์ของเวลาที่มี  มีวิธีที่แตกต่างกันไป  หากมีเวลามากพอที่จะรอ ก็จงรอสักพัก  พวกเจ้าไม่อาจผลีผลามในเรื่องใหญ่ๆ ได้  หากพวกเจ้ารีบร้อนกระทำการและทำผิดพลาด ผลที่ตามมาอาจจะคาดคิดไม่ถึง  เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พวกเจ้าต้องรอดูว่าจะเกิดอะไรต่อไป หรือเจ้าจะได้รับการกระตุ้นจากใครบางคนที่รู้จักสถานการณ์นั้นหรือไม่  ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวิธีแสวงหาทั้งสิ้น  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการใดเพียงวิธีการเดียวในการให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คน พระองค์ไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าในพระวจนะของพระองค์แต่เพียงอย่างเดียว และพระองค์ก็ไม่ทรงให้คนรอบตัวเจ้าคอยให้การชี้แนะเจ้าเสมอไป  พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าในเรื่องที่อยู่นอกเหนือความเชี่ยวชาญของเจ้า และสิ่งที่เจ้าไม่เคยพบเจอมาก่อนได้อย่างไร?  บางครั้งพระองค์เพียงทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าผ่านผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่หลากหลาย ซึ่งในกรณีนี้ เจ้าต้องแสวงหาผู้เชี่ยวชาญหรือใครสักคนที่เข้าใจในสาขานั้นๆ มาให้คำปรึกษา  เจ้าควรรีบไปหาใครก็ตามที่เข้าใจในสาขานั้น ขอคำชี้แนะจากพวกเขาเล็กน้อย แล้วจึงทำสิ่งนั้นตามหลักธรรม และพระเจ้าจะทรงชี้แนะเจ้าขณะที่เจ้าทำสิ่งนั้นอยู่  ทว่าเจ้าต้องเข้าใจเกี่ยวกับอาชีพหรือความเชี่ยวชาญเฉพาะทางนั้นๆ บ้างเล็กน้อย และมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่บ้าง พระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าว่าควรทำสิ่งใดบนพื้นฐานนี้

ไม่ว่าคนเราจะทำสิ่งใด ก็สามารถคิด ออกแบบ วางแผน ปรึกษา และไต่ถามจากแหล่งต่างๆ เพื่อกำหนดเส้นทางที่เป็นไปได้ แต่ความสำเร็จยังคงขึ้นอยู่กับพระเจ้า  มีคำกล่าวที่ว่า “มนุษย์วางแผน พระเจ้าตัดสิน”  คำกล่าวนี้ถูกต้อง  นับว่าไม่ธรรมดาเลยที่ผู้ไม่มีความเชื่อสามารถสรุปคำกล่าวนี้ออกมาจากประสบการณ์ได้ และหากผู้เชื่อในพระเจ้าไม่สามารถมองเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาก็โง่เขลาเกินไปและไม่เข้าใจความจริงใดๆ เลย  ผู้คนต้องเชื่ออย่างหนักแน่นในหัวใจว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และสิ่งที่มนุษย์ต้องการทำย่อมจะได้รับพรจากพระเจ้าหากเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เจ้าต้องมีกฎเกณฑ์นี้อยู่ในหัวใจ ต้องรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด  เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเจ้าตั้งใจจะทำสิ่งใด เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าเสียก่อนเพื่อดูว่าหัวใจของเจ้าได้รับการกระตุ้นหรือไม่ จากนั้นจึงแสวงหาความจริงเพื่อดูว่าแนวทางการกระทำนั้นสอดคล้องกับความจริงและเป็นไปได้หรือไม่  หากไม่สามารถตัดสินใจได้ในทันที เจ้าก็ต้องรอคอย  จงอย่ารีบร้อนกระทำการ  จงรอจนกว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องนั้นอย่างถ่องแท้ จนกว่าเจ้ารู้สึกว่าถึงเวลาอันควรแล้ว ไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปและควรลงมือทำ และในหัวใจของเจ้ามีความมั่นใจเพียงพอที่จะทำ—เมื่อนั้นเจ้าจึงสามารถกระทำการได้  หากเจ้ายังไม่สามารถเข้าใจเรื่องนั้นได้อย่างถ่องแท้ สูญเสียความสนใจในเรื่องนั้นหลังจากรอคอยไม่กี่วัน และเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องนี้เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์ และพระเจ้ายังไม่ทรงอนุญาต ดังนั้นเจ้าควรล้มเลิกเสียโดยเร็ว  เมื่อสิ่งใดมาจากพระเจ้า เจ้าจะมีความเชื่อในสิ่งนั้นเสมอ และความเชื่อนั้นจะไม่ลดน้อยลงไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดๆ ขึ้น  ท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของเจ้าจะได้รับความกระจ่างมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเจ้าได้เห็นเรื่องนั้นอย่างชัดเจนแล้ว  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาจากพระเจ้า  พระเจ้าทรงให้ผู้คนรอคอย และนี่ก็หมายถึงการรอคอยให้พระเจ้าทรงเผยสิ่งต่างๆ ให้เจ้าเห็น แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะกระจ่างในเรื่องดังกล่าว ดังนั้นการรอคอยนี้จึงจำเป็น  อย่างไรก็ดี ในส่วนที่เจ้าควรให้ความร่วมมือ เจ้าก็ต้องกระทำการและไต่ถาม และในกระบวนการไต่ถามนั้น พระเจ้าอาจทรงบอกข้อเท็จจริงแก่เจ้าผ่านคนคนหนึ่ง หรือเหตุการณ์หนึ่ง  หากเจ้าไม่ไต่ถาม และหัวใจของเจ้าย่อมสับสนและไม่แน่ใจ เจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงทั้งหลายคืออะไร  แต่หากเจ้าไต่ถาม เจ้าจะค้นพบข้อเท็จจริง และนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้เจ้ารู้  การทรงกระทำของพระเจ้าสัมพันธ์กับชีวิตจริงมิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงชี้แนะและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าผ่านผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ พระองค์ทรงชี้นำให้เจ้าเข้าใจและได้รับความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องราวต่างๆ ในขั้นตอนของการได้รับประสบการณ์ของเจ้า ทรงชี้ให้เจ้าเห็นว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร  พระเจ้าไม่ทรงประทานถ้อยแถลง ความคิด หรือแนวคิดแก่เจ้าจากความว่างเปล่า พระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้น  เมื่อเจ้าได้ไต่ถามและข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นได้ถูกเผยออกมาแล้ว เจ้าจะรู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงมีความคิดและความรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน เจ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ในหัวใจของเจ้า  ผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นทันทีที่เจ้าไต่ถามเสร็จสิ้นแล้วมิใช่หรือ?  ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าควรกระทำการอย่างไรนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงข้องเกี่ยวในเรื่องนี้ เจ้าจะรู้อยู่แล้วว่าควรกระทำการอย่างไร  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงพระราชกิจและทรงชี้แนะผู้คน ด้วยวิธีที่ทั้งมหัศจรรย์และสัมพันธ์กับชีวิตจริง ซึ่งไม่ได้เหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย  คนเกียจคร้านมักต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยวิธีที่เหนือธรรมชาติอยู่เสมอ พวกเขาต้องการให้พระเจ้าตรัสกับพวกเขาโดยตรงว่าต้องทำอะไร พวกเขาต้องการใช้ทางลัดและให้พระเจ้าทรงทำให้ พวกเขาไม่ค้นหาหรือแสวงหาอย่างแข็งขัน และไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นความปรารถนาของพวกเขาจึงไม่เป็นผล  ผู้คนที่เคร่งศาสนาและผู้คนที่รักความจริงย่อมดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในทุกสิ่งและสงบใจของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  เมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาก็สามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาจากพระเจ้า และดูว่าพระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์เช่นใด  พวกเขามีหัวใจที่แสวงหา ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงชี้แนะพวกเขาในเรื่องนี้  และเมื่อผลลัพธ์ถูกเผยออกมาในท้ายที่สุด พวกเขาย่อมสามารถมองเห็นการจัดวางเรียบเรียงจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และพวกเขาสามารถมองเห็นได้ว่าการกล่าวว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งนั้นไม่ใช่วลีที่ว่างเปล่า  เพราะฉะนั้น โดยการผ่านประสบการณ์กับเรื่องราวดังกล่าวมากขึ้น เจ้าจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ใช่นิยายหรือตำนาน และพระองค์ก็ไม่ทรงว่างเปล่า แต่พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเจ้า เจ้าจะสามารถรู้สึกถึงการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ รู้สึกถึงการทรงชี้แนะของพระองค์ และรู้สึกถึงการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์  ในหนทางนี้ เจ้าจะรับรู้ถึงความจริงแท้และความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างไรก็ดี หากเจ้าไม่สามารถมีประสบการณ์ในหนทางนี้ เจ้าจะไม่มีวันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้เลย  เจ้าจะคิดว่า “มีพระเจ้าอยู่จริงหรือไม่?  พระองค์ทรงอยู่ที่ใด?  ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว และทุกคนก็บอกว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ แต่ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นพระองค์เล่า?  พวกเขาต่างบอกว่าพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดและพูดถึงวิธีที่พระองค์ทรงพระราชกิจในตัวมนุษย์กันทั้งสิ้น แต่ทำไมฉันไม่เคยรู้สึกถึงเรื่องนั้นเลย?”  เจ้าจะไม่มีวันรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นเจ้าจะไม่มีวันรู้สึกสบายใจในหัวใจของเจ้าเลย  มีเพียงการรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ด้วยตนเองเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าสิ่งที่ผู้อื่นพูดและมีประสบการณ์นั้นสำเร็จโดยพระเจ้า  การทรงกระทำของพระเจ้านั้นมหัศจรรย์และยากที่จะหยั่งถึง แต่ก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงด้วย เจ้าต้องจับความเข้าใจทั้งสองแง่มุมนี้  การทรงกระทำเหล่านั้นมหัศจรรย์และยากที่จะหยั่งถึงหมายความว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนเปี่ยมด้วยพระปัญญา และเป็นสิ่งที่มนุษย์เอื้อมไม่ถึง ซึ่งกำหนดโดยอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า  ทว่ายังมีอีกแง่มุมหนึ่งคือ การทรงกระทำของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างเหลือเชื่อ  คำว่า “สัมพันธ์กับชีวิตจริง” นี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่ามนุษย์สามารถจับความเข้าใจการทรงกระทำของพระเจ้าได้ หมายความว่าการคิดอ่าน จิตใจ ความคิด สติปัญญา ตลอดจนสัญชาตญาณและขีดความสามารถที่มนุษย์มีอยู่สามารถจับความเข้าใจการทรงกระทำของพระเจ้าได้ ซึ่งไม่ได้เหนือธรรมชาติหรือว่างเปล่าเลย  เมื่อเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ารู้ว่าถูกต้อง และเจ้าจะได้รับการยืนยัน เมื่อเจ้าทำสิ่งผิด พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้าเข้าใจทีละน้อย พระองค์จะประทานความรู้แจ้งแก่เจ้า และทำให้เจ้ารู้ว่าเจ้าทำสิ่งนี้ผิด และรู้ว่านี่คือการเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า แล้วเจ้าจะรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า  นี่คือความหมายของคำว่า “สัมพันธ์กับชีวิตจริง”

บทตัดตอน 12

การแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญเรื่องราวต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง  หากเจ้าแสวงหาความจริง ไม่เพียงเจ้าจะสามารถแก้ปัญหาได้เท่านั้น แต่เจ้าจะสามารถปฏิบัติและรับความจริงได้ด้วย  หากเจ้าไม่แสวงหาความจริง แต่ยืนกรานในการให้เหตุผลของตนเอง และกระทำตามความคิดเห็นของตัวเจ้าเองเสมอ เช่นนั้นแล้วไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่สามารถแก้ปัญหาความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง แต่เจ้าจะกระทำบาปอย่างรู้อยู่แก่ใจ และนี่เองที่เป็นเส้นทางสู่การต่อต้านพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าถูกตัดแต่งในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าไม่แสวงหาความจริง หากเอาแต่ดื้อดึงฝืนย้ำถึงเหตุผลของตัวเจ้าเอง  เจ้าอาจคิดว่า “ฉันทำงานของตัวเองแล้ว และฉันไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายใดๆ ให้เห็น แต่ไม่เพียงฉันจะถูกตัดแต่งเพียงเพราะข้อผิดพลาดสองสามประการเท่านั้น มิหนำซ้ำฉันยังถูกเปิดโปงและไม่เห็นหัว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบพอในตัวฉัน  ความรักของพระเจ้าอยู่ที่ไหน?  เหตุใดฉันจึงมองไม่เห็นความรักนั้น?  มีการกล่าวไว้ว่าพระเจ้ารักผู้คน ดังนั้นเป็นเช่นใดที่พระเจ้าจึงรักผู้อื่นแต่ไม่รักฉัน?”  ความคับข้องใจทั้งหมดพรั่งพรูออกมา  ผู้คนในสภาวะดังกล่าวสามารถได้รับความจริงหรือไม่?  พวกเขาไม่สามารถได้รับความจริง  เมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาในความสัมพันธ์ของเจ้ากับพระเจ้า และแทนที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ กลับตัวกลับใจใหม่ และละทิ้งทรรศนะที่คลาดเคลื่อน รวมทั้งความคิดที่ดื้อรั้นของเจ้า เจ้ากลับต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อดึง เหตุนี้ยังผลให้พระเจ้าทรงทอดทิ้งเจ้าเท่านั้น อีกทั้งในตัวเจ้าเจ้าก็ยังหันหลังให้พระองค์ด้วย เจ้าจะมีแต่ความคับข้องใจเต็มอกต่อพระเจ้า เกิดความสงสัยเคลือบแคลงและปฏิเสธอธิปไตยของพระองค์ รวมทั้งไม่เต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดแจงเตรียมการของพระองค์ แย่ไปกว่านั้นคือเจ้าจะปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่ใช่ความจริงและความชอบธรรม และนี่เป็นรูปแบบหนึ่งที่ร้ายแรงที่สุดของการต่อต้านพระเจ้า  แต่หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง เจ้าย่อมจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าไปแล้ว และเจ้าจะได้รับเส้นทางที่เจ้าสามารถก้าวย่ำไป  ในการทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เจ้าจะยืนยันว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อคือความจริง หนทาง ชีวิต และความรักเท่านั้น แต่เจ้าจะยืนยันด้วยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้ากระทำนั้นถูกต้อง บททดสอบและการถลุงมนุษย์ของพระองค์นั้นถูกต้อง และมีจุดประสงค์เป็นความรอดและการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์  เจ้าจะได้รับรู้ถึงความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และในขณะเดียวกันเจ้าจะได้รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและแลเห็นความยิ่งใหญ่ของความรักของพระองค์ ช่างเป็นบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่!  หากไม่แสวงหาความจริง เจ้าจะสามารถเก็บเกี่ยวบำเหน็จเช่นที่ว่านี้ พลางปฏิบัติต่อพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเจ้าเองอยู่เสมอได้หรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้ เพราะมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกล้ำ การกระทำและความประพฤติทั้งหมดของเขาและทุกสิ่งที่เขาเผยออกมาจึงเป็นอุปนิสัยของซาตานทั้งสิ้น ล้วนตรงข้ามกับความจริงและเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า  มนุษย์ไม่เหมาะที่จะได้ชื่นชมความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  แต่ทว่าพระเจ้าก็ยังคงกังวลสนพระทัยในมนุษย์ ประทานพระคุณแก่เขาในแต่ละวัน และจัดเตรียมผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบให้คอยถลุงและทดสอบเขา เพื่อให้เขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้  พระเจ้าทรงเปิดเผยมนุษย์ด้วยการใช้สภาพแวดล้อมทุกชนิด ให้เขาทบทวนตัวเองและรู้จักตนเอง เข้าใจความจริงและได้รับชีวิต  พระเจ้าทรงรักมนุษย์มากเหลือเกิน และความรักของพระองค์ก็เป็นจริงมากเสียจนมนุษย์สามารถมองเห็นและสัมผัสได้  หากเจ้ามีประสบการณ์กับทั้งหมดนี้ เจ้าจะรู้สึกได้ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์ และนี่คือความรักที่แท้จริงที่สุด  หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนั้น ก็ไม่มีใครจะสามารถบอกได้ว่ามนุษย์จะตกลงไปลึกเพียงใด!  แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่มองไม่เห็นความรักที่แท้จริงของพระเจ้า ยังคงไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เสาะแสวงที่จะอยู่เหนือผู้อื่น ปรารถนาที่จะดักจับและควบคุมผู้อื่นอยู่เสมอ  พวกเขาไม่ได้กำลังตั้งตนเป็นคู่แข่งกับพระเจ้าหรอกหรือ?  หากพวกเขายังเดินบนเส้นทางนั้นต่อไป ผลสืบเนื่องก็จะมิอาจคาดคิดได้!  พระเจ้าทรงเปิดโปงความเสื่อมทรามของมนุษย์ด้วยพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์เพื่อให้เขาได้รู้จักความเสื่อมทรามนั้น  พระองค์ทรงยุติการไล่ตามไขว่คว้าที่ผิดพลาดของมนุษย์  พระเจ้าทรงทำได้อย่างดีเลิศ!  แม้สิ่งที่พระเจ้าทรงทำจะเผยมนุษย์ออกมาและพิพากษาเขา แต่ก็ช่วยเขาให้รอดด้วย  นี่คือความรักที่แท้จริง  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับเรื่องนี้ด้วยตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะได้รับความจริงในแง่มุมนี้แล้วมิใช่หรือ?  เมื่อคนคนหนึ่งมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ด้วยตนเองและได้มาถึงความเข้าใจนี้แล้ว และเมื่อพวกเขาได้เข้าใจความจริงเหล่านี้แล้ว พวกเขายังคงรู้สึกขุ่นข้องหมองใจต่อพระเจ้าหรือไม่?  ไม่—ความขุ่นข้องหมองใจหายไปสิ้น จากนั้นพวกเขาจะสามารถนบนอบอย่างเต็มใจและแน่วแน่ต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า  ครั้งต่อไปที่มีบททดสอบหรือการถลุงเกิดขึ้น หรือเมื่อพวกเขาถูกตัดแต่ง พวกเขาจะตระหนักอย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่พระเจ้าทำย่อมถูกต้อง และพระเจ้ากำลังเปิดเผยพวกเขาและช่วยพวกเขาให้รอด  ในไม่ช้าพวกเขาจะสามารถยอมรับและนบนอบ เป็นการนบนอบพระเจ้าโดยไม่เน้นเหตุผลของตนเอง ปราศจากมโนคติอันหลงผิดและคำพร่ำบ่น  หากผู้คนสามารถนบนอบมาได้จนถึงขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ผ่านประสบการณ์กระบวนการถลุงมามากมาย และได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเอง

บทตัดตอน 13

ขณะนี้มีผู้คนมากมายที่มุ่งเน้นการไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถแสวงหาความจริงเมื่อมีสิ่งต่างๆ บังเกิดแก่ตน  หากเจ้าปรารถนาที่จะแก้ไขเหตุจูงใจที่ผิดและสภาวะที่ผิดปกติในตัวเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อที่จะทำเช่นนั้น  ก่อนอื่น เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจในการสามัคคีธรรมตามพระวจนะของพระเจ้า  แน่นอนว่าเจ้าควรเลือกผู้รับที่ถูกต้องสำหรับการสามัคคีธรรมที่เปิดกว้าง—อย่างน้อยเจ้าควรเลือกใครบางคนที่รักและยอมรับความจริง ใครบางคนที่มีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างดี เป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม  แน่นอนว่าย่อมจะดีกว่าหากเจ้าสามารถเลือกใครบางคนที่เข้าใจความจริง ที่เจ้าอาจได้รับความช่วยเหลือจากการสามัคคีธรรมของพวกเขา  การพบเจอบุคคลจำพวกที่เจ้าจะเปิดใจของเจ้าในการสามัคคีธรรมกับพวกเขาและแก้ไขความลำบากยากเย็นของเจ้าร่วมกับพวกเขานี้สามารถเกิดประสิทธิผล  หากเจ้าเลือกใครสักคนที่ไม่ใช่คนที่ถูกต้อง ใครบางคนที่ไม่รักความจริง แต่มีเพียงพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษ พวกเขาก็จะเย้ยหยันและดูหมิ่นเจ้า และพวกเขาจะด้อยค่าเจ้า  นี่ย่อมจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า  ในแง่หนึ่ง การเปิดใจและเปิดเผยตนเองเป็นแนวทางที่คนเราควรใช้ในการมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์ และยังเป็นวิธีที่คนเราควรสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงแก่ผู้อื่นอีกด้วย  จงอย่าเก็บงำสิ่งทั้งหลายไว้โดยคิดว่า “ฉันมีเหตุจูงใจและความลำบากยากเย็น  สภาวะภายในของฉันไม่ดี—เป็นลบ  ฉันจะไม่บอกใคร  ฉันจะเก็บงำเอาไว้”  หากเจ้าเก็บงำสิ่งต่างๆ ไว้ตลอดเวลาโดยไม่แก้ไข เจ้าก็จะยิ่งคิดลบมากขึ้นทุกทีและสภาวะของเจ้าก็จะยิ่งจมลึกลงไปเรื่อยๆ  เจ้าจะไม่เต็มใจอธิษฐานถึงพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ยากจะพลิกกลับ  และดังนั้น ไม่สำคัญว่าสภาวะของเจ้าเป็นอย่างไร ไม่ว่าเจ้าจะคิดลบหรืออยู่ในความลำบากยากเย็น ไม่ว่าแรงจูงใจหรือแผนการส่วนตัวของเจ้าเองจะเป็นอย่างไร ไม่สำคัญว่าเจ้าได้มารู้หรือตระหนักสิ่งใดโดยผ่านทางการตรวจสอบ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเปิดใจและสามัคคีธรรม และขณะที่เจ้าสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงพระราชกิจ  และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร?  พระองค์ประทานความรู้แจ้งและความกระจ่างแก่เจ้าและเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นความร้ายแรงของปัญหา พระองค์ทรงทำให้เจ้าตระหนักรู้รากเหง้าและแก่นแท้ของปัญหา จากนั้นก็ทำให้เจ้าเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระองค์ทีละน้อย ให้เจ้ามองเห็นเส้นทางปฏิบัติและเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อบุคคลสามารถสามัคคีธรรมได้อย่างเปิดเผย นี่ย่อมหมายความว่าพวกเขามีท่าทีที่ซื่อสัตย์ต่อความจริง  การที่บุคคลหนึ่งจะซื่อสัตย์หรือไม่นั้นประเมินวัดจากท่าทีที่พวกเขามีต่อความจริง  เมื่อคนที่ซื่อสัตย์เผชิญความลำบากยากเย็น ไม่ว่าพวกเขาจะคิดลบหรืออ่อนแอเพียงใด พวกเขาก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและมองหาผู้อื่นมาสามัคคีธรรมด้วยเสมอ พยายามหาทางออก และแสวงหาว่าจะแก้ไขปัญหาหรือความลำบากยากเย็นของตนอย่างไร เพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้มองหาคนที่จะร้องบ่นด้วยเนื่องจากความรู้สึกอึดอัดใจ หากแต่พวกเขามองหาวิธีแก้ปัญหาความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงและออกจากสิ่งนั้น  การซ่อนสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นลบและยังไม่ได้รับการแก้ไขเอาไว้ในหัวใจของคนเราจะส่งผลโดยตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่และการเข้าสู่ชีวิตของตน การไม่บริสุทธิ์และไม่เปิดเผยต่อพระเจ้าแต่กลับเก็บงำความหลอกลวงเอาไว้ในหัวใจของตนนั้นอันตรายอย่างยิ่ง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ผู้คนที่หลอกลวงก็ทำหน้าตาเสแสร้งเก่ง และไม่ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่ามีมโนคติอันหลงผิดหรือไม่พอใจอันใด พวกเขาก็จะไม่สามัคคีธรรมออกมา  ภายนอกนั้นพวกเขาดูปกติ แต่ในความเป็นจริง หัวใจของพวกเขากลับท่วมท้นไปด้วยความคิดลบจนพวกเขาแทบไม่อาจลุกยืนได้ และเจ้าก็ไม่อาจมองออกได้ ต่อให้เจ้าสามัคคีธรรมกับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่บอกความจริงกับเจ้า  พวกเขาจะไม่บอกใครๆ ว่าพวกเขานั้นเต็มด้วยคำร้องบ่น ความเข้าใจผิด และมโนคติอันหลงผิดขนาดไหน พวกเขาแทบจะไม่ปริปากถึงสิ่งต่างๆ เด็ดขาด เพราะกลัวว่าคนอื่นๆ จะดูถูกและปฏิเสธตนเองเมื่อพวกเขามองเห็นตัวตนของตนแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง แต่พวกเขาก็ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต และไม่ได้แสวงหาหลักธรรมความจริงในอะไรก็ตามที่พวกเขาทำ ภายนอกพวกเขาดูเหมือนเมินเฉย ไม่มีพลังที่จะเดินหน้า อีกทั้งยังไม่ตามหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณบอกวิกฤต  ในหัวใจของคนเหล่านั้นที่ไม่แสวงหาความจริง จะมีความเจ็บป่วย ความเจ็บป่วยนั้นอยู่ในหัวใจ และพวกเขากลัวการถูกเปิดเผยสู่ความสว่าง พวกเขาเก็บทุกอย่างไว้แน่นหนาไม่กล้าเปิดใจกับผู้อื่น ไม่มีการหมุนเวียนของชีวิต นำไปสู่การที่ความเจ็บป่วยในหัวใจของพวกเขาที่กลายเป็นเนื้อร้าย และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตกอยู่ในอันตราย  หากผู้คนไม่อาจเป็นผู้พิสุทธิ์และเปิดใจยอมรับความจริงได้ และหากพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยการสามัคคีธรรมความจริง เช่นนี้แล้วผู้คนดังกล่าวย่อมจะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างถูกควร ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะต้องถูกเปิดเผยและกำจัดออกไป

บทตัดตอน 14

เจ้าต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอันใดที่เกิดขึ้น ไม่สำคัญว่านั่นคือสิ่งใด และไม่ปลอมแปลงตัวเองหรือสวมใบหน้าเทียมเท็จต่อผู้อื่นในวิถีทางใดเลย  ข้อบกพร่องของเจ้า ความขาดตกบกพร่องของเจ้า ความผิดของเจ้า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า—จงเปิดกว้างอย่างครบบริบูรณ์เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และสามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  จงอย่าเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใน  การเรียนรู้วิธีเปิดใจตัวเอง คือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต และนี่คืออุปสรรคขวางกั้นแรก ซึ่งเอาชนะได้ลำบากยากเย็นที่สุด  ทันทีที่เจ้าได้เอาชนะอุปสรรคขวางกั้นนั้นแล้ว การเข้าสู่ความจริงก็ย่อมง่าย  การลงมือทำขั้นตอนนี้มีนัยสำคัญว่ากระไร?  การนี้หมายความว่าเจ้ากำลังเปิดกว้างหัวใจของเจ้าและกำลังแสดงทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ามี ไม่ว่าดีหรือแย่ เป็นบวกหรือเป็นลบ โดยแผ่ตัวเองออกให้ผู้อื่นเห็นและให้พระเจ้าทอดพระเนตร ไม่ซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า ไม่ปกปิดสิ่งใด ไม่ปลอมแปลงสิ่งใด ปลอดเล่ห์ลวงและเล่ห์เพทุบาย และเปิดกว้างและซื่อสัตย์ต่อผู้คนอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน  ในหนทางนี้ เจ้าย่อมใช้ชีวิตอยู่ในความสว่าง และไม่เพียงแค่พระเจ้าจะทรงพินิจพิเคราะห์เจ้าเท่านั้น แต่ผู้คนอื่นๆ ด้วยเช่นกันที่จะมีความสามารถมองเห็นได้ว่าเจ้าปฏิบัติตนโดยมีหลักธรรมและความโปร่งใสระดับหนึ่ง  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการอันใดมาปกป้อง ความมีหน้ามีตา ภาพลักษณ์ และสถานะของเจ้า และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังหรืออำพรางความผิดพลาดของเจ้า  เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามที่เปล่าประโยชน์เหล่านี้  หากเจ้าสามารถปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะผ่อนคลายเป็นอย่างมาก เจ้าจะมีชีวิตที่ปราศจากการบีบบังคับหรือความเจ็บปวด และเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างโดยบริบูรณ์  การเรียนรู้วิธีเปิดใจเวลาที่เจ้าสามัคคีธรรมคือขั้นตอนแรกสู่การเข้าสู่ชีวิต  อันดับถัดไป เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะชำแหละความคิดและการกระทำของตนเองเพื่อดูว่ามีสิ่งใดผิด และมีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่โปรด และเจ้าจำเป็นต้องพลิกสิ่งเหล่านั้นกลับมาทันทีและแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง  อะไรคือจุดประสงค์ของการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง?  นั่นคือการยอมรับและรับเอาความจริง ในขณะที่กำจัดสิ่งทั้งหลายภายในตัวเจ้าที่มีธรรมชาติของซาตานและแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยความจริง  ก่อนหน้านี้เจ้าทำทุกสิ่งตามอุปนิสัยอันหลอกลวงของเจ้า ซึ่งคือการโกหกและหลอกลวง เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้สำเร็จหากไม่พูดปด  บัดนี้ที่เจ้าเข้าใจความจริงและเกลียดชังหนทางแห่งการทำสิ่งทั้งหลายของซาตาน เจ้าก็ไม่กระทำการในหนทางนั้นอีกต่อไป เจ้ากระทำการด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ซื่อสัตย์ สะอาดบริสุทธิ์ และนบนอบ  หากเจ้าไม่ปิดบังอะไรเอาไว้ หากเจ้าไม่มีการปั้นหน้า การเสแสร้งแกล้งทำ หรือปกปิดสิ่งทั้งหลายไว้ หากเจ้าตีแผ่ตัวเองต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ไม่ซ่อนเร้นแนวคิดและความคิดในส่วนลึกที่สุดของเจ้าเอาไว้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เห็นท่าทีที่ซื่อสัตย์ของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความจริงย่อมจะค่อยๆ หยั่งรากในตัวเจ้า ความจริงย่อมจะเบ่งบานและเกิดผล ความจริงย่อมจะให้ผลลัพธ์ทีละน้อย  หากหัวใจของเจ้าซื่อสัตย์มากขึ้นเรื่อยๆ และฝักใฝ่ต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และหากเจ้ารู้จักการอารักขาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมโนธรรมของเจ้าต้องเดือดร้อนในยามที่เจ้าล้มเหลวที่จะอารักขาผลประโยชน์เหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าความจริงได้มีผลในตัวเจ้าแล้ว และได้กลายเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว  ทันทีที่ความจริงกลายเป็นชีวิตของเจ้าด้วย ยามที่เจ้าสังเกตเห็นใครบางคนหมิ่นประมาทพระเจ้า ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า และขอไปทีระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา หรือขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร เจ้าจะโต้ตอบตามหลักธรรมความจริง และจะสามารถระบุและเปิดโปงสิ่งเหล่านั้นตามจำเป็น  หากความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้ายังคงดำรงชีวิตภายในอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ยามที่เจ้าพบคนชั่วและมารที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนต่องานของคริสตจักร เจ้าจะทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เจ้าจะปัดเรื่องเหล่านั้นไปก่อน โดยไม่มีการตำหนิมาจากมโนธรรมของเจ้า  เจ้าจะถึงขั้นคิดเสียด้วยซ้ำว่า การที่ใครบางคนที่เป็นเหตุให้เกิดการก่อกวนต่องานในคริสตจักรนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย  ไม่ว่างานของคริสตจักรและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าจะเสียหายเพียงใด เจ้าก็ไม่ใส่ใจ ไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย หรือรู้สึกผิด—ซึ่งทำให้เจ้าเป็นใครบางคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นคนลงแรง  เจ้ากินสิ่งที่เป็นของพระเจ้า ดื่มสิ่งที่เป็นของพระเจ้า และสุขสำราญกับทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าความเสียหายใดๆ ที่เกิดกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้านั้นไม่เกี่ยวกับเจ้า—ซึ่งทำให้เจ้าเป็นคนทรยศที่แว้งกัดมือที่ชุบเลี้ยงเจ้า  หากเจ้าไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้ายังนับเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?  นี่คือปีศาจที่แฝงตัวเข้ามาในคริสตจักร  เจ้าแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า แกล้งทำตัวเป็นประชากรคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และเจ้าต้องการทำตัวเอาแต่กินอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้าไม่ได้ดำรงชีวิตแบบมนุษย์คนหนึ่ง เหมือนปีศาจมากกว่าคน และเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ไม่เชื่ออย่างชัดเจน  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้ายังไม่ได้รับความจริงและชีวิต อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะพูดและกระทำการจากฝั่งของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็จะไม่ยืนอยู่เฉยๆ เมื่อเจ้าเห็นว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ากำลังได้รับความเสียหาย เมื่อเจ้านึกอยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เจ้าก็จะรู้สึกผิด และไม่สบายใจ และจะพูดกับตนเองว่า “ฉันจะนั่งอยู่ตรงนี้และไม่ทำสิ่งใดเลยไม่ได้  ฉันต้องลุกขึ้นพูดอะไรสักอย่าง ฉันต้องรับผิดชอบ ฉันต้องเปิดโปงพฤติกรรมชั่วนี้ ฉันต้องหยุดยั้งสิ่งนี้ เพื่อให้ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่เป็นอันตราย และชีวิตคริสตจักรไม่ถูกรบกวน”  หากความจริงได้กลายเป็นชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแค่เจ้าจะมีความกล้าหาญและการตัดสินใจแน่วแน่นี้ และเจ้าจะสามารถเข้าใจเรื่องนั้นอย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น แต่เจ้ายังจะลุล่วงความรับผิดชอบที่เจ้าควรทำเพื่อพระราชกิจของพระเจ้าและเพื่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระองค์ด้วย และหน้าที่ของเจ้าก็จะได้รับการทำให้ลุล่วงด้วยเหตุนั้น  หากเจ้าสามารถพิจารณาหน้าที่ของเจ้า เสมือนเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพัน และเสมือนพระบัญชาของพระเจ้า และเจ้ารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเผชิญหน้ากับพระเจ้าและมโนธรรมของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ใช้ชีวิตตามความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือ?  ความประพฤติและพฤติกรรมของเจ้าก็คงจะเป็น “การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” ที่พระองค์ตรัสถึง  เจ้าจะปฏิบัติแก่นแท้ของพระวจนะเหล่านี้และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของพระวจนะเหล่านี้  เมื่อความจริงกลายเป็นชีวิตของบุคคลหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงนี้  แต่หากเจ้ายังไม่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงนี้ เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าเผยให้เห็นเล่ห์ลวง การหลอกลวง หรือการอำพราง หรือเมื่อเจ้ามองเห็นกองกำลังอันชั่วที่เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ก่อกวนและขัดขวางงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เจ้าย่อมไม่รู้สึกอะไร และไม่รับรู้สิ่งใด  แม้เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นใต้จมูกของเจ้า เจ้าก็ยังคงสามารถหัวเราะ และยังคงสามารถกินอิ่มนอนหลับด้วยมโนธรรมที่เบาสบาย และเจ้าไม่รู้สึกตำหนิตนเองแม้แต่น้อย  จากชีวิตสองแบบที่พวกเจ้าสามารถใช้ในการดำเนินชีวิต พวกเจ้าเลือกแบบใด?  ชัดเจนอยู่ในตัวแล้วมิใช่หรือว่าชีวิตแบบใดมีสภาพเสมือนมนุษย์โดยแท้ มีความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวก และชีวิตแบบใดมีธรรมชาติที่เลวเยี่ยงปีศาจและประกอบด้วยสิ่งที่เป็นลบ?  เมื่อความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของผู้คน เมื่อนั้นสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตย่อมน่าเวทนาและน่าเศร้าทีเดียว  การไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติความจริง แม้ว่าพวกเขาต้องการที่จะปฏิบัติ การไร้ความสามารถที่จะรักพระเจ้า แม้ว่าพวกเขาปรารถนาที่จะรัก และการขาดพร่องเรี่ยวแรงที่จะสละตัวเองเพื่อพระเจ้า แม้พวกเขาโหยหาที่จะทำเช่นนั้น—พวกเขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้—นี่คือความน่าเวทนาและน่าเศร้าของเหล่ามนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทราม  การที่จะแก้ไขปัญหานี้ คนเราต้องยอมรับและไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาต้องเปิดรับความจริงเข้าสู่หัวใจของพวกเขาเพื่อที่จะมีชีวิตใหม่  ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือคิดสิ่งใดตามลำพังตนเอง คนที่ไม่สามารถยอมรับความจริงย่อมไม่สามารถปฏิบัติความจริงเช่นกัน และเมื่อมองจากภายนอก ต่อให้พวกเขาทำได้ดี นั่นก็เป็นการเสแสร้งและหลอกลวงอยู่ดี—ยังคงเป็นความหน้าซื่อใจคด  เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้มาซึ่งชีวิต และนั่นคือรากของปัญหา

ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง แต่โดยมากแล้วพวกเขาแค่มีปณิธานและความพึงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น ความจริงยังไม่ได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา  ผลก็คือ เมื่อพวกเขามาเจอกับกำลังบังคับชั่วหรือเผชิญกับคนชั่วและคนไม่ดีที่ประกอบความประพฤติชั่ว หรือเหล่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ที่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางที่ละเมิดหลักธรรม—อันเป็นการก่อกวนงานของคริสตจักรและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—พวกเขาสูญเสียความกล้าที่จะยืนขึ้นและพูดออกมา  นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า?  นั่นหมายความว่าเจ้าขี้ขลาดหรือพูดไม่ออกใช่หรือไม่?  หรือเป็นที่เจ้าไม่เข้าใจอย่างถี่ถ้วน และจึงไม่มีความมั่นใจที่จะพูดขึ้นมา?  ไม่ใช่ที่กล่าวมาเลย นี่เป็นผลสืบเนื่องของการถูกอุปนิสัยที่เสื่อมทรามตีกรอบเอาไว้  หนึ่งในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายที่เจ้าเปิดเผยออกมาคืออุปนิสัยหลอกลวงของเจ้า เมื่อเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นกับเจ้า สิ่งแรกที่เจ้าคิดถึงคือผลประโยชน์ทั้งหลายของตนเอง สิ่งแรกที่เจ้าพิจารณาคือผลที่ตามมาว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหรือไม่  นี่เป็นอุปนิสัยหลอกลวงใช่หรือไม่?  อุปนิสัยอีกอย่างหนึ่งคืออุปนิสัยเห็นแก่ตัวและต่ำช้า  เจ้าคิดว่า “การสูญเสียผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเกี่ยวอะไรกับฉันหรือ?  ฉันไม่ใช่ผู้นำ ดังนั้น ทำไมฉันควรใส่ใจด้วยเล่า?  ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย  นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉัน”  ความคิดและคำพูดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าคิดอย่างมีสติรู้ตัว แต่เกิดจากจิตใต้สำนึกของเจ้า—ซึ่งเป็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เปิดเผยออกมาเมื่อผู้คนเผชิญประเด็นปัญหา  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ครอบงำวิธีคิดของเจ้า สิ่งเหล่านี้มัดมือและเท้าของเจ้า และควบคุมสิ่งที่เจ้าพูด  ในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องการลุกขึ้นและพูด แต่เจ้ามีความเคลือบแคลง และแม้เมื่อเจ้าได้พูดออกมา เจ้ากลับพูดจาอ้อมค้อม และเหลือโอกาสไว้ให้ตัวเองเปลี่ยนใจ หรือไม่เช่นนั้น เจ้าก็เลี่ยงที่จะพูดและไม่พูดความจริง  ผู้คนที่มีดวงตาอันชัดเจนย่อมสามารถมองเห็นสิ่งนี้ ในความจริงนั้น เจ้ารู้อยู่แก่ใจของเจ้าว่าเจ้าไม่ได้พูดทั้งหมดที่เจ้าควรพูด รู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดไม่มีผลกระทบใดเลย เจ้าเพียงแสร้งทำพอเป็นพิธี และปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข  เจ้ายังมิได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า แต่เจ้ากลับพูดอย่างเปิดเผยว่าเจ้าได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าแล้ว หรือพูดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่ชัดเจนสำหรับเจ้า  นี่เป็นเรื่องจริงหรือ?  และนี่เป็นสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ใช่หรือไม่?  เช่นนั้นแล้ว เจ้าไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  แม้บางสิ่งที่เจ้าพูดนั้นสอดคล้องกับข้อเท็จจริง แต่ในส่วนที่สำคัญและประเด็นปัญหาที่สำคัญยิ่ง เจ้ายังคงโกหกและหลอกลวงผู้คน นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนโกหกและดำเนินชีวิตด้วยอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดและคิดผ่านกระบวนการในสมองของเจ้า นำไปสู่ทุกถ้อยคำของเจ้าที่เป็นเท็จ ว่างเปล่า โกหก อันที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดล้วนตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเจ้าเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเจ้าเอง และเจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้สัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของเจ้าเมื่อเจ้าชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำให้พวกเขาหลงเชื่อ  นั่นเป็นวิธีการพูดของเจ้า ที่แสดงถึงอุปนิสัยของเจ้าด้วย  เจ้าถูกควบคุมโดยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าโดยสิ้นเชิง  เจ้าไม่มีพลังอำนาจเหนือสิ่งที่เจ้าพูดและทำ  ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจบอกความจริงหรือพูดสิ่งที่เจ้าคิดจริงๆ ได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจปฏิบัติตามความจริงได้ ต่อให้เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่อาจลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าได้  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูด ทำ และปฏิบัติคือการโกหก และเจ้าก็ขอไปทีไม่มีผิดเลย  เจ้าถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าล่ามโซ่ตรวนและควบคุมอย่างสิ้นเชิง  เจ้าอาจต้องการที่จะยอมรับและปฏิบัติความจริง แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า  เมื่ออุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าควบคุมเจ้า เจ้าก็พูดและทำอะไรก็ตามที่อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าบอกให้เจ้าทำ  เจ้าเป็นเพียงหุ่นเชิดของเนื้อหนังอันเสื่อมทราม เจ้ากลายเป็นเครื่องมือของซาตานไปแล้ว  เจ้าย่อมรู้สึกเสียใจในภายหลังที่ทำตามเนื้อหนังอันเสื่อมทรามอีกครั้งแล้ว เสียใจว่าเจ้าล้มเหลวที่จะปฏิบัติความจริงได้อย่างไร  เจ้าคิดในใจว่า “ฉันไม่สามารถเอาชนะเนื้อหนังด้วยตนเองได้และต้องอธิษฐานถึงพระเจ้า  ฉันไม่ได้ลุกขึ้นมาหยุดยั้งคนที่ก่อกวนงานของคริสตจักร และมโนธรรมของฉันก็ทำให้ฉันรู้สึกหนักอึ้ง  ฉันตั้งใจแน่วแน่ไว้แล้วว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นอีก ฉันต้องลุกขึ้นมาตัดแต่งคนที่บุ่มบ่ามทำเรื่องไม่ดีขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนและก่อกวนงานของคริสตจักร เพื่อที่พวกเขาจะได้ประพฤติตัวให้ดีและเลิกกระทำการโดยไม่ยั้งคิด”  ในที่สุดหลังจากรวบรวมความกล้าที่จะพูดออกมา ทันทีที่อีกฝ่ายโมโหและทุบโต๊ะ เจ้าก็หวาดกลัวและยอมถอยให้  เจ้าสามารถกำกับดูแลได้หรือไม่?  ความมุ่งมั่นและการตั้งใจแน่วแน่มีประโยชน์อันใด?  ไร้ประโยชน์ทั้งคู่  พวกเจ้าต้องเคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มามาก เช่น เมื่อเจ้าประสบความยุ่งยาก เจ้าก็ยกมือยอมแพ้ เจ้ารู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้และตัดใจว่าตนนั้นหมดหวัง เจ้าปล่อยให้ตัวเองทอดอาลัยและพิจารณาว่าตัวเจ้าสิ้นหวังแล้ว คราวนี้เจ้าย่อมถูกกำจัดออกไปอย่างสิ้นเชิง  เจ้ายอมรับว่าตัวเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่กลับใจ?  เจ้าปฏิบัติความจริงบ้างหรือไม่?  หลังจากที่เข้ามาฟังคำเทศนาอยู่หลายปี แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่เข้าใจอะไรเลย  เหตุใดเจ้าจึงไม่ปฏิบัติความจริงแต่อย่างใด?  เจ้าไม่เคยแสวงหาความจริง ส่วนการปฏิบัติความจริงก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง  เจ้าเอาแต่อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ แสดงความมุ่งมั่น ตั้งปณิธาน และปฏิญาณอยู่ในหัวใจ  แล้วผลเป็นอย่างไร?  เจ้ายังคงชอบเอาใจผู้คน ไม่ยอมเปิดเผยว่าเจ้าประสบปัญหาอะไร เจ้าไม่สนใจไยดีเรื่องคนชั่วเวลาพบเห็นพวกเขา เจ้าไม่ตอบโต้เวลาใครบางคนทำความชั่วหรือลงมือก่อกวน และเจ้าก็ยังคงปลีกตัวอยู่ห่างๆ เมื่อไม่ได้รับผลกระทบเป็นการส่วนตัว  เจ้าคิดว่า “ฉันไม่คุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง  ตราบใดที่ไม่ทำให้ฉันเสียประโยชน์ เสียความทะนงตน หรือเสียภาพลักษณ์ ฉันก็ไม่สนใจทุกสิ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น  ฉันต้องระวังให้มาก เพราะนกที่ยื่นคอยืดยาวย่อมถูกยิง  ฉันจะไม่ทำอะไรที่โง่เขลา!”  เจ้าถูกอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตนอันได้แก่ ความเลว ความหลอกลวง ความแข็งกระด้าง และการรังเกียจความจริงควบคุมอย่างสิ้นเชิงและเหนียวแน่น  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องที่เจ้าทนรับได้ยากยิ่งกว่าห่วงทองที่รัดหัว[ก]พญาวานร  การใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามนั้นเหนื่อยล้าและทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง!  พวกเจ้าคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง การที่เจ้าจะทิ้งความเสื่อมทรามของตนใช่เรื่องง่ายหรือไม่?  จะแก้ปัญหานี้ได้หรือไม่?  เราบอกพวกเจ้าเลยว่าถ้าพวกเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและเชื่ออย่างเลอะเลือน ถ้าพวกเจ้าฟังคำเทศนามาหลายปีโดยไม่ปฏิบัติความจริง ถ้าเจ้าเชื่อไปจนถึงปลายทาง แต่ทำได้เพียงเอ่ยวาจาและคำสอนไม่กี่อย่างเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนจอมปลอมทางศาสนาอย่างเต็มขั้น เป็นฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด และเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าย่อมจะมาสุดทางแล้ว  นี่จะเป็นจุดจบของพวกเจ้า  ถ้าเจ้าเลวกว่านี้อีก เช่นนั้นแล้วก็อาจมีเหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าตกอยู่ในการทดลอง ทิ้งหน้าที่ของตน และกลายเป็นคนที่ทรยศพระเจ้า—ในกรณีนั้นเจ้าย่อมจะรั้งท้ายไปแล้ว และจะถูกกำจัดออกไป  นี่คือการอยู่ตรงปากเหวตลอดเวลา!  ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าการไล่ตามเสาะหาความจริง  ไม่มีสิ่งใดดีกว่าการปฏิบัติความจริง

เชิงอรรถ:

ก. ห่วงทองสวมหัวของพญาวานรเป็นของสำคัญที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมโบราณของจีนเรื่อง “การเดินทางสู่ตะวันตก”  ในเรื่องมีการใช้ห่วงทองสวมหัวไว้ควบคุมความคิดและการกระทำของพญาวานรโดยรัดกะโหลกของมันให้เกิดความเจ็บปวด เป็นการรับมือพฤติกรรมที่ปกครองยาก


บทตัดตอน 15

หากผู้คนมีหัวใจที่รักความจริง พวกเขาจะมีความเข้มแข็งที่จะแสวงหาความจริง และสามารถทำงานหนักในการปฏิบัติความจริง  พวกเขาสามารถละทิ้งสิ่งที่ควรละทิ้ง และปล่อยวางสิ่งที่ควรปล่อยวาง โดยเฉพาะสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวกับชื่อเสียง ผลกำไรหรือสถานะของเจ้าเอง ซึ่งควรที่จะปล่อยวาง  หากเจ้าไม่ยอมปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป นั่นหมายความว่าเจ้าไม่รักความจริง และไม่มีความเข้มแข็งที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นกับเจ้า เจ้าต้องแสวงหาความจริงและปฏิบัติความจริง  หากในเวลาเหล่านั้นที่เจ้าจำเป็นต้องปฏิบัติความจริง เจ้ามีจิตใจที่เห็นแก่ตัวอยู่เสมอ และไม่สามารถปล่อยวางจากผลประโยชน์ส่วนตน พวกเจ้าก็จะไม่สามารถนำความจริงมาปฏิบัติได้  หากเจ้าไม่เคยแสวงหาหรือปฏิบัติความจริงในรูปการณ์แวดล้อมใด พวกเจ้าก็ไม่ใช่บุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริง  ไม่ว่าพวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามากี่ปีแล้วก็ตาม พวกเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งความจริง  บางคนกำลังแสวงหาชื่อเสียง ผลกำไรและผลประโยชน์ส่วนตนอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าคริสตจักรจัดการเตรียมงานอะไรให้แก่พวกเขา พวกเขาก็คิดตรึกตรองเสมอว่า “ฉันจะได้ประโยชน์หรือไม่?  หากจะได้ ฉันจึงจะทำ หากจะไม่ได้ ฉันก็จะไม่ทำ”  คนแบบนี้ไม่ปฏิบัติความจริง—แล้วพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือ?  แน่นอนว่าไม่ได้  ต่อให้เจ้าไม่เคยทำความชั่วมาก่อน เจ้าก็ยังไม่ใช่บุคคลที่ปฏิบัติความจริง  หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และไม่ว่าอะไรตกมาถึงเจ้า เจ้าก็สนใจเพียงความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเจ้าเอง ผลประโยชน์ส่วนตนและสิ่งที่ดีงามต่อเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น และเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและต่ำทราม  คนแบบนี้เชื่อในพระเจ้าเพื่อได้รับบางสิ่งที่ดีหรือเป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ไม่ใช่เพื่อได้มาซึ่งความจริงหรือความรอดของพระเจ้า  ด้วยเหตุนั้น ผู้คนจำพวกนี้จึงเป็นผู้ไม่เชื่อ  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถแสวงหาและปฏิบัติความจริง เมื่อพวกเขาตระหนักในหัวใจว่าพระคริสต์คือความจริง และว่าพวกเขาควรที่จะรับฟังพระวจนะของพระเจ้า และเชื่อในพระองค์ดังที่พระองค์ทรงเรียกร้อง  หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า แต่คำนึงถึงความมีหน้ามีตาและสถานะของเจ้าเอง และคำนึงถึงหน้าตาของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว การปฏิบัติความจริงก็จะลำบากยากเย็น  ในสถานการณ์เช่นนั้น  คนเหล่านั้นที่รักความจริงก็จะสามารถปล่อยวางสิ่งที่อยู่ในผลประโยชน์ของตนเองหรือดีต่อตนเอง ปฏิบัติความจริง และนบนอบต่อพระเจ้าได้ โดยผ่านทางการอธิษฐาน การแสวงหา และการทบทวนตัวเอง รวมไปถึงการตระหนักถึงตัวตน  ผู้คนเหล่านี้คือบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและรักความจริงอย่างแท้จริง  และเมื่อผู้คนคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาพยายามปกป้องความเย่อหยิ่งและความถือดีของตนอยู่เสมอ เมื่อพวกเขาเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทราม แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยนั้น ผลสืบเนื่องคืออะไร?  คือการที่พวกเขาไม่มีการเข้าสู่ชีวิต คือการที่พวกเขาขาดคำพยานจากประสบการณ์ที่แท้จริง  และนี่ย่อมเป็นอันตรายมิใช่หรือ?  หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่มีคำพยานจากประสบการณ์ เช่นนั้นแล้วเมื่อถึงเวลา เจ้าก็จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป  ผู้คนที่ไม่มีคำพยานจากประสบการณ์มีประโยชน์อะไรหรือในพระนิเวศของพระเจ้า?  พวกเขาย่อมไม่แคล้วที่จะทำหน้าที่ใดได้ไม่ดี และไม่สามารถทำสิ่งใดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  พวกเขาเป็นเพียงขยะมิใช่หรือ?  หลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี หากผู้คนไม่เคยปฏิบัติความจริง พวกเขาก็คือผู้ไม่เชื่อ พวกเขาเป็นคนชั่ว  หากเจ้าไม่เคยปฏิบัติความจริง หากการฝ่าฝืนของเจ้าเพิ่มจำนวนครั้งมากขึ้นทุกที เช่นนั้นจุดจบของเจ้าก็ถูกกำหนดไว้แล้ว  เห็นได้ชัดว่าการฝ่าฝืนทั้งหมดของเจ้า เส้นทางผิดๆ ที่เจ้าใช้เดิน และการที่เจ้าไม่ยอมกลับใจ ล้วนก่อให้เกิดความประพฤติชั่วมากมาย และดังนั้นจุดจบของเจ้าก็คือว่าเจ้าจะไปนรก—เจ้าจะถูกลงโทษ  พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญกระนั้นหรือ?  หากเจ้ายังไม่ถูกลงโทษ เจ้าจะไม่สำนึกว่านี่น่าหวาดกลัวเพียงใด  เมื่อวันนั้นมาถึงตรงที่เจ้าเผชิญหายนะเข้าจริงๆ และเจ้าเผชิญหน้าความตาย นั่นย่อมสายเกินไปที่จะเสียใจ  หากในความเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับความจริง และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้า ผลสุดท้ายย่อมเป็นว่าเจ้าจะถูกกำจัดออกไป และถูกทอดทิ้ง  ทุกคนมีการฝ่าฝืน  กุญแจสำคัญในการแก้ไขการฝ่าฝืนเหล่านั้นก็คือการแสวงหาความจริง และนี่จะทำให้แน่ใจได้ว่าการฝ่าฝืนเหล่านั้นลดน้อยลงทุกที  หากเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเปิดเผยถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าสามารถอธิษฐานถึงและพึ่งพาพระเจ้า แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข และชำระล้างอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าให้บริสุทธิ์ได้เสมอ เมื่อนั้นเจ้าก็จะไม่ได้ทำความชั่ว  นี่คือวิธีที่ผู้มีความเชื่อควรแก้ไขปัญหาการมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และนี่คือวิธีการที่จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า  หากเจ้าไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าและไม่เคยแสวงหาความจริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ทั้งหลายขึ้นกับเจ้า หรือหากเจ้าเข้าใจความจริง แต่กลับไม่นำไปปฏิบัติ ผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร?  สิ่งนี้ประจักษ์ชัดในตัวเอง  ต่อให้เจ้าอาจเป็นนักพูดที่ลื่นไหลและฉลาดแกมโกง เจ้าสามารถหลบพ้นการพินิจพิเคราะห์ด้วยดวงเนตรของพระเจ้าได้หรือ?  พวกเจ้าสามารถหลีกหนีจากการจัดวางเรียบเรียงโดยพระหัตของพระองค์ได้หรือไม่?  เป็นไปไม่ได้  ผู้คนที่มีปัญญาจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับใจ ฝากความหวังไว้กับพระองค์ พึ่งพาพระองค์ แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และปฏิบัติความจริง  เมื่อนั้นเจ้าจึงจะได้ชนะเนื้อหนัง และชนะการทดลองของซาตานได้  ต่อให้พวกเจ้าล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง พวกเจ้าก็ต้องพากเพียร  เมื่อเจ้าพากเพียรฟันฝ่าอุปสรรคทั้งปวง ก็ย่อมมีช่วงเวลาที่เจ้าจะประสบความสำเร็จ และเจ้าจะได้รับพระคุณของพระเจ้า ความกรุณาของพระองค์ และพระพรของพระองค์ และเจ้าก็จะสามารถเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย

เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ กับพวกเจ้า บ่อยเพียงใดที่พวกเจ้าเลือกที่จะปฏิบัติความจริง และปกป้องพระราชกิจของพระเจ้าเอาไว้?  (ไม่บ่อย  โดยมากข้าพระองค์เลือกที่จะดำรงภาพลักษณ์หรือผลประโยชน์ส่วนตัว และข้าพระองค์รู้สึกตัวในภายหลัง แต่มันยากที่จะกบฏต่อตัวเอง  หากมีใครสักคนสามัคคีธรรมกับข้าพระองค์เกี่ยวกับความจริง นั่นจะทำให้ข้าพระองค์เข้มแข็งขึ้นมาบ้าง และข้าพระองค์ก็สามารถกบฏต่อตัวเองได้บ้าง  แต่เมื่อไม่มีผู้ใดมาสามัคคีธรรมกับข้าพระองค์เกี่ยวกับความจริง ข้าพเจ้าจึงกลายเป็นคนที่เหินห่างจากพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะนี้ตลอดมา)  การที่จะกบฏต่อเนื้อหนังนั้นยากลำบาก และการที่จะปฏิบัติความจริงก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะเจ้ามีธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่รั้งเจ้าเอาไว้ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่รบกวนเจ้า และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขได้หากไม่เข้าใจความจริง  พวกเจ้าสามารถใช้เวลาอย่างสงบนิ่งในการทรงสถิตของพระเจ้าได้นานเท่าไรต่อวัน?  เจ้าสามารถไปต่อได้กี่วันโดยไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าก่อนที่จะรู้สึกแห้งเหี่ยวทางจิตวิญญาณ?  (ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่สามารถไปต่อได้แม้แต่วันเดียวหากไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า  ข้าพเจ้าต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าสักหนึ่งบทตอนในตอนเช้าและเพ่งพิจารณาบทตอนนั้น  ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น  หากมีวันใดที่ข้าพเจ้าสาละวนมีธุระยุ่งกับการทำงาน ไม่กินหรือดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือไม่ค่อยอธิษฐาน ข้าพเจ้าก็รู้สึกห่างไกลจากพระเจ้าอย่างมาก)  หากพวกเจ้าสำนึกได้ว่าพวกเจ้าจะห่างเหินจากพระองค์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ยังมีความหวังสำหรับเจ้า  หากเจ้าเป็นผู้เชื่อและต้องการได้มาซึ่งความจริง เจ้าไม่สามารถนิ่งเฉยและรอให้ใครมาสามัคคีธรรมกับเจ้าเกี่ยวกับความจริง  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างแข็งขัน อธิษฐานถึงพระเจ้า และแสวงหาความจริง  หากเจ้ารอจนจิตวิญญาณของเจ้ามืดมน และเจ้าไม่สามารถสัมผัสถึงพระเจ้าก่อนที่จะกินหรือดื่มพระวจนะของพระองค์ หรืออธิษฐานต่อพระองค์ เจ้าก็ทำได้เพียงดำรงสภาวะที่เป็นอยู่เอาไว้เท่านั้น  การสามารถดำรง “ความเชื่อ” อันน้อยนิดเอาไว้ย่อมจะดีมากแล้ว แต่ชีวิตของเจ้าจะไม่มีการเติบโต และเมื่อใดที่จิตวิญญาณของเจ้ากลายเป็นแห้งเหือดและด้านชา และเจ้าได้กลายเป็นเหินห่างจากพระเจ้ามากเกินไป เมื่อนั้นเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย  การทดลองตกมาถึงเจ้าครั้งเดียวเจ้าก็ล้มคว่ำลงแล้ว เจ้าจะถูกซาตานจับเป็นเชลยอย่างง่ายดาย  หากเจ้าไม่มีประสบการณ์เลย ไม่เข้าใจความจริง ไม่มุ่งเน้นทั้งการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่ฟังบทเทศน์ทั้งหลาย และขาดชีวิตฝ่ายวิญญาณที่เป็นปกติ เช่นนั้นก็จะลำบากยากเย็นที่เจ้าจะเติบโตในวุฒิภาวะ และแน่นอนว่า เจ้าจะก้าวหน้าเชื่องช้าเกินไป  อะไรเป็นเหตุผลของความก้าวหน้าที่เชื่องช้านี้?  และผลสืบเนื่องของมันคืออะไร?  เจ้าต้องชัดเจนในสิ่งเหล่านี้  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงเปิดโปงความเสื่อมทรามของผู้คนในลักษณะใด  พวกเขาควรนบนอบและยอมรับมัน พวกเขาควรทบทวนตัวเองและเปรียบเทียบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่พวกเขาอาจสัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง และค่อยๆ เข้าใจความจริง  นี่เป็นที่ยินดีที่สุดต่อพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำงานในตัวพวกเขาอย่างแน่นอน และพวกเขาก็จะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน  เจ้าต้องเก็บพระวจนะของพระเจ้าและความจริงไว้ในหัวใจของพวกเจ้าตลอดเวลา เพื่อยามที่เจ้าเผชิญกับปัญหาหนึ่งในชีวิตจริง เจ้าก็สามารถเชื่อมโยงและเปรียบเทียบปัญหานั้นกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง  เมื่อนั้นปัญหาจะง่ายในการแก้ไข  ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนล้วนอยากมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย นั่นเป็นบางสิ่งที่ทุกคนใฝ่ถึง แต่เจ้าควรปฏิบัติเพื่อการนี้อย่างไรในชีวิตประจำวัน?  อย่างแรกคือเจ้าต้องมีกิจวัตรประจำ เช่น ไม่กินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ หรือต้องห้าม และควรออกกำลังกายในปริมาณที่พอเหมาะพอควร  เมื่อผสมผสานวิธีการเหล่านี้เข้าด้วยกันและทุกสิ่งที่เจ้าปฏิบัติวนเวียนอยู่กับเป้าหมายของการมีสุขภาพกายที่ดี เจ้าก็จะเห็นผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป  ไม่กี่ปีให้หลัง เจ้าก็จะมีสุขภาพที่ดีกว่าผู้อื่นและจะได้รับผลลัพธ์ที่ดี  เจ้าได้ผลลัพธ์เหล่านั้นมาอย่างไรหรือ?  นั่นก็เป็นเพราะการกระทำและเป้าหมายของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกัน และการปฏิบัติและทฤษฎีของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกัน  นี่ก็เหมือนกันกับการที่เชื่อในพระเจ้า  หากเจ้าเสาะแสวงที่จะเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งรักความจริงและปฏิบัติความจริง และเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งมีอุปนิสัยเปลี่ยนไป เช่นนั้นแล้ว เมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า เจ้าต้องเชื่อมโยงเหตุการณ์เหล่านั้นเข้ากับเป้าหมายที่เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาและความจริงที่เกี่ยวข้อง  ไม่ว่าเป้าหมายที่เจ้าไล่ตามเสาะหาอาจเป็นอะไรก็ตาม ตราบที่เป้าหมายเหล่านั้นเป็นสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ เป้าหมายเหล่านั้นก็เป็นทิศทางและเป้าหมายที่ต้องไล่ตามเสาะหาในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น การติดตามทางแห่งพระเจ้า การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว หลังจากที่เจ้ามีทิศทางนี้ เป้าหมายนี้ เจ้าต้องมีหนทางที่จะนำไปปฏิบัติในทันที  เมื่อเราพูดว่า “การติดตามทางแห่งพระเจ้า” คำว่า “ทางแห่งพระเจ้า” อ้างอิงถึงอะไร?  คำนั้นหมายถึงการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  และอะไรหรือคือการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว?  ยกตัวอย่างตอนที่เจ้าประเมินใครบางคน—นี่สัมพันธ์กับความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  เจ้าประเมินพวกเขาอย่างไรหรือ?  (เราต้องซื่อสัตย์ ยุติธรรม และเป็นธรรม และคำพูดของพวกเราต้องไม่เป็นไปตามความรู้สึกของพวกเรา)  เมื่อเจ้าพูดตรงไม่มีผิดในสิ่งที่เจ้าคิดและตรงไม่มีผิดในสิ่งที่เจ้าเห็น เจ้าก็มีความซื่อสัตย์  อย่างแรกเลยคือ การปฏิบัติการมีความซื่อสัตย์นั้นอยู่ในแนวเดียวกับการติดตามทางแห่งพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนผู้คน นี่คือทางของพระเจ้า  อะไรหรือคือทางของพระเจ้า?  การยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  การมีความซื่อสัตย์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรอกหรือ?  และไม่ใช่การติดตามทางแห่งพระเจ้าหรอกหรือ?  (เป็นส่วนหนึ่ง)  หากเจ้าไม่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้าเห็นและสิ่งที่เจ้าคิดย่อมไม่เหมือนกับสิ่งที่ออกมาจากปากเจ้า  ใครบางคนถามเจ้าว่า “เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับคนคนนั้น?  เขารับผิดชอบงานของคริสตจักรดีอยู่หรือไม่?” และคำตอบของเจ้าคือ “เขาดีมาก  เขารับผิดชอบดีกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ขีดความสามารถของเขาดีกว่าของข้าพเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขาก็ดี  เขาเป็นผู้ใหญ่และมั่นคง”  แต่นี่เป็นสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในหัวใจหรือเปล่า?  อันที่จริง สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือ แม้บุคคลดังกล่าวจะมีขีดความสามารถ แต่เขาไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้ ค่อนข้างหลอกลวง และชอบคิดคำนวณหาประโยชน์  นี่คือสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในใจจริงๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องพูด เจ้านึกขึ้นได้ว่า “ฉันไม่สามารถบอกความจริงได้ ฉันต้องไม่ล่วงเกินใคร”  เจ้าจึงพูดอย่างอื่นออกไปอย่างรวดเร็วและเลือกพูดแต่สิ่งที่ดีเกี่ยวกับเขา แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่เจ้าพูดตรงกับที่เจ้าคิด ทั้งหมดคือคำโกหกและความจอมปลอม  นี่บ่งชี้ว่าเจ้าติดตามทางแห่งพระเจ้าหรือ?  ไม่  เจ้าได้ไปในทางของซาตานแล้ว ทางของพวกปีศาจ  อะไรคือทางแห่งพระเจ้า?  ทางแห่งพระเจ้าคือความจริง  คือหลักการที่ผู้คนควรใช้ประพฤติปฏิบัติตน และคือการยำเกรงในพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว  แม้เจ้ากำลังคุยกับคนอื่น แต่พระเจ้าก็กำลังทรงสดับฟังอยู่ด้วยเช่นกัน พระองค์กำลังทรงเฝ้าดูหัวใจของเจ้าและพินิจพิเคราะห์มัน  ผู้คนฟังสิ่งที่เจ้าพูด แต่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของเจ้า  ผู้คนมีความสามารถในการพินิจพิเคราะห์หัวใจของมนุษย์หรือไม่?  อย่างดีที่สุด ผู้คนก็สามารถมองเห็นว่าเจ้าไม่ได้กำลังพูดความจริง พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวภายนอก แต่พระเจ้าทรงสามารถมองเห็นเข้าไปในห้วงลึกของหัวใจเจ้า  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่มองออกว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ กำลังวางแผนอะไร และมีกลอุบายเล็กๆ น้อยๆ มีวิธีคิดคดทรยศ และมีความคิดอันใดโลดแล่นอยู่ในหัวใจของเจ้าบ้าง  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าไม่ได้กำลังพูดความจริง พระองค์ทรงมีความคิดเห็นและการประเมินค่าต่อเจ้าอย่างไรหรือ?  ที่เจ้าไม่ได้ติดตามทางแห่งพระเจ้าในเรื่องนี้ก็เพราะเจ้าไม่ได้พูดความจริง  หากเจ้ากำลังปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เจ้าควรได้พูดความจริงไปว่า “เขาเป็นคนหนึ่งที่มีขีดความสามารถ แต่เขาพึ่งพาไม่ได้”  ไม่สำคัญว่าการประเมินของเจ้านั้นจะถูกต้องแม่นยำหรือไม่ แต่นั่นย่อมเป็นความซื่อสัตย์และมาจากใจ และเป็นทัศนคติและจุดยืนที่เจ้าควรแสดงออกมา หากแต่เจ้าไม่ได้ทำ—เช่นนั้นแล้ว เจ้าได้กำลังติดตามหนทางแห่งพระเจ้าอยู่หรือไม่?  (ไม่)  หากเจ้าไม่พูดความจริง การเน้นย้ำว่าเจ้ากำลังติดตามทางแห่งพระเจ้าและกำลังทำให้พระองค์พึงพอพระทัยนั้นมีประโยชน์อะไรต่อเจ้าหรือ?  พระเจ้าใส่ใจคำขวัญทั้งหลายที่เจ้าโห่ร้องหรือ?  พระเจ้าทรงมองหรือว่าเจ้าโห่ร้องอย่างไร เจ้าโห่ร้องอย่างหนักแค่ไหน และปณิธานของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด?  พระองค์ทรงมองหรือไม่ว่าเจ้าโห่ร้องกี่ครั้ง?  เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงมอง  พระเจ้าทรงมองว่าเจ้าปฏิบัติความจริงหรือไม่ ทรงมองถึงสิ่งที่เจ้าเลือกและวิธีปฏิบัติความจริงเมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า  หากเจ้าเลือกที่จะดำรงสัมพันธภาพ ดำรงผลประโยชน์ส่วนตนและภาพลักษณ์ของตัวเจ้าเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการรักษาตัวรอด และพระเจ้าทรงเห็นว่านี่คือทัศนคติและท่าทีของเจ้าเมื่อเหตุการณ์หนึ่งตกมาถึงเจ้า เมื่อนั้นพระองค์จะทรงประเมินเจ้า พระองค์จะตรัสว่าเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่ติดตามทางแห่งพระเจ้า  เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงและติดตามทางแห่งพระเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่นำไปปฏิบัติเมื่อเหตุการณ์ทั้งหลายตกมาถึงเจ้า?  วาจาที่เจ้ากล่าวอาจออกมาจากหัวใจ และวาจาเหล่านั้นอาจสื่อถึงปณิธานและความปรารถนาของเจ้า หรือสามารถเป็นได้ว่าเจ้าสะเทือนใจ และเจ้าก็ร้องตะโกนคำที่จริงใจเหล่านั้นไปพลางในขณะที่เจ้าร่ำไห้อย่างขมขื่น ว่าแต่การกล่าวอย่างจริงใจหมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงอยู่หรือ?  หมายความว่าเจ้ามีคำพยานที่แท้จริงหรือ?  ไม่จำเป็น  หากเจ้าเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็จะสามารถปฏิบัติความจริง หากเจ้าไม่ใช่ผู้ที่รักความจริง เจ้าก็จะแค่กล่าวสิ่งทั้งหลายที่รื่นหูและจบลงแค่นั้น  พวกฟาริสีเก่งที่สุดในการประกาศคำสอนและท่องคำขวัญ  พวกเขามักยืนอยู่ตามมุมถนนและร้องตะโกนว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” หรือ “พระเจ้าผู้ควรนมัสการ!”  ในสายตาผู้อื่น พวกเขาดูเหมือนเคร่งศาสนาเป็นพิเศษ และไม่ได้ทำสิ่งใดที่ขัดต่อกฎหมาย ว่าแต่พระเจ้าได้ทรงเห็นชอบพวกเขาหรือเปล่า?  เปล่าเลย  พระองค์ได้กล่าวโทษพวกเขาอย่างไร?  โดยการให้ฉายานามพวกเขาว่า พวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด  ในกาลก่อนนั้น พวกฟาริสีเป็นชนชั้นที่ได้รับความเคารพในประเทศอิสราเอล แล้วเหตุใดหรือชื่อนี้จึงกลายเป็นสิ่งตราหน้าในปัจจุบัน?  นี่เป็นเพราะพวกฟาริสีได้กลายเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่ง  สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลชนิดนี้?  พวกเขามีทักษะในการเทียมเท็จ ในการประดับตบแต่ง ในการเสแสร้ง และพวกเขาแสร้งแสดงความสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์และความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ และความดีพร้อมที่โปร่งใสและคำขวัญที่พวกเขาโห่ร้องก็ฟังดูดี แต่ตามที่ผลปรากฏออกมาก็คือพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย  พวกเขามีพฤติกรรมดีอะไรหรือ?  พวกเขาก็อ่านบทคัมภีร์ และประกาศ พวกเขาสอนผู้อื่นให้ค้ำจุนธรรมบัญญัติและข้อบังคับทั้งหลาย และไม่ขัดขืนพระเจ้า  ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมที่ดี  ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดฟังดูดี แต่ทว่า เมื่อผู้อื่นหันหลังให้ พวกเขาก็แอบขโมยของถวาย  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่าพวกเขา “กรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” (มัทธิว 23:24)  นี่หมายความว่าพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาดูดีที่ผิวภายนอก—พวกเขาสวดท่องคำขวัญอย่างโอ้อวด พวกเขาพูดถึงทฤษฎีที่สูงส่ง และคำพูดของพวกเขาฟังดูน่ายินดี แต่ทว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นความรกรุงรังที่ไร้ระเบียบ และเป็นการขัดขืนต่อพระเจ้าทั้งสิ้น  พฤติกรรมภายนอกของพวกเขาล้วนเป็นการเสแสร้ง ล้วนเป็นการต้มตุ๋น ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรักแม้แต่น้อยสำหรับความจริงหรือสำหรับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก  พวกเขาชิงชังความจริง สิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก และทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า  พวกเขารักสิ่งใดหรือ?  พวกเขารักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือไม่?  (ไม่)  เจ้าสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รักสิ่งเหล่านี้?  (องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมที่จะยอมรับเท่านั้น แต่ยังกล่าวโทษอีกด้วย)  หากพวกเขาไม่ได้กล่าวโทษการนั้น เราจะบอกได้หรือ?  ไม่ได้หรอก การทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดเผยพวกฟาริสีทั้งหมดแล้ว และเพียงเพราะการกล่าวโทษกับการขัดขืนต่อองค์พระเยซูเจ้านั่นเองที่ทำให้ผู้อื่นสามารถเห็นถึงความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา  หากไม่ได้เป็นเพราะการทรงปรากฎตัวและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ก็คงจะไม่มีใครรู้ทันพวกฟาริสี และหากผู้คนมองพวกฟาริสีแค่การประพฤติปฏิบัติภายนอก ก็คงจะทำให้พวกเขาถึงกับรู้สึกอิจฉา  การที่พวกฟาริสีใช้พฤติกรรมดีที่เทียมเท็จเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้คนนั้นไม่จริงใจและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมิใช่หรือ?  ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเช่นนี้สามารถรักความจริงได้หรือ?  พวกเขาไม่สามารถอย่างแน่นอน  อะไรคือจุดประสงค์เบื้องหลังการอวดแสดงการประพฤติปฏิบัติที่ดีของพวกเขา?  อย่างหนึ่งที่แน่นอนคือเพื่อหลอกให้ผู้อื่นหลงกล  อีกอย่างคือเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและเอาชนะใจเพื่อให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่งและเทิดทูนพวกเขา  และท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาต้องการที่จะได้รับบำเหน็จ ช่างเป็นกลฉ้อฉลอะไรเช่นนั้น!  เหล่านี้คือกลอุบายอันแยบคายใช่หรือไม่?  ผู้คนเช่นนั้นเคยรักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่เคย  สิ่งที่พวกเขารักคือสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ และสิ่งที่พวกเขาต้องการคือบำเหน็จกับมงกุฎ  พวกเขาไม่เคยปฏิบัติตามพระวจนะที่พระเจ้าใช้สอนผู้คน และไม่เคยใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงแม้แต่น้อย  พวกเขาทุกคนล้วนใช้การประพฤติปฏิบัติอันดีงามมาอำพรางตน หลอกเอาชนะใจผู้คนด้วยหนทางที่หน้าซื่อใจคด เพื่อรักษาสถานะและความมีหน้ามีตาของตนเอง ซึ่งพวกเขาก็ใช้หาเงินทุนและหาเลี้ยงชีพต่อไป  นั่นไม่น่าดูหมิ่นหรือ?  จากการประพฤติปฏิบัตินี้ทั้งหมดของพวกเขา เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าโดยแก่นแท้แล้วพวกเขาไม่ได้รักความจริง  เพราะพวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง  อะไรหรือคือบางสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยปฏิบัติความจริง?  สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อพระราชกิจแห่งการไถ่ และการที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าทุกคำเป็นความจริงและมีสิทธิอำนาจ  พวกฟาริสีมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการนี้เล่า?  ถึงแม้พวกเขาได้รับรู้ว่าพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้ามีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ พวกเขาไม่เพียงไม่ยอมรับพระวจนะเท่านั้น แต่พวกเขายังกล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระวจนะเหล่านั้นอีกด้วย  นั่นมันเกี่ยวกับอะไรเล่า?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รักความจริงและในหัวใจของพวกเขา พวกเขาชิงชังและเกลียดความจริง  พวกเขารับรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้านั้นถูกต้องในทุกสิ่งที่พระองค์ตรัส รับรู้ว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและพลังอำนาจ รับรู้ว่าพระองค์ไม่ได้ผิดแต่อย่างใดเลย และพวกเขาไม่มีอะไรมางัดข้อกับพระองค์เลย  แต่พวกเขาก็ต้องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาจึงปรึกษาและรวมหัวกัน และพูดว่า “ตรึงกางเขนเขา เพราะไม่เขาก็เราที่จะต้องตาย” และนี่คือวิธีที่พวกฟาริสีท้าทายองค์พระเยซูเจ้า  ณ เวลานั้นไม่มีใครเข้าใจความจริงและไม่มีใครสามารถระลึกได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าที่ทรงปรากฎในรูปมนุษย์  แม้ว่าจากมุมมองแบบมนุษย์นั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงความจริงไว้มากมาย ทรงขับไล่ปีศาจ และช่วยรักษาคนป่วย  พระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ไปมากมาย ทรงเลี้ยงอาหารผู้คน 5000 คนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ทรงทำสิ่งที่ดีงามเป็นอันมาก และประทานพระคุณมากมายเหลือเกินให้กับผู้คน  มีผู้คนน้อยเหลือเกินที่ดีและชอบธรรมเช่นนี้  แล้วเหตุใดพวกฟาริสีจึงต้องการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า?  เหตุใดพวกเขาจึงมีเจตนาแรงกล้าเหลือเกินที่จะตรึงกางเขนพระองค์?  การที่พวกเขาเลือกที่จะปล่อยอาชญากรให้เป็นอิสระมากกว่าจะปล่อยพระองค์ไปแสดงให้เห็นว่าพวกฟาริสีแห่งโลกศาสนานั้นชั่วและมุ่งร้ายเพียงไร พวกเขาช่างเลวเหลือเกิน!  ระหว่างโฉมหน้าชั่วที่พวกฟาริสีปิดไว้ไม่มิด กับความเมตตากรุณาภายนอกที่พวกเขาแสร้งตีสีหน้าไว้นั้นช่างแตกต่างกันใหญ่หลวงเสียจนผู้คนมากมายไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอันไหนแท้จริงอันไหนเท็จ แต่การทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นออกมาจนหมดสิ้น  โดยปกติแล้วพวกฟาริสีมักปลอมแปลงตัวเองไว้เป็นอย่างดีเหลือเกินและปรากฏให้เห็นภายนอกว่าตนเป็นเสมือนพระเจ้ามากเสียจนไม่มีใครจะจินตนาการไปว่าพวกเขาสามารถขัดขืนและข่มเหงองค์พระเยซูเจ้าอย่างโหดร้ายเหลือเกินหากข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย ก็จะไม่มีใครสามารถได้มองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งเลย  การแสดงความจริงของพระเจ้าผู้ทรงปรากฎในรูปมนุษย์ช่างเป็นการเปิดเผยเกี่ยวกับมนุษย์จริงๆ!

บทตัดตอน 16

จุดประสงค์ที่ผู้คนเข้าใจและปฏิบัติความจริงก็เพื่อให้พวกเขาใช้ชีวิตตามความจริง ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ และทำให้ความจริงที่พวกเขาเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา  การทำให้ความจริงกลายเป็นชีวิตของคนเราหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าความจริงเหล่านั้นกลายเป็นรากฐานและที่มาของการกระทำ การดำรงชีวิต การประพฤติปฏิบัติตน และการดำรงอยู่ของคนเรา—ความจริงเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงหนทางการดำเนินชีวิตของคนเรา  ก่อนหน้านี้ผู้คนใช้ชีวิตโดยพึ่งพาสิ่งใด?  ไม่ว่าพวกเขามีความเชื่อหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ใช้ชีวิตโดยพึ่งพาอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง  นั่นคือสภาพเสมือนที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงมีใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใดจากมนุษย์?  (ทรงให้มนุษย์ใช้ชีวิตโดยพึ่งพาพระวจนะของพระองค์)  การใช้ชีวิตโดยพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้า—นี่คือเป้าหมายที่ผู้คนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงควรมีไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  การใช้ชีวิตโดยพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้าคือสภาพเสมือนที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง  ดังนั้น ในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า เจ้าต้องใคร่ครวญว่าคำพูด การกระทำ หลักธรรมในการประพฤติปฏิบัติตน จุดมุ่งหมายของการดำรงอยู่ และวิธีจัดการกับโลกของเจ้าข้อใดบ้างที่สอดคล้องกับหลักธรรมความจริง—นั่นคือ สอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้า—และข้อใดบ้างที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระองค์  หากเจ้าใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ เจ้าก็จะค่อยๆ ได้รับการเข้าสู่  หากเจ้าไม่ใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้และใช้ความพยายามเพียงผิวเผิน นั่นย่อมไร้ประโยชน์ การทำไปตามขั้นตอน การทำตามข้อบังคับ และการทำตามแบบแผนสุดท้ายแล้วจะไม่ให้อะไรแก่เจ้าเลย  แล้วอะไรคือความเชื่อในพระเจ้ากันแน่?  จริงๆ แล้ว ความเชื่อในพระเจ้าคือกระบวนการของการได้รับความรอดจากพระเจ้า รวมถึงกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปสู่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า  หากใครบางคนยังคงใช้ชีวิตโดยพึ่งพาอุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตน ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว พวกเขาได้มาตรฐานในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือไม่?  (ไม่ได้)  เจ้าอ้างว่าเชื่อในพระเจ้า เจ้ายอมรับพระเจ้า เจ้ายอมรับอธิปไตยของพระเจ้าและยอมรับว่าพระเจ้าประทานทุกสิ่งแก่เจ้า แต่เจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับข้อกำหนดของพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าทำตามหนทางของพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นเจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถดำรงชีวิตร่วมกับพระเจ้าหรือไม่?  เจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  สิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตและเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นเข้ากันได้กับพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าเช่นนั้น ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้ามีความหมายว่าอย่างไร?  เจ้าได้เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องแล้วหรือยัง?  ความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้านั้นเป็นเพียงรูปแบบและคำพูดเท่านั้น  เจ้าเชื่อและยอมรับพระนามของพระเจ้า และเจ้ายอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างและองค์อธิปัตย์ของเจ้า แต่โดยแก่นแท้แล้วเจ้าไม่ได้ยอมรับอธิปไตยของพระเจ้าหรือการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า และเจ้าไม่สามารถเข้ากันได้กับพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  นั่นคือ ความหมายของความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้ายังไม่เป็นจริงโดยสมบูรณ์  แม้ว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้า แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ทิ้งความเสื่อมทรามของเจ้าและไม่ได้รับความรอด และเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริงที่เจ้าควรได้เข้าสู่ในความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า  นี่คือความผิดพลาดของเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อมองเช่นนี้แล้ว ความเชื่อในพระเจ้าจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

บัดนี้ พวกเจ้ารู้สึกอยู่ในหัวใจหรือไม่ว่าการเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติความจริงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ?  (พวกเรารู้สึกว่าสำคัญ)  พวกเจ้ารู้ว่าการปฏิบัติความจริงนั้นสำคัญ แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย—ย่อมต้องพบกับความยากลำบากมากมาย  จะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?  พวกเจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐานทุกครั้งที่พวกเจ้าเผชิญกับความยากลำบาก และพวกเจ้าต้องแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าสามารถแก้ไขความยากลำบากของตนเอง แก้ไขความอ่อนแอของตนเองและความท้าทายภายนอกต่างๆ นานา และสัมฤทธิ์การนำความจริงไปปฏิบัติ  ในการมีประสบการณ์เช่นนี้ พวกเจ้าจะมีความหวังที่จะได้มาซึ่งการเห็นชอบจากพระเจ้า  โดยการเข้าใจความจริงมากขึ้นและสามารถปฏิบัติความจริงได้เท่านั้น เจ้าจึงจะกลายเป็นผู้ที่เดินตามหนทางของพระเจ้าได้ และในการทำเช่นนั้น ความเชื่อของเจ้าจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  หากเจ้ากล่าวว่าเจ้ายอมรับพระนามของพระเจ้า และเจ้าเชื่อว่าพระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและทรงเป็นพระผู้สร้าง แต่กลับไม่มีแง่มุมใดในชีวิตของเจ้าเลยที่เกี่ยวข้องกับความจริง กับข้อกำหนดของพระเจ้า หรือกับสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรทำ แล้วจุดจบของเจ้าจะไม่ใช่ความยุ่งยากในท้ายที่สุดหรอกหรือ?  คนเราสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่หากชีวิตของพวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้?  เจ้าบอกว่าเจ้าสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ แต่พระเจ้าทรงเห็นชอบความเชื่อเช่นนั้นของเจ้าหรือไม่?  พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบ และนั่นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าไม่ทรงยอมรับและไม่ต้องประสงค์สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเช่นเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงยอมรับและไม่ทรงเห็นชอบความเชื่อของเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเห็นชอบเจ้าได้หรือไม่?  (พระองค์ไม่อาจทรงเห็นชอบได้)  เจ้าก็จะจบสิ้น  พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด และจุดจบของเจ้าย่อมจะถูกตัดสินไว้แล้ว!  นี่คือจุดจบของตนเองที่พวกเจ้าต้องการเช่นนั้นหรือ?  (ไม่ใช่)  พวกเจ้าต้องการจุดจบแบบใด?  (ได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า)  การจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจสิ่งใดเสียก่อน?  เจ้าต้องเข้าสู่สิ่งใดเสียก่อน?  ก่อนอื่น เจ้าต้องรู้ว่าพระเจ้าโปรดให้ผู้คนทำสิ่งใดและไม่โปรดสิ่งใด  จงสรุปสิ่งเหล่านี้ก่อน เพื่อให้เจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนในเรื่องนั้น แล้วเจ้าจะรู้สึกมั่นใจเมื่อทำสิ่งต่างๆ  เมื่ออธิบายเป็นคำพูดก็ง่ายเพียงนี้  การสรุปสิ่งเหล่านี้ง่ายหรือไม่?  ง่ายมาก  จงสรุปสิ่งที่บรรดาผู้ที่ทำชั่วและถูกกำจัดออกไปในอดีต เคยทำซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ สรุปบทเรียนที่เจ้าสามารถเรียนรู้จากความล้มเหลวของพวกเขา และอย่าทำสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นเลยแม้แต่อย่างเดียว  จากนั้น จงสรุปการสำแดงที่ดีของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ และทำสิ่งเหล่านั้นให้มากขึ้น  เจ้าจะสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าได้ในหนทางนี้  เจ้าต้องใคร่ครวญว่าจะกระทำการอย่างไรและปฏิบัติอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้ามากที่สุด และเจ้าต้องเข้าใจในหัวใจของเจ้าว่าผู้คนและสิ่งใดที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ที่สุด และผู้คนและสิ่งใดที่พระเจ้าพอพระทัยมากที่สุด  เจ้าต้องรู้จักแยกแยะสิ่งเหล่านี้ และเป็นการดีที่สุดที่จะจำแนกประเภทและสรุปสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้กระจ่างในหัวใจของเจ้า  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีมาตรฐานและขอบเขตนี้อยู่ในหัวใจของเจ้า  ด้วยหลักธรรมนี้ มาตรฐานนี้ ขอบเขตนี้ เจ้าจะมีหลักธรรมในการทำสิ่งต่างๆ และเจ้าจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้  หากเจ้าไม่มีหลักธรรมและมาตรฐานนี้ การกระทำของเจ้าย่อมจะคาดเดาไม่ได้—ไม่มีใครบอกได้เลยว่าเมื่อใดเจ้าจะทำชั่วและเมื่อใดเจ้าจะทำดี  เจ้าอาจรู้สึกว่าบางสิ่งไม่ใช่ความชั่ว แต่นั่นคือความชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า หรือเจ้าอาจรู้สึกว่าบางสิ่งเป็นความดี ขณะที่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วนั่นคือความชั่ว  หากทุกสิ่งที่เจ้าทำเป็นเช่นนี้ นั่นจะเป็นปัญหาไม่ใช่หรือ?  หากเจ้ายืนกรานที่จะทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบและดูเหมือนว่าจะไม่เคยหยุดหย่อน แต่กลับแทบไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบเลย แล้วยังคงคิดว่าตนทำไปมากแล้ว เจ้าก็กำลังเลอะเลือนอยู่มิใช่หรือ?  หากสิ่งที่เจ้าทำส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นความชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์จะยังทรงเห็นชอบกับเจ้าได้หรือไม่?  (พระองค์ไม่อาจทรงเห็นชอบได้) เมื่อรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบกับสิ่งเหล่านั้น เจ้าควรทำสิ่งเหล่านั้นหรือไม่?  (พวกเราไม่ควรทำ)  เช่นนั้น หากเจ้าทำสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นคือการทำชั่วหรือทำดี?  (การทำชั่ว)  หากเจ้าตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นคือการทำชั่ว เจ้าก็ไม่ควรทำสิ่งเหล่านั้นอีก  แบบนี้เรียกว่าอะไร?  การละทิ้งความรุนแรงในมือของเจ้า—นี่คือการสำแดงของการกลับใจที่แท้จริง  หากเจ้ารู้ว่าเจ้าได้ทำชั่วลงไปและแน่ใจว่าพระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบด้วย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรมีหัวใจที่กลับใจ  หากเจ้าไม่ทบทวนตนเอง แต่กลับแก้ตัวและหาเหตุผลเข้าข้างการทำชั่วของตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็ตกที่นั่งลำบากแล้ว เจ้าจะถูกกำจัดออกไปอย่างแน่นอน และเจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่อีกต่อไป  เช่นนั้นหลักธรรมที่ต้องเชี่ยวชาญและเส้นทางที่ต้องเดินในการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราคืออะไร?  คนเราควรทำหน้าที่ด้วยเจตนาเช่นใดจึงจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า?  (ด้วยเจตนาที่จะแสวงหาความจริงและจับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง)  ทุกคนรู้เรื่องนี้ แต่การรู้เรื่องนี้หมายความว่าเจ้าสามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่?  การเข้าใจหมายความว่าเจ้าสามารถนำไปปฏิบัติได้ใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  เช่นนั้นแล้ว เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า เจ้าต้องทนทุกข์เพื่อความจริงและปล่อยมือจากความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี เจตนาของตน และความสะดวกสบายของเนื้อหนัง  หากเจ้าไม่ปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้นแต่ยังคงต้องการที่จะได้มาซึ่งความจริง เจ้ากำลังหมกมุ่นอยู่กับความเพ้อฝันมิใช่หรือ?  บางคนต้องการที่จะเข้าใจความจริง ได้มาซึ่งความจริง และสละตนเพื่อพระเจ้าด้วย แต่พวกเขากลับไม่สามารถละทิ้งสิ่งใดได้เลย  พวกเขาไม่สามารถละทิ้งจุดหมายปลายทางในอนาคตของตน ไม่สามารถละทิ้งความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ความเป็นหนึ่งเดียวครอบครัว ลูกๆ และพ่อแม่ของตน และก็ไม่สามารถปล่อยมือจากเจตนา เป้าหมาย หรือความอยากได้อยากมีของตนได้  ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร พวกเขาก็มักจะทำให้ตนเองสำคัญที่สุดเสมอ  พวกเขาวางกิจธุระของตนเองและความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเองไว้ก่อน และวางความจริงไว้ท้ายสุด การสนองผลประโยชน์ทางเนื้อหนังและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนย่อมมาเป็นอันดับแรกสำหรับพวกเขา ขณะที่การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและการทำให้พระเจ้าพอพระทัยเป็นเรื่องรองและเป็นอันดับสุดท้าย  ผู้คนเช่นนี้สามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  ในหนทางนี้ พวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้เมื่อใด?  พวกเขาจะสามารถสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้เมื่อใด?  (ไม่มีวัน)  หากภายนอกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและไม่เคยเกียจคร้าน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ากลับไม่ได้รับการแก้ไขเลยแม้แต่น้อย เช่นนี้จะเรียกว่าการเดินตามหนทางของพระเจ้าได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  พวกเจ้าทุกคนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อถึงคราวที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ พวกเจ้ากลับพบว่ามันยากลำบาก  เจ้าต้องนำความทุกข์และการเสียสละของพวกเจ้าไปใช้กับการปฏิบัติความจริง ไม่ใช่กับการปฏิบัติตามข้อบังคับและการทำไปตามขั้นตอน  ไม่ว่าเจ้าจะทนทุกข์เพื่อความจริงมากเพียงใด มันก็คุ้มค่า  ความทุกข์ที่เจ้าสู้ทนเพื่อการปฏิบัติความจริงเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นเป็นที่ยอมรับของพระองค์และได้รับการเห็นชอบจากพระองค์

อะไรคือปัญหาที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้าในตอนนี้?  หนึ่งคือพวกเจ้าไม่เข้าใจรายละเอียดของความจริงมากมาย และพวกเจ้าไม่มีมาตรฐานในหัวใจที่จะใช้จำแนกแยกแยะความจริงเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเรื่องยากลำบากสำหรับพวกเจ้าที่จะนำความจริงที่พวกเจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ  สมมติว่า ในช่วงเวลาที่พวกเจ้าพยายามปฏิบัติความจริง ตอนแรกอาจจะยากลำบาก แต่ยิ่งพวกเจ้าปฏิบัติความจริงมากเท่าไร ก็จะยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้น ยิ่งพวกเจ้าปฏิบัติความจริงมากเท่าไร อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเจ้าก็ยิ่งมีอิทธิพลน้อยลงเท่านั้น ความจริงจะยิ่งมีอำนาจเหนือกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเจ้าที่จะปฏิบัติความจริง สภาวะของพวกเจ้ากลายเป็นปกติมากขึ้น และความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของเนื้อหนังและแนวความคิดอย่างมนุษย์ของพวกเจ้าก็มีอิทธิพลครอบงำน้อยลงเรื่อยๆ  นี่เป็นเรื่องปกติ และมีความหวังว่าพวกเจ้าจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  แต่สมมติว่าพวกเจ้าได้ปฏิบัติความจริงมาเป็นเวลานาน ทว่าผลประโยชน์ส่วนตัว ความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังคงมีอำนาจเหนือกว่า ครอบงำทุกแง่มุมและทุกรายละเอียดในชีวิตของเจ้า  การปฏิบัติความจริงยังคงยากลำบากสำหรับเจ้าเช่นเคย และแม้เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่ แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำส่วนใหญ่นั้นไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติความจริง  นี่จะนำไปสู่ปัญหาไม่ใช่หรือ?  มันจะนำไปสู่ปัญหาอย่างแน่นอน!  ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ในคริสตจักรใด สภาพแวดล้อมของเจ้าเป็นเช่นไร—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ  สิ่งสำคัญก็คือสภาวะของการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้ากำลังดีขึ้นหรือไม่ สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้ากำลังเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ มโนธรรม สำนึกและความเป็นมนุษย์ของเจ้ากำลังกลายเป็นปกติมากขึ้นหรือไม่ และความจงรักภักดีและการนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้ากำลังเพิ่มขึ้นหรือไม่  หากสิ่งที่เป็นบวกในตัวเจ้ากำลังเพิ่มมากขึ้นและมีอิทธิพลเหนือกว่า ย่อมมีความหวังว่าพวกเจ้าจะได้รับความจริง  หากไม่เคยมีสัญญาณของสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ในตัวเจ้าเลย เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่มีความก้าวหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว และอุปนิสัยของเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย  เจ้าจะมีการเข้าสู่ชีวิตได้อย่างไรหากเจ้าไม่ปฏิบัติความจริงเลยแม้แต่น้อย?  บางคนกล่าวว่า “ฉันได้ปฏิบัติความจริงและใช้ความพยายามแล้ว  ทำไมฉันถึงมองไม่เห็นผลลัพธ์เลย?”  การไม่มีผลลัพธ์เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าเจ้าไม่ได้ปฏิบัติความจริง  ไม่ว่าเจ้าจะพยายามปฏิบัติความจริงสักกี่ครั้ง ผลลัพธ์สุดท้ายก็คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้ายังคงเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งหมายความว่าเจ้าล้มเหลวในการใช้ความเป็นจริงความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเพื่อมีชัยเหนืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้า  การพูดเช่นนี้เป็นธรรมหรือไม่?  (เป็นธรรม) เช่นนั้นเจ้าจะเป็นผู้มีชัยหรือผู้ล้มเหลว?  (ผู้ล้มเหลว)  เจ้าคือผู้ล้มเหลว ไม่ใช่ผู้มีชัย  เมื่อเจ้าปฏิบัติความจริง ย่อมมีการต่อสู้เกิดขึ้นในหัวใจของเจ้า  เจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากเจตนาของเจ้าได้ แต่เจ้าก็เข้าใจว่าความจริงกล่าวว่าอย่างไรและข้อกำหนดของพระเจ้าคืออะไร  ขณะที่การต่อสู้ดำเนินไป เจ้าก็ละทิ้งความจริง เจ้าไม่ปฏิบัติความจริง  ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าก็ยังคงสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง เผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า และสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิตยังคงเป็นธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเจ้า โดยไม่ได้ปฏิบัติความจริง  ผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร?  (ความล้มเหลว)  สมมติว่าเจ้าไม่สามารถเอาชนะการต่อสู้ในท้ายที่สุด และเจ้ายังคงใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของเจ้าดังแต่ก่อน  เจ้าเลือกที่จะไม่ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้ามาเป็นอันดับแรก เจ้าสนองความอยากได้อยากมีและเจตนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าแต่ไม่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเจ้าไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายความจริง  นี่หมายความว่าเจ้าเป็นผู้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และนี่คือหนทางหนึ่งที่การต่อสู้อาจสิ้นสุดลง  อีกหนทางหนึ่งที่การต่อสู้อาจสิ้นสุดลงคืออะไร?  เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นกับผู้คน พวกเขาย่อมมีประสบการณ์กับการต่อสู้ภายในเช่นกัน  พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ เจ็บปวด และอ่อนแอ แม้กระทั่งศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของพวกเขาก็ถูกท้าทาย และความทะนงตนของพวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการตอบสนอง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาอาจเผชิญกับการถูกตัดแต่ง หรือถูกผู้อื่นดูหมิ่น หรือถูกทำให้อับอาย สูญเสียทั้งศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจของตน  แต่เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้า และหลังจากที่พวกเขาได้ทำเช่นนั้นแล้ว หัวใจของพวกเขาก็เข้มแข็งขึ้น และพวกเขามองทะลุสิ่งเหล่านี้โดยการแสวงหาความจริง  พวกเขาจะปฏิบัติความจริงด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่ ยืนหยัดในความตั้งใจแน่วแน่ของตนว่า “ฉันไม่ใส่ใจความภาคภูมิใจของตน และฉันไม่ต้องการสถานะหรือสนองความทะนงตนของตัวเอง  แม้ฉันจะถูกผู้อื่นดูหมิ่นและเข้าใจผิด แต่ครั้งนี้ฉันเลือกที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและเลือกที่จะปฏิบัติความจริง เพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัยในตัวฉันและทรงเห็นชอบกับฉันในเรื่องนี้ และเพื่อที่ฉันจะไม่ทำร้ายพระทัยของพระเจ้า”  ในที่สุดพวกเขาก็จะละทิ้งความภาคภูมิใจและความทะนงตน เจตนา ความทะเยอทะยานและเจตนาอันเห็นแก่ตัวของตน แล้วจึงยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้า ฝ่ายความจริง และฝ่ายความยุติธรรม  หลังจากที่พวกเขาปฏิบัติความจริง หัวใจของพวกเขาก็พึงพอใจอย่างยิ่ง สงบสุขอย่างแท้จริง และเปี่ยมด้วยความเบิกบาน  พวกเขารู้สึกถึงพรจากพระเจ้าและรู้สึกว่าการปฏิบัติความจริงนั้นดีเหลือเกิน  โดยการปฏิบัติความจริง หัวใจของพวกเขาได้รับความพึงพอใจและการบำรุงเลี้ยง และพวกเขารู้สึกว่าตนกำลังใช้ชีวิตในสภาพเสมือนมนุษย์ แทนที่จะถูกควบคุมและจองจำโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตน และพวกเขาก็ได้เป็นพยานให้พระเจ้าในเรื่องนี้และตั้งมั่นในคำพยานและจุดยืนที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี  พวกเขารู้สึกสงบสุขในจิตใจ มีความสุขสำราญ และมีความสุขในหัวใจของตน  นี่คืออีกหนทางหนึ่งที่การต่อสู้อาจสิ้นสุดลง  เจ้าคิดอย่างไรกับการสิ้นสุดลงเช่นนี้?  (ดี)  แต่ “ความดี” นี้บรรลุง่ายๆ หรือไม่?  (ไม่ง่าย)  “ความดี” นี้ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ เป็นไปได้ว่าผู้คนอาจเข้าสู่การต่อสู้หนึ่งหรือสองครั้งแล้วจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ความล้มเหลวก็นำมาซึ่งบทเรียน  มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงสำนึกของการกล่าวโทษในมโนธรรมของตนที่ไม่ปฏิบัติความจริง ทำให้พวกเขารู้สึกเป็นหนี้พระเจ้า และนำมาซึ่งความทรมานและความเจ็บปวดภายใน  จากนั้น เมื่อเผชิญกับสภาพการณ์เช่นนั้นในภายหลัง โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว พวกเขาก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในการเอาชนะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตน พวกเขาจะค่อยๆ เลือกการปฏิบัติความจริงเพื่อสนองพระทัยของพระเจ้าอย่างแน่นอน  นี่คือกระบวนการปกติของการเอาชนะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานและการปฏิบัติความจริงเพื่อสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า

บัดนี้ พวกเจ้าพบว่าการปฏิบัติความจริงนั้นยากลำบากหรือไม่?  หรือการทำตามเจตจำนงของตนเองโดยไม่ปฏิบัติความจริงนั้นยากลำบาก?  (การปฏิบัติความจริงนั้นยากลำบาก)  แล้วการทำตามเจตจำนงของพวกเจ้าเล่า?  (นั่นเป็นเรื่องง่าย)  นี่เผยให้เห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า นั่นคือ พวกเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย และพวกเจ้ายังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริง  วุฒิภาวะเช่นนี้ช่างน่าสมเพชนัก!  พวกเจ้าทุกคนรู้สึกว่าการปฏิบัติความจริงนั้นยากและการทำตามเจตจำนงของตนเองเป็นเรื่องง่าย ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเจ้ายังคงไม่สามารถปฏิบัติความจริง  การทำตามความชอบทางเนื้อหนังของพวกเจ้าได้กลายเป็นธรรมชาติที่สองสำหรับพวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าคุ้นเคยกับมันมากจนแทบจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ไปแล้ว  เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจึงรู้สึกว่าการปฏิบัติความจริงนั้นยากลำบากเกินไป  พวกเจ้ากลัวอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องทนทุกข์กับการที่ความภาคภูมิใจและสถานะของตนถูกทำร้าย ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ปฏิบัติความจริง แต่กลับกระทำการตามแนวคิดของตนเองแทน  เพียงความคิดเดียว คนเราก็กลายเป็นคนขลาด เป็นผู้ล้มเหลวที่ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนครอบงำ และสูญเสียคำพยานและการเห็นชอบจากพระเจ้าไป  มันง่ายดายเช่นนั้น  แต่การกลายเป็นผู้ที่ปฏิบัติความจริงและเป็นพยานให้พระเจ้านั้นง่ายดายเช่นนั้นหรือไม่?  เรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการ  เมื่อคนเราเริ่มยอมรับความจริง มีการต่อสู้ในความรู้สึกนึกคิดของคนเราเสมอ จิตใจหวั่นไหวไปมา ถูกดึงไปในทิศทางต่างๆ  มีการต่อสู้ภายในอยู่ตลอดเวลา แต่ในที่สุดความวุ่นวายก็จะสงบลง บรรดาผู้ที่รักความจริงย่อมปฏิบัติความจริง เป็นพยาน และกลายเป็นผู้มีชัย ขณะที่บรรดาผู้ที่ไม่ได้รักความจริง ผู้ที่เอาแต่ใจตนเองเกินไป ผู้ที่มีความเป็นมนุษย์ต่ำเกินไป และผู้ที่มีลักษณะนิสัยต่ำทรามและต่ำช้าย่อมเลือกที่จะสนองความปรารถนาและความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง และถูกควบคุมโดยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนอย่างสิ้นเชิง  เมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเจ้าในชีวิตประจำวันของพวกเจ้า พวกเจ้ามีชัยเหนืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเจ้าหรือไม่?  หรือพวกเจ้าถูกมันจองจำและควบคุมอยู่?  ส่วนใหญ่แล้วพวกเจ้าอยู่ในสภาวะเช่นใด?  จากเรื่องนี้ ก็สามารถประเมินได้ว่าเจ้าคือคนที่ปฏิบัติความจริงหรือไม่  หากเจ้าสามารถเอาชนะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเจ้าได้เป็นส่วนใหญ่และกลายเป็นผู้ที่เป็นพยานได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติและรักความจริง  หากส่วนใหญ่แล้วเจ้าสนองความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัวของตนเอง และเจ้าไม่สามารถเอาชนะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของตนและยืนอยู่ฝ่ายความจริง เพื่อปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพอพระทัย เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนที่ไม่ปฏิบัติความจริงและไม่มีความเป็นจริงความจริง  บรรดาผู้ที่ไม่มีความเป็นจริงความจริงคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่มีการเข้าสู่ชีวิต—นี่เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด  ดังนั้นจงประเมินตนเองเถิดว่า ส่วนใหญ่แล้วพวกเจ้ายืนอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง หรือพวกเจ้ายืนอยู่ฝ่ายความจริง?  ไม่นับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความจริง แต่เมื่อมีเรื่องใหญ่ๆ เกิดขึ้นที่เจ้าจำเป็นต้องเลือก เจ้าจะยืนอยู่ฝ่ายความจริง หรือเจ้าจะยืนอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง?  (ในตอนแรก พวกเรายืนอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง แต่หลังจากการต่อสู้ พวกเราก็เข้าใจความจริงบางอย่างผ่านการอธิษฐานและการแสวงหา แล้วจากนั้นจึงยืนอยู่ฝ่ายความจริง)  การกล่าวว่าเจ้าสามารถยืนอยู่ฝ่ายความจริงได้เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่การขบถต่อเนื้อหนังไม่จำเป็นต้องหมายความว่าเจ้ากำลังปฏิบัติความจริงเสมอไป  ไม่ใช่ว่าการขบถต่อเนื้อหนังและไม่ทำตามเจตจำนงของตนเองจะเท่ากับการปฏิบัติความจริง แต่มีเพียงโดยการยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเท่านั้น เจ้าจึงกำลังปฏิบัติความจริงอย่างแท้จริง  แล้วปกติพวกเจ้าเป็นเช่นไร?  (สิ่งที่พวกเราเรียกว่าการขบถต่อเนื้อหนังนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่การปฏิบัติความจริง แต่เป็นเพียงการควบคุมตนเองเท่านั้น)  ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ในสภาวะเช่นใดกันแน่?  พวกเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง ใช่หรือไม่?  (พวกเรายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง)  การเชื่อในพระเจ้าโดยไม่มีการเข้าสู่ชีวิตหมายความว่าพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง นั่นคือสภาวะที่พวกเจ้าเป็นอยู่ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถแยกแยะหลายสิ่งหลายอย่างได้  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่สามารถแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน?  เป็นเพราะพวกเจ้าเข้าใจเพียงคำพูดและคำสอนและไม่ได้เข้าใจความจริงอย่างแท้จริง  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  เมื่อเผชิญกับสถานการณ์มากมาย พวกเจ้ายังคงไม่รู้วิธีที่จะมีประสบการณ์กับสถานการณ์เหล่านั้นหรือแสวงหาความจริง ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถมองทะลุสิ่งต่างๆ ได้ และแม้ว่าพวกเจ้าต้องการที่จะสามัคคีธรรมความจริง พวกเจ้าก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจน  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เจ้าต้องมีประสบการณ์ด้วยตนเอง และเมื่อมีประสบการณ์แล้ว เจ้าจะรู้ว่ารายละเอียดคืออะไร  จะมีรายละเอียดในความรู้สึก ความคิด และกระบวนการแห่งประสบการณ์ของเจ้า และรายละเอียดเหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ และเจ้ามีเพียงความรู้ในระดับผิวเผิน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ได้แต่เลียนแบบคำพูดเท่านั้น  ความรู้ในระดับผิวเผินหมายความว่าเจ้าได้หยุดอยู่ที่ความเข้าใจตามตัวอักษร เจ้ายังไม่ได้ทำให้เป็นของเจ้าเอง และยังคงห่างไกลจากการเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง  การพูดเช่นนี้เป็นธรรมหรือไม่?  (เป็นธรรม)  พวกเจ้าต้องปฏิบัติตามสามัคคีธรรมของวันนี้ และพวกเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะใคร่ครวญ  ในการปฏิบัติความจริง พวกเจ้าก็ต้องใคร่ครวญด้วยเช่นกัน และในการใคร่ครวญขณะปฏิบัติและปฏิบัติขณะใคร่ครวญ พวกเจ้าจะเข้าใจรายละเอียดของความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับความจริงจะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ และด้วยวิธีนี้ เจ้าจะสามารถมีประสบการณ์อย่างแท้จริงได้ว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไร  ต่อเมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์แล้วเท่านั้น เจ้าจึงจะมีความเป็นจริงความจริงได้

บทตัดตอน 17

ทุกคนคิดว่าการปฏิบัติความจริงนั้นยากลำบากทีเดียว แล้วเหตุใดบางคนกลับสามารถปฏิบัติความจริงได้?  กุญแจสิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนเรานั้นรักความจริงหรือไม่  บางคนกล่าวว่าบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริงล้วนมีความเป็นมนุษย์ที่ดี  คำกล่าวนี้ถูกต้อง  บางคนมีความเป็นมนุษย์ที่ดีและสามารถนำความจริงบางอย่างไปปฏิบัติได้  อย่างไรก็ดี ความเป็นมนุษย์ของคนบางคนค่อนข้างต่ำ และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะปฏิบัติความจริง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาต้องทนทุกข์บ้างเพื่อที่จะทำเช่นนั้นได้  จงบอกเราทีว่า คนที่ไม่ปฏิบัติความจริงนั้นแสวงหาความจริงในการกระทำของตนหรือไม่?  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเลยแม้แต่น้อย  เมื่อพวกเขาเกิดแนวคิดของตนเองขึ้นมาและคิดว่าการทำเช่นนั้นดีและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองแล้ว พวกเขาก็เดินหน้าและกระทำการตามแนวคิดเหล่านี้ของตน  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพราะหัวใจของพวกเขามีบางอย่างผิดปกติ—หัวใจของพวกเขาไม่ถูกต้อง  พวกเขาไม่แสวงหาหรือตรวจสอบ และพวกเขาไม่ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน พวกเขาเพียงแต่กระทำตามแนวคิดของตนเองอย่างดื้อรั้น  คนประเภทนี้ไม่รักความจริงเลย  แม้ว่าพวกเขาจะไม่รักความจริง แต่บางสิ่งที่พวกเขาทำยังคงสอดคล้องกับหลักธรรมและไม่ละเมิดหลักธรรมเหล่านั้น  อย่างไรก็ดี การที่พวกเขาไม่ละเมิดหลักธรรมไม่ได้หมายความว่าพวกเขาได้แสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า—กล่าวได้เพียงว่าเป็นความบังเอิญเท่านั้น  บางคนกระทำการอย่างเลอะเลือนโดยไม่ได้แสวงหา แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถตรวจสอบตนเอง  หากพวกเขาพบว่าการกระทำเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง พวกเขาก็จะไม่ทำเช่นนั้นในครั้งต่อไป  นี่สามารถถือได้ว่ามีความรักในความจริงอยู่บ้าง  บุคคลเช่นนี้สามารถผ่านการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่ง  บรรดาผู้ที่ไม่รักความจริงย่อมไม่แสวงหาความจริงในขณะนั้น และไม่ตรวจสอบตนเองในภายหลัง พวกเขาไม่เคยตรวจสอบเลยว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นถูกต้องอย่างแท้จริงหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงละเมิดหลักธรรมและความจริงอยู่เสมอ  แม้ว่าบางสิ่งที่พวกเขาทำจะไม่ละเมิดหลักธรรม แต่ก็ยังไม่สอดคล้องกับความจริง และสิ่งที่เรียกว่า “การไม่ละเมิดหลักธรรม” นี้เป็นเพียงเรื่องของแนวทางเท่านั้น  แล้วคนประเภทนี้จะอยู่ในภาวะเช่นใดเมื่อพวกเขากระทำการตามแนวคิดของตนเอง?  พวกเขาไม่กระทำการโดยปราศจากความกระจ่าง ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ชัดเจนว่าการกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับความจริงหรือไม่  นี่ไม่ใช่สภาวะที่พวกเขาเป็นอยู่ แต่พวกเขากลับดื้อรั้นยืนกรานที่จะกระทำตามแนวคิดของตนเอง  พวกเขาตั้งใจที่จะกระทำการเช่นนั้น โดยไม่มีเจตนาที่จะแสวงหาความจริงแม้แต่น้อย  หากพวกเขาแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างถ่องแท้ พวกเขาก็จะพิจารณาดังต่อไปนี้ว่า “ตอนแรกฉันจะเดินหน้าและทำเช่นนี้ไปก่อน  หากมันสอดคล้องกับความจริง ฉันก็จะทำเช่นนี้ต่อไป หากไม่สอดคล้องกับความจริง ฉันก็จะแก้ไขมันทันทีและหยุดกระทำการในลักษณะดังกล่าว”  หากพวกเขาสามารถแสวงหาในลักษณะนี้ได้ พวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต  หากปราศจากหัวใจเช่นนี้ พวกเขาก็จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้  คนที่มีหัวใจจะทำผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงครั้งเดียว อย่างมากที่สุดก็สองครั้ง—หนึ่งหรือสองครั้ง แต่ไม่ใช่สามหรือสี่ครั้ง นี่คือสำนึกที่เป็นปกติ  หากคนคนหนึ่งทำผิดพลาดในเรื่องเดียวกันสามหรือสี่ครั้ง นี่ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่มีความรักในความจริง และไม่แสวงหาความจริงด้วย  คนประเภทนี้ไม่ใช่บุคคลที่มีความเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน  หลังจากทำผิดพลาดหนึ่งหรือสองครั้ง หากเขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ในหัวใจ ไม่ตระหนักรู้ในมโนธรรมของตน เช่นนั้นเขาก็จะสามารถทำผิดเป็นครั้งที่สามและสี่ได้  คนประเภทนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย  เขาเป็นคนประเภทนี้จริงๆ และเขาหมดหนทางเยียวยาโดยสิ้นเชิง  หลังจากทำผิดไปครั้งหนึ่งแล้ว หากเขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนทำนั้นผิด และเกลียดตนเองเพราะเรื่องนี้และรู้สึกผิดอยู่ภายใน—หากเขามีสภาวะแบบนี้—เช่นนั้นเขาก็จะกระทำการได้ดีกว่าเดิมเมื่อทำสิ่งเดียวกันอีกครั้ง และจะค่อยๆ ไม่ทำผิดพลาดอย่างเดียวกันอีกต่อไป แม้ความคิดนั้นยังคงเกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา แต่พวกเขาจะไม่กระทำการตามมัน  นี่คือแง่มุมหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง  บางทีเจ้าอาจจะกล่าวว่า “อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”  เป็นความจริงหรือว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้?  เจ้าไม่เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงต่างหาก  หากเจ้าเต็มใจปฏิบัติความจริง เจ้าจะยังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้กระนั้นหรือ?  ผู้คนที่กล่าวเช่นนี้ไม่มีความตั้งใจแน่วแน่  พวกเขาล้วนเป็นคนขลาดน่าสมเพช เป็นผู้คนที่ไม่เต็มใจสู้ทนความยากลำบาก  พวกเขาไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง แต่กลับกล่าวว่าความจริงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้  ผู้คนเช่นนี้หลอกลวงอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  เป็นพวกเขาเองที่ไม่สามารถปฏิบัติความจริง เป็นเพราะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาที่มีปัญหา แต่พวกเขากลับไม่เคยรู้จักธรรมชาติของตนเอง และถึงขนาดสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่าพระราชกิจของพระเจ้าทำให้ผู้คนครบบริบูรณ์ได้หรือไม่  คนเช่นนี้ไม่เคยตั้งใจที่จะมอบหัวใจของตนให้กับพระเจ้า ไม่เคยตั้งใจที่จะสู้ทนความยากลำบาก  เหตุผลเดียวที่เขายังคงอยู่ที่นี่ก็เพียงเพื่อหวังว่าจะโชคดีได้รับพรในอนาคตเท่านั้น  คนประเภทนี้ปราศจากความเป็นมนุษย์  หากใครบางคนมีความเป็นมนุษย์ ต่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาอย่างชัดเจน และพวกเขาไม่เข้าใจความจริงมากนัก พวกเขาจะทำสิ่งเลวร้ายหรือไม่?  คนคนหนึ่งที่มีความเป็นมนุษย์จะไม่ทำสิ่งเลวร้ายไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจในตัวเขาหรือไม่ก็ตาม  บางคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์สามารถทำสิ่งที่ดีบางอย่างได้เฉพาะในภาวะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาเท่านั้น  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา ธรรมชาติของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  ใครเล่าสามารถมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา?  บางคนในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อมีความเป็นมนุษย์ที่ดี พวกเขาไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้กระทำการใดๆ ที่ไร้คุณธรรมเป็นพิเศษ  ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เจ้าจะกระทำการที่ไร้คุณธรรมได้อย่างไร?  นี่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในตัวผู้คน ธรรมชาติของพวกเขาก็ถูกเปิดโปง  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในพวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงกระตุ้นพวกเขา ประทานความกระจ่างและความรู้แจ้งแก่พวกเขา ประทานพละกำลังพิเศษแก่พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำสิ่งดีๆ ได้บ้าง  เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะธรรมชาติของพวกเขาดี แต่เป็นผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์โดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหาก  แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในพวกเขา พวกเขาก็ชอบที่จะทำตามแนวคิดของตนเอง ซึ่งนำไปสู่การที่พวกเขาทำสิ่งเลวร้ายบางอย่างโดยไม่รู้ตัว  สิ่งนี้เท่านั้นที่เป็นการเผยธรรมชาติของพวกเขาอย่างแท้จริง

ธรรมชาติของผู้คนจะแก้ไขได้อย่างไร?  ก่อนอื่น ผู้คนต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับแก่นแท้ธรรมชาติของตน พวกเขาต้องชำแหละมันตามพระวจนะของพระเจ้าเพื่อดูว่ามันเป็นบวกหรือลบ และมันกำลังต่อต้านพระเจ้าหรือนบนอบพระเจ้า  พวกเขาต้องทำเช่นนี้จนกว่าจะมองทะลุได้ว่าแก่นแท้ธรรมชาติของตนนั้นจริงๆ แล้วเป็นเช่นใด จากนั้นพวกเขาจึงสามารถเกลียดตนเองและขบถต่อเนื้อหนังของตนได้อย่างแท้จริง  นอกจากนี้ พวกเขาต้องเข้าใจเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้า  เป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเจ้าคืออะไร?  เจ้าต้องสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้า  เมื่ออุปนิสัยของเจ้าเปลี่ยนไป เจ้าก็จะได้รับความจริง  ด้วยวุฒิภาวะในปัจจุบันของพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถควบคุมตนเองอย่างไรเพื่อให้พวกเจ้าไม่ทำชั่ว ต่อต้านพระเจ้า หรือทำสิ่งต่างๆ ที่ละเมิดความจริง?  พวกเจ้าต้องใคร่ครวญเรื่องเหล่านี้หากเจ้าต้องการเปลี่ยนแปลง  ส่วนปัญหาในการมีธรรมชาติที่เลวร้าย เจ้าต้องจับความเข้าใจว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดบ้างและเจ้าสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง  เจ้าต้องจับความเข้าใจว่าควรใช้มาตรการใดและปฏิบัติอย่างไรเพื่อควบคุมอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน  สิ่งเหล่านี้คือประเด็นสำคัญ  เมื่อมีความสับสนในหัวใจของเจ้าและความมืดมิดในจิตวิญญาณของเจ้า เจ้าต้องรู้วิธีที่จะแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขมัน รู้วิธีที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้า และรู้ว่าจะเดินเส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างไร  เจ้าต้องตั้งหลักธรรมสำหรับตนเอง  เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจแน่วแน่ของแต่ละบุคคลและขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเป็นคนที่ต้องการพระเจ้าหรือไม่  ครั้งหนึ่งเคยมีคนคนหนึ่งที่มักจะอารมณ์เสียอยู่เนืองๆ  เขาทำป้ายขึ้นมาแผ่นหนึ่ง และบนนั้นเขียนคำว่า “ควบคุมอารมณ์ของเจ้า”  จากนั้น เขาก็แขวนมันไว้บนผนังห้องทำงานของเขาเพื่อเป็นวิธีการควบคุมตนเองและเป็นเครื่องเตือนสติตนเอง  บางทีการทำเช่นนี้อาจมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  กระนั้นก็ตาม ผู้คนควรควบคุมตนเอง  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา  เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของตน พวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักตนเอง  ด้วยการมองทะลุแก่นแท้ของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเท่านั้น พวกเขาจึงจะเกลียดตนเองและขบถต่อเนื้อหนังได้  การขบถต่อเนื้อหนังยังต้องมีหลักธรรมด้วยเช่นกัน  คนเราจะสามารถขัดขืนเนื้อหนังได้หรือไม่หากพวกเขาเลอะเลือน?  ทันทีที่พวกเขาเผชิญปัญหา พวกเขาก็ยอมจำนนต่อเนื้อหนัง  พวกเจ้าบางคนอาจหยุดชะงักเมื่อเห็นผู้หญิงสวย ในกรณีนั้นเจ้าควรกำหนดคติประจำใจสำหรับตนเอง  เมื่อผู้หญิงสวยเข้ามาหาเจ้า เจ้าควรเดินหนีหรือทำอย่างไร?  เจ้าควรทำอย่างไรหากเธอยื่นมือมาจับมือของเจ้า?  หากเจ้าไม่มีหลักธรรม เจ้าก็จะสะดุดในสถานการณ์เช่นนั้น  เจ้าควรแก้ไขอย่างไรหากเจ้าพบว่าตนเองมืดบอดด้วยความโลภเมื่อเห็นเงิน?  เจ้าควรใคร่ครวญปัญหานี้เป็นการเฉพาะ และมุ่งเน้นการฝึกฝนตนเองเพื่อแก้ไขปัญหา และเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะค่อยๆ ขบถต่อเนื้อหนังได้  เพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เสื่อมทรามของเจ้า มีหลักธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญมาก และนั่นคือเจ้าควรมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตรวจสอบตนเองในทุกสิ่ง  นอกจากนี้ เจ้าต้องตรวจสอบภาวะของเจ้าจากวันนั้นและตรวจดูพฤติกรรมของตนเองทุกเย็นว่า สิ่งใดบ้างที่ทำไปโดยสอดคล้องกับความจริง และสิ่งใดบ้างที่ละเมิดหลักธรรม?  นี่เป็นอีกหลักธรรมหนึ่งเช่นกัน  หลักธรรมทั้งสองข้อนี้สำคัญที่สุด  ข้อแรกคือเจ้าต้องทบทวนตนเองเมื่อความเสื่อมทรามของเจ้าถูกเผยออกมา  ข้อที่สองคือเจ้าต้องทบทวนตนเองและแสวงหาความจริงหลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้ว  ข้อที่สามคือเจ้าต้องทำความเข้าใจและได้รับความกระจ่างเกี่ยวกับความหมายของการปฏิบัติความจริงและการกระทำตามหลักธรรม  หากเจ้าสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างแท้จริงแล้ว เจ้าย่อมสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ  หากเจ้ายึดมั่นในหลักธรรมทั้งสามข้อนี้ เจ้าย่อมสามารถควบคุมตนเอง ป้องกันตนไม่ให้สำแดงหรือกระทำการตามธรรมชาติที่เสื่อมทรามของเจ้า  สิ่งเหล่านี้คือหลักธรรมพื้นฐานในการแก้ไขธรรมชาติของเจ้า  ด้วยหลักธรรมเหล่านี้ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจในตัวเจ้า หรือเมื่อไม่มีใครให้สามัคคีธรรมกับเจ้าเป็นเวลานาน หากเจ้ายังคงอยู่ในสภาวะปกติได้โดยการเพียรพยายามเพื่อความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นคนคนหนึ่งที่รักความจริงและขบถต่อเนื้อหนัง  บรรดาผู้ที่พึ่งพาผู้อื่นเสมอเพื่อให้สามัคคีธรรมความจริงและตัดแต่งพวกเขานั้นคือทาส  ผู้คนเหล่านี้พิการและไม่สามารถดำรงชีวิตด้วยตัวเองได้  บรรดาผู้ที่กระทำการโดยปราศจากหลักธรรมจะกระทำการอย่างบุ่มบ่ามและตามอำเภอใจ และสูญเสียการควบคุมตนเองหากพวกเขาไม่ได้รับการตัดแต่งหรือได้รับสามัคคีธรรมเป็นระยะเวลาหนึ่ง  คนเช่นนี้จะทำให้พระเจ้าวางพระทัยได้อย่างไร?  ดังนั้น เจ้าต้องยึดมั่นในหลักธรรมสามข้อนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องธรรมชาติ  นี่จะช่วยให้เจ้าไม่กระทำผิดอย่างใหญ่หลวงและทำให้มั่นใจว่าเจ้าจะไม่ต่อต้านหรือทรยศพระเจ้า

บทตัดตอน 18

ผู้คนมากมายได้กล่าวถึงปัญหาเดียวกันว่า หลังจากได้ฟังการสามัคคีธรรมโดยเบื้องบนแล้ว พวกเขาก็รู้สึกกระจ่าง มีแรงจูงใจ และไม่คิดลบอีกต่อไป แต่ภาวะนี้คงอยู่เพียงสิบกว่าวันแล้วก็กลับกลายเป็นผิดปกติอีกครั้ง—พวกเขาสูญเสียแรงจูงใจของตน และไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรและจะทำอะไร  ปัญหานี้คืออะไร?  อะไรคือรากเหง้าของปัญหา?  พวกเจ้าเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  บางคนกล่าวว่ารากเหง้าของปัญหานี้คือผู้คนไม่มุ่งเน้นที่ความจริง  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงมีสภาวะที่เป็นปกติหลังจากได้ฟังการสามัคคีธรรมแล้ว?  เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกมีความสุขและเป็นอิสระเป็นพิเศษหลังจากได้ยินความจริง?  บางคนกล่าวว่าเป็นเพราะพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงพระราชกิจต่อไปหลังจากผ่านไปสิบกว่าวัน?  บางคนกล่าวว่าเป็นเพราะผู้คนไม่เพียรพยายามที่จะก้าวหน้าต่อไปและได้กลายเป็นคนเกียจคร้าน  เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงยังคงไม่ทรงพระราชกิจในผู้คนที่เพียรพยายามที่จะก้าวหน้าเล่า?  เจ้าไม่ได้กำลังเพียรพยายามที่จะก้าวหน้าด้วยหรือ?  เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงพระราชกิจ?  ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คนยกขึ้นมาแล้วสอดคล้องกับความเป็นจริง  ปัญหาอยู่ตรงนี้ นั่นคือ ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจหรือไม่ก็ตาม การให้ความร่วมมือของมนุษย์ก็ไม่อาจถูกละเลยได้  เมื่อคนคนหนึ่งที่รักความจริงมาเข้าใจความจริงอย่างกระจ่างแล้ว เขาก็จะคงสภาวะที่เป็นปกติเอาไว้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจหรือไม่ก็ตาม  แต่สำหรับใครบางคนที่ไม่รักความจริง แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจความจริงอย่างชัดเจนเป็นพิเศษและแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจอย่างมีนัยสำคัญ ความจริงที่พวกเขาสามารถปฏิบัติได้ก็จะยังคงจำกัดอยู่ดี  พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้เพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขามีความสุข  ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาจะยังคงกระทำการตามความชอบส่วนตัวของตน และมักจะเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนออกมา  ดังนั้น ภาวะของคนคนหนึ่งเป็นปกติหรือไม่และพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียว  และไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ว่าความจริงนั้นชัดเจนต่อคนคนนั้นหรือไม่  แต่ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นรักความจริงและเต็มใจปฏิบัติความจริงหรือไม่  โดยปกติแล้ว หลังจากที่คนคนหนึ่งได้ยินคำเทศนาและการสามัคคีธรรม สภาวะของเขาค่อนข้างเป็นปกติอยู่ระยะเวลาหนึ่ง  นี่คือผลลัพธ์ของการมาเข้าใจความจริง ความจริงนำให้เจ้าได้รับความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติที่เสื่อมทรามของตนเอง เจ้าจึงรู้สึกมีความสุขและเป็นอิสระ และภาวะของเจ้าก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าก็เผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ผิดปกติอย่างกะทันหันและไม่รู้วิธีที่จะมีประสบการณ์กับมัน หัวใจของเจ้าไม่สว่างไสวดังเช่นแต่ก่อนอีกต่อไปและเจ้าก็ทิ้งความจริงไว้เบื้องหลังโดยไม่รู้ตัว เจ้าไม่พยายามแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการกระทำของเจ้า เจ้ากระทำการตามอำเภอใจในทุกสิ่ง และเจ้าไม่มีเจตนาที่จะปฏิบัติความจริงเลย  เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าก็สูญเสียความจริงที่เจ้าเคยเข้าใจ  เจ้ายังคงเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองต่อไปด้วย  เมื่อเจ้าเผชิญกับสิ่งต่างๆ เจ้าก็ไม่แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า—แม้เมื่อเจ้าเข้าใกล้พระเจ้า เจ้าก็เพียงแต่ทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น  ทันทีที่เจ้าตระหนักในเรื่องนั้น หัวใจของเจ้าก็ได้หลงทางไปไกลจากพระเจ้าแล้ว และเจ้าได้ทำหลายสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าและถึงกับเอ่ยวาจาหมิ่นประมาทพระเจ้าออกมาบ้างแล้ว  นี่เป็นเรื่องยุ่งยาก  หากสภาพการณ์ไม่รุนแรงนัก ผู้คนก็ยังคงสามารถได้รับการกอบกู้ขึ้นมาได้ แต่หากสภาพการณ์นั้นร้ายแรง—หากพวกเขาไปไกลถึงขั้นหมิ่นประมาทพระเจ้า พยายามแข่งขันเพื่อชิงความเป็นใหญ่กับพระเจ้า และพยายามแย่งชิงสถานะ รวมทั้งอาหารและเสื้อผ้ากับพระเจ้า—เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถได้รับการกอบกู้แล้ว  จุดมุ่งหมายของการสามัคคีธรรมความจริงอย่างชัดเจนก็คือการทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจและปฏิบัติความจริงและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา  นั่นไม่ใช่เพื่อนำความสว่างและความสุขเล็กน้อยมาสู่หัวใจของพวกเขาเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงเท่านั้น  หากเจ้าเข้าใจความจริงแต่ไม่ได้ปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้ว ความสำคัญของการสามัคคีธรรมและการเข้าใจความจริงก็จะสูญสิ้นไป  อะไรคือปัญหาเมื่อผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่ได้นำความจริงไปปฏิบัติ?  นี่คือข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่รักความจริง ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับความจริง ซึ่งในกรณีนั้นพวกเขาจะพลาดพรจากพระเจ้าและโอกาสสำหรับความรอดไป  เมื่อเป็นเรื่องที่ว่าผู้คนสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่ สิ่งที่สำคัญยิ่งคือพวกเขาสามารถยอมรับและปฏิบัติความจริงได้หรือไม่  หากเจ้านำความจริงที่เจ้าเข้าใจไปปฏิบัติ เจ้าจะได้รับการให้ความรู้แจ้ง ความกระจ่าง และการทรงชี้แนะจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง สัมฤทธิ์ความเข้าใจความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และในท้ายที่สุดก็ได้รับความจริงและความรอดจากพระเจ้า  บางคนไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้ และพวกเขาก็มักจะพร่ำบ่นอยู่เสมอว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ประทานความรู้แจ้งหรือความกระจ่างแก่พวกเขา พระเจ้าไม่ประทานพละกำลังแก่พวกเขา  ไม่ถูกต้อง นี่คือการเข้าใจพระเจ้าผิด  การให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสร้างขึ้นบนรากฐานของการให้ความร่วมมือของผู้คน  ผู้คนต้องมีหัวใจที่จริงใจและเต็มใจปฏิบัติความจริง และไม่ว่าความเข้าใจของพวกเขาจะลุ่มลึกหรือผิวเผิน พวกเขาก็ต้องสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการให้ความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  หากผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่นำไปปฏิบัติและเพียงแต่รอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจและบังคับให้พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขากำลังนิ่งเฉยอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  พระเจ้าไม่เคยทรงบังคับให้ผู้คนทำสิ่งใดเลย  หากผู้คนเข้าใจความจริงแต่ไม่เต็มใจที่จะนำไปปฏิบัติ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รักความจริง หรือแสดงให้เห็นว่าสภาวะของพวกเขาผิดปกติและมีบางสิ่งกีดขวางพวกเขา  แต่หากผู้คนสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงพระราชกิจเช่นกัน ความกังวลที่แท้จริงก็คือหากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงและไม่อธิษฐานถึงพระเจ้าด้วย เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่มีวิถีทางที่จะทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  อันที่จริงแล้ว ไม่ว่าผู้คนจะมีความยากลำบากประเภทใด มันก็สามารถแก้ไขได้เสมอ สิ่งสำคัญคือพวกเขาสามารถปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่  บัดนี้ ปัญหาของความเสื่อมทรามในตัวพวกเจ้านั้นไม่ใช่โรคมะเร็ง ไม่ใช่โรคที่รักษาไม่หาย  หากพวกเจ้าสามารถตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง พวกเจ้าก็จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นไปได้ที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไป  ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริงได้หรือไม่—นี่คือสิ่งที่สำคัญยิ่ง  หากเจ้าปฏิบัติความจริงและเดินบนเส้นทางของการแสวงหาความจริงแล้ว เจ้าก็จะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน  หากเส้นทางที่เจ้าเดินเป็นเส้นทางที่ผิด เช่นนั้นเจ้าก็จะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การก้าวผิดพลาดหนึ่งก้าวจะนำไปสู่ก้าวที่ผิดพลาดก้าวหนึ่ง และทุกอย่างก็จะจบสิ้นสำหรับเจ้า และไม่ว่าเจ้าจะเชื่อต่อไปอีกกี่ปี เจ้าก็จะไม่สามารถบรรลุความรอดได้  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขากำลังทำงาน บางคนไม่เคยคิดเลยว่าจะทำงานอย่างไรในหนทางที่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้าและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาทำหลายสิ่งที่เห็นแก่ตัวและเลวทราม ได้รับความรังเกียจและความเกลียดชังจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเผยและถูกกำจัดออกไป  หากผู้คนสามารถแสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความจริงได้ในทุกสิ่ง เช่นนั้นพวกเขาก็ได้เข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้าแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมีความหวังที่จะกลายเป็นคนที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  บางคนเข้าใจความจริงแต่ไม่นำไปปฏิบัติ  พวกเขากลับเชื่อว่าความจริงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร และไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องเจตจำนงของตนเองและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้  ผู้คนเช่นนี้ช่างน่าขันจริงๆ มิใช่หรือ?  พวกเขาไร้สาระอย่างสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่คิดว่าตนเองฉลาดมากหรอกหรือ?  หากผู้คนสามารถปฏิบัติตามความจริง อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้  หากการเชื่อและการรับใช้พระเจ้าของพวกเขาเป็นไปตามบุคลิกตามธรรมชาติของตนเอง เช่นนั้นก็จะไม่มีพวกเขาแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนได้  มีบางคนที่ใช้เวลาทั้งวันหมกมุ่นอยู่กับความวิตกกังวลที่เกิดจากการเลือกที่ผิดพลาดของตนเอง  เมื่อมีความจริงที่พร้อมอยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่ตรวจสอบหรือพยายามที่จะนำไปปฏิบัติ แต่กลับยืนกรานที่จะเลือกเส้นทางของตนเอง  ช่างเป็นวิธีการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี!  พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะสุขสำราญอย่างแท้จริงกับพรที่ตนมี พวกเขาเกิดมาเพื่อทนทุกข์  การปฏิบัติความจริงเรียบง่ายเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าปฏิบัติหรือไม่ก็ตามล้วนมีความสำคัญ  หากเจ้าเป็นคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปฏิบัติความจริง เช่นนั้นแล้ว ความคิดลบ ความอ่อนแอ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะค่อยๆ ได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไป เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าหัวใจของเจ้ารักความจริงหรือไม่ เจ้าสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่ เจ้าสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อที่จะได้รับความจริงหรือไม่  หากเจ้ารักความจริงอย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถทนทุกข์กับความเจ็บปวดทุกชนิดเพื่อที่จะได้รับความจริง—ไม่ว่านั่นจะหมายถึงการถูกใส่ร้าย การถูกตัดสิน หรือการถูกผู้คนปฏิเสธก็ตาม เจ้าควรแบกรับทั้งหมดนี้ด้วยความอดทนและอดกลั้น  พระเจ้าจะทรงคุ้มครองและอวยพรเจ้า พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งหรือเพิกเฉยต่อเจ้า—นี่เป็นสิ่งที่แน่นอน  หากเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พึ่งพาพระเจ้าและมองดูพระเจ้า ก็จะไม่มีความยากลำบากใดที่เจ้าไม่สามารถผ่านพ้นไปได้  เจ้าอาจมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และเจ้าอาจกระทำผิด แต่หากเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และหากเจ้าเดินอย่างระมัดระวังบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นเจ้าจะสามารถตั้งมั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย และจะได้รับการทรงนำและคุ้มครองจากพระเจ้าอย่างแน่นอน

มีบางคนที่เตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงเพียงเพื่อที่จะทำงานและประกาศ เพื่อจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของตนเอง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการนำไปปฏิบัติเลย  การสามัคคีธรรมของพวกเขาอาจมีความเข้าใจที่บริสุทธิ์และสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขาไม่เชื่อมโยงกับตนเอง และไม่ปฏิบัติหรือมีประสบการณ์กับความจริง  อะไรคือปัญหาในที่นี้?  พวกเขาได้ยอมรับความจริงเป็นชีวิตของตนอย่างแท้จริงแล้วหรือยัง?  พวกเขายังไม่ยอมรับ  คำสอนที่คนเราประกาศนั้น ไม่ว่าจะบริสุทธิ์เพียงใด ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเรามีความเป็นจริงความจริง  การเตรียมตนเองให้พร้อมด้วยความจริงนั้น คนเราต้องเข้าสู่ความจริงด้วยตนเองเสียก่อน และพวกเขาต้องนำความจริงไปปฏิบัติเมื่อพวกเขาเข้าใจแล้ว  หากคนเราไม่มุ่งเน้นที่การเข้าสู่ของตนเอง แต่กลับโอ้อวดโดยการประกาศความจริงแก่ผู้อื่น เจตนาของพวกเขาก็ผิด  มีผู้นำเทียมเท็จมากมายที่ทำงานเช่นนี้ สามัคคีธรรมความจริงที่พวกเขาเข้าใจกับผู้อื่นอย่างไม่หยุดหย่อน จัดเตรียมแก่ผู้เชื่อใหม่ สอนผู้คนให้ปฏิบัติความจริง ทำหน้าที่ของตนให้ดี ไม่คิดลบ  คำพูดเหล่านี้ล้วนดีงามทั้งสิ้น และผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็สามารถถือได้ว่าเปี่ยมรัก แต่เหตุใดพวกเขาเองจึงไม่ปฏิบัติความจริงหรือมีการเข้าสู่ชีวิต?  เกิดอะไรขึ้นในที่นี้กันแน่?  คนเช่นนี้รักความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่?  ยากที่จะกล่าว  นี่คือวิธีที่พวกฟาริสีในอิสราเอลอธิบายพระคัมภีร์ให้ผู้อื่นฟัง แต่พวกเขาเองกลับไม่สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าได้  เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจ พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแต่กลับต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกเขาตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้าและถูกพระเจ้าสาปแช่ง  เพราะฉะนั้น ผู้คนทุกคนที่ไม่ยอมรับหรือปฏิบัติความจริงจะถูกพระเจ้ากล่าวโทษ  พวกเขาน่าสมเพชเหลือเกิน!  เมื่อคำพูดและคำสอนที่พวกเขาประกาศสามารถช่วยผู้อื่นได้ เหตุใดจึงไม่สามารถช่วยพวกเขาเองได้เล่า?  พวกเราควรเรียกคนเช่นนี้ว่าคนหน้าซื่อใจคดที่ไม่มีความเป็นจริงเลย  เขาจัดเตรียมคำพูดเกี่ยวกับความจริงแก่ผู้อื่นและให้ผู้อื่นปฏิบัติ แต่เขาเองกลับไม่ได้ปฏิบัติแม้แต่น้อย  คนเช่นนี้ช่างไร้ยางอายมิใช่หรือ?  เขาไม่มีความเป็นจริงความจริง แต่ยังคงประกาศคำพูดและคำสอนแก่ผู้อื่นเพื่อเสแสร้งทำเป็นผู้ที่มีความเป็นจริงความจริง  นี่คือการจงใจชักพาให้หลงผิดและทำร้ายผู้คนไม่ใช่หรือ?  หากคนเช่นนี้ถูกเผยและถูกกำจัดออกไป เขาก็จะได้แต่โทษตนเองเท่านั้น  เขาจะไม่คู่ควรกับความสงสารเลย  ใครบางคนที่ได้แต่ประกาศคำพูดและคำสอน แต่ไม่ปฏิบัติความจริง จะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้หรือไม่?  พวกเขากำลังหลอกลวงผู้อื่นและทำร้ายตนเองไม่ใช่หรือ?  ความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ที่การนำความจริงไปปฏิบัติ  เป้าหมายของการปฏิบัติความจริงคือเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคนเราและใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง แต่พวกเขาไม่ตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้วิธีที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขความยากลำบากของตนด้วย  ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะให้น้ำ จัดเตรียม หรือเกื้อหนุนผู้อื่นอย่างไร พวกเขาก็จะไม่มีวันสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่แท้จริงได้เลยเพราะพวกเขาไม่มีเส้นทางสำหรับการเข้าสู่ชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย  หากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขความยากลำบากของผู้คนหรือแก้ไขปัญหาใดๆ โดยการสามัคคีธรรมความจริง เช่นนั้นแล้ว  สิ่งที่พวกเขากล่าวก็เป็นเพียงคำพูดและคำสอนที่น่าฟังแต่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงไม่ใช่หรือ?  หากเจ้าต้องการที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้า เจ้าต้องมุ่งเน้นที่การปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเสียก่อน  ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงในแง่มุมใด เจ้าก็ต้องมุ่งเน้นที่การนำไปปฏิบัติ  เพียงในการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับความจริงของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะค้นพบปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจ้าจะสามารถตระหนักได้เมื่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าถูกเผยออกมา  หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป  จากนั้นเจ้าก็จะมีเส้นทางเมื่อเจ้าเสวนาเรื่องการปฏิบัติความจริง และเจ้าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริง  นี่แสดงให้เห็นว่าตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง เจ้าจะมีความเป็นจริงความจริง และตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริง เจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะจัดเตรียมให้แก่ผู้อื่น  ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจะทรงเห็นชอบเจ้า และผู้คนก็จะสรรเสริญเจ้า

ก่อนหน้า:  พระวจนะว่าด้วยการปฏิบัติต่อความจริงและพระเจ้า

ถัดไป:  พระวจนะว่าด้วยการทำความรู้จักพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระเจ้า

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger