บทที่ 14

พวกมนุษย์ไม่เคยหยั่งลึกถึงสิ่งใดจากพระวจนะของพระเจ้า  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาเพียง “ถนอมความล้ำค่า” ของพระวจนะเหล่านั้นเพียงผิวเผิน โดยปราศจากความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของพระวจนะ  เพราะฉะนั้น แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะชื่นชอบถ้อยดำรัสของพระองค์  แต่พระเจ้าก็ทรงชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองเห็นคุณค่าของพระวจนะอย่างแท้จริง  เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ก็คือว่า ในทรรศนะของพระเจ้า แม้ว่าพระวจนะของพระองค์จะเป็นสมบัติอันล้ำค่า แต่ผู้คนก็ยังมิได้ลิ้มรสความหวานอันแท้จริงของพระวจนะ  ครั้นเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงสามารถทำได้เพียง “ดับความกระหายของพวกเขาด้วยการนึกถึงลูกพลัม” เท่านั้น ด้วยวิธีนี้จึงเป็นการผ่อนบรรเทาหัวใจอันโลภโมโทสันของพวกเขาลงได้  ไม่เพียงพระวิญญาณของพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจอยู่ในหมู่มนุษย์ทั้งปวงเท่านั้น แต่แน่นอนอยู่แล้วว่า พวกเขายังได้รับมอบความรู้แจ้งจากพระวจนะของพระเจ้าอีกด้วย มันเป็นก็เพียงแค่ว่าพวกเขาขาดความใส่ใจเกินกว่าที่จะสามารถซาบซึ้งถึงแก่นแท้ของพระวจนะได้อย่างแท้จริง  ในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนนั้น บัดนี้คือยุคซึ่งราชอาณาจักรได้ถูกทำให้เป็นจริงแล้วอย่างครบถ้วน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่กรณีเช่นนั้นเลย  แม้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเผยวจนะคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วงไปแล้ว แต่ราชอาณาจักรที่แท้จริงนั้นยังมิได้มาถึงแผ่นดินโลกอย่างครบถ้วน  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ในขณะที่มนุษยชาติเปลี่ยนแปลง ในขณะที่พระราชกิจก้าวหน้าไป และในขณะที่ฟ้าแลบมาจากทางทิศตะวันออก—ซึ่งก็คือ ในขณะที่พระวจนะของพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น—ราชอาณาจักรจะมาบังเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลกอย่างช้าๆ โดยเคลื่อนลงสถิตอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่อย่างครบบริบูรณ์บนพิภพนี้  กระบวนการของการมาแห่งราชอาณาจักรนั้นเป็นกระบวนการแห่งพระราชกิจในแบบของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกด้วยเช่นกัน  ในขณะเดียวกัน ทั่วทั้งจักรวาล พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจหนึ่งซึ่งมิได้ถูกกระทำไปในยุคทั้งหลายทั้งปวงตลอดประวัติศาสตร์ นั่นคือ การจัดระบบแผ่นดินโลกใหม่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงอันมหาศาลกำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งจักรวาล รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในรัฐอิสราเอล รัฐประหารในสหรัฐอเมริกา การเปลี่ยนแปลงในอียิปต์ การเปลี่ยนแปลงในสหภาพโซเวียต และการล้มล้างอำนาจของจีน  ทันทีที่ทั้งจักรวาลได้ลงหลักปักฐานและได้คืนสู่ปกติแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกก็จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ นั่นคือเวลาที่ราชอาณาจักรจะมายังแผ่นดินโลก  นี่คือความหมายที่แท้จริงของพระวจนะที่ว่า “เมื่อประชาชาติทั้งปวงของโลกถูกทำให้หยุดชะงัก นั่นก็คือเวลาที่ราชอาณาจักรของเราจะได้รับการสถาปนาและทำให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมานั่นเอง ทั้งยังเป็นเวลาที่เราจะแปลงสภาพและหันไปเผชิญหน้ากับทั่วทั้งจักรวาลด้วย” พระเจ้ามิทรงซ่อนเร้นสิ่งใดจากมนุษยชาติ พระองค์ได้ทรงบอกกล่าวผู้คนอย่างต่อเนื่องถึงความอุดมทั้งมวลของพระองค์—ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถคิดออกอยู่ดีว่าพระองค์ทรงหมายถึงอะไร และเอาแต่ทำความเข้าใจพระวจนะของพระองค์เหมือนพวกคนโง่เขลา  ณ ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พวกมนุษย์ได้เรียนรู้ความมิอาจหยั่งถึงได้ของพระเจ้า และที่มากกว่านั้นก็คือ สามารถซาบซึ้งถึงความลำบากยากเย็นของกิจแห่งการทำความเข้าใจพระองค์ได้แล้วในตอนนี้ ด้วยเหตุผลนี้เอง พวกเขาจึงได้รู้สึกว่า ในปัจจุบันนี้ การที่เชื่อในพระเจ้านั้นเป็นสิ่งซึ่งลำบากยากเย็นที่สุดที่จะทำ ละม้ายกับการสอนสุกรให้ร้องเพลงนั่นเอง  พวกเขาอับจนหนทางอย่างสิ้นเชิง เหมือนหนูติดกับไม่มีผิด  อันที่จริงแล้ว ไม่สำคัญว่าพลังอำนาจที่บุคคลหนึ่งมีนั้นจะมากมายเพียงใด หรือความชำนาญของบุคคลหนึ่งจะเชี่ยวชาญขนาดไหน หรือไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะเก็บงำความสามารถทั้งหลายอันไร้ขีดจำกัดเอาไว้หรือไม่ เมื่อกล่าวถึงพระวจนะของพระเจ้า สิ่งทั้งหลายดังกล่าวไม่มีความหมายอะไรเลย  ราวกับว่ามนุษยชาติเป็นเพียงเถ้ากระดาษที่ถูกไฟไหม้กองหนึ่งเท่านั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า—ปราศจากคุณค่าอันใดโดยสมบูรณ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประโยชน์อันใดเลย  นี่คือการแสดงตัวอย่างซึ่งสมบูรณ์แบบของความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะที่ว่า “เราได้กลายเป็นซ่อนเร้นมากขึ้นทุกทีและมิอาจหยั่งถึงได้ยิ่งขึ้นทุกทีเมื่อมองจากมุมมองของพวกเขา”  จากการนี้จึงเป็นหลักฐานว่า พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปโดยสอดคล้องกับความก้าวหน้าตามธรรมชาติ และถูกปฏิบัติไปโดยสอดคล้องกับสิ่งที่อวัยวะในการรับรู้ของมนุษย์นั้นสามารถรับไว้ได้  เมื่อธรรมชาติของมนุษยชาติหนักแน่นและไม่สั่นคลอน พระวจนะทั้งหลายที่พระเจ้าดำรัสจึงสอดคล้องเข้ากันกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาโดยสมบูรณ์ และมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้ดูเหมือนเกือบจะเป็นพจน์ที่คล้ายกันกับพระเจ้าไม่มีผิด โดยปราศจากความแตกต่างแม้แต่น้อย  นี่ทำให้ผู้คนพอจะตระหนักรู้เกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้า” ขึ้นมาบ้าง แต่นั่นหาใช่วัตถุประสงค์หลักของพระองค์ไม่  พระเจ้ากำลังทรงอนุญาตให้ผู้คนลงหลักปักฐานก่อนการเริ่มต้นพระราชกิจที่แท้จริงของพระองค์บนแผ่นดินโลกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ  เพราะฉะนั้น ในครรลองแห่งการเริ่มต้นนี้ที่น่างุนงงสับสนเหลือเกินสำหรับพวกมนุษย์ พวกเขากำลังตระหนักว่า แนวความคิดที่มีมาแต่เดิมของพวกเขานั้นไม่ถูกต้อง และตระหนักว่า พระเจ้ากับมนุษยชาตินั้นแตกต่างกันพอๆ กับฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลก และไม่มีอะไรเหมือนกันโดยสิ้นเชิง  เพราะความที่ไม่สามารถใช้พื้นฐานของมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์มาประเมินพระวจนะของพระเจ้าได้อีกต่อไป มนุษย์จึงได้เริ่มมองพระเจ้าในแบบใหม่ในทันที ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาจ้องมองพระเจ้าอย่างทึ่งตะลึงงัน ราวกับว่าพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้พอๆ กับพระเจ้าที่ไม่สามารถสัมผัสได้และไม่สามารถมองเห็นได้ และราวกับว่าเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์นั้นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ปราศจากแก่นแท้ของพระองค์  พวกเขาจินตนาการว่า แม้ว่าพระองค์ทรงเป็นการประสูติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ก็สามารถแปลงกลับไปสู่รูปพระวิญญาณและลอยจากไปได้ทุกเมื่อ  เพราะฉะนั้น ผู้คนจึงได้พัฒนากรอบความคิดที่ค่อนข้างปิดกั้นขึ้นมา  เมื่อเอ่ยถึงพระเจ้า พวกเขาแต่งองค์ทรงเครื่องให้พระองค์ด้วยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา โดยกล่าวอ้างว่า พระองค์ทรงสามารถขี่บนก้อนเมฆและละอองหมอก เดินบนน้ำ และปรากฏขึ้นและอันตรธานไปอย่างฉับพลันท่ามกลางพวกมนุษย์ได้  คนอื่นๆ บางคนยิ่งมีคำอธิบายเชิงบรรยายความยิ่งกว่านี้  เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และการขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของผู้คน พระเจ้าจึงตรัสไว้ว่า “เมื่อพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาได้ต้านทานเราหรือละเมิดประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา เราก็ยังคงทำเป็นมองไม่เห็น”

พระเจ้าทรงเปิดเผยโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของมนุษยชาติและโลกภายในของพวกเขาด้วยความถูกต้องแม่นยำที่ไม่มีผิดพลาด  ไม่เคยพลาดเป้าแม้เพียงนิด  ถึงขั้นที่พูดได้เลยว่า พระองค์ไม่เคยทรงทำความผิดพลาดอะไรเลย  นี่คือบทพิสูจน์ที่โน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อได้อย่างถึงที่สุด  เนื่องจากหลักธรรมเบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้า พระวจนะและกิจการของพระองค์มากมายจึงทิ้งความประทับใจซึ่งยากที่จะลบเลือนเอาไว้ และเพราะฉะนั้นจึงดูเหมือนผู้คนได้รับความเข้าใจที่ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพระองค์ ราวกับพวกเขาได้ค้นพบสิ่งทั้งหลายซึ่งล้ำค่ามากขึ้นในพระองค์ “ในความทรงจำของพวกเขา เราก็คือพระเจ้าผู้แสดงความกรุณาต่อผู้คนมากกว่าที่จะตีสอนพวกเขา หรือไม่เราก็เป็นพระเจ้าพระองค์เองที่ไม่ได้หมายความตามที่พระองค์ตรัส  ทั้งหมดนี้คือการจินตนาการที่ก่อกำเนิดจากความคิดแบบมนุษย์ และทั้งหมดนี้ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย”  แม้ว่ามนุษยชาติไม่เคยให้ความสำคัญของพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้าเลย แต่พวกเขาก็รู้จัก “พระอุปนิสัยข้างเคียงของพระเจ้า” ดุจหลังมือของพวกเขาเอง พวกเขาจึงกำลังจ้องจับผิดพระวจนะและกิจการของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา  นี่เป็นเพราะผู้คนนั้นเต็มใจเหลือเกินที่จะให้ความสนใจต่อสิ่งที่เป็นลบและเพิกเฉยต่อสิ่งที่เป็นบวกเสมอ ก็แค่กำลังมองหมิ่นกิจการของพระเจ้าอยู่เท่านั้นเอง  ยิ่งพระเจ้าตรัสมากขึ้นเท่าใดว่าพระองค์ทรงซ่อนเร้นพระองค์เองอย่างถ่อมใจอยู่ในที่ประทับของพระองค์ ข้อเรียกร้องที่มนุษยชาติมีต่อพระองค์ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น  พวกเขาพูดว่า “หากพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์กำลังทรงสังเกตทุกความประพฤติของมนุษยชาติและกำลังผ่านประสบการณ์ชีวิตแบบมนุษย์ เหตุใดเล่า ในเวลาส่วนใหญ่พระเจ้าจึงไม่ทรงทราบถึงสถานการณ์จริงของพวกเรา?  นี่หมายความว่า พระองค์ทรงซ่อนเร้นอยู่อย่างแท้จริงหรือ?”  แม้ว่าพระเจ้าจะทรงทอดพระเนตรลึกลงไปในหัวใจมนุษย์ พระองค์ก็ยังคงทรงพระราชกิจไปตามสภาวะที่แท้จริงของมนุษยชาติ ทั้งไม่คลุมเครือและไม่เหนือธรรมชาติ  ในการตัดแต่งอุปนิสัยเดิมของพวกเขาให้ถ้วนทั่วนั้น พระเจ้าได้ทรงพยายามทุกอย่างที่จะตรัสจากมุมมองอันหลากหลาย เปิดเผยธรรมชาติอันแท้จริงของผู้คน และทรงประกาศคำพิพากษาเรื่องความเป็นกบฏของพวกเขา ชั่วขณะหนึ่งก็ตรัสว่า พระองค์จะทรงจัดการกับทุกคน และชั่วขณะถัดมาทรงกล่าวประกาศว่า พระองค์จะทรงช่วยผู้คนกลุ่มหนึ่งให้รอด ด้วยการกำหนดข้อพึงประสงค์หรือไม่ก็ให้คำเตือนแก่พวกเขา และทำการชำแหละชิ้นส่วนอวัยวะภายในของพวกเขาสลับกับการจัดเตรียมการรักษา  ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นราวกับว่ามนุษย์ทั้งหลายได้เดินทางไปถึงทุกซอกมุมของแผ่นดินโลกภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า และได้เข้าสู่สวนอันอารีซึ่งดอกไม้แต่ละดอกในนั้นแข่งกันเป็นดอกที่สวยที่สุด  ไม่ว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด มวลมนุษย์ก็จะเข้าสู่พระวจนะของพระองค์ ราวกับพระเจ้าทรงเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดทุกสิ่งซึ่งมีโลหะเหล็กอยู่ในตัวเข้าหามันไม่มีผิด  ทันทีที่อ่านพระวจนะที่ว่า “มนุษย์ไม่ใส่ใจเรา ดังนั้นเราจึงไม่จริงจังกับพวกเขาเช่นกัน  พวกเขาไม่ให้ความสนใจเรา ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องทำงานกับพวกเขาให้หนักขึ้นแต่อย่างใดเช่นกัน  นี่ไม่ใช่สิ่งดีที่สุดสำหรับทั้งสองพิภพหรอกหรือ?”  ประชากรทั้งหมดของพระเจ้าดูเหมือนถูกซัดคว่ำลงสู่บาดาลลึกอีกแล้ว หรือไม่ก็ถูกบดขยี้ปางตายอีกครั้ง ทิ้งให้พวกเขาอยู่ในอาการเสียขวัญอย่างถึงที่สุด  ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงเข้าสู่วิธีการนั้นอีกครั้ง  พวกเขางุนงงสับสนเป็นพิเศษเมื่อนึกถึงพระวจนะที่ว่า “หากเจ้าไม่สามารถรักษาหน้าที่ของเจ้าเองในฐานะสมาชิกของประชากรของเราในราชอาณาจักรแล้วไซร้ เจ้าย่อมจะถูกเรารังเกียจเดียดฉันท์”  ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนักที่พวกเขาถูกทำให้หลั่งน้ำตา พลางคิดว่า “ฉันได้เคยยากลำบากกับการปีนออกจากบาดาลลึก ดังนั้นฉันคงจะไร้ความหวังโดยสิ้นเชิงหากตกลงไปในนั้นอีกครั้ง  ฉันไม่ได้รับอะไรเลยในพิภพมนุษย์ และได้ก้าวผ่านความลำบากยากเย็นและความทุกข์ลำบากทุกลักษณะมาหมดแล้วในชีวิตของฉัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่มาสู่ความเชื่อ ฉันได้ผ่านประสบการณ์การทอดทิ้งของผู้เป็นที่รัก การข่มเหงจากครอบครัวของฉัน และการใส่ร้ายป้ายสีจากผู้อื่นในสังคม และฉันไม่ได้ชื่นชมความสุขอันใดของโลกเลย  หากฉันตกลงไปสู่บาดาลลึกอีกครั้ง ชีวิตฉันจะไม่ยิ่งถูกใช้ไปอย่างสูญเปล่ามากขึ้นหรอกหรือ?”  (ยิ่งบุคคลหนึ่งจมอยู่กับเรื่องนี้มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกโศกเศร้ามากขึ้น)  “ความหวังทั้งหมดของฉันได้วางใจฝากไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว หากพระองค์ทรงทอดทิ้งฉัน ฉันอาจตายได้ในทันทีตอนนี้เช่นกัน… ดีละ ทุกอย่างได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วโดยพระเจ้า ดังนั้นตอนนี้ฉันทำได้แค่เพียงพยายามที่จะรักพระเจ้าเท่านั้น อย่างอื่นทั้งหมดย่อมเป็นรอง  เหตุใดชะตากรรมของฉันจึงเป็นเช่นนี้?”  ยิ่งผู้คนคิดแบบนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งใกล้มาถึงมาตรฐานของพระเจ้าและวัตถุประสงค์แห่งพระวจนะของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  ในลักษณะนี้ วัตถุประสงค์แห่งพระวจนะของพระองค์ย่อมสัมฤทธิ์ผล  หลังจากที่พวกมนุษย์มองเห็นพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาล้วนผ่านประสบการณ์การต่อสู้ดิ้นรนทางอุดมคติภายในอย่างหนึ่ง  ตัวเลือกเดียวของพวกเขาก็คือการนบนอบต่อสิ่งที่ชะตากรรมสั่งการ และในหนทางนี้ วัตถุประสงค์ของพระเจ้าย่อมสัมฤทธิ์ผล  ยิ่งพระวจนะของพระเจ้าเกรี้ยวกราดมากขึ้นเท่าใด ผลลัพธ์ก็คือโลกภายในของพวกมนุษย์ก็ยิ่งกลายเป็นซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น  นี่เหมือนการแตะสัมผัสบาดแผลไม่มีผิด ยิ่งแตะแรงขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเจ็บมากขึ้นเท่านั้น จนถึงจุดที่ผู้คนฉวัดเฉวียนอยู่ระหว่างชีวิตกับความตาย และสามารถถึงขั้นสูญเสียความมั่นใจในการที่จะรอดชีวิต  ครั้นเป็นเช่นนั้น มีเพียงเมื่อพวกมนุษย์ทุกข์ทนมากที่สุดและจมลึกอยู่ในความสิ้นหวังเท่านั้น พวกเขาจึงสามารถมอบหัวใจที่แท้จริงของพวกเขาแด่พระเจ้าได้  ธรรมชาติของมนุษย์เป็นเช่นที่ว่า หากยังมีความหวังแม้แต่สักกระผีกเดียวเหลืออยู่ พวกเขาก็จะไม่ไปหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่จะนำวิธีการพึ่งตนเองแบบพอเพียงทั้งหลายมาใช้เพื่อให้รอดชีวิตไปตามธรรมชาติแทน  นี่ก็เป็นเพราะธรรมชาติของมนุษยชาตินั้นมีความคิดว่าตนเป็นฝ่ายถูกเสมอ และผู้คนมีแนวโน้มที่จะมองหมิ่นผู้อื่นทุกคน  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ไม่มีมนุษย์สักคนเดียวที่สามารถรักเราในขณะที่อยู่ในสภาวะชูใจไปด้วย ไม่มีสักคนเดียวที่หยิบยื่นน้ำใจมาให้ในช่วงเวลาแห่งความสงบและความสุข เพื่อที่เราอาจมีส่วนร่วมในความชื่นบานยินดีของพวกเขา”  นี่ช่างน่าผิดหวังเสียจริง พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา แต่เมื่อพระองค์เสด็จมายังโลกมนุษย์ ผู้คนกลับพยายามต้านทานพระองค์และขับพระองค์ออกจากดินแดนของพวกเขา ราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงเด็กกำพร้าบางคนที่ซัดเซพเนจรไปทั่วโลก หรือเป็นดั่งมนุษย์โลกคนหนึ่งที่ไร้ประเทศ  ไม่มีผู้ใดรู้สึกผูกพันกับพระเจ้า ไม่มีผู้ใดรักพระองค์อย่างแท้จริง และไม่มีผู้ใดเคยต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เมื่อเห็นการเสด็จมาของพระเจ้า ในพริบตาเดียวหมู่เมฆก็ปกคลุมใบหน้าอันชื่นบานไว้ใต้เงามืด ราวกับมีพายุที่พลันเคลื่อนเข้ามา หรือราวกับว่าพระเจ้าอาจจะทรงเอาความสุขไปจากครอบครัวของพวกเขา และราวกับว่าพระเจ้ามิเคยทรงอวยพรมนุษย์ แต่กลับเคยแต่ทรงนำเอาโชคร้ายมาให้พวกเขาเท่านั้นแทน  เพราะฉะนั้นในจิตใจของมนุษย์ พระเจ้าจึงมิใช่สิ่งที่ให้คุณ แต่กลับเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ทรงสาปแช่งพวกเขาอยู่เสมอ  เพราะเหตุนี้ ผู้คนจึงไม่ใส่ใจพระองค์หรือต้อนรับพระองค์ พวกเขาเย็นชาใส่พระองค์เสมอ แล้วก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา  เนื่องจากมนุษย์เก็บงำสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าจึงตรัสว่า มนุษยชาติช่างไร้เหตุผลและปราศจากศีลธรรม และตรัสว่า แม้แต่ความรู้สึกทั้งหลายที่มนุษย์ควรต้องมีอยู่กับตัว ก็ยังไม่อาจรับรู้ได้ในตัวพวกเขา  มนุษย์ไม่แสดงให้เห็นการคำนึงถึงความรู้สึกของพระเจ้าเลย แต่กลับใช้สิ่งที่เรียกว่า “ความชอบธรรม” มาจัดการกับพระเจ้าแทน  พวกเขาเป็นเช่นนี้มานานหลายปี และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัสไว้ว่าอุปนิสัยของพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย  นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ได้มีสาระมากไปกว่าขนนกกำมือหนึ่ง  อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์เป็นวายร้ายที่ไร้ค่า เพราะพวกเขาไม่ถนอมความล้ำค่าของตนเอง  หากพวกเขาไม่แม้แต่จะรักตัวพวกเขาเอง แต่กลับเหยียบย่ำตนเองแทน เช่นนั้นแล้ว นี่มิแสดงให้เห็นความไร้ค่าของพวกเขาหรอกหรือ?  มนุษยชาติเปรียบเสมือนสตรีไร้ศีลธรรมที่เล่นสนุกกับตัวเองและเต็มใจมอบตัวเธอเองให้ผู้อื่นล่วงละเมิด  แม้จะเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็ยังคงไม่ระลึกรู้ว่าพวกเขาต่ำต้อยเพียงใดอยู่ดี  พวกเขายินดีในการทำงานเพื่อผู้อื่นหรือในการพูดคุยกับผู้อื่น อันเป็นการยอมให้ตัวพวกเขาเองอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อื่น นี่มิใช่ความโสมมของมวลมนุษย์โดยแท้หรอกหรือ?  แม้ว่าเราไม่ได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตท่ามกลางมนุษยชาติ และไม่ได้ผ่านประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง แต่เราก็ได้รับความเข้าใจอันชัดเจนยิ่งเกี่ยวกับทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำ ทุกคำพูด และทุกความประพฤติที่มนุษย์ลงมือทำ  เราถึงขั้นสามารถชำแหละมนุษย์ไปจนถึงความอับอายส่วนลึกที่สุดของพวกเขา จนถึงจุดที่พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยความฉ้อฉลของพวกเขาเอง  หรือไม่กล้าเปิดทางให้กับความทะยานอยากของพวกเขาอีกต่อไป  พวกเขาไม่กล้าเปิดโปงสภาวะอันอัปลักษณ์ของพวกเขาเองอีกต่อไปเหมือนหอยทากที่ถอยหนีเข้าไปในเปลือกของพวกมัน  เนื่องจากมนุษย์ไม่รู้จักตัวเอง  ข้อบกพร่องอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขาจึงเป็นความเต็มใจที่จะขนเสน่ห์ของพวกเขาออกมาเดินอวดต่อหน้าผู้อื่น อันเป็นการโอ้อวดโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของพวกเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจที่สุด  การนี้เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้นผิดปกติ และสัมพันธภาพที่ปกติระหว่างบุคคลก็ขาดพร่อง นับประสาอะไรกับสัมพันธภาพอันปกติระหว่างพวกเขากับพระเจ้า  พระเจ้าได้ตรัสไปมากมายเหลือเกินแล้ว และวัตถุประสงค์หลักของพระองค์ในการทำเช่นนั้นก็คือ เพื่อจับจองที่ในหัวใจของผู้คน เพื่อให้พวกเขาสามารถปลดเปลื้องตัวพวกเขาเองจากรูปเคารพทั้งหมดที่พักอาศัยอยู่ในหัวใจของพวกเขา  ครั้นแล้ว พระเจ้าจึงจะสามารถกวัดแกว่งฤทธานุภาพเหนือมนุษยชาติทั้งปวงและสัมฤทธิ์จุดประสงค์แห่งการดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกของพระองค์

ก่อนหน้า:  บทที่ 13

ถัดไป:  บทที่ 15

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger