บทที่ 13

พระเจ้าทรงเกลียดพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของพญานาคใหญ่สีแดง และพระองค์ทรงเกลียดชังตัวพญานาคใหญ่สีแดงเองเสียยิ่งกว่า กล่าวคือ นี่คือที่มาของพระพิโรธภายในพระหทัยของพระเจ้า  ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะโยนทุกสรรพสิ่งที่เป็นของพญานาคใหญ่สีแดงลงสู่บึงไฟและกำมะถันเพื่อเผาไหม้พวกมันให้เป็นจุณ  มีกระทั่งหลายคราที่ดูเหมือนพระเจ้าทรงประสงค์ที่จะยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ไปกวาดล้างมันทิ้งไปด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ—เฉพาะการนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถลบความชิงชังในพระหทัยของพระองค์ออกไปได้  ทุกรายบุคคลในบ้านของพญานาคใหญ่สีแดงคือสัตว์ร้ายที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์ และนี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงข่มปรามพระโทสะของพระองค์ไว้อย่างแรงกล้าเพื่อที่จะตรัสดังต่อไปนี้ว่า “ในหมู่ประชากรทั้งปวงของเรา และในหมู่บุตรทั้งผองของเรา นั่นก็คือ ในหมู่คนทั้งหลายที่เราได้เลือกสรรออกมาจากทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเจ้าจัดอยู่ในกลุ่มที่ต่ำต้อยที่สุด”  พระเจ้าได้ทรงเริ่มการสู้รบแตกหักกับพญานาคใหญ่สีแดงในประเทศของมันเอง และพระองค์จะทรงทำลายมันเมื่อแผนของพระองค์มาถึงการผลิดอกออกผล  และจะไม่ทรงยอมให้มันทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามหรือย่ำยีดวงจิตของพวกเขาอีกต่อไป  ทุกๆ วัน พระเจ้าทรงร้องเรียกประชากรที่กำลังเคลิ้มหลับของพระองค์เพื่อที่จะช่วยให้พวกเขารอด ทว่าพวกเขาทั้งหมดก็ยังคงอยู่ในสภาวะมึนงง ราวกับว่าพวกเขาได้กินยานอนหลับเข้าไป  หากพระเจ้าทรงหยุดที่จะปลุกให้พวกเขาลุกขึ้นแม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาก็จะกลับไปสู่สภาวะหลับใหลของพวกเขา ไม่รับรู้ใดๆ โดยสมบูรณ์  ดูเหมือนว่าประชากรทั้งปวงของพระองค์นั้นเป็นอัมพาตอยู่สองในสามส่วน  พวกเขาไม่รู้ความต้องการที่จำเป็นของพวกเขาเอง หรือความขาดตกบกพร่องของตัวพวกเขาเอง ทั้งยังไม่รู้กระทั่งสิ่งที่พวกเขาควรสวมใส่หรือสิ่งที่พวกเขาควรกิน  นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพญานาคใหญ่สีแดงได้ใช้ความพยายามมากมายเพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม  ความอัปลักษณ์ของมันยืดขยายไปทั่วทุกภูมิภาคของจีน และมันได้ก่อกวนผู้คนจนถึงขนาดที่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะพักอยู่ในประเทศที่เสื่อมโทรมและหยาบช้าสามานย์นี้อีกต่อไป  สิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชังที่สุดก็คือแก่นแท้ของพญานาคใหญ่สีแดง ซึ่งเป็นสาเหตุที่พระองค์ทรงมอบสิ่งเตือนใจแก่ผู้คนทุกวี่วันในพระพิโรธของพระองค์ และพวกเขาก็มีชีวิตอยู่ทุกวี่วันภายใต้พระเนตรอันเปี่ยมพิโรธของพระองค์  แม้เช่นนั้นแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่รู้จักแสวงหาพระเจ้า พวกเขากลับนั่งอยู่ตรงนั้น เฝ้าดู รอคอยที่จะถูกป้อนให้กับมือแทน  ต่อให้พวกเขากำลังจะอดตาย พวกเขาก็จะยังคงไม่เต็มใจที่จะหาอาหารของพวกเขาเอง  มโนธรรมของมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปนานแล้ว และได้เปลี่ยนแปลงในแก่นแท้ไปเป็นแก่นของหัวใจเย็นชา  ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “หากเราไม่ได้คอยกระตุ้นเตือนพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงจะยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่จะยังคงเหมือนกับถูกแช่แข็งอยู่อย่างนั้น และเหมือนกับอยู่ในสภาวะจำศีลอีกครั้ง”  ราวกับว่าผู้คนกำลังเป็นสัตว์จำศีลที่ผ่านฤดูหนาวไปโดยปราศจากความต้องการอาหารหรือเครื่องดื่ม  นี่คือภาวะปัจจุบันของประชากรของพระเจ้าอย่างชัดๆ  เพียงด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าจึงทรงเรียกร้องเพียงให้ผู้คนมารู้จักพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์พระองค์เองในความสว่าง พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย และมิได้ทรงจะให้พวกเขามีการเจริญเติบโตยิ่งใหญ่ในชีวิตพวกเขา  นั่นก็คงจะเพียงพอที่จะทำให้พญานาคใหญ่สีแดงที่โสมมสกปรกถึงแก่ปราชัย อันเป็นการสำแดงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากยิ่งกว่าแต่ก่อน

เมื่อผู้คนอ่านพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า พวกเขาเข้าใจเพียงความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น และไม่สามารถจับใจความนัยสำคัญทางจิตวิญญาณของพระวจนะเหล่านั้นได้  แค่คำว่า “เกลียวคลื่นอันปั่นป่วนขุ่นข้น” ก็ได้ทำเอาวีรบุรุษและผู้ชนะทุกคนงงงัน  เมื่อพระพิโรธของพระเจ้าแสดงตัวออกมา พระวจนะทั้งหลาย การกระทำทั้งหลาย และพระอุปนิสัยของพระองค์มิใช่เกลียวคลื่นอันปั่นป่วนขุ่นข้นหรอกหรือ?  เมื่อพระเจ้าทรงพิพากษามวลมนุษย์ทั้งหมด นี่มิใช่วิวรณ์แห่งพระพิโรธของพระองค์หรอกหรือ?  นี่มิใช่เวลาที่เกลียวคลื่นอันปั่นป่วนขุ่นข้นเหล่านั้นเริ่มแสดงบทบาทหรอกหรือ?  เพราะความเสื่อมทรามของพวกเขา ใครบ้างท่ามกลางมนุษย์ไม่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่นอันปั่นป่วนขุ่นข้นเช่นนั้น?  พูดอีกอย่างว่า ใครบ้างไม่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระพิโรธของพระเจ้า?  เมื่อพระเจ้าทรงปรารถนาจะทำโทษมวลมนุษย์ด้วยมหันตภัย นั่นมิใช่ตอนที่ผู้คนมองเห็น “หมู่เมฆทะมึนที่กำลังม้วนถลา” หรอกหรือ?  บุคคลใดหรือที่ไม่หลบหนีจากมหันตภัย?  พระพิโรธของพระเจ้ากระหน่ำพรมประดุจห่าฝนรุนแรงและพัดใส่ผู้คนประหนึ่งกระแสลมอันดุดัน  ผู้คนทั้งหมดล้วนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ราวกับได้เจอกับพายุหิมะที่ควงคว้างเป็นเกลียว  พระวจนะของพระเจ้านั้นยากที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ที่จะหยั่งลึกได้  พระองค์ได้ทรงสร้างโลกโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ และพระองค์ทรงนำทางและทรงชำระมวลมนุษย์ทั้งปวงให้บริสุทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์  และในตอนจบ พระเจ้าจะทรงคืนทั้งจักรวาลสู่ความบริสุทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์  ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตรัส สามารถมองเห็นได้ว่า การดำรงอยู่ของพระวิญญาณของพระเจ้านั้นหาได้กลวงเปล่าไม่ และมีเพียงในพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่ผู้คนสามารถมองเห็นแวบหนึ่งของวิธีรอดชีวิต  ผู้คนทั้งปวงหวงแหนพระวจนะของพระองค์ราวสมบัติล้ำค่า ก็เพราะพระวจนะเหล่านั้นบรรจุการจัดเตรียมสำหรับชีวิต  ยิ่งผู้คนจดจ่ออยู่กับพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าก็จะยิ่งทรงตั้งคำถามกับพวกเขามากขึ้น—คำถามที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจสับสนและไม่ให้โอกาสพวกเขาที่จะตอบ  คำถามต่อเนื่องทั้งหลายของพระเจ้าโดยลำพังก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนไตร่ตรองไปเป็นครู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงส่วนที่เหลือของพระวจนะของพระองค์  ในพระเจ้า ทั้งหมดล้วนครบถ้วนและอุดม และไม่มีอะไรเลยที่ขาดไป  อย่างไรก็ตาม  ผู้คนไม่สามารถชื่นชมมันได้มากนัก พวกเขารู้เพียงพื้นผิวของพระวจนะของพระองค์ เหมือนที่คนเรามองเห็นหนังไก่แต่ไม่สามารถกินเนื้อของมัน  นี่หมายความว่าผู้คนมีความขาดแคลนในโชคลาภ  จนถึงขนาดที่พวกเขาไม่สามารถชื่นชมพระเจ้า  ท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา แต่ละบุคคลมีพระฉายาของพระเจ้าของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าผู้คลุมเครือคืออะไร หรือภาพลักษณ์ของซาตานคืออะไร  เพราะฉะนั้น ตอนที่พระเจ้าได้ตรัสว่า “เพราะสิ่งที่เจ้าเชื่อนั้นเป็นแค่ภาพลักษณ์ของซาตานและไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้าพระองค์เองเลย”  ทั้งหมดจึงอึ้งไป กล่าวคือ พวกเขาได้มีความเชื่อมานานหลายปีเหลือเกินแล้ว ทว่าพวกเขาก็หาได้รู้ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้นเป็นซาตาน หาใช่พระเจ้าพระองค์เองไม่  พวกเขารู้สึกถึงความว่างเปล่าฉับพลันภายใน  แต่พวกเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร  จากนั้นพวกเขาเริ่มสับสนงุนงงยิ่งขึ้นอีกครั้ง  โดยการทรงพระราชกิจในลักษณะนี้เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถยอมรับความสว่างใหม่ได้ดีขึ้นและปฏิเสธสิ่งเก่าๆ ไปด้วยประการฉะนี้เอง  ไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นอาจดูดีเพียงใด  พวกมันก็จะใช้อะไรไม่ได้เลย  จะเป็นประโยชน์มากกว่าหากผู้คนเข้าใจพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เอง การนี้ทำให้พวกเขาสามารถกำจัดสถานะที่มโนคติอันหลงผิดยึดติดเอาไว้ออกไปจากหัวใจของพวกเขาได้ และยอมให้พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นเข้าไปจับจองพวกเขา  นัยสำคัญแห่งการประสูติเป็นมนุษย์จึงสามารถสัมฤทธิ์ได้เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถรู้จักพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เองด้วยดวงตาทางกายของพวกเขา

พระเจ้าได้ทรงบอกผู้คนเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกวิญญาณไปหลายครั้งหลายหนว่า “ตอนที่ซาตานมาอยู่ต่อหน้าเรา เราหาได้ถอยหนีจากความดุดันอันป่าเถื่อนของมันไม่ อีกทั้งเราก็มิได้หวาดกลัวความน่าขยะแขยงของมัน กล่าวคือ เราก็เพียงเพิกเฉยต่อมันเท่านั้น”  สิ่งที่ผู้คนได้รับความเข้าใจจากตรงนี้มีเพียงภาวะหนึ่งของความเป็นจริงเท่านั้น พวกเขาหาได้รู้ความจริงของโลกวิญญาณไม่  เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ซาตานจึงได้นำการกล่าวหาทุกชนิดมาใช้ โดยหวังจะโจมตีพระเจ้าด้วยเหตุนั้น  อย่างไรก็ตาม พระเจ้ามิได้ทรงล่าถอย กล่าวคือ พระองค์เพียงตรัสและทรงพระราชกิจในหมู่มวลมนุษย์ ทรงอนุญาตให้ผู้คนรู้จักพระองค์โดยผ่านทางเนื้อหนังที่พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์  ซาตานตาลุกโชนด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟในเรื่องนี้ และได้ทุ่มเทความพยายามไปมากมายที่จะทำให้ประชากรของพระเจ้ามีความรู้สึกเป็นลบ ล่าถอย และถึงขั้นสูญเสียหนทางของพวกเขา  อย่างไรก็ดี เนื่องจากผลแห่งพระวจนะของพระเจ้า ซาตานได้ล้มเหลวไปแล้วโดยสิ้นเชิง ซึ่งยิ่งเพิ่มความดุดันของมัน  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงย้ำเตือนทุกคนว่า “ในชีวิตของพวกเจ้า อาจมีสักวันที่เจ้าจะพบกับสถานการณ์เช่นนั้น กล่าวคือ เจ้าจะยอมให้ตัวเจ้าเองตกเป็นเชลยของซาตานอย่างเต็มใจ หรือเจ้าจะปล่อยให้เราได้เจ้าไว้?”  แม้ว่าผู้คนมิได้ตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ แต่ในทันทีที่พวกเขาได้ยินพระวจนะดังกล่าวจากพระเจ้า พวกเขาก็กลายเป็นระมัดระวังและรู้สึกกลัว  นี่เป็นการตีโต้การโจมตีของซาตาน เพียงพอที่จะแสดงพระสิริของพระเจ้า  ทั้งที่ได้เข้าสู่วิธีการใหม่ของการทรงพระราชกิจไปนานแล้ว ผู้คนก็ยังคงไม่ชัดเจนเกี่ยวกับชีวิตในราชอาณาจักร และต่อให้พวกเขาเข้าใจการนั้น พวกเขาก็ขาดพร่องความชัดเจนอยู่ดี  เพราะฉะนั้น หลังจากที่ได้ออกการเตือนแก่ผู้คนไปแล้ว พระเจ้าได้ทรงแนะนำให้พวกเขารู้จักแก่นแท้ของชีวิตในราชอาณาจักรว่า “ชีวิตในราชอาณาจักรนั้นเป็นชีวิตของประชากรกับพระเจ้าพระองค์เอง”  เพราะว่าพระเจ้าพระองค์เองได้ประสูติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนัง ชีวิตของสวรรค์ชั้นที่สามจึงได้ถูกทำให้เป็นจริงบนแผ่นดินโลก  นี่มิใช่แค่แผนของพระเจ้า—พระองค์ได้ทรงทำให้มันเกิดขึ้นไปแล้ว  เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจึงมารู้จักพระเจ้าพระองค์เองดีขึ้น และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงมีความสามารถมากขึ้นที่จะลิ้มรสชีวิตแห่งสวรรค์ เพราะพวกเขารู้สึกอย่างจริงแท้ว่าพระเจ้าทรงอยู่บนแผ่นดินโลก แทนที่จะเป็นเพียงพระเจ้าผู้คลุมเครือองค์หนึ่งในสวรรค์  ดังนั้น ชีวิตบนแผ่นดินโลกจึงเป็นประหนึ่งชีวิตในสวรรค์  ความเป็นจริงก็คือ พระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ทรงลิ้มรสความขมขื่นของโลกมนุษย์ และยิ่งพระองค์ทรงสามารถทำเช่นนั้นมากขึ้น ก็ยิ่งพิสูจน์มากขึ้นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เอง  นี่คือเหตุผลที่พระองค์ได้ตรัสว่า “ในที่อาศัยของเรา ซึ่งเป็นที่ที่เราซ่อนตัวอยู่—แม้กระนั้นก็ตาม ในที่อาศัยของเรา เราได้ทำให้ศัตรูทั้งหมดของเราพ่ายแพ้ ในที่อาศัยของเรา เราได้รับประสบการณ์จริงของการใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ในที่อาศัยของเรา เราเฝ้าสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของมนุษย์ และเฝ้าสอดส่องดูแลและชี้นำทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์”  พระวจนะเหล่านี้เป็นบทพิสูจน์ที่เพียงพอสำหรับข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าของวันนี้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง  การมีพระชนม์ชีพภายในเนื้อหนังจริงๆ การผ่านประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ภายในเนื้อหนังจริงๆ การเข้าพระทัยมนุษยชาติทั้งปวงภายในเนื้อหนังจริงๆ การพิชิตมวลมนุษย์ภายในเนื้อหนังจริงๆ การเปิดศึกสู้รบแตกหักกับพญานาคใหญ่สีแดงภายในเนื้อหนังจริงๆ และการทรงพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าภายในเนื้อหนัง—นี่มิใช่การดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เองหรอกหรือ?  ทว่านานครั้งเหลือเกินที่จะมีผู้คนซึ่งมองเห็นความนัยอยู่ในบรรทัดธรรมดาเหล่านี้ที่พระเจ้าตรัส พวกเขาแค่อ่านพระวจนะเหล่านี้ผ่านๆ เท่านั้น และไม่รู้สึกถึงความล้ำค่าหรือความหายากของพระวจนะของพระเจ้าเลย

พระวจนะของพระเจ้าเปลี่ยนผ่านวันเวลาไปได้ดีเป็นพิเศษ  วลีที่ว่า “ในขณะที่มวลมนุษย์อยู่ในสภาวะหมดสติ”  นำคำบรรยายเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง และปรับเปลี่ยนมาเป็นคำบรรยายเกี่ยวกับสภาวะของมวลมนุษย์ทั้งปวง  ณ ที่นี้ “การระเบิดของรังสีเย็น” ไม่ได้เป็นตัวแทนของฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก แต่มันกลับหมายควีามถึงพระวจนะของพระเจ้า  ซึ่งหมายความถึงวิธีการใหม่ของพระองค์ในการทรงพระราชกิจ  ดังนั้น คนเราจึงสามารถมองเห็นพลวัตทุกชนิดของมนุษย์ได้ในการนี้ นั่นคือ หลังการเข้าสู่วิธีการใหม่ ผู้คนทั้งหมดสูญเสียสำนึกรับรู้ทิศทางของพวกเขา และไม่รู้ว่าพวกเขาได้มาจากที่ใดและพวกเขากำลังจะไปที่ใด  “ผู้คนส่วนใหญ่ถูกบดขยี้ด้วยลำแสงเสมือนแสงเลเซอร์” อ้างอิงถึงคนที่ถูกกำจัดออกไปด้วยวิธีการใหม่ พวกเขาคือพวกที่ไม่สามารถทนสู้การทดสอบทั้งหลายหรือทนต่อกระบวนการถลุงของความทุกข์ได้ และเพราะฉะนั้น จึงถูกโยนทิ้งลงสู่บาดาลลึกอีกครั้ง  พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงมวลมนุษย์ไปจนถึงขอบข่ายหนึ่งจนผู้คนดูเหมือนกลัวในเวลาที่พวกเขามองเห็นพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่กล้าพูดอันใดเลย ราวกับว่าพวกเขาได้มองเห็นปืนกลเล็งไปที่หัวใจพวกเขา  อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกเช่นกันว่า มีสิ่งดีๆ อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  มีความขัดแย้งอันใหญ่หลวงอยู่ในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด  อย่างไรก็ตาม เพราะความเชื่อของพวกเขา พวกเขาจึงเพียงเตรียมใจพวกเขาเองและซอกซอนลึกเข้าไปในพระวจนะของพระองค์ยิ่งขึ้น ด้วยกลัวว่าพระเจ้าอาจทรงทอดทิ้งพวกเขา  ดุจดังที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดในหมู่มวลมนุษย์ที่ไม่ดำรงอยู่ในสภาวะนี้?  ผู้ใดไม่ดำรงอยู่ภายในความสว่างของเรา?  ต่อให้เจ้าเข้มแข็ง หรือแม้ว่าเจ้าอาจอ่อนแอ เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการมาแห่งความสว่างของเราได้อย่างไร?”  หากพระเจ้าทรงใช้ใครบางคน เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเขาอ่อนแอ พระเจ้าก็จะยังคงทรงให้ความกระจ่างและความรู้แจ้งแก่พวกเขาในการตีสอนของพระองค์ ดังนั้น ยิ่งผู้คนอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งเข้าใจพระองค์มากขึ้น ยิ่งพวกเขายำเกรงพระองค์มากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งกล้าบ้าบิ่นน้อยลง  การที่ผู้คนได้มาถึงที่ที่พวกเขาอยู่ในวันนี้ ก็เนื่องมาจากฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าทั้งหมดทั้งสิ้น  เป็นเพราะสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง—นั่นก็คือ เป็นผลลัพธ์ของพระวิญญาณในพระวจนะของพระองค์—ผู้คนจึงกลัวพระเจ้า  ขณะที่พระเจ้าทรงเผยใบหน้าที่แท้จริงของมวลมนุษย์ พวกเขาก็ยิ่งยำเกรงพระองค์ และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพระองค์  นี่คือประภาคารบนเส้นทางไปสู่ความเข้าใจพระเจ้าของมวลมนุษย์ รอยนำทางที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้แก่พวกเขา  จงคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นี่มิใช่เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?

สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นนี้มิใช่ไฟสัญญาณเบื้องหน้ามวลมนุษย์ที่ให้ความสว่างแก่หนทางของเขาหรอกหรือ?

ก่อนหน้า:  บทที่ 12

ถัดไป:  บทที่ 14

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger