บทที่ 19

ในจินตนาการของผู้คน ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงสูงส่งมาก และพระองค์นั้นมิอาจหยั่งถึงได้  เป็นราวกับว่าพระเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติ และราวกับว่าพระองค์ทรงดูถูกผู้คนเพราะพระองค์ทรงสูงส่งเหลือเกิน  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงทลายมโนคติอันหลงผิดของผู้คนและกำจัดมโนคติอันหลงผิดทั้งหมดนั้นทิ้งไป โดยทรงฝังพวกมันไว้ใน “อุโมงค์ฝังศพ” ที่ซึ่งพวกมันกลายเป็นเถ้าธุลี  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมโนคติอันหลงผิดของมนุษยชาติคล้ายกับท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อคนตาย โดยทรงนิยามพวกเขาตามพระทัย  ดูเหมือนว่า “มโนคติอันหลงผิด” หาได้มีปฏิกิริยาไม่ เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจนี้เรื่อยมาตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงทุกวันนี้ และไม่เคยทรงหยุด  เนื่องแต่เนื้อหนัง มนุษย์จึงถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และเพราะการกระทำของซาตานบนแผ่นดินโลก มนุษย์จึงก่อเกิดมโนคติอันหลงผิดทุกรูปแบบในครรลองแห่งประสบการณ์ของพวกเขา  การนี้เรียกว่า “การก่อเกิดตามธรรมชาติ”  นี่คือพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ดังนั้นวิธีการทรงพระราชกิจของพระองค์จึงมาถึงจุดสูงสุดของพระราชกิจนี้แล้ว และพระองค์กำลังทรงทำให้การฝึกฝนผู้คนของพระองค์เข้มข้นขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ในพระราชกิจขั้นสุดท้ายของพระองค์ อันเป็นการสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้าในท้ายที่สุด  ก่อนหน้านี้ มีเพียงความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่ามกลางมนุษยชาติเท่านั้น แต่ไม่มีพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าพระองค์เอง  ครั้นพระเจ้าตรัสด้วยพระสุรเสียงของพระองค์เอง ทุกคนก็ประหลาดใจ และพระวจนะของวันนี้ยิ่งน่าพิศวงมากขึ้นไปอีก  ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ยิ่งยากหยั่งถึงมากขึ้นไปอีก และมนุษย์ก็ดูเหมือนจะงงงวย เนื่องจากพระวจนะของพระองค์ร้อยละห้าสิบมาในระหว่างอัญประกาศ  “เมื่อเราพูด ผู้คนรับฟังเสียงของเราด้วยความสนใจอันจดจ่อ แต่เมื่อเรานิ่งเงียบ พวกเขาก็เริ่ม ‘กิจการ’ ของพวกเขาเองอีกครั้ง”  บทตอนนั้นบรรจุคำหนึ่งไว้ในอัญประกาศ  ยิ่งพระเจ้าตรัสด้วยอารมณ์ขันมากขึ้นเท่าใด ดังที่พระองค์ทรงทำ ณ ตรงนี้ พระวจนะก็ยิ่งสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอ่านพระวจนะมากขึ้นเท่านั้น  ผู้คนสามารถยอมรับการตัดแต่งได้เมื่อพวกเขาผ่อนคลาย  อย่างไรก็ตาม โดยหลักแล้วการนี้เป็นไปเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นหมดกำลังใจหรือผิดหวังเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า  นี่เป็นยุทธวิธีหนึ่งในการทำสงครามกับซาตานของพระเจ้า  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะยังคงสนใจพระวจนะของพระเจ้า และให้ความสนใจในพระวจนะเหล่านี้ต่อไปแม้ในเวลาที่พวกเขาไม่สามารถติดตามเรื่องราวที่ต่อเนื่องของพระวจนะได้  อย่างไรก็ตาม มีเสน่ห์อันยิ่งใหญ่อยู่ในพระวจนะทั้งมวลของพระองค์ที่ไม่ถูกล้อมรอบด้วยอัญประกาศ และดังนั้นพระวจนะส่วนนั้นจึงเป็นที่สังเกตเห็นได้มากขึ้นและทำให้ผู้คนรักพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีกและรู้สึกถึงความหวานแห่งพระวจนะของพระองค์ในหัวใจของพวกเขาเอง  เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้ามาในรูปแบบนานัปการยิ่งนัก และมั่งคั่งและหลากหลาย และเพราะไม่มีคำนามซ้ำๆ ท่ามกลางพระวจนะมากมายของพระเจ้า ในสำนึกรับรู้ที่สามของพวกเขา ผู้คนจึงเชื่อว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า  ตัวอย่างเช่น “เรามิได้ขอให้ผู้คนเป็นเพียง ‘ผู้บริโภค’ เรายังขอให้พวกเขาเป็น ‘ผู้ผลิต’ ที่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้เช่นกัน”  คำว่า “ผู้บริโภค” และ “ผู้ผลิต” ในประโยคนั้นมีความหมายคล้ายคลึงกับคำบางคำที่ตรัสในครั้งก่อนๆ แต่พระเจ้าไม่ใช่ไม่ทรงยืดหยุ่น กลับกัน พระองค์ทรงทำให้ผู้คนตระหนักรู้ความสดใหม่ของพระองค์ และทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งความรักของพระเจ้าด้วยผลแห่งการนั้นเสียมากกว่า  พระอารมณ์ขันในพระวาทะของพระเจ้าบรรจุการพิพากษาของพระองค์และข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษยชาติเอาไว้  เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าล้วนมีวัตถุประสงค์ เช่นเดียวกับที่พระวจนะล้วนมีความหมาย พระอารมณ์ขันของพระองค์จึงไม่เพียงแค่หมายให้บรรยากาศเบาขึ้นหรือให้ผู้คนหัวเราะลั่น อีกทั้งไม่เพียงแค่หมายให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อของพวกเขาเท่านั้น  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระอารมณ์ขันของพระเจ้ามีเจตนาที่จะปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากห้าพันปีของความเป็นทาส โดยไม่มีวันถูกพันธนาการอีก เพื่อให้พวกเขาสามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้ดีขึ้น  วิธีการของพระเจ้าคือการใช้น้ำตาลช้อนหนึ่งมาช่วยให้ยาผ่านล่วงลงไป พระองค์ไม่ทรงกรอกยาขมลงไปในลำคอของผู้คน  มีความขมอยู่ภายในความหวาน แล้วก็มีความหวานอยู่ภายในความขมเช่นกัน

“เมื่อแสงระยิบริบหรี่ของความสว่างเริ่มปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก ผู้คนทั้งปวงภายในจักรวาลให้ความสนใจกับมันมากขึ้นเล็กน้อย  เมื่อไม่จมจ่อมอยู่ในการหลับใหลอีกต่อไป มนุษย์ก็มุ่งหน้าไปเฝ้าสังเกตแหล่งกำเนิดของความสว่างทางทิศตะวันออกนี้  เนื่องแต่ความสามารถอันจำกัดของพวกเขา จึงยังไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นตำแหน่งแห่งที่ที่ความสว่างนี้ถือกำเนิดขึ้น”  การนี้กำลังเกิดขึ้นทุกหนแห่งในจักรวาล ไม่เพียงท่ามกลางบรรดาบุตรของพระเจ้าและประชากรของพระองค์เท่านั้น  ผู้คนในแวดวงศาสนาและผู้ไม่มีความเชื่อล้วนมีปฏิกิริยาเช่นนี้  ในชั่วขณะที่ความสว่างของพระเจ้าฉายออกไป หัวใจของพวกเขาล้วนค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และพวกเขาก็เริ่มค้นพบโดยไม่รู้ตัวว่าชีวิตของพวกเขาไร้ความหมาย ว่าชีวิตมนุษย์ไม่มีคุณค่า  มนุษย์ไม่ไล่ตามเสาะหาอนาคต ไม่คำนึงถึงวันพรุ่งนี้หรือกังวลเกี่ยวกับวันพรุ่งนี้ ตรงกันข้าม พวกเขากลับยึดแนวคิดที่ว่าพวกเขาควรกินและดื่มให้มากขึ้นในขณะที่พวกเขายังคง “เยาว์วัย” และว่าทั้งหมดจะคุ้มค่าเมื่อวันสุดท้ายมาถึง  มนุษย์ไม่มีความพึงปรารถนาแต่อย่างใดที่จะกำกับดูแลโลก  ความกร้าวแกร่งของความรักที่มวลมนุษย์มีต่อโลกได้ถูก “มาร” ขโมยไปจนหมดสิ้น แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่ารากเหง้าคืออะไร  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือวิ่งแจ้งข่าวแก่กันไปมา เพราะวันของพระเจ้ายังมาไม่ถึง  สักวันหนึ่งทุกคนจะมองเห็นคำตอบของความล้ำลึกที่มิอาจหยั่งถึงได้ทั้งปวง  นี่เองคือสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสว่า “มนุษย์ก็ตื่นขึ้นจากการหลับฝัน และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าวันของเรามาถึงตัวพวกเขาแล้วทีละน้อย”  เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้คนทั้งปวงที่เป็นของพระเจ้าจะเป็นเหมือนใบไม้สีเขียว “รอคอยที่จะเล่นบทของพวกมันเองเพื่อเราขณะที่เราอยู่บนแผ่นดินโลก”  ผู้คนมากมายเหลือเกินท่ามกลางประชากรของพระเจ้าในประเทศจีนยังคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมหลังจากที่พระเจ้าเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์ และดังนั้นพระเจ้าจึงตรัสว่า “กระนั้นเมื่อไร้พลังอำนาจที่จะปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริง พวกเขาก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากรอให้เราประกาศคำพิพากษา”  จะยังคงมีบางคนท่ามกลางพวกเขาที่ถูกกำจัดออกไป—ไม่ใช่ว่าทุกคนจะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ตรงกันข้าม ผู้คนสามารถทำให้ถึงมาตรฐานได้หลังจากถูกทดสอบ ซึ่งโดยผ่านทางการนี้พวกเขาจะได้รับการออก “ใบรับรองคุณภาพ” ให้ มิเช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะกลายเป็นขยะในกองเศษวัสดุ  พระเจ้าทรงชี้ให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของมนุษยชาติอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกถึงความล้ำลึกของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  “หากพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์จะสามารถรู้จักสภาวะที่แท้จริงของพวกเราดีถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”  แม้กระนั้นก็ตาม เพราะความอ่อนแอของผู้คน “ในหัวใจของมนุษย์ เรามิได้สูงส่งอีกทั้งมิได้ต่ำต้อย  ในความคิดเห็นของพวกเขา ไม่ว่าเราดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่แตกต่างกัน”  นี่ไม่ใช่สภาวะของผู้คนทั้งปวงที่ตรงกับความเป็นจริงที่สุดโดยแท้หรอกหรือ?  ในความเห็นของมนุษย์ พระเจ้าทรงดำรงอยู่เมื่อพวกเขาแสวงหาพระองค์ และไม่ทรงดำรงอยู่เมื่อพวกเขาไม่แสวงหาพระองค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทันทีที่พวกเขาจำเป็นต้องมีความช่วยเหลือของพระองค์ แต่เมื่อพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีพระองค์อีกต่อไป พระองค์ก็จะไม่ทรงดำรงอยู่อีกต่อไป  นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผู้คน  ในความเป็นจริง ทุกคนบนแผ่นดินโลกคิดในหนทางนี้ รวมถึง “ผู้ถืออเทวนิยม” ทั้งปวงด้วย และ “ความประทับใจ” ที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระเจ้าก็คลุมเครือและขุ่นมัวเช่นกัน

“เพราะฉะนั้น ภูเขาทั้งหลายจึงกลายเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างชนชาติทั้งหลายบนแผ่นดิน แหล่งน้ำกลายเป็นเครื่องกีดกั้นผู้คนในแผ่นดินต่างๆ ให้แยกจากกัน และอากาศกลายเป็นสิ่งที่ไหลเวียนจากบุคคลสู่บุคคลในพื้นที่ว่างเหนือแผ่นดินโลก”  นี่คือพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำขณะกำลังทรงสร้างโลก  การเอ่ยถึงการนี้ตรงนี้เป็นที่น่าฉงนสนเท่ห์สำหรับผู้คน กล่าวคือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสร้างอีกโลกหนึ่งขึ้นมา?  สมควรกล่าวดังนี้ว่า ทุกครั้งที่พระเจ้าตรัส พระวจนะของพระองค์บรรจุการทรงสร้าง การบริหารจัดการ และการทำลายล้างโลกนี้เอาไว้ เพียงแต่ว่าบางครั้งพระวจนะก็ชัดเจน และบางครั้งพระวจนะก็คลุมเครือ  การบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าถูกจำแลงอยู่ในรูปของพระวจนะของพระองค์ เพียงแต่ว่าผู้คนไม่สามารถแยกความต่างระหว่างสิ่งเหล่านี้ได้  พระพรที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ทำให้ความเชื่อของพวกเขาเติบโตขึ้นร้อยเท่า  จากภายนอกดูเหมือนว่าพระเจ้ากำลังทรงทำสัญญากับพวกเขา แต่ในแก่นแท้แล้ว นั่นคือเกณฑ์ประเมินแห่งข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรแห่งราชอาณาจักรของพระองค์  บรรดาผู้ที่เหมาะสมสำหรับการช่วงใช้จะยังคงอยู่ ขณะที่พวกที่ไม่เหมาะสมจะถูกกลืนหายไปในหายนะที่มาจากฟ้าสวรรค์  “ฟ้าร้องที่กำลังม้วนข้ามชั้นฟ้าจะบดขยี้ปวงมนุษย์ ภูเขาสูงทั้งหลายยามที่พวกมันพังถล่มลงมา จะกลบฝังพวกเขา สัตว์ป่าทั้งหลายจะกลืนกินพวกเขาด้วยความหิวโหย และมหาสมุทรที่พลุ่งพล่านจะท่วมทับศีรษะของพวกเขา  ขณะที่มนุษยชาติพัวพันอยู่ในความขัดแย้งที่พี่น้องเข่นฆ่ากันเองนั้น มนุษย์ทั้งปวงจะแสวงหาการทำลายล้างตัวพวกเขาเองในหายนะที่กำลังเกิดขึ้นจากท่ามกลางพวกเขา”  นี่คือ “การดูแลเป็นพิเศษ” ที่จะจัดสรรให้แก่พวกที่ไม่ได้มาตรฐานและพวกที่จะไม่ได้รับความรอดในราชอาณาจักรของพระเจ้าในภายหลัง  ยิ่งพระเจ้าตรัสสิ่งต่างๆ เช่น “ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะไม่สูญเสียการชี้นำแห่งความสว่างของเราท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน” มากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็จะยิ่งกลายเป็นตระหนักรู้ความน่าเคารพของพวกเขาเองมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาย่อมมีความเชื่อมากขึ้นที่จะแสวงหาชีวิตใหม่  พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้มนุษย์ตามที่พวกเขาทูลขอจากพระองค์  ครั้นพระเจ้าทรงเปิดโปงพวกเขาถึงระดับหนึ่งแล้ว พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนแปลงลักษณะการดำรัสของพระองค์ โดยใช้พระกระแสเสียงแห่งการอวยพรเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีที่สุด  การมีข้อพึงประสงค์ต่อมนุษยชาติในหนทางนี้ให้ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น  เนื่องจากผู้คนล้วนเต็มใจที่จะเจรจาธุรกิจกับคู่ค้าของพวกเขา—พวกเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจ—นี่เองจึงเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงในการตรัสเช่นนี้  ดังนั้น “ซีนิม” คืออะไร?  ตรงนี้พระเจ้าไม่ได้ทรงอ้างอิงถึงราชอาณาจักรบนแผ่นดินโลกที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม แต่กลับอ้างอิงถึงการชุมนุมของทูตสวรรค์ทั้งปวงที่มาจากพระเจ้าเสียมากกว่า  พระวจนะที่ว่า “ตั้งมั่นและไม่หวั่นไหว” แสดงนัยว่าเหล่าทูตสวรรค์จะบุกทะลวงกำลังบังคับทั้งหมดของซาตาน อันเป็นการสถาปนาซีนิมไปทั่วทั้งจักรวาลด้วยการนั้น  ดังนั้น ความหมายที่แท้จริงของซีนิมจึงเป็นการชุมนุมของทูตสวรรค์ทั้งปวงบนแผ่นดินโลก และตรงนี้อ้างอิงถึงบรรดาผู้ที่อยู่บนแผ่นดินโลก  เพราะฉะนั้น ราชอาณาจักรที่จะดำรงอยู่ในภายหลังบนแผ่นดินโลกจะถูกเรียกว่า “ซีนิม” และไม่ใช่ “ราชอาณาจักร”  คำว่า “ราชอาณาจักร” ไม่มีความหมายแท้จริงบนแผ่นดินโลก ในแก่นแท้แล้วคำนี้ก็คือซีนิม  ด้วยเหตุนั้น เฉพาะเมื่อเชื่อมโยงพระวจนะต่อไปนี้เข้ากับคำจำกัดความของซีนิมเท่านั้นที่คนเราจะสามารถรู้จักความหมายที่แท้จริงของพระวจนะที่ว่า “พวกเจ้าจะฉายสง่าราศีของเราไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน”  การนี้แสดงถึงการจัดอันดับผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลกในอนาคต  ประชากรทุกคนแห่งซีนิมจะเป็นกษัตริย์ที่กำกับดูแลทุกกลุ่มชนบนแผ่นดินโลกหลังจากที่พวกเขาทนทุกข์กับการตีสอนมาแล้ว  ทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกจะดำเนินไปตามปกติเพราะการบริหารจัดการของประชากรแห่งซีนิม  นี่ไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าภาพร่างสถานการณ์คร่าวๆ  มนุษย์ทั้งปวงจะยังคงอยู่ภายในราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะถูกทิ้งไว้ในซีนิม  มนุษย์บนแผ่นดินโลกจะสามารถสื่อสารกับเหล่าทูตสวรรค์ได้  เมื่อเป็นเช่นนั้น สวรรค์และแผ่นดินโลกจะเชื่อมต่อกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะนบนอบและรักพระเจ้าเช่นที่เหล่าทูตสวรรค์ในสวรรค์นบนอบและรักพระเจ้า  ณ เวลานั้น พระเจ้าจะทรงปรากฏต่อผู้คนทั้งปวงบนโลกอย่างเปิดเผย และเปิดโอกาสให้พวกเขามองเห็นพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ด้วยตาเปล่าของพวกเขา และพระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อพวกเขาทุกเวลา

ก่อนหน้า:  บทที่ 18

ถัดไป:  บทที่ 20

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger