บทที่ 20

พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ทั้งปวง และทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงมาจนถึงวันนี้  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงรู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นท่ามกลางมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์ทรงรู้ถึงความขมขื่นในโลกของมนุษย์ ทรงเข้าใจความหวานในโลกของมนุษย์ และดังนั้นในแต่ละวันพระองค์จึงทรงพรรณนาสภาพชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวง และยิ่งไปกว่านั้น ทรงตัดแต่งความอ่อนแอและความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ทั้งปวง  การที่มวลมนุษย์ทั้งปวงถูกโยนลงไปในบาดาลลึก หรือการที่มวลมนุษย์ทั้งหมดทั้งมวลได้รับการช่วยให้รอดหาใช่เจตนารมณ์ของพระเจ้าไม่  มีหลักธรรมอยู่ในการกระทำของพระเจ้าเสมอ กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่สามารถจับความเข้าใจในธรรมบัญญัติของทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำได้  เมื่อผู้คนกลายเป็นตระหนักรู้พระบารมีและพระพิโรธของพระเจ้า พระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงพระกระแสเสียงไปเป็นความกรุณาและความรักทันที แต่เมื่อผู้คนมารู้จักความกรุณาและความรักของพระเจ้า พระองค์ก็พลันเปลี่ยนแปลงพระกระแสเสียงอีกครั้งหนึ่ง โดยทำให้พระวจนะของพระองค์นั้นกินได้ยากราวกับว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นไก่ที่มีชีวิต  ในพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้า ตอนแรกเริ่มไม่เคยถูกตรัสซ้ำ และพระวจนะของพระองค์ไม่ว่าคำใดก็ไม่เคยถูกตรัสไปตามหลักธรรมของถ้อยดำรัสเมื่อวันวาน แม้กระทั่งพระกระแสเสียงก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน และไม่มีความเชื่อมโยงในเนื้อหา—ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้ผู้คนงุนงงมากขึ้นไปอีก  นี่คือพระปัญญาของพระเจ้า และเป็นการเผยถึงพระอุปนิสัยของพระองค์  พระองค์ทรงใช้กระแสเสียงและลักษณะแห่งพระวาทะของพระองค์มาสลายมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เพื่อที่จะทำให้ซาตานสับสน โดยพรากโอกาสที่จะวางยาพิษในกิจการของพระเจ้าไปจากซาตาน  ความมหัศจรรย์แห่งการกระทำของพระเจ้าทำให้จิตใจของผู้คนถูกพระวจนะของพระเจ้าทำให้ซวนเซ  พวกเขาแทบจะไม่สามารถหาประตูหน้าบ้านของพวกเขาเองได้พบ และถึงกับไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พวกเขาควรกินหรือควรหยุดพัก ด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์ “การอดหลับอดนอนและงดอาหารเพื่อสละให้แก่พระเจ้า” อย่างแท้จริง  แต่แม้กระทั่ง ณ จุดนี้ พระเจ้าก็ยังคงไม่พึงพอพระทัยกับรูปการณ์แวดล้อมในปัจจุบัน และกริ้วมนุษย์อยู่เสมอ ซึ่งบีบบังคับให้เขานำหัวใจที่แท้จริงของเขาออกมา  หาไม่แล้ว ทันทีที่พระเจ้าทรงแสดงความปรานีแม้เพียงเล็กน้อย ผู้คนก็จะ “เชื่อฟัง” ในทันทีและหละหลวมยิ่งขึ้น  นี่คือความต่ำต้อยของมนุษย์ เขาไม่สามารถถูกหว่านล้อม แต่ต้องถูกโบยตีหรือลากจูงจึงจะทำให้เขาเคลื่อนไหว  “ในบรรดาผู้ที่เราเฝ้ามองทั้งปวง ไม่มีผู้ใดเคยตั้งใจแสวงหาเราโดยตรง  พวกเขาล้วนมาอยู่ต่อหน้าเราเพราะการรบเร้าของผู้อื่น อันเป็นการติดตามคนส่วนใหญ่ และพวกเขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคาหรือใช้เวลาทำให้ชีวิตของพวกเขามั่งคั่ง”  เช่นนั้นคือรูปการณ์แวดล้อมของทุกคนบนแผ่นดินโลก  ด้วยเหตุนี้ หากปราศจากงานของเหล่าอัครทูตหรือผู้นำแล้ว ผู้คนทั้งปวงคงจะกระจัดกระจายกันไปนานแล้ว และดังนั้น ตลอดยุคทั้งหลายจึงไม่มีการขาดพร่องเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะเลย

ในถ้อยดำรัสเหล่านี้ พระเจ้าใส่พระทัยเป็นพิเศษในการสรุปสภาพชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระวจนะที่เป็นดังต่อไปนี้ทั้งหมดล้วนเป็นถ้อยดำรัสชนิดนี้ ความว่า “ชีวิตของมนุษย์ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย และไร้ร่องรอยของมนุษยชาติหรือความสว่าง—กระนั้นเขากลับหลงระเริงไปตามอำเภอใจตนเองเรื่อยมา ทนยอมรับชีวิตที่สูญสิ้นคุณค่า ชีวิตที่เขาสาละวนวุ่นวายโดยไม่ได้สัมฤทธิ์สิ่งใด  ในชั่วพริบตา วันตายก็ใกล้เข้ามา และมนุษย์ก็ตายอย่างขมขื่น”  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงนำทางให้แก่การดำรงอยู่ของมวลมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทว่ากลับทรงเปิดเผยความว่างเปล่าของชีวิตในโลกมนุษย์เช่นกัน?  และเหตุใดพระองค์จึงทรงพรรณนาชีวิตทั้งชีวิตของผู้คนทั้งปวงว่าเป็น “การมาถึงอย่างเร่งรีบและการจากไปอย่างเร่งรีบ”?  อาจกล่าวได้ว่านี่คือแผนการทั้งหมดของพระเจ้า ทั้งหมดถูกลิขิตโดยพระเจ้า และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในอีกแง่หนึ่งจึงสะท้อนให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรังเกียจทั้งหมดนั้นเพียงใดยกเว้นชีวิตในเทวสภาพ  แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ทั้งปวงขึ้นมา พระองค์ก็ไม่เคยทรงยินดีในการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งปวงอย่างแท้จริง และดังนั้นพระองค์จึงทรงยอมให้มวลมนุษย์ดำรงอยู่เพียงภายใต้ความเสื่อมทรามของซาตานเท่านั้น  หลังจากที่มวลมนุษย์ล่วงผ่านกระบวนการนี้ไปแล้ว พระองค์จึงจะทรงทำลายล้างมวลมนุษย์หรือช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และมนุษย์จะสัมฤทธิ์ชีวิตบนแผ่นดินโลกที่ไม่ว่างเปล่าด้วยการนี้  ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้า  และดังนั้นจึงมีความปรารถนาอย่างหนึ่งในจิตสำนึกของมนุษย์อยู่เสมอ ซึ่งนำไปสู่การที่ไม่มีผู้ใดยินดีตายอย่างไม่รู้เท่าทัน—แต่มีเพียงบรรดาผู้ที่สัมฤทธิ์ความปรารถนานี้เท่านั้นที่เป็นประชากรของยุคสุดท้าย  วันนี้ ผู้คนยังคงดำรงชีวิตท่ามกลางความว่างเปล่าอันมิอาจพลิกกลับได้และพวกเขายังคงรอคอยความปรารถนาที่มองไม่เห็นนั้น กล่าวคือ “เมื่อเราปิดบังโฉมหน้าของเราด้วยมือทั้งสองของเรา และกดผู้คนจมใต้ผืนดิน พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออกในทันที และแทบจะไม่สามารถเอาชีวิตรอด  พวกเขาทั้งหมดร้องเรียกเรา หวาดกลัวว่าเราจะทำลายพวกเขา เพราะพวกเขาล้วนปรารถนาที่จะได้เห็นวันที่เราได้รับสง่าราศี”  เช่นนั้นคือรูปการณ์แวดล้อมของผู้คนทั้งปวงในวันนี้  พวกเขาทั้งหมดดำรงชีวิตใน “สุญญากาศ” โดยไม่มี “ออกซิเจน” ซึ่งทำให้พวกเขาหายใจได้ยาก  พระเจ้าทรงใช้ความปรารถนาในจิตสำนึกของมนุษย์มาสนับสนุนการอยู่รอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง หาไม่แล้ว ทุกคนก็คงจะ “จากบ้านไปเป็นพระ” กันหมด แล้วผลที่ตามมาของการนั้นก็คือ มวลมนุษย์คงจะกลายเป็นสูญพันธุ์และมาถึงบทอวสาน  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเพราะสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์นั่นเองที่มนุษย์อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้  นี่คือความจริง แต่มนุษย์ไม่เคยค้นพบธรรมบัญญัติข้อนี้ และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึง “กลัวเกรงอยู่ลึกๆ ว่าความตายจะมาถึงตัวเขาเป็นครั้งที่สอง”  ด้วยความที่เป็นมนุษย์จึงไม่มีผู้ใดมีความกล้าที่จะดำรงชีวิตต่อไป กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเคยมีความกล้าที่จะตายเช่นกัน และด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสว่าผู้คน “ตายอย่างขมขื่น”  เช่นนั้นคือสภาพการณ์จริงท่ามกลางมนุษย์  บางทีในความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขา ผู้คนบางคนได้เผชิญหน้าความล้มเหลวและคิดถึงความตาย แต่ความคิดเหล่านี้ไม่เคยบรรลุผล บางทีบางคนมีความคิดเกี่ยวกับความตายก็เพราะความขัดแย้งทั้งหลายในครอบครัว แต่ด้วยความกังวลที่มีต่อผู้เป็นที่รักของพวกเขา พวกเขาจึงยังคงไม่สามารถสัมฤทธิ์ความปรารถนาของพวกเขาได้ และบางทีบางคนก็คิดถึงความตายเพราะเรื่องเลวร้ายในชีวิตสมรสของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะลงมือทำตามที่คิด  ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงตายด้วยความคับข้องใจหรือความเสียใจชั่วนิรันดร์ในหัวใจของพวกเขา  เช่นนั้นคือสภาวะอันหลากหลายของผู้คนทั้งปวง  เมื่อมองออกไปยังโลกกว้างของมนุษย์ ผู้คนมาและไปในกระแสอันไม่รู้จบ และแม้พวกเขาจะรู้สึกว่าน่าจะมีความชื่นบานอยู่ในความตายมากกว่าในการมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาก็ยังคงเอาแต่ใช้ปากพูด และไม่เคยมีผู้ใดลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยการตายและกลับมาบอกผู้ที่มีชีวิตอยู่ถึงวิธีที่จะชื่นชมความชื่นบานของความตาย  ผู้คนคือเหล่าวายร้ายที่น่าเหยียดหยาม กล่าวคือ พวกเขาไม่มีความละอายใจหรือความเคารพตนเอง และพวกเขากลับคำอยู่เสมอ  ในแผนการของพระองค์นั้น พระเจ้าได้ทรงลิขิตผู้คนที่จะได้ชื่นชมพระสัญญาของพระองค์ไว้ล่วงหน้ากลุ่มหนึ่ง และด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงตรัสว่า “วิญญาณมากมายได้ดำรงชีวิตในเนื้อหนัง และหลายคนได้ตายไปและเกิดใหม่บนแผ่นดินโลก  กระนั้นก็ไม่เคยมีพวกเขาคนใดมีโอกาสชื่นชมพรทั้งหลายแห่งราชอาณาจักรในวันนี้”  ทุกคนที่ได้ชื่นชมพรแห่งราชอาณาจักรในวันนี้ถูกพระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อพระองค์ทรงสร้างโลก  พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้วิญญาณเหล่านี้ดำรงชีวิตในเนื้อหนังในระหว่างยุคสุดท้าย และในท้ายที่สุดพระเจ้าจะทรงรับผู้คนกลุ่มนี้ไว้ และทรงจัดการเตรียมการให้พวกเขาอยู่ในซีนิม  เนื่องจากในแก่นแท้แล้ววิญญาณของผู้คนเหล่านี้คือเหล่าทูตสวรรค์ พระเจ้าจึงตรัสว่า “ไม่เคยมีร่องรอยอันใดของเราในวิญญาณของมนุษย์จริงๆ หรือ?”  ในข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง พวกเขาย่อมไม่รู้เท่าทันเรื่องราวทั้งหลายของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ  พระอารมณ์ของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้จากพระวจนะอันเรียบง่ายเหล่านี้ที่ว่า—“มนุษย์มองตรงมาที่เราอย่างระวังภัย”  จิตวิทยาอันซับซ้อนของพระเจ้าถูกแสดงออกมาภายในพระวจนะอันเรียบง่ายเหล่านี้  นับแต่ยุคแห่งการทรงสร้างจนถึงวันนี้ ในพระหทัยของพระเจ้ามีความโทมนัสพร้อมด้วยพระพิโรธและการพิพากษาอยู่เสมอ เพราะผู้คนบนแผ่นดินโลกไม่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า เหมือนดังที่พระเจ้าตรัสว่า “มนุษย์เหมือนคนเถื่อนตามภูเขา”  กระนั้นพระเจ้าก็ตรัสอีกด้วยว่า “วันนั้นจะมาถึงเมื่อมนุษย์แหวกว่ายจากกลางมหาสมุทรอันทรงพลังมาอยู่เคียงข้างเรา เพื่อที่เขาอาจชื่นชมความมั่งคั่งทั้งมวลบนแผ่นดินโลกและทิ้งความเสี่ยงที่จะถูกทะเลกลืนกลบไว้เบื้องหลัง”  นี่คือการสำเร็จลุล่วงพระประสงค์ของพระเจ้า และสามารถพรรณนาได้อีกด้วยว่าเป็นแนวโน้มอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นสัญลักษณ์แห่งการสำเร็จลุล่วงพระราชกิจของพระเจ้า

เมื่อราชอาณาจักรเคลื่อนลงมาบนแผ่นดินโลกโดยบริบูรณ์ ผู้คนทั้งปวงจะฟื้นคืนสภาพเสมือนดั้งเดิมของพวกเขา  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัสว่า “เราชื่นชมจากบนยอดบัลลังก์ของเรา และเราดำรงชีวิตท่ามกลางมวลดารา  บรรดาทูตสวรรค์นำเสนอบทเพลงใหม่ๆ และการเต้นรำใหม่ๆ แก่เรา  ความบอบบางของพวกเขาเองไม่เป็นเหตุให้น้ำตาไหลรินอาบใบหน้าของพวกเขาอีกต่อไป  เราไม่ได้ยินเสียงทูตสวรรค์ร่ำไห้ต่อหน้าเราอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดพร่ำบ่นกับเราถึงความยากลำบากอีกต่อไป”  การนี้แสดงให้เห็นว่าวันที่พระเจ้าทรงรับพระสิริอันครบบริบูรณ์ไว้คือวันที่มนุษย์ได้ชื่นชมการหยุดพักของเขา ผู้คนไม่สาละวนเร่งร้อนอันเนื่องมาจากการก่อความไม่สงบของซาตานอีกต่อไป โลกหยุดก้าวไปข้างหน้า และผู้คนดำรงชีวิตในการหยุดพัก—ด้วยเหตุที่ดวงดารามากมายเหลือคณานับในฟ้าสวรรค์ถูกสร้างขึ้นใหม่ และดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มวลดารา และอื่นๆ และภูเขาและแม่น้ำทั้งมวลในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ล้วนได้รับการเปลี่ยนแปลง  และเนื่องจากมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปและพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นทุกสรรพสิ่งก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน  นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่จะได้รับการสัมฤทธิ์ในที่สุด  วัตถุประสงค์ของพระเจ้าในการตรัสพระวจนะทั้งหมดนี้โดยหลักแล้วคือเพื่อให้มนุษย์รู้จักพระองค์  ผู้คนไม่เข้าใจประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้า  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นได้ถูกจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้าพระองค์เอง และพระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะให้ผู้ใดแทรกแซง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนมองเห็นว่าทั้งหมดถูกจัดการเตรียมการโดยพระองค์และมิอาจสัมฤทธิ์ได้โดยมนุษย์  ถึงแม้ว่ามนุษย์สามารถมองเห็นทั้งหมดได้ หรือพบว่าทั้งหมดนั้นยากที่จะจินตนาการ แต่ทั้งหมดก็ถูกพระเจ้าควบคุมเพียงลำพัง และพระเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้ทั้งหมดถูกความคิดเยี่ยงมนุษย์แม้เพียงน้อยนิดทำให้ด่างพร้อย  แน่นอนว่าพระเจ้าจะไม่ทรงอภัยให้ผู้ใดก็ตามที่มีส่วนทำเช่นนั้นแม้แต่เพียงเล็กน้อย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อิจฉามนุษย์ และดูเหมือนว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอ่อนไหวเป็นพิเศษในเรื่องนี้  ด้วยเหตุนี้ ผู้ใดก็ตามที่มีเจตนาแทรกแซงแม้แต่เพียงน้อยนิดย่อมจะถูกเปลวเพลิงที่เผาผลาญของพระเจ้ารุมเร้าทันที โดยเปลี่ยนพวกเขาเป็นเถ้าธุลีในกองไฟ  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ผู้คนแสดงของประทานของพวกเขาตามอำเภอใจ เพราะทุกคนที่มีของประทานนั้นไร้ชีวิต สิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นของประทานเหล่านี้รับใช้เพียงพระเจ้าเท่านั้น และมีต้นกำเนิดจากซาตาน และด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่รังเกียจเป็นพิเศษสำหรับพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ทรงยอมอ่อนข้อในการนี้  กระนั้นก็มักจะเป็นผู้คนที่ไร้ชีวิตนี่เองที่มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น การมีส่วนร่วมของพวกเขายังคงไม่ถูกค้นพบ เพราะถูกของประทานของพวกเขาอำพรางไว้  ตลอดยุคทั้งหลาย พวกที่ได้รับของประทานไม่เคยตั้งมั่นเพราะพวกเขาปราศจากชีวิต และด้วยเหตุนี้จึงขาดพร่องพลังอำนาจในการต้านทาน  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงตรัสว่า “หากเราไม่พูดอย่างตรงไปตรงมา มนุษย์ก็จะไม่มีวันสำนึกรับรู้ขึ้นมาได้เอง และจะตกลงสู่การตีสอนของเราโดยไม่รู้ตัว—เพราะมนุษย์ไม่รู้จักเราในเนื้อหนังของเรา”  บรรดาผู้ที่มีเลือดเนื้อทั้งปวงได้รับการทรงนำโดยพระเจ้า กระนั้นก็ดำรงชีวิตอยู่ในพันธนาการของซาตานด้วย และดังนั้นผู้คนจึงไม่เคยมีสัมพันธภาพที่เป็นปกติต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะตัณหา หรือความรักใคร่บูชา หรือการจัดการเตรียมการแห่งสภาพแวดล้อมของพวกเขาก็ตาม  สัมพันธภาพอันผิดปกติเช่นนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจเหนือสิ่งอื่นใด และดังนั้น เป็นเพราะสัมพันธภาพเช่นนี้ พระวจนะดังต่อไปนี้จึงมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ความว่า “สิ่งที่เราต้องการคือสิ่งสร้างที่มีชีวิตซึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิต ไม่ใช่ซากศพที่ถูกแช่อยู่ในความตาย  ในเมื่อเราเอนกายอยู่ที่โต๊ะแห่งราชอาณาจักร เราก็จะบัญชาผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลกให้รับการตรวจสอบจากเรา”  เมื่อพระเจ้าทรงอยู่เหนือทั้งจักรวาล ในแต่ละวันพระองค์จึงทรงเฝ้าสังเกตทุกการกระทำของบรรดาผู้ที่มีเลือดเนื้อ และไม่เคยทรงมองข้ามพวกเขาไปแม้สักคนเดียว  เหล่านี้คือกิจการของพระเจ้า  และดังนั้น เราจึงเร่งเร้าให้ผู้คนทั้งปวงตรวจสอบความคิด แนวคิด และการกระทำของพวกเขาเอง  เราไม่ได้ขอให้เจ้าเป็นเครื่องหมายที่นำความเสื่อมเสียมาให้พระเจ้า แต่ขอให้เป็นการสำแดงพระสิริของพระเจ้า และในทุกการกระทำ ทุกคำพูด และชีวิตของพวกเจ้า เราขอให้เจ้าไม่กลายเป็นตัวตลกของซาตาน  นี่คือพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนทั้งปวง

ก่อนหน้า:  บทที่ 19

ถัดไป:  บทที่ 21

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger