19. ทำไมฉันถึงไม่กล้าเปิดอก

โดยคริสติน่า สหรัฐอเมริกา

ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ปี 2021  เจน ผู้นำของเรา ให้ฉันเขียนการประเมินลอร่า เธอบอกว่าลอร่าเป็นคนโอหัง คิดว่าตนถูก และตัดสินผู้นำและคนทำงานอยู่เสมอ เธอไม่ใช่คนที่เหมาะสม การประเมินลอร่าของเจนแตกต่างจากของฉัน ตอนฉันมีปฏิสัมพันธ์กับลอร่าในอดีต เธอไม่ได้เป็นอย่างที่เจนพูด แต่ฉันกังวลว่าถ้าพูดความจริง เจนจะหาว่าฉันขาดวิจารณญาณแยกแยะและมองฉันในแง่ร้าย แล้วอาจจะไม่มอบหมายโครงการสำคัญๆ ให้ฉันในอนาคต ฉันจึงยอมตามใจเจน คล้อยตามการประเมินของเธอ และบอกว่าลอร่าตัดสินผู้อื่นโดยพลการ ไม่นานหลังจากนั้น ลอร่าก็ถูกแทนที่  ต่อมาฉันพบว่า ลอร่าได้รายงานเรื่องเจนว่าทำงานจริงไม่ได้และเป็นผู้นำเทียมเท็จ ซึ่งทำให้เจน ข่มเหงและลงโทษเธอโดยอ้างว่าเธอตัดสินผู้นำและคนทำงาน ในที่สุดเจนก็ถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและถูกแทนที่ หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็นึกถึงพฤติกรรมของตัวเองตอนเขียนการประเมิน และรู้สึกเสียใจ เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าและทบทวนตัวเอง ฉันก็ตระหนักว่าตัวเองเต็มใจที่จะโกหกและคล้อยตามไปกับ การกล่าวโทษลอร่าเพื่อทำให้ผู้นำมองฉันในแง่ดี ฉันขาดความเป็นมนุษย์จริงๆ ยิ่งทบทวน ฉันก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจและเกลียดตัวเอง ฉันคิดจะเขียนเรียงความเกี่ยวกับความล้มเหลวครั้งนี้ เพื่อแบ่งปันกับพี่น้องชายหญิงให้เป็นการเตือนใจ แต่ฉันก็กังวลหลายอย่าง ฉันคิดว่า “ถ้าฉันเขียนเรื่องความเสื่อมทรามและแรงจูงใจที่ผิดๆ ทั้งหมดของตัวเองระหว่างการประเมินครั้งนั้น พี่น้องชายหญิงจะคิดยังไงกับฉัน? ถ้าพวกเขาดูแคลนและเดียดฉันท์ฉัน ชื่อเสียงฉันจะป่นปี้ไม่มีชิ้นดี และฉันจะละอายใจเกินกว่าจะสู้หน้าพวกเขาได้อีก” และฉันก็นึกถึงว่าลอร่าเคยสนิทกับฉันมาก และมักจะเปิดใจกับฉันเวลาเธอมีปัญหา เธอจะคิดยังไงถ้ารู้ว่าฉันทำการประเมินครั้งนั้นด้วยอุปนิสัยเสื่อมทราม? เธอจะผิดหวังในตัวฉันและตัดการติดต่อไหม? ถ้าผู้นำระดับสูงรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะหาว่าฉันมีลักษณะนิสัยแย่และมอบหมายหน้าที่อื่นให้ฉันหรือเปล่า? เมื่อนึกถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันทำสิ่งที่น่าละอายใจมาก และลำบากใจที่จะพูดถึงมัน ฉันไม่อยากเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ฉันแค่อยากจะก้าวต่อไป ฉันไม่อยากเขียนเรื่องนี้  

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มไตร่ตรองเรื่องนี้ ทำไมฉันถึงไม่เต็มใจที่จะพูดถึงความล้มเหลวครั้งนี้ล่ะ? ทำไมฉันถึงไม่เต็มใจที่จะเปิดอกและเปิดเผยตัวเองอย่างหมดเปลือก? อุปนิสัยเสื่อมทรามอะไรกำลังจำกัดฉันอยู่? วันหนึ่งขณะดูวิดีทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ไม่ว่าบริบทจะเป็นอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ใด ศัตรูของพระคริสต์จะพยายามสร้างภาพประทับใจว่าพวกเขาไม่อ่อนแอ ว่าพวกเขาแข็งแกร่งอยู่เสมอ เปี่ยมด้วยความเชื่อ และไม่เคยคิดลบ ผู้คนจะได้ไม่มีวันมองเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาหรือท่าทีแท้จริงที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  ที่จริงแล้ว ในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่สามารถทำได้?  พวกเขาเชื่ออย่างจริงแท้กระนั้นหรือ ว่าพวกเขาปราศจากความอ่อนแอ ความคิดลบ หรือการเผยความเสื่อมทรามออกมา?  แน่นอนที่สุดว่าไม่  พวกเขาเก่งในการแสร้งเล่นละคร เก่งกาจในการซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลาย  พวกเขาชอบแสดงให้ผู้คนเห็นด้านที่แข็งแกร่งและสง่างามของพวกเขา พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้คนเหล่านั้นเห็นด้านที่แท้จริงและอ่อนแอของพวกเขา  จุดประสงค์ของพวกเขานั้นเห็นได้ชัดเจน นั่นก็เพียงเพื่อคงความทระนงและความภาคภูมิใจของตนเอาไว้ และเพื่อปกป้องที่ทางซึ่งพวกเขามีอยู่ในหัวใจของผู้คน  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาเปิดเผยความคิดลบและความอ่อนแอของตนเองต่อหน้าผู้อื่น หากพวกเขาเผยด้านที่เป็นกบฏและเสื่อมทรามของตน นี่ย่อมจะสร้างความเสียหายอันร้ายแรงให้กับสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา—เป็นความเดือดร้อนมากกว่าที่จะเป็นความคุ้มค่า  ดังนั้น พวกเขาจึงยอมตายมากกว่าจะยอมรับว่าบางครั้งพวกเขาก็อ่อนแอ เป็นกบฏ และคิดลบ  และหากวันหนึ่งมาถึงเมื่อทุกคนเห็นด้านที่อ่อนแอและเป็นกบฏของพวกเขา เมื่อทุกคนเห็นว่าพวกเขาเสื่อมทรามและมิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด พวกเขาก็จะยังคงเล่นละครต่อไป  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขายอมรับแต่โดยดีว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าเป็นคนธรรมดา เป็นใครบางคนที่ไม่มีนัยสำคัญ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน สูญเสียความเคารพบูชาและความชื่นชูจากทุกคน และด้วยเหตุนี้พวกเขาย่อมจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง  ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาก็จะไม่เปิดใจกับผู้คน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาก็จะไม่มอบอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แก่ผู้อื่นใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับพยายามที่จะแข่งขันอย่างสุดความสามารถ และจะไม่มีวันยอมแพ้(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สิบ))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ว่า ศัตรูของพระคริสต์เสแสร้งเก่ง พวกมันไม่อยากให้ใครเห็นด้านมืดของมัน และพวกมันไม่เปิดอกเรื่องความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของมัน นอกจากนี้ พวกมันหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความล้มเหลวและข้อผิดพลาดของตัวเองเสมอ แต่กลับสร้างภาพที่เป็นบวก มุ่งมั่น และน่าประทับใจ เพื่อเป็นที่เคารพนับถือและชนะใจผู้คน ฉันตระหนักว่าสิ่งที่ฉันทำลงไปและเผยออกมานั้นไม่ต่างอะไรกับศัตรูของพระคริสต์เลย ฉันเริ่มตระหนักถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง ที่คล้อยตามไปกับผู้นำเทียมเท็จในการกล่าวโทษลอร่า แต่ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะเปิดอกกับทุกคน เพราะนี่คือความล้มเหลว หากฉันเผยแรงจูงใจและความเสื่อมทรามของตัวเองในช่วงเวลานั้นต่อสาธารณชน ทุกคนจะเห็นว่าฉันขาดวิจารณญาณแยกแยะและอ่อนข้อให้ง่ายๆ ฉันกลัวว่าทุกคนจะดูแคลนและเดียดฉันท์ฉัน และฉันอาจสูญเสียหน้าที่ของตัวเองด้วยซ้ำ ฉันเห็นว่าตัวเองให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและสถานะมากกว่าการปฏิบัติความจริงและการเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันไม่ได้รักความจริงหรือสิ่งที่หลายที่เป็นบวกเลย แต่กลับรักชื่อเสียงและสถานะ และถนัดเรื่องการเสแสร้ง เหมือนศัตรูของพระคริสต์ไม่มีผิด ฉันเป็นคนหลอกลวง

ต่อมาฉันพบพระวจนะของพระเจ้าอีกสองบทตอนดังนี้ “ทุกคนทำความผิดพลาด  ทุกคนมีข้อผิดพลาดและข้อตำหนิ  และอันที่จริงแล้ว ทุกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเดียวกัน  จงอย่าคิดว่าตัวเจ้าเองสูงศักดิ์ เพียบพร้อม และใจดีกว่าผู้อื่น นั่นเป็นการไม่สมเหตุสมผลอย่างที่สุด  ทันทีที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนและแก่นแท้และโฉมหน้าที่แท้จริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเป็นที่ชัดเจนสำหรับเจ้า เจ้าย่อมจะไม่พยายามปิดบังความผิดพลาดของตัวเอง และเจ้าจะไม่ถือสาความผิดพลาดของผู้อื่น—เจ้าจะเผชิญหน้าทั้งสองกรณีนี้ได้อย่างถูกต้อง  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและไม่ทำสิ่งที่โง่เขลา ซึ่งจะทำให้เจ้ามีปัญญา  พวกที่ไม่มีปัญญาย่อมเป็นคนที่โง่เขลา พวกเขาย่อมวนเวียนอยู่กับความผิดพลาดเล็กน้อยของพวกเขาอยู่เสมอ พลางทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่หลังฉาก  เห็นแล้วชวนให้ขยะแขยง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักธรรมที่คนเราควรใช้นำทางการประพฤติตน)  “ในเวลาที่ผู้คนเสแสร้งแกล้งทำอยู่เสมอ ปกปิดความผิดให้ตัวเองอยู่เสมอ วางท่าอยู่เสมอเพื่อให้ผู้อื่นคิดว่าพวกเขาสูงส่ง และไม่สามารถมองเห็นความผิดหรือข้อบกพร่องของพวกเขาได้ ในเวลาที่พวกเขาพยายามอยู่เสมอที่จะนำเสนอด้านที่ดีที่สุดของพวกเขาต่อผู้คนนั้น นี่คืออุปนิสัยชนิดใด?  นี่คือความโอหัง ความจอมปลอม ความหน้าซื่อใจคด นี่คืออุปนิสัยของซาตาน เป็นสิ่งที่เลว  จงดูสมาชิกของระบอบซาตานเอาเถิดว่า ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้ พิพาทบาดหมาง หรือฆ่ากันในความมืดมากมายเพียงใด ก็ไม่ยอมให้ใครรายงานหรือเปิดโปงพวกเขา  พวกเขากลัวว่าผู้คนจะมองเห็นโฉมหน้าเยี่ยงปีศาจของตน และพวกเขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อปิดบังการนั้นไว้  ในที่สาธารณะ พวกเขาทำสุดความสามารถที่จะล้างความผิดให้ตัวเอง โดยพูดว่าพวกเขารักประชาชนมากเพียงใด พวกเขายิ่งใหญ่ รุ่งโรจน์ และไม่มีทางผิดพลาดเพียงใด  นี่คือธรรมชาติของซาตาน  ลักษณะที่โดดเด่นที่สุดในธรรมชาติของซาตานคือเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวง  แล้วอะไรเล่าคือจุดมุ่งหมายของเล่ห์เพทุบายและการหลอกลวงนี้?  การตบตาผู้คน การหยุดพวกเขาไม่ให้เห็นแก่นแท้และตัวตนที่แท้จริงของมัน และด้วยเหตุนี้จึงสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของการทำให้การปกครองของมันยืนยาวขึ้น  ผู้คนธรรมดาอาจขาดพร่องอำนาจและสถานะดังกล่าว แต่พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกันที่จะทำให้ผู้อื่นมีทัศนะที่เป็นคุณต่อตัวพวกเขา และปรารถนาที่จะให้ผู้คนมีการประเมินคุณค่าสูงเกี่ยวกับพวกเขา และยกชูสถานะของพวกเขาในหัวใจของคนเหล่านั้นให้สูง  นี่คืออุปนิสัยอันเสื่อมทราม และหากผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาย่อมไม่สามารถตระหนักรู้เรื่องนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักธรรมที่คนเราควรใช้นำทางการประพฤติตน)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่า ไม่มีใครเพียบพร้อม เราทุกคนล้วนมีข้อบกพร่อง ทำผิดพลาดกันได้ และเผยให้เห็นอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผลอย่างแท้จริงสามารถเผชิญหน้ากับข้อบกพร่องและปัญหาของตัวเองได้อย่างถูกควร หลังจากทำผิด พวกเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเองและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทรามของตัวเองได้ คนไม่จริงใจและหลอกลวงคือคนที่หลังจากทำผิดพลาดหรือเผยความเสื่อมทรามของตัวเองแล้ว ไม่สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาหรือยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ และเสแสร้งทำเพื่อปกปิดตัวตนที่แท้จริงอยู่เสมอ ทำให้ลักษณะนิสัยของตัวเองดูไร้มลทิน ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างมาก และถูกอุปนิสัยเสื่อมทรามทุกรูปแบบครอบงำ เป็นเรื่องปกติที่จะมีประสบการณ์กับความเบี่ยงเบนและเผยความเสื่อมทราม ต่อให้ฉันไม่เปิดอก อุปนิสัยเสื่อมทรามเหล่านั้นก็จะยังคงซ่อนอยู่ภายใน อย่างนั้น ฉันก็ยังเป็นคนเสื่อมทรามอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ตอนฉันประเมินลอร่า ฉันคล้อยตามไปกับผู้นำเทียมเท็จในการตัดสินและกล่าวโทษลอร่า เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาผู้นำ ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ถ้าฉันเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผล ฉันจะเผชิญหน้ากับปัญหานี้ เผยให้คนอื่นเห็นว่าฉันแสดงความเสื่อมทรามอย่างไร ถูกพระวจนะของพระเจ้าเปิดโปงและพิพากษาอย่างไร และฉันได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง เพื่อให้ทุกคนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน แต่ฉันกลับสร้างภาพหลังจากแสดงความเสื่อมทรามอยู่เสมอ โดยหวังว่าจะปกป้องชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาผู้อื่น ฉันน่าอับอายและน่ารังเกียจมาก! ฉันคิดมาโดยตลอดว่าถ้าความเสื่อมทรามที่ฉันเผยเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ อุปนิสัยเสื่อมทรามที่เห็นได้ชัดซึ่งพบได้ทั่วไปในคนหมู่มาก ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อให้ฉันเปิดอก ก็คงไม่ทำให้ชื่อเสียงฉันเสียหายมากนัก ฉันเลยเปิดเผยตัวเองต่อหน้าผู้คนได้  แต่ครั้งนี้ฉันคล้อยตามไปกับผู้นำเทียมเท็จในการกล่าวโทษใครบางคน นี่เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ไม่ง่ายที่จะยกขึ้นมาพูด นี่จะแสดงให้ผู้คนเห็นว่าฉันมีลักษณะนิสัยแย่และไร้ศักดิ์ศรี และจะทำลายชื่อเสียงฉันอย่างรุนแรง ฉันเลยไม่เต็มใจที่จะเปิดอก แต่กลับปั่นหัวคนอื่น เก็บเงียบเรื่องนี้ ฉันช่างหลอกลวงจริงๆ! ฉันตระหนักในตอนนั้นเองว่า การที่ฉันไม่เต็มใจที่จะเปิดอกเรื่องความเสื่อมทรามของตัวเองนั้นไม่เพียงเป็นสัญญาณของความทะนงตัวและความลำพองใจ แต่ยังเปิดโปงอุปนิสัยหลอกลวงและชั่วร้ายเยี่ยงซาตานที่ซ่อนอยู่ด้วย

หลังจากนั้น ฉันทบทวนปัญหานี้ต่อไป และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขากลับไม่พูดออกมาหรือแสดงทัศนะตามสบาย เอาแต่เงียบอยู่เสมอ  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขามีเหตุผล ในทางกลับกัน นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาอำพรางตนค่อนข้างดี พวกเขามีสิ่งที่แอบซ่อนเอาไว้ และความเฉลียวฉลาดของพวกเขานั้นไหลลึก  หากเจ้าไม่เปิดใจให้ใครเลย เจ้าจะสามารถเปิดใจให้พระเจ้าได้หรือไม่?  และหากเจ้าไม่จริงใจแม้แต่กับพระเจ้า และไม่สามารถเปิดใจให้พระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถมอบหัวใจของตนให้แก่พระองค์ได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ได้  เจ้าจะไม่สามารถมีหัวใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แต่กลับเก็บหัวใจของเจ้าไว้ห่างจากพระองค์!  พวกเจ้าสามารถเปิดอกพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเจ้าโดยแท้เวลาสามัคคีธรรมกับผู้อื่นหรือไม่?  หากใครบางคนพูดถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนโดยแท้อยู่เสมอ หากพวกเขาพูดจาซื่อสัตย์  หากพวกเขาพูดจาเรียบง่าย หากพวกเขาจริงใจ และไม่สุกเอาเผากินแต่อย่างใดเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน และหากพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงที่พวกเขาเข้าใจ เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็มีหวังที่จะได้รับความจริง  หากบุคคลผู้หนึ่งปิดบังตนเองและปกปิดหัวใจของตนเพื่อมิให้ผู้ใดสามารถมองเห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจน หากพวกเขาสร้างภาพจำที่เทียมเท็จเพื่อหลอกลวงผู้อื่น เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตรายที่ร้ายแรง พวกเขากำลังเดือดร้อนหนัก และเป็นการยากมากที่พวกเขาจะได้รับความจริง  เจ้าสามารถเห็นได้จากชีวิตประจำวันของใครบางคน และจากคำพูดกับการกระทำของพวกเขา ว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของพวกเขาจะเป็นเช่นใด  หากบุคคลผู้นี้เสแสร้งตลอดเวลา วางท่าตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็ไม่ใช่ใครบางคนที่ยอมรับความจริง และพวกเขาจะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไปไม่ช้าก็เร็ว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง)  พระเจ้าทรงเผยให้เห็นว่าคนที่สร้างภาพไม่สามารถเผชิญกับปัญหาของตนเองได้ ไม่เปิดอกเมื่อทำผิดพลาด และปกปิดปัญหาและความผิดพลาดด้วยการหลอกลวงผู้อื่นอยู่เสมอ หัวใจของพวกเขาปิดตาย คนแบบนี้ชั่วร้ายเป็นพิเศษ พวกเขาหลอกลวงอย่างโจ่งแจ้ง พระเจ้าโปรดคนซื่อสัตย์และทรงรังเกียจคนหลอกลวง สุดท้ายแล้วคนหลอกลวงจะถูกเปิดโปงและกำจัด ฉันเคยคิดว่าการสร้างภาพเป็นเพียงสัญญาณของการมีความละโมบในชื่อเสียงและสถานะ และไม่ได้หมายความว่าบุคคลหนึ่งเป็นเหมือนคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ ที่ประพฤติชั่ว ขัดขวางงานคริสตจักร และทำร้ายผู้อื่น ฉันไม่ได้คิดว่านั่นจะนำไปสู่การถูกกำจัด แต่พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของฉัน และฉันมีทัศนะที่บิดเบือนต่อสิ่งทั้งหลาย ฉันเพิกเฉยต่อมโนธรรมของตัวเองถึงได้คล้อยตามไปกับผู้นำเทียมเท็จในการกล่าวโทษลอร่า จึงเป็นการยุยงส่งเสริมคนทำชั่ว พระเจ้าทรงทราบดีถึงการกระทำผิดของฉันอยู่แล้ว แต่ฉันก็ไม่เต็มใจที่จะพูดถึงสิ่งนั้นหลังจากเกิดเรื่อง และพยายามเสแสร้งเพื่อให้ได้ความชื่นชมจากผู้อื่น สิ่งนี้เผยให้เห็นว่าฉันไม่ได้รักความจริงและไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริงและถึงกับใช้การหลอกลวงและอุบาย แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงรังเกียจฉันได้อย่างไร? ถ้าทำแบบนี้ต่อไป ฉันจะถูกเปิดโปงและกำจัดอย่างแน่นอน หลังจากทบทวน ฉันได้เห็นว่าการไม่ซื่อสัตย์และไม่เปิดอกมีผลตามมาที่ร้ายแรงอย่างไร ฉันรู้สึกกลัวมากจึงอยากพลิกสถานการณ์โดยเร็ว

ต่อมาฉันพบพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมดังนี้ “เจ้าต้องสามารถทบทวนและรู้จักตนเองได้  เจ้าต้องมีความกล้าที่จะเปิดใจและตีแผ่ตนเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง และสามัคคีธรรมถึงสภาวะที่แท้จริงของตน  หากเจ้าไม่กล้าตีแผ่หรือชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หากเจ้าไม่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และยิ่งไม่ใช่คนที่รู้จักตนเอง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นรากฐานสำคัญที่สุดของการเป็นคนที่ซื่อสัตย์)  “ไม่ว่าผู้คนจะปฏิบัติหน้าที่ใด หรือทำอะไร สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความทระนงและความภาคภูมิใจของพวกเขา หรือพระสิริของพระเจ้า?  ผู้คนควรเลือกสิ่งใด?  (พระสิริของพระเจ้า) สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—ความรับผิดชอบของเจ้า หรือผลประโยชน์ของเจ้าเอง?  ความรับผิดชอบของเจ้าคือสิ่งที่สำคัญกว่า และเจ้ามีภาระหน้าที่ต่อความรับผิดชอบเหล่านั้น… เวลาที่เจ้าปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ย่อมจะเกิดผลบวก และเจ้าก็จะเป็นคำพยานให้พระเจ้า  นี่คือวิธีหนึ่งในการเป็นคำพยานให้พระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย  การใช้วิธีการต่างๆ มาเป็นคำพยานให้พระเจ้าและทำให้ซาตานเห็นความมุ่งมั่นของเจ้าที่จะปฏิเสธและขบถต่อซาตาน นี่ก็คือการทำให้ซาตานอับอายและการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า—นี่คือสิ่งที่เป็นบวกและตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)  ฉันพบเส้นทางแห่งการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเผยความเสื่อมทรามหรือความผิดพลาดอะไร เราก็ควรกล้าหาญพอที่จะยอมรับสิ่งเหล่านั้น เปิดอก และชำแหละอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราขณะสามัคคีธรรมกับผู้อื่น นี่คือวิธีตัดขาดจากซาตาน ใช้การกระทำจริงทำให้ซาตานอับอาย และเป็นคำพยานให้พระเจ้า สิ่งนี้แสดงถึงการกลับใจอย่างแท้จริง ไม่ว่าความทะนงตัว ความลำพองใจ ชื่อเสียง และสถานะของเราจะเสียหายหลังจากเปิดอกหรือไม่ เราก็ควรกบฏต่อตัวเองเพื่อปฏิบัติความจริงและให้ความสำคัญกับการเป็นคำพยานให้พระเจ้าเป็นอันดับแรก ตอนฉันประเมินลอร่า ฉันทำในสิ่งที่ขัดต่อข้อเท็จจริงและคล้อยตามไปกับผู้นำเทียมเท็จในการกล่าวโทษเธอ จากประสบการณ์นี้ ฉันได้เข้าใจถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองในระดับหนึ่ง ฉันรู้ว่าควรเปิดอกและเปิดเผยตัวเองต่อหน้าพี่น้องชายหญิง นั่นคือสิ่งที่ฉันควรทำ  หากฉันไม่สามารถเปิดอกต่อหน้าทุกคน เพียงเพราะต้องการปกป้องความทะนงตัวและชื่อเสียงของตัวเอง และไม่อาจเป็นพยานให้บทเรียนที่ฉันได้เรียนรู้จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ ฉันก็คงจะตกหลุมพรางของซาตานและสูญเสียคำพยานของตัวเองไป นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้ฉันเคยมีมโนคติอันหลงผิดที่คลาดเคลื่อนว่า การพูดคุยเรื่องความล้มเหลวของตัวเองนั้นน่าละอายและไม่ถือเป็นคำพยานประเภทหนึ่ง ต่อมาฉันได้เข้าใจว่า ตราบใดที่ฉันสามารถละทิ้งความทะนงตัวและความลำพองใจ ไม่ถูกผูกมัดด้วยอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง เปิดอกขณะสามัคคีธรรมเรื่องความล้มเหลวของฉัน และกลับใจได้อย่างแท้จริง สิ่งนี้ก็ถือเป็นคำพยานประเภทหนึ่ง เมื่อตระหนักได้อย่างนี้ ความกังวลทั้งหมดของฉันก็หายไป  

หลังจากนั้น ฉันก็เปิดอกขณะสามัคคีธรรมกับทุกคนเกี่ยวกับประสบการณ์ของฉัน และนึกไม่ถึงว่าพี่น้องชายหญิงจะพูดว่า “การได้ยินประสบการณ์ของคุณนั้นมีประโยชน์มาก พวกเราก็เผยอุปนิสัยเสื่อมทรามประเภทเดียวกันนี้บ่อยเหมือนกัน เว้นแต่ว่าเราสังเกตเห็นไม่ทันท่วงทีและปล่อยผ่าน การที่คุณสามัคคีธรรมว่าตระหนักถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง และเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันผ่านการพิพากษาและการเผยจากพระวจนะของพระเจ้า ช่วยสอนใจเรามาก” ต่อมาพี่น้องชายหญิงได้สามัคคีธรรมกับฉันถึงพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน พระวจนะช่วยให้ฉันเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นถึงแก่นแท้และผลที่ตามมาของการที่ฉันไม่ประเมินผู้คนอย่างเป็นกลาง การไม่ประเมินผู้คนอย่างเป็นกลางก็เหมือนกับการกล่าวหาหรือใส่ร้ายพวกเขา เป็นรูปแบบหนึ่งของการกีดกันและข่มเหง หากฉันกล่าวโทษใครบางคนโดยพลการและทำให้พวกเขากลายเป็นคนคิดลบ หรือหากผู้นำเทียมเท็จใช้การกล่าวโทษนั้นเป็นเหตุผลในการลงโทษใครบางคน ทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้ และขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ก็ถือว่าฉันได้ทำความชั่ว ฉันเข้าใจชัดเจนขึ้นด้วยว่าต้องปฏิบัติตามหลักธรรมใดเมื่อต้องประเมินผู้คน ต่อมาเมื่อลอร่ารู้เรื่องทั้งหมดนี้ เธอก็ไม่ได้มองฉันในแง่ร้าย หากฉันถามอะไรเธอ เธอก็ตอบอย่างจริงใจเหมือนเคย คริสตจักรก็ไม่ได้ย้ายหรือปลดฉัน ผลลัพธ์เหล่านี้พลิกมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการเดิมของฉันไปอย่างสิ้นเชิง ฉันรู้สึกละอายใจมาก ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันตระหนักถึงความสัตย์ซื่อและความชอบธรรมของพระเจ้าดีขึ้นมาก ตราบใดที่เราปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เราจะมีเส้นทาง ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  18. หลังจากรู้ว่าพ่อแม่ฉันถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร

ถัดไป:  21. ถอดหน้ากาก “ผู้ปกครองฝ่ายจิตวิญญาณ” ของฉัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger