21. ถอดหน้ากาก “ผู้ปกครองฝ่ายจิตวิญญาณ” ของฉัน

ผู้เขียน: อลิสซา

ฉันเป็นผู้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้ามา 11 ปี และแต่ก่อนฉันไปร่วมการชุมนุมที่คริสตจักรของศิษยาภิบาลเบนเท่านั้น ศิษยาภิบาลเบนเป็นผู้ประกาศที่เป็นที่รู้จักกันดีในละแวกของเรา เขามีความเชื่อแรงกล้าและใจดี รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และรู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดี เขาทำการอบรมเรื่องพระคัมภีร์ทั้งหมดของคริสตจักร ฉันจึงชื่นชมเขามาก ฉันจะไปถามเขาทุกครั้งที่มีบางอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ เขาจะอธิษฐานเผื่อเราทุกครั้งที่ครอบครัวเราเผชิญความลำบากยากเย็น ฉันเริ่มมองเขาเป็นพ่อฝ่ายวิญญาณในความเชื่อของฉันอย่างไม่รู้ตัว

ในปี 2017 ฉันได้ยินข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเห็นว่าพระองค์ทรงเผยความพิศวงของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เรื่องราวเบื้องหลังของพระราชกิจสามช่วงระยะของพระเจ้า ความลึกล้ำของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร ว่าพระเจ้าทรงงานทีละขั้นตอนเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไร ว่าพระเจ้าทรงจัดแต่ละขั้นตอนตามประเภทอย่างไร ว่าพระองค์ทรงกำหนดจุดจบและบั้นปลายของเราอย่างไร และการไล่ตามเสาะหาแบบไหนที่เราควรทำเพื่อให้ได้รับความรอดและเข้าสู่ราชอาณาจักร ความจริงและความพิศวงทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินหลังจากเป็นคริสเตียนมาหลายปี ช่างงดงามเหลือเกิน! ฉันเริ่มแน่ใจลึกๆ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา และฉันพาลูกสองคนไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วย ฉันนึกถึงศิษยาภิบาลเบนที่เป็นผู้ประกาศมาหลายปี เขาบอกเราเสมอว่าให้เฝ้ารอ อย่าพลาดโอกาสที่จะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับขึ้นไป ถ้าเขารู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จกลับมาแล้ว เขาจะยอมรับเรื่องนี้ด้วยความยินดีอย่างแน่นอน ฉันตัดสินใจที่จะเสริมสร้างตัวเองด้วยความจริงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะได้แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขา แต่ไม่นานนัก ศิษยาภิบาลเบนก็มาหาฉันก่อน  

วันนั้นเขามาที่แผงขายผลไม้ของครอบครัวเราและถามฉันด้วยรอยยิ้มว่า “มัคนายกอลิสซา ไม่ได้เจอกันพักใหญ่นะ ผมได้ยินมาว่าคุณกำลังเข้าคริสตจักรอีกแห่ง ผมนึกว่าคุณจะเข้าคริสตจักรที่ใหญ่กว่าเสียอีก ผมแปลกใจที่คุณกำลังเข้าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คริสตจักรนั้นเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาในรูปมนุษย์ นั่นเป็นไปไม่ได้! นี่เป็นเรื่องนอกรีต และคุณกำลังเชื่อผิดๆ กลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและกลับใจเดี๋ยวนี้” ฉันตกตะลึงเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันนึก “คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคริสตจักรนั้นเลย และยังไม่ได้ตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คุณจะกล่าวโทษคริสตจักรนั้นแบบส่งๆ ได้อย่างไร?” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “เขาคงยังไม่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาเลยไม่รู้ว่านั่นคือหนทางที่แท้จริง เขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีและปรารถนาการเสด็จมาของพระองค์ ถ้าเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และเห็นว่าทั้งหมดเป็นความจริง เขาจะยอมรับเรื่องนั้นอย่างแน่นอน” ฉันเลยเป็นพยานให้เขาเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันพูดว่า “ศิษยาภิบาลเบน คุณเพิ่งพูดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีทางเสด็จกลับมาในรูปมนุษย์ นี่มาจากพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ?” เขาตอบอย่างมั่นใจว่า “มัทธิว 24:30 กล่าวไว้ว่า ‘เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง’  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา พระองค์จะทรงปรากฏพระองค์อย่างเปิดเผยพร้อมพระสิริอันยิ่งใหญ่บนก้อนเมฆ ให้ทุกคนได้เห็น เลยเป็นไปไม่ได้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาในรูปของผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ผมกล้าพูดว่าการประกาศใดๆ ที่บอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในรูปมนุษย์เป็นหนทางเทียมเท็จ เป็นเรื่องนอกรีต ผมจะไม่เชื่อเรื่องนั้นเด็ดขาด!” ฉันรีบตอบกลับไปว่า “ท่านศิษยาภิบาล มีคำเผยพระวจนะมากมายในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า มีคำเผยพระวจนะมากมายเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ แต่ก็มีอีกมากมายเรื่องพระองค์เสด็จมาอย่างลับๆ ด้วย อย่างเช่น ‘เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 3:3)  ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15)เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”(มัทธิว 25:6)  องค์พระเยซูเจ้าตรัสอีกว่า ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25)  ‘เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27)  ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้พูดถึงเรื่อง องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมา ‘เหมือนอย่างขโมย’ และ ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์’ ขโมยที่มาลักสมบัติจะมาอย่างเปิดเผยและตระการตาไหมล่ะ? ไม่อยู่แล้ว พวกเขาจะแอบเข้ามาตอนกลางคืนและคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ ดังนั้นการเสด็จมาเหมือนอย่างขโมยจึงหมายถึงการเสด็จมาอย่างลับๆ และนั่นก็คือการที่พระเจ้าเสด็จมาในรูปมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ หากคุณยืนกรานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆเท่านั้น คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการเสด็จมาอย่างลับๆ ในฐานะขโมยจะลุล่วงได้อย่างไร? ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ ทุกคนจะเห็นพระองค์ จะมีใครต้องตะโกนว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกไปพบเขา’ หรือเปล่าล่ะ? ดังนั้นจากคำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราจึงแน่ใจได้ว่า การเสด็จกลับมาของพระองค์จะมีสองช่วงระยะ ช่วงแรกพระองค์จะเสด็จมาในรูปมนุษย์อย่างลับๆ จากนั้นพระองค์จะปรากฏพระองค์อย่างเปิดเผย แบบนี้คำเผยพระวจนะเหล่านี้เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าถึงจะสอดคล้องกัน” ศิษยาภิบาลเบนมีสีหน้าอึดอัดตอนฉันบอกเขาเรื่องนี้ ฉันพูดต่อว่า “ท่านศิษยาภิบาล พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า และทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะไว้แล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงประสูติเป็นมนุษย์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว จากนั้นพระองค์จะทรงปล่อยความวิบัติครั้งใหญ่ ประทานรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว โดยทรงปรากฏพระองค์อย่างเปิดเผยต่อผู้คนทุกหมู่เหล่า เมื่อถึงเวลานั้น ทุกคนที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะตกอยู่ในความวิบัติ ร่ำไห้ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สิ่งนี้จะลุล่วงวิวรณ์ 1:7 ซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’”  เมื่อได้ยินเช่นนี้ ศิษยาภิบาลเบนก็มองฉันด้วยสายตาเหยียดหยามและพูดว่า “คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระคัมภีร์มากนัก แต่คุณจะประกาศให้ผมฟังหรือ?” ฉันผิดหวังมากที่ได้เห็นว่านั่นคือท่าทีของเขา นี่คือศิษยาภิบาลเบนที่ฉันเคยรู้จักหรือ? ฉันคิดมาตลอดว่าเขาเป็นคนถ่อมใจ เขามักจะบอกเราให้เป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาและเฝ้าดูเพื่อต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไม่มีความพึงปรารถนาที่จะแสวงหาและสืบค้นข่าวการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? ฉันแนะนำเขาว่า “ท่านศิษยาภิบาล การมีความรู้เรื่องพระคัมภีร์เยอะเท่ากับการรู้จักพระเจ้าหรือ? สิ่งนั้นรับประกันหรือว่าใครบางคนจะไม่ต่อต้านพระเจ้า? พวกฟาริสีที่นับถือยิวจำพระคัมภีร์ได้ขึ้นใจ และคิดว่าพวกเขารู้จักพระเจ้า แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏพระองค์และทรงงาน พวกเขาเห็นว่าพระวจนะของพระองค์มีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ แต่กลับไม่แสวงหาหรือสืบค้นสิ่งนั้น พวกเขายึดติดพระคัมภีร์ตามตัวอักษร และยืนกรานว่าพระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าหากไม่ทรงถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์ พวกเขาถึงกับลบหลู่พระองค์โดยพูดว่าพระองค์ทรงขับไล่ปีศาจโดยอาศัยเบเอลเซบับ พวกเขากล่าวโทษและต่อต้านพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง และสุดท้ายก็จับพระองค์ตรึงไม้กางเขน พวกเขาก้าวล่วงอุปนิสัยของพระเจ้า และได้รับการลงโทษและการสาปแช่งจากพระองค์ ศิษยาภิบาลเบน เราต้องได้บทเรียนจากความล้มเหลวของพวกฟาริสีสิ” เขาพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างหงุดหงิดว่า “เพราะคุณเป็นผู้แสวงหาที่กระตือรือร้นมาหลายปีในความเชื่อ ผมเลยจะอธิษฐานเผื่อคุณ จงออกจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทันที!” จากนั้นเขาก็เดินจากไปอย่างหงุดหงิด  

หลังจากเขาไปแล้ว ฉันก็คิดว่า ดูจากท่าทีของเขาต่อการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ปรารถนาการเสด็จมาอย่างแท้จริง ทำไมเขาไม่ยอมฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตรวจสอบ แล้วค่อยหาบทสรุปล่ะ? หลายปีที่ผ่านมา เขาเป็นผู้เชื่อ พลีอุทิศ สละตัวเอง และทำงานหนัก จะเป็นเรื่องน่าเสียดายมากถ้าเขาพลาดโอกาสที่จะถูกรับขึ้นไป ฉันตัดสินใจรออีกโอกาสและคุยกับเขาอีกครั้งเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เขาอาจจะยอมรับเรื่องนั้นเมื่อการสามัคคีธรรมชัดเจน สองสามวันต่อมา ศิษยาภิบาลเบนมาที่แผงขายผลไม้ของเราอีกครั้ง ฉันนึกว่าเขาคงได้ศึกษาพระคัมภีร์และได้เข้าใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาอย่างไร และเขาพร้อมที่จะสืบค้นเรื่องนี้ ฉันประหลาดใจที่เขาพูดว่า “มัคนายกอลิสซา คราวก่อนคุณบอกว่าช่วงแรกองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาในรูปมนุษย์อย่างลับๆ และจากนั้นจะปรากฏพระองค์อย่างเปิดเผย ผมไม่เห็นด้วย พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ (กิจการ 1:11)  องค์พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสู่สวรรค์บนก้อนเมฆสีขาวในรูปชายชาวยิว ดังนั้นพระองค์จะเสด็จกลับมาบนก้อนเมฆสีขาวในรูปชายชาวยิว คุณถูกชักพาให้หลงผิด คุณต้องหันกลับมา” ศิษยาภิบาลเบนพูดแบบนี้ไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าตั้งใจจะโน้มน้าวฉัน เมื่อเห็นเขาดื้อดึงที่จะยึดติดแนวคิดที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาบนก้อนเมฆ ตัดสินและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็ไม่เข้าใจจริงๆ มีคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์มากมายเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในรูปมนุษย์อย่างลับๆ ทำไมเขาไม่แสวงหาหรือสืบค้นเรื่องนี้เลยล่ะ? ฉันควรจะสามัคคีธรรมกับเขาอย่างไร? ฉันอธิษฐานในใจเพื่อขอการชี้นำจากพระเจ้า ในตอนนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ฉันอ่านให้ศิษยาภิบาลเบนฟัง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่าธรรมิกชนผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม  บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน  นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว  เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย  ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น  บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้ถูกนำมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง  มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูที่ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวคือพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงแสดงการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยชีวิตและหนทางที่แท้จริง  และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย  พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป  พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร?  การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้ นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ  พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง  เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นใครบางคนที่นบนอบการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งกระหายและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)  ขณะที่อ่าน ฉันคิดว่า พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก ตอนนี้ศิษยาภิบาลเบนน่าจะเข้าใจแล้ว แต่ทันทีที่ฉันพูดจบ ก่อนที่ฉันจะพูดอะไรได้ เขาก็พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ว่าจะยังไง ผมก็เชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆเท่านั้น นั่นไม่มีทางผิด! ผมเป็นศิษยาภิบาลและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี คุณจะรู้มากกว่าผมได้อย่างไรกัน? นอกจากนี้ นักบวชทุกคนในโลกศาสนาล้วนกล่าวโทษคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ นั่นหมายความว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่มีทางเป็นองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา ผมแนะนำให้คุณหันกลับมาทันที!” เมื่อเห็นเขาหัวแข็งขนาดนั้นโดยไม่มีเจตนาที่จะแสวงหา ฉันก็รู้สึกเป็นห่วง จึงถามเขาว่า “ศิษยาภิบาลเบน นักบวชของโลกศาสนาเป็นตัวแทนพระเจ้าหรือ? ทุกทัศนะของโลกศาสนาเป็นความจริงหรือ? เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน พระองค์ทรงถูกกล่าวโทษและต่อต้านอย่างบ้าคลั่งจากศาสนายิวทั้งหมด คุณพูดได้หรือว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่หนทางที่แท้จริง? เพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องให้ความสำคัญกับการตั้งใจฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่ใช่หลับหูหลับตาติดตามกระแสต่างๆ ทางศาสนา คุณควรฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และดูว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงไหม ว่าสิ่งนั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า…” แต่เขาขัดจังหวะฉันก่อนที่ฉันจะพูดจบและพูดด้วยน้ำเสียงดูแคลนว่า “ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อนานมาแล้ว ผมไม่คิดว่านั่นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และคุณไม่ควรอ่านสิ่งนั้นอีกต่อไป” ฉันรู้สึกขยะแขยงสายตาเหยียดหยามของเขา ฉันนึก “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย ซึ่งเหนือกว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ นอกจากนี้ พระวจนะของพระองค์ล้วนมีสิทธิอำนาจมาก บอกได้ทันทีเลยว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ที่น่าแปลกใจคือ ศิษยาภิบาลเบนไม่เข้าใจเสียเลย เขาเป็นหนึ่งในแกะของพระเจ้าจริงหรือ?”

ศิษยาภิบาลเบนหมั่นมาคุยกับฉันเป็นระยะๆ ในช่วงสองสามสัปดาห์ต่อมา โดยบอกให้ฉันออกจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วันหนึ่งเขาเดินพุ่งเข้ามาที่แผงขายผลไม้ด้วยความโกรธเคือง และไม่เรียกฉันว่ามัคนายกอลิสซาเหมือนแต่ก่อน แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงแบบสั่งการทันทีว่า “ห้ามเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกต่อไป หรือพาลูกสองคนของคุณเข้าไปเกี่ยวข้อง! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามประกาศเรื่องนี้กับพี่น้องชายหญิงของคริสตจักร มิฉะนั้นผมจะป่าวประกาศว่า ตอนนี้คุณเชื่อเรื่องนอกรีต และผมจะขับไล่คุณ ผมจะทำให้ทุกคนหลบเลี่ยงและปฏิเสธคุณ!” ฉันโกรธมาก ฉันคิดอยู่ว่า ฉันมีอิสรภาพในการยอมรับหนทางที่แท้จริง และเขาไม่มีสิทธิ์มาหยุดฉัน พวกเราผู้เชื่อล้วนหวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมา และตอนนี้ฉันควรแบ่งปันข่าวดีกับคนอื่นๆ ว่าฉันได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ทำไมเขาถึงขวางทางฉันตลอด? ฉันพูดกับเขาอย่างมีเหตุผลและขึงขังว่า “แกะของพระเจ้าย่อมได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และไม่มีใครสามารถหยุดสิ่งนั้นได้ ลูกๆ ของฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้รู้จักพระสรุเสียงของพระเจ้า และอยากติดตามพระองค์ พวกเขามีอิสรภาพเรื่องนี้ คุณพยายามจำกัดอิสรภาพในการเชื่อของพวกเขาด้วยเหตุผลอะไรกัน? เขาพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็สบถใส่ด่าฉันด้วยความโกรธเกรี้ยวและผลุนผลันออกไปทันที หลังจากนั้นสักพัก ฉันประกาศข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพี่น้องหญิงสองคนจากคริสตจักรเก่าของฉัน พวกเธอดีใจที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และติดต่อฉันเป็นประจำ ไม่นานนัก ศิษยาภิบาลเบนก็รู้เรื่องนี้เข้า เลยชักพาพวกเธอให้หลงผิดและรั้งพวกเธอไว้ พวกเธอเลิกติดต่อฉันและเริ่มหลบหน้าฉัน ฉันหงุดหงิดและโกรธมาก ฉันอดคิดถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกฟาริสีไม่ได้ “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13)  ศิษยาภิบาลเบนไม่ได้แสวงหาและตรวจสอบพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหยุดคนอื่นไม่ให้ตรวจสอบเรื่องนั้นและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นไม่ใช่การทำลายโอกาสของผู้คนในการเข้าสู่ราชอาณาจักหรอกหรือ? นั่นแตกต่างจากสิ่งที่พวกฟาริสีทำอย่างไร? ฉันไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยจริงๆ ศิษยาภิบาลเบนเป็นผู้เชื่อมาช้านานที่ดูเหมือนจะมีความเชื่อแรงกล้าและกำลังรอการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมเขาไม่ยอมแสวงหาเลยเมื่อได้ยินข่าวการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับต่อต้านและกล่าวโทษสิ่งนั้น?

ต่อมาในการชุมนุม ฉันเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้พี่น้องชายหญิงฟัง พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอน จากนั้นฉันก็เห็นต้นตอของปัญหา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู?  พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้แก่นแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่?  พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงชีวิต  และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร  พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้ความเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร?  พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์  และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยอยู่กับพระเมสสิยาห์ พวกเขาจึงทำผิดพลาดด้วยการยึดติดกับพระนามของพระเมสสิยาห์เท่านั้น พลางต่อต้านแก่นแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้  โดยแก่นแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง  หลักธรรมของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่ว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระนามของพระองค์ไม่ใช่พระเมสสิยาห์  การเชื่อแบบนี้ไม่โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)  “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถทำได้ตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า  พวกเขาล้วนเป็นคนที่เลวทรามไร้ค่า แต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอน ‘พระเจ้า’  พวกเขาคือคนที่ถือธงของพระเจ้า แต่กลับจงใจต้านทานพระเจ้า พวกเขาชูป้ายว่าเชื่อในพระเจ้า พลางกินเนื้อหนังและดื่มเลือดของมนุษย์ไปด้วย  ทุกคนที่เป็นเช่นนี้คือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าหัวหน้าปีศาจที่จงใจก่อกวนผู้ที่พยายามก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง และเป็นเครื่องสะดุดที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นเป็นเพียงศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ต้านทานพระเจ้า?  ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต้านทานพระเจ้า)  พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ความรู้แจ้งกับฉัน ทำไมเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสถึงต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าอย่างรุนแรงนัก? ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขาหัวรั้นและโอหังโดยธรรมชาติ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความจริง แต่ถึงกับดูหมิ่นความจริง ก็เหมือนกับพวกฟาริสีนับถือยิวที่ขยายความพระคัมภีร์ตามธรรมศาลาอยู่เสมอ แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพระวจนะของพระองค์มีอำนาจและฤทธานุภาพ แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะตรวจสอบ พวกเขายึดติดพระคัมภีร์ตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัดและใช้ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมมากล่าวโทษพระองค์ เพื่อปกป้องสถานะและการดำเนินชีวิตของตัวเอง พวกเขาถึงกับสร้างข่าวลือและเป็นพยานเทียมเท็จเพื่อใส่ร้ายองค์พระเยซูเจ้า และสุดท้ายก็จับพระองค์ตรึงไม้กางเขน ฉันเห็นว่าศิษยาภิบาลเบนเป็นแบบนั้นเลย เขารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงแสดงความจริงมากมายและทำพระราชกิจแห่งการพิพากษา และไม่เพียงแต่เขาไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ แต่เขายังต่อต้านและกล่าวโทษเรื่องนี้อย่างบ้าคลั่งอีกด้วย เขายึดติดถ้อยคำของพระคัมภีร์ ยึดติดมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของตัวเอง เขาเชื่อว่าถ้าองค์พระเยซูเจ้าไม่เสด็จมาบนก้อนเมฆ ก็ไม่ใช่การปรากฏพระองค์และพระราชกิจของพระเจ้า เขาแพร่เรื่องนอกรีตทุกประเภทเพื่อไม่ให้ผู้เชื่อตรวจสอบหนทางที่แท้จริง เขากำชับผู้เชื่อให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งดูน่ากลัวกว่าเดิม เขาเป็นศิษยาภิบาลประเภทไหนกัน? นั่นเป็นการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร? เขาเป็นพวกฟาริสียุคใหม่ เป็นปีศาจเดินได้ที่กีดกันผู้คนไม่ให้เข้าราชอาณาจักร! พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เปิดโปงโฉมหน้าอันหน้าซื่อใจคดของศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริงเลย และพวกเขาก็ไม่ได้รอต้อนรับการปรากฏพระองค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าที่พระนามเท่านั้น เพียงสามคำที่ว่า “องค์พระเยซูเจ้า” แต่พวกเขาไม่รู้แก่นแท้ของพระองค์เลย และไม่ได้เชื่อจริงๆ ว่าพระองค์ทรงเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาไม่เคยนบนอบความจริงหรือแสวงหาเมื่อได้ยินหนทางแห่งความจริง พวกเขาถึงกับเกลียดชังและกล่าวโทษพระคริสต์ผู้แสดงความจริง พวกเขาเป็นพวกฟาริสี ศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเปิดโปง ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เข้าใจความจริงและขาดวิจารณญาณแยกแยะ ฉันเลยถูกการนำเสนออันมีความเชื่อแรงกล้าของนักบวชชักพาให้หลงผิด และฉันถึงกับมองพวกเขาเป็นผู้ปกครองฝ่ายจิตวิญญาณของฉัน ฉันช่างตาบอดเหลือเกิน! ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงยอมให้ฉันเห็นธาตุแท้อันหน้าซื่อใจคดของพวกเขา และแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า ในที่สุดฉันก็เป็นอิสระจากการชักพาให้หลงผิดและพันธนาการของพวกฟาริสีและศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนา และฉันได้กลับมาเฉพาะพระบัลลังก์ของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับความรอดจากพระองค์!

ก่อนหน้า:  19. ทำไมฉันถึงไม่กล้าเปิดอก

ถัดไป:  25. ถูกกดขี่โดยครอบครัวของฉัน: ประสบการณ์การเรียนรู้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger