69. ฉันกลายเป็น ผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร

โดยโซเนีย ประเทศเกาหลีใต้

ในช่วงปลายปี 2019 ฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลงานวีดิทัศน์ของคริสตจักร ฉันรู้สึกเครียดมาก เพราะงานนี้ต้องใช้ทักษะที่ฉันไม่เคยเรียนรู้มาก่อน แรงกดดันจากการเผชิญกับงานที่ไม่คุ้นเคยนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนมีอะไรหนักอึ้งมากดทับหน้าอก เมื่อฉันติดตามงาน ผู้นำกลุ่มมักจะหารือปัญหาทางเทคนิค และฉันแค่นั่งเฉยๆ โดยเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดถึงเพียงบางส่วน เมื่อเห็นไม่ตรงกันบางเรื่อง พวกเขาจะขอทัศนะและข้อเสนอแนะของฉัน และสิ่งนี้ทำให้ฉันประหม่ามาก เพราะฉันไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร บางครั้งฉันก็ให้ข้อเสนอแนะตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่ได้ถูกนำไปใช้ ฉันรู้สึกอับอายทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร แล้วพี่น้องชายหญิงจะคิดยังไงกับฉัน ถ้าฉันมองไม่เห็นปัญหาเหล่านี้หรือเสนอแนะวิธีแก้ไขไม่ได้? หลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสองสามครั้ง ฉันก็ไม่อยากเข้าร่วมการหารืองาน ฉันคิดว่า “ฉันไม่เข้าใจปัญหาทางเทคนิคประเภทนี้จริงๆ และตอนนี้ก็สายเกินไปที่จะเรียนรู้แล้ว พวกเขาเป็นคนทำวีดิทัศน์ ฉันเลยจะปล่อยให้พวกเขาทุ่มเทกับการคุยงานส่วนนั้น ฉันชี้แนะพวกเขาในด้านนี้ไม่ได้ แต่ฉันช่วยพวกเขาได้มากกว่าในเรื่องการเข้าสู่ชีวิต หากพวกเขาอยู่ในสภาวะปกติและรับมือด้านเทคนิคได้ ฉันก็ยังลุล่วงหน้าที่ของตัวเองไม่ใช่หรือ? แบบนี้ฉันจะไม่ทำให้ตัวเองอับอายต่อหน้าพวกเขา” เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็ปล่อยให้พวกเขาหารืองานกันไป แต่ฉันไม่มีส่วนร่วม

หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็พบว่าการผลิตวีดิทัศน์คืบหน้าไปช้ามาก ปัญหาบางอย่างในเรื่องหลักธรรมก็ปรากฏขึ้นด้วย แถมพี่น้องชายหญิงก็ไม่ได้ร่วมงานกันอย่างกลมเกลียว พี่น้องหญิงหลายคนทยอยกันมารายงานฉันเรื่องพี่น้องหญิงซาราห์ที่เป็นผู้นำกลุ่ม โดยบอกว่าเธอเจ้ากี้เจ้าการ และบังคับให้คนอื่นฟังเธอตอนหารืองานบางครั้ง ซึ่งแปลว่าต้องแก้วีดิทัศน์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ฉันคิดว่า “ซาราห์มีขีดความสามารถที่ดี แม้ว่าอุปนิสัยของเธอจะโอหังนิดหน่อย แต่เธอก็มีทักษะมากทีเดียว เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนที่มีความสามารถนิดหน่อยจะโอหัง ฉันแค่ต้องสามัคคีธรรมกับเธอ” ฉันเลยอาศัยพระวจนะของพระเจ้า และสามัคคีธรรมกับเธอเรื่องวิธีร่วมมือกับผู้อื่นและบทเรียนที่เธอควรเรียนรู้ ซาราห์แสดงความเต็มใจที่จะรับฟังฉันและเปลี่ยนตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น พี่น้องหญิงเอลซีก็มาหาฉันและบอกว่า เธอทุ่มเทเวลาและความพยายามในการทำวีดิทัศน์ แต่ซาราห์ดูเพียงแวบเดียวและปฏิเสธทั้งหมด โดยไม่เปิดช่องให้เธอเจรจา เอลซีเสียใจมากและถามฉันว่าควรทำอย่างไรถึงจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ ฉันคิดว่า “มีอะไรผิดปกติกับวีดิทัศน์ที่เอลซีทำจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าซาราห์กำลังอาศัยอุปนิสัยโอหังของเธอเป็นตัวจัดการเรื่องต่างๆ?” ฉันอยากให้เอลซีเล่าสถานการณ์โดยละเอียด เพื่อที่ฉันจะได้รู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่แล้วฉันก็จำได้ว่าตัวเองไม่คุ้นเคยกับงานส่วนนั้น ถ้าเธอเล่าให้ฟังแล้วฉันไม่เข้าใจปัญหาล่ะ เธอจะคิดยังไงกับฉัน? “ช่างมัน” ฉันคิด “ฉันจะให้พวกเขาหารือปัญหาเหล่านี้กันเอง คงจะไม่เป็นไรถ้าฉันแค่สามัคคีธรรมกับเอลซีเรื่องสภาวะของเธอ และบอกให้เธอมองประสบการณ์นี้เป็นการถูกตัดแต่ง ถ้าเธอรับมือเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง ปัญหาเรื่องการร่วมงานระหว่างเธอกับซาราห์ก็จะคลี่คลาย” ฉันจึงสามัคคีธรรมกับเอลซี โดยบอกให้เธอยอมรับคำแนะนำของผู้อื่น อย่าถูกจำกัดด้วยความทะนงตน ให้ปฏิบัติตามความจริงก่อน แล้วค่อยให้ความร่วมมือกับผู้อื่นอย่างจริงจัง หลังจากได้ยิน เอลซียังคงขมวดคิ้ว และจากไปด้วยความขุ่นเคือง ฉันเองก็รู้สึกแย่มาก เพราะฉันรู้ว่าปัญหาของเธอไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง ฉันก็อยากเห็นนะว่าวีดิทัศน์ของเอลซีมีปัญหาอะไร แต่ฉันกังวลว่าจะไม่เข้าใจปัญหาและดูไร้ความสามารถ ฉันคิดว่า “ช่างมัน ฉันจะปล่อยให้พวกเธอถกปัญหานี้กันเอง” จากนั้นฉันก็ไปสามัคคีธรรมกับซาราห์เพื่อแก้ไขสภาวะของเธอ ฉันชี้ให้เห็นว่าเธอมีอุปนิสัยโอหัง และบอกให้เธอร่วมงานกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว และบอกว่าพวกเขาควรเรียนรู้จากจุดแข็งของกันและกัน และบอกว่าแม้แต่ตอนเธอมีข้อเสนอแนะที่ดี เธอก็ควรหารือกับผู้อื่นด้วย ซาราห์สัญญาว่าจะให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนตัวเอง แต่หลังจากนั้น เธอยังคงโอหังมากและรู้สึกอยู่เสมอว่าความคิดเห็นของตัวเองดีกว่าความคิดของผู้อื่น เธอรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะและประสบการณ์ และคนอื่นด้อยกว่าเธอ และอยากมีสิทธิ์ชี้ขาดเสมอเมื่อร่วมงานกับพวกเขา หากพี่น้องชายหญิงเห็นตรงกันในแผนการผลิต ที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เธอต้องการ เธอก็จะปฏิเสธแผนนั้น และเรียกร้องให้วางแผนใหม่ตามข้อพึงประสงค์ของตัวเอง หากคนอื่นรู้สึกว่าแผนของเธอไม่เหมาะสมและให้คำแนะนำ เธอจะไม่วันยอมรับ และจะดูแคลนคำแนะนำของพวกเขาว่าไร้ประโยชน์ พี่น้องชายหญิงไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ และมักจะต้องแก้งานของตัวเอง ทุกคนมีสภาวะที่แย่ลงเรื่อยๆ และพวกเขาดำเนินชีวิตอย่างคิดลบ เมื่อเห็นว่าซาราห์โอหัง คิดว่าตนเองถูก และไม่สนใจกฎเกณฑ์ และเห็นว่าเธอกำลังส่งผลกระทบอย่างมากต่อความคืบหน้าของงาน ฉันก็ทุกข์ใจมาก แต่ฉันจับความเข้าใจปัญหาทางเทคนิคเหล่านี้ไม่ได้ ในตอนนั้น ฉันรู้สึกอยู่รางๆ ว่าซาราห์ไม่ยอมรับความจริง และยังไม่กลับใจและเปลี่ยนตัวเอง และบางทีเธออาจจะไม่เหมาะที่จะทำหน้าที่นี้ต่อไปแล้ว แต่แล้วฉันก็คิดว่าเธอทำเรื่องนี้ได้ดีกว่าคนอื่น และสงสัยว่าถ้าเธอถูกปลด คนอื่นจะเข้ามารับช่วงต่องานนี้ได้ไหม ฉันรู้สึกไม่มั่นใจและอยากรายงานเรื่องนี้ต่อผู้นำระดับสูง แต่ก็กังวลว่าหากพวกเขาเห็นว่าฉันทำให้งานของเรายุ่งเหยิง พวกเขาอาจจะตัดแต่งและปลดฉัน หลังจากขัดแย้งในใจ ฉันก็ตัดสินใจที่จะสามัคคีธรรมกับซาราห์อีกครั้ง ฉันจึงไปหาเธอ และชี้ให้เห็นอุปนิสัยโอหังของเธอ เปิดโปงเธอว่าเป็นคนเผด็จการมากมาโดยตลอด และอยากเป็นคนชี้ขาดทุกอย่าง และบอกว่าเธอกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของศัตรูพระคริสต์ เธอไม่พูดอะไรสักคำหลังจากที่ได้ยินแบบนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเธอต่อต้าน หลังจากนั้น เธอยังคงทำสิ่งทั้งหลายตามอำเภอใจ และมักจะโอ้อวดและดูถูกผู้อื่น พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่รู้สึกถูกตีกรอบและไม่อยากร่วมงานกับเธอ เนื่องจากเธอก่อกวนและขัดขวาง งานวีดิทัศน์จึงล่าช้า และในที่สุด ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรายงานปัญหานี้ต่อผู้นำระดับสูง หลังจากพวกเขาสืบค้น ซาราห์ก็ถูกปลดจากตำแหน่งผู้นำกลุ่ม และฉันก็ถูกปลดเพราะไม่ได้ทำงานจริงหรือแก้ไขปัญหาจริง

หลังจากถูกปลด ฉันยอมรับเพียงว่าฉันมีขีดความสามารถต่ำ ว่าฉันไม่เข้าใจงานด้านนั้น ว่าฉันทำงานจริงไม่ได้ ฉันไม่เข้าใจปัญหาของตัวเองอย่างแท้จริง ต่อมาเมื่อได้อ่านการสามัคคีธรรมของพระเจ้าเรื่องการใช้วิจารณญาณแยกแยะการสำแดงแบบต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จ ฉันก็เริ่มทบทวนและเข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำลงไปอย่างแน่ชัด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้นำเทียมเท็จทำงานผิวเผินได้ดี แต่ไม่เคยทำงานจริงเลย  ผู้นำเทียมเท็จไม่ไปตรวจ กำกับดูแล หรือกำกับงานทางวิชาชีพต่างๆ หรือสืบเสาะว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในฝ่ายต่างๆ อย่างทันท่วงที โดยตรวจว่างานกำลังคืบหน้าไปอย่างไร มีปัญหาอะไรบ้าง ผู้กำกับดูแลฝ่ายต่างๆ มีความสามารถในการทำงานของตนหรือไม่ และพี่น้องชายหญิงรายงานกลับมาหรือประเมินผู้กำกับดูแลว่าอย่างไร  ผู้นำเทียมเท็จไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่ามีใครถูกผู้นำหรือผู้กำกับดูแลของฝ่ายตีกรอบหรือไม่ ข้อเสนอแนะที่ถูกต้องซึ่งผู้คนเสนอมานั้นถูกนำไปใช้หรือไม่ มีใครที่มีความสามารถพิเศษหรือแสวงหาความจริงถูกกดข่มหรือกีดกันหรือไม่ มีคนที่ไร้เล่ห์มารยาถูกกลั่นแกล้งหรือไม่ มีคนที่เปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จถูกโจมตี ตอบโต้ เอาตัวออกไป หรือถูกขับไล่หรือไม่ ผู้นำหรือผู้กำกับดูแลของฝ่ายเป็นคนชั่วหรือไม่ และมีใครถูกระรานหรือไม่  หากผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานที่เป็นรูปธรรมเช่นนี้เลย พวกเขาก็ควรจะถูกปลด  ตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีใครบางคนรายงานให้ผู้นำเทียมเท็จรู้ว่ามีผู้กำกับดูแลคนหนึ่งที่มักจะตีกรอบและกดข่มผู้คน  ผู้กำกับดูแลคนนี้ได้ทำบางสิ่งผิดไปแต่ก็จะไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงให้ข้อเสนอแนะใดๆ และเขายังถึงกับมองหาข้อแก้ตัวเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์และแก้ต่างให้ตนเอง โดยไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของตนเลย  ผู้กำกับดูแลเช่นนี้ควรถูกปลดอย่างทันท่วงทีมิใช่หรือ?  เรื่องเหล่านี้คือปัญหาที่ผู้นำควรแก้ไขอย่างทันท่วงที  ผู้นำเทียมเท็จบางคนไม่เปิดโอกาสให้ผู้กำกับดูแลที่ตนแต่งตั้งถูกเปิดโปง ไม่ว่าจะมีประเด็นปัญหาใดเกิดขึ้นในงานของผู้กำกับดูแลก็ตาม และแน่นอนว่าผู้นำเทียมเท็จไม่เปิดโอกาสให้มีการรายงานผู้กำกับดูแลเหล่านั้นต่อผู้มีตำแหน่งสูงกว่า—ผู้นำเทียมเท็จบอกผู้คนให้เรียนรู้ที่จะนบนอบด้วยซ้ำไป  หากใครบางคนเปิดโปงประเด็นปัญหาของผู้กำกับดูแล ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็จะพยายามปกป้องผู้กำกับดูแลหรือปิดบังข้อเท็จจริงที่แท้จริง โดยกล่าวว่า ‘นี่เป็นปัญหาเรื่องการเข้าสู่ชีวิตของผู้กำกับดูแล  เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะมีอุปนิสัยโอหัง—ทุกคนที่มีขีดความสามารถเล็กน้อยก็เป็นคนโอหังทั้งนั้น  นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ฉันแค่จำเป็นต้องสามัคคีธรรมกับพวกเขานิดหน่อยเท่านั้นเอง’  ผู้กำกับดูแลแสดงจุดยืนของตนผ่านทางการสามัคคีธรรม โดยกล่าวว่า ‘ฉันยอมรับว่าฉันโอหัง  ฉันยอมรับว่ามีบางครั้งที่ฉันกังวลกับความถือดี ความหยิ่งยโส และสถานะของตัวฉันเอง และไม่ยอมรับข้อเสนอแนะของคนอื่น  แต่คนอื่นก็ไม่เก่งในวิชาชีพนี้ พวกเขามักจะคิดข้อเสนอแนะที่ไร้ค่าออกมา ดังนั้นจึงมีเหตุผลว่าทำไมฉันถึงไม่ฟังพวกเขา’  ผู้นำเทียมเท็จไม่พยายามที่จะเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ ไม่มองดูผลลัพธ์ของงานของผู้กำกับดูแล นับประสาอะไรกับการพิจารณาว่าความเป็นมนุษย์ อุปนิสัย และการไล่ตามเสาะหาของผู้กำกับดูแลเป็นเช่นไร  ทั้งหมดที่ผู้นำเทียมเท็จทำคือการพูดให้น้อยกว่าความเป็นจริง โดยกล่าวว่า ‘มีการรายงานเรื่องนี้ให้ฉันทราบแล้ว ดังนั้นฉันจึงคอยจับตาดูคุณอยู่  ฉันจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง’  หลังจากการพูดคุยของพวกเขา ผู้กำกับดูแลก็กล่าวว่าตนเต็มใจที่จะกลับใจ แต่เรื่องที่ว่าในภายหลังผู้กำกับดูแลกลับใจจริงหรือไม่ หรือแค่โกหกและหลอกลวงเท่านั้น ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (3))  “ในทางตรงกันข้าม ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติงานในหนทางที่ซ้ำซากจำเจและผิวเผินอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือพวกเขาดึงดูดผู้คนเข้ามาพูดคุย ทำงานให้คำปรึกษาแก่ผู้คนเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องวิธีการคิดของพวกเขา เตือนสติผู้คนนิดหน่อย และเชื่อว่านี่คือการทำงานจริง  นี่เป็นเรื่องผิวเผินมิใช่หรือ?  แล้วเบื้องหลังความผิวเผินนี้ มีประเด็นปัญหาใดซ่อนเร้นอยู่?  นั่นคือความไร้เดียงสามิใช่หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จนั้นไร้เดียงสาเป็นที่สุด และมีทัศนะต่อผู้คนและสิ่งทั้งหลายในลักษณะที่ไร้เดียงสาอย่างเหลือเชื่อด้วย  ไม่มีสิ่งใดยากไปกว่าการแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน—เสือไม่สามารถทิ้งลายของมันได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองปัญหานี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลย  เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นเรื่องของผู้กำกับดูแลในคริสตจักรซึ่งเป็นคนประเภทที่ก่อให้เกิดการก่อกวนอยู่ร่ำไป คอยตีกรอบและระรานผู้คนอยู่เสมอ ผู้นำเทียมเท็จก็จะไม่ทำสิ่งใดนอกจากการพูดคุยกับผู้กำกับดูแลเหล่านั้น และตัดแต่งพวกเขาด้วยคำพูดไม่กี่คำ และนั่นก็เสร็จแล้ว  ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่พวกเขาหรือปลดพวกเขาออกอย่างทันท่วงที  วิธีการเช่นนี้ของผู้นำเทียมเท็จก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลต่องานของคริสตจักร และมักจะส่งผลให้งานของคริสตจักรถูกระงับ ล่าช้า เสียหาย และถูกกีดกันไม่ให้คืบหน้าไปตามปกติ อย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพเพราะการก่อกวนของคนชั่วบางคน—ซึ่งล้วนแต่เป็นผลสืบเนื่องที่ร้ายแรงจากการที่ผู้นำเทียมเท็จปฏิบัติตนตามความรู้สึกของตน ละเมิดหลักธรรมความจริง และใช้คนผิด  จากสิ่งที่ปรากฏออกมาภายนอก ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้จงใจกระทำความชั่วมากมายจนนับไม่ถ้วน หรือทำสิ่งทั้งหลายในหนทางของตนเองรวมทั้งสถาปนาอาณาจักรเอกเทศของตนเอง เหมือนที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ  แต่ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถแก้ปัญหานานัปการที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรได้ทันท่วงที และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับผู้กำกับดูแลของฝ่ายต่างๆ และเมื่อผู้กำกับดูแลเหล่านั้นไม่สามารถแบกรับงานของตนได้ ผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการมอบหมายหน้าที่ให้แก่ผู้กำกับดูแลหรือปลดผู้กำกับดูแลออกได้ทันท่วงที ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียที่ร้ายแรงต่องานของคริสตจักร  และนี่ล้วนเกิดจากการละเลยความรับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จ(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (3))  เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกเศร้าและใจสลายมาก ฉันรู้สึกว่าผู้นำเทียมเท็จที่พระเจ้าทรงบรรยายคือฉัน พระเจ้าทรงเผยให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานจริง ไม่เคยตรวจสอบ ควบคุมดูแล หรือสั่งงาน และไม่เคยพยายามทำความเข้าใจปัญหาที่แท้จริงด้วยตัวเองหรือติดตามงานเฉพาะเจาะจง เมื่อมีคนรายงานว่ามีปัญหากับผู้ดูแล พวกเขาก็ไม่เคยสืบค้นอย่างละเอียด หรือใช้วิจารณญาณแยกแยะแก่นแท้ของผู้ดูแลและผลกระทบของงานพวกเขา สิ่งที่พวกเขาทำก็แค่สามัคคีธรรมกับคนเหล่านั้น และทำงานด้านการปรับทัศนคติเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น และคิดว่านั่นจะแก้ปัญหาได้ นี่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้โยกย้ายผู้ดูแลที่ไม่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ซึ่งส่งผลเสียร้ายแรงต่องาน พฤติกรรมของฉันตรงกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเผยทุกประการ ฉันแทบไม่เคยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงาน และไม่ค่อยสอบถามความคืบหน้าหรือให้การชี้แนะ ฉันรู้ว่าการผลิตวีดิทัศน์ดำเนินไปช้า และผู้คนก็รายงานว่าซาราห์โอหัง ดึงดันจะให้เป็นไปตามแนวทางของเธอ และว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่องาน แต่สิ่งที่ฉันทำก็แค่สามัคคีธรรมถึงสภาวะของเธอเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้สืบค้นข้อพิพาทของพวกเขาเรื่องกระบวนการผลิตวีดิทัศน์ หรือว่าต้นตอของปัญหาคืออะไร ฉันแค่สามัคคีธรรมว่าพวกเขาควรรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเองและเรียนรู้บทเรียน ฉันคิดว่าการสามัคคีธรรมและการทำงานด้านการปรับทัศนคติ เป็นวิธีในการแก้ปัญหาและการทำงานจริง และฉันไม่ได้ถามถึงปัญหาจริงหรือแก้ไขปัญหาจริงที่ขัดขวางความคืบหน้าของงาน ฉันไม่ได้โยกย้ายหรือจัดการผู้นำกลุ่มที่ขัดขวางและก่อกวนสิ่งทั้งหลาย ฉันแค่ปล่อยให้เธอขัดขวางงานวีดิทัศน์ต่อไป ฉันไม่ได้เป็นผู้นำเทียมเท็จที่พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นหรอกหรือ? ในช่วงเวลานั้น มีคนมากกว่าหนึ่งคนบอกฉันว่า พวกเขาถูกซาราห์ตีกรอบ วีดิทัศน์ทั้งหมดต้องได้รับการอนุมัติจากเธอ และหากคนอื่นตัดสินใจโดยไม่มีเธอ เธอจะปฏิเสธวีดิทัศน์เหล่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะหารืออะไรกัน พี่น้องชายหญิงต้องรอฟังความคิดเห็นของเธอ ซึ่งทำให้งานล่าช้ามาก อันที่จริง เธอมีอำนาจในกลุ่มและมีสิทธิ์ชี้ขาดอยู่แล้ว คนอื่นรายงานปัญหาที่พวกเขามีกับเธออยู่ตลอด แต่ฉันกลับตาบอดและโง่เขลา และแทบไม่เคยเข้าใจงานอย่างลึกซึ้ง ฉันจึงมองปัญหาเหล่านี้เพียงผิวเผิน และใช้วิจารณญาณแยกแยะปัญหาที่ร้ายแรงมากของซาราห์ไม่ได้ ฉันยังคิดว่าเธอมีทักษะ เพียงแต่อุปนิสัยออกจะโอหังอยู่เล็กน้อย และถ้าสามัคคีธรรมสักหน่อย เธอจะสามารถทบทวนตัวเองและรู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะฉันมองไม่เห็นธรรมชาติของสิ่งที่เธอทำอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมมากเพียงใด ฉันก็แค่พล่ามคำพูดและคำสอน และไม่ได้แก้ไขปัญหาจริงเลย ผลที่ตามมาคือ เป็นเวลาครึ่งปี ที่หลายคนถูกเธอตีกรอบ รู้สึกคิดลบและอ่อนแอ การผลิตก็ไม่มีประสิทธิผล และงานวีดิทัศน์ก็ถูกขัดขวางและก่อกวนอย่างหนัก ตอนนั้นนั่นเองฉันถึงเห็นอย่างชัดเจนว่า งานได้รับความเสียหายอย่างหนักเพราะฉันไม่ได้ทำงานจริง หรือโยกย้ายผู้นำกลุ่มที่ไม่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแท้จริง ตอนแรกฉันคิดว่าฉันทำงานล้มเหลวเพียงเพราะมีขีดความสามารถต่ำและไม่เข้าใจงานด้านนั้น หลังจากตรวจสอบตัวเองกับพระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น ฉันจึงเห็นว่า ฉันไม่ได้พยายามทำความเข้าใจปัญหาด้วยตัวเองหรือแก้ไขปัญหาจริงด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องขีดความสามารถต่ำ แต่เป็นปัญหาของการไม่ได้ทำงานจริง

ฉันทบทวนตัวเองต่อไปว่า “ทำไมฉันถึงรู้สึกฝืนใจที่จะเรียนรู้งานนี้ให้มากขึ้น?” เมื่อนึกถึงความคิดและพฤติกรรมบางอย่างของตัวเองในอดีตเท่านั้น ฉันถึงได้ตระหนักว่าลึกๆ แล้ว ฉันมีทัศนะที่คลาดเคลื่อนอยู่เสมอ ฉันรู้สึกว่าไม่เข้าใจงานด้านนั้น เลยอยากหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกี่ยวข้อง และไม่อยากสืบค้นหรือศึกษางานด้านนั้น ฉันกลัวว่าหากหารือปัญหาเหล่านี้กับคนที่เข้าใจ ฉันอาจเผยว่าตัวเองโง่เขลาแค่ไหน ดังนั้นต่อให้งานนั้นเป็นสิ่งที่ฉันควรรับผิดชอบ ฉันก็ยังอยากจะเพิกเฉยอยู่ดี ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ลักษณะสำคัญของงานที่ผู้นำเทียมเท็จทำก็คือการเอาแต่พูดเรื่องคำสอนและท่องคำขวัญเหมือนนกแก้วนกขุนทอง  หลังจากออกคำสั่งแล้ว พวกเขาก็เพียงปัดความรับผิดชอบในเรื่องนั้น  พวกเขาไม่สอบถามถึงความคืบหน้าของงานหลังจากนั้นเลย ไม่สอบถามว่ามีปัญหา ความเบี่ยงเบน หรือความลำบากยากเย็นใดๆ เกิดขึ้นหรือไม่  พวกเขามองว่างานของตนเสร็จสิ้นทันทีที่มอบหมายงานแล้ว  อันที่จริง ในฐานะผู้นำ หลังจากได้จัดการเตรียมงานแล้ว เจ้าต้องติดตามความคืบหน้าของงานด้วย  แม้ว่าเจ้าจะไม่คุ้นเคยกับสายงานนั้น—แม้ว่าเจ้าจะไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับงานนั้น—เจ้าก็สามารถหาวิธีที่จะทำงานของเจ้าได้  เจ้าสามารถหาผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ผู้ที่เข้าใจในสายงานที่เกี่ยวข้อง มาดำเนินการตรวจสอบและให้คำแนะนำได้  จากคำแนะนำของพวกเขา เจ้าย่อมสามารถระบุหลักการที่เหมาะสมได้ และด้วยเหตุนี้เจ้าก็จะสามารถติดตามงานได้  ไม่ว่าเจ้าจะคุ้นเคยหรือเข้าใจในสายงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องควบคุมดูแลงานนั้น ติดตามงาน และสอบถามถึงความคืบหน้าของงานอย่างต่อเนื่อง  เจ้าต้องรักษาการหยั่งรู้ในเรื่องดังกล่าว นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า เป็นส่วนหนึ่งในงานของเจ้า  การไม่ติดตามงาน การไม่ทำสิ่งใดเพิ่มเติมเมื่อได้มอบหมายงานไปแล้ว การปัดความรับผิดชอบต่องานนั้น—คือหนทางในการทำสิ่งต่างๆ ของผู้นำเทียมเท็จ  การไม่ติดตามงานหรือไม่ให้แนวทางเกี่ยวกับงาน การไม่สอบถามหรือไม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และการไม่ทำความเข้าใจความคืบหน้าหรือประสิทธิภาพของงาน—เหล่านี้ก็เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า การที่ฉันไม่ติดตามเฉพาะบางงาน โดยอ้างว่าไม่เข้าใจงานด้านนั้น และไม่แก้ไขปัญหาจริงที่มีอยู่ในงานนั้น เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จที่ไม่มีความรับผิดชอบและหลบเลี่ยงภาระผูกพันของตัวเอง ในฐานะผู้นำ อย่างน้อยที่สุดก็ควรกำกับและติดตามงาน สอบถามความคืบหน้าของงาน รวมถึงค้นหาและแก้ไขปัญหาภายในงาน ต่อให้เราจะไม่เข้าใจงานด้านนั้นดีนัก เราก็สามารถขอให้คนที่เข้าใจตรวจสอบและให้คำเสนอแนะ และร่วมงานกับพวกเขาเพื่อชดเชยจุดอ่อนของเรา แบบนั้นเราจะยังทำงานให้ดีได้ แต่ฉันก็พยายามหลบเลี่ยงอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเทคนิค และไม่เข้าร่วมเฉพาะบางงานเพราะว่าไม่เข้าใจงานเหล่านั้น ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อปกปิดจุดอ่อนและข้อบกพร่องของตัวเอง และเพื่อรักษาภาพลักษณ์และสถานะของตัวเอง และเพราะกลัวว่าจะถูกพี่น้องชายหญิงดูถูกถ้าฉันชี้แนะพวกเขาไม่ได้ เมื่อเกิดปัญหาในการผลิต เมื่อพี่น้องชายหญิงเห็นไม่ตรงกันเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่สามารถร่วมมือกันได้ และงานชะลอ แทนที่จะแก้ไขสิ่งทั้งหลายจริงๆ ฉันกลับใช้วิธีไม่เข้าไปข้องเกี่ยวโดยตรง ฉันไม่ได้เป็นผู้นำเทียมเท็จที่พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นหรอกหรือ? อันที่จริง งานทั้งหมดของคริสตจักรเกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง ดังนั้นแค่มีความรู้เฉพาะทางอย่างเชี่ยวชาญก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำงานได้ดี ในฐานะผู้นำ ต่อให้เราไม่เข้าใจงานด้านใดด้านหนึ่ง เราก็ควรรู้หลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องเพื่อที่เราจะได้ชี้แนะและตรวจสอบงานนั้นได้ ผู้นำบางคนไม่เข้าใจงานด้านใดด้านหนึ่งในตอนแรก แต่พวกเขาก็ตั้งใจศึกษาและเชี่ยวชาญหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้น พวกเขาก็สามารถชี้แนะและตรวจสอบงานนั้นได้จริง และงานก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันถามตัวเองว่า “ฉันเคยพูดเสมอว่าไม่เข้าใจงานด้านนี้ แต่ฉันเคยพยายามตั้งใจศึกษางานไหม? ฉันได้ทุ่มเทหรือได้เสียสละอะไรไหม? ตอนที่ฉันไม่รู้ว่าจะตรวจสอบสิ่งต่างๆ ยังไง ฉันได้แสวงหาหลักธรรมความจริงไหม?” ฉันไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เลย ฉันทำหน้าที่อย่างเหลาะแหละ ไม่พยายามปรับปรุงตัวเอง และตอนที่ไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ฉันก็ไม่ได้พยายามเรียนรู้จากคนอื่น เรื่องแสวงหาหลักธรรมความจริงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ฉันใช้ความไม่คุ้นเคยกับงานด้านนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อปกป้องชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตัวเอง ซึ่งแปลว่าปัญหาจริงและความลำบากยากเย็นจริงมากมาย ที่เกิดขึ้นในขณะที่คนอื่นปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองไม่อาจได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ในงานวีดิทัศน์อย่างรุนแรง นี่คือผลที่ตามมาของการที่ฉันพูดคำขวัญแบบนกแก้วนกขุนทอง และการไม่ทำงานจริงหรือแก้ไขปัญหาจริง

หลังจากนั้น ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยที่ว่า “เมื่อพระเจ้าตรัสขอให้ผู้คนละชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ นั่นไม่ใช่ว่าพระองค์กำลังทรงลิดรอนสิทธิ์ในการเลือกของพวกเขา ตรงกันข้าม นั่นเป็นเพราะขณะที่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอยู่นั้น ผู้คนได้ก่อกวนและทำให้งานของคริสตจักรกับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยุดชะงัก และถึงขั้นสามารถมีอิทธิพลต่อการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้น การเข้าใจความจริง รวมถึงการสัมฤทธิ์ความรอดของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้  เมื่อผู้คนไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของตน แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ลุล่วงหน้าที่ของตนด้วยความสัตย์ซื่อ  พวกเขาจะพูดและทำเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเท่านั้น และงานทุกอย่างที่พวกเขาทำก็ล้วนเป็นไปเพื่อสิ่งเหล่านั้นโดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่น้อย  การประพฤติและปฏิบัติในหนทางเช่นนี้คือการเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างไม่ต้องสงสัย ก่อให้เกิดความไม่สงบและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก ผลสืบเนื่องต่างๆ ของการนี้ล้วนขัดขวางการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรและการดำเนินงานตามน้ำพระทัยของพระเจ้าภายในคริสตจักร  ดังนั้น คนเราอาจพูดได้อย่างมั่นใจว่าเส้นทางที่ผู้ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะเดินอยู่นั้นเป็นเส้นทางของการต้านทานพระเจ้า  นี่คือการตั้งใจต้านทานพระองค์ ปฏิเสธพระองค์—นี่คือการร่วมมือกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดต่อต้านพระองค์  นี่คือธรรมชาติของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน  ข้อผิดพลาดในการที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ของตนเองนั้นก็คือว่า เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหานั้นคือเป้าหมายของซาตาน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เลวทรามและไม่ยุติธรรม  เมื่อผู้คนไล่ไขว่คว้าผลประโยชน์ส่วนตน เช่น ชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ พวกเขากลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นทางออกสำหรับซาตาน และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเขากลายเป็นร่างจำแลงของซาตาน  พวกเขาแสดงบทบาทเชิงลบอยู่ในคริสตจักร ผลกระทบที่พวกเขามีต่องานของคริสตจักร และต่อชีวิตคริสตจักรที่ปกติและการไล่ตามเสาะหาตามปกติของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือ การก่อความไม่สงบและลดคุณค่า พวกเขาส่งผลเลวร้ายในเชิงลบ(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง))  ขณะที่ฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้เห็นว่าสิ่งเดียวที่ฉันทำในหน้าที่คือรักษาภาพลักษณ์และสถานะของตัวเอง ว่าฉันไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักรเลย ซึ่งส่งผลเสียต่อคริสตจักร ฉันทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตาน โดยคอยก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร เพราะฉันกลัวว่าจะถูกคนอื่นดูถูกถ้าไม่เข้าใจงานด้านใดด้านหนึ่ง ฉันจึงไม่เข้าร่วมการหารืองาน และไม่ติดตามเฉพาะบางงาน เมื่อเห็นว่าผู้นำกลุ่มไม่สนใจกฎเกณฑ์และคอยขัดขวางงาน และเห็นว่าตัวเองแก้ไขสิ่งนี้ไม่ได้ ฉันก็กลัวว่าผู้นำระดับสูงจะรู้ว่าฉันทำงานจริงไม่ได้และปลดฉัน ฉันเลยไม่รายงานเรื่องนี้ต่อผู้บังคับบัญชาหรือหาทางแก้ไข และแค่นิ่งดูดายขณะที่งานของคริสตจักรได้รับผลเสีย ฉันปกปิดความจริงอย่างไม่ละอายใจ หลอกลวงผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา และทำให้ผู้คนเชื่อว่างานที่ฉันดูแลไร้ปัญหาและคืบหน้าตามปกติ เพื่อที่จะได้ปกป้องตำแหน่งผู้นำของตัวเองเอาไว้ ขณะที่ฉันพยายามเต็มที่เพื่อปกป้องภาพลักษณ์และสถานะของตัวเอง พี่น้องชายหญิงของฉันกลับถูกตีกรอบและไม่มีหนทางที่จะทำหน้าที่ต่อไปได้ พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างเจ็บปวดและทุกข์ระทม ทนทุกข์ในแง่ของการเข้าสู่ชีวิต และงานก็ถูกขัดขวางอย่างรุนแรง แต่ฉันกลับไม่สนใจเรื่องนี้เลย นี่ไม่ใช่การสำแดงของความเป็นผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ? เมื่อฉันทบทวนสิ่งเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย สำนึกผิด และเสียใจ ฉันเกลียดตัวเองที่เป็นคนเห็นแก่ตัวและหลอกลวงมากขนาดนี้ มโนธรรมของฉันช่างชาชินและไร้สำนึกมาก! งานวีดิทัศน์มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ฉันได้ปฏิบัติหน้าที่ที่สำคัญขนาดนั้น แต่ฉันกลับไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันรักษาภาพลักษณ์และสถานะของตัวเองในทุกเรื่อง ทั้งยังขัดขวางและก่อกวนการทำงานของคริสตจักร เมื่อคิดว่าตัวเองประพฤติอย่างไรในหน้าที่และสร้างความเสียหายต่องานของคริสตจักร ฉันก็เจ็บปวดเหมือนมีมีดปักหัวใจ ฉันรู้สึกละอายใจมาก ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าทั้งน้ำตาแห่งความสำนึกผิดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ฉลาดแกมโกงและทรยศในหน้าที่ ข้าพระองค์ไม่ได้ทำงานจริง และสายเกินไปแล้วที่จะแก้ไขความเสียหายที่ข้าพระองค์ได้ก่อไว้ต่องานของคริสตจักร ข้าพระองค์อยากกลับใจต่อพระองค์ขณะทำหน้าที่ของตนในอนาคต และขอให้พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ข้าพระองค์”

ต่อมาฉันได้พบเส้นทางแห่งการปฏิบัติและการเข้าสู่ชีวิตในพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าสามารถเป็นผู้คนที่ปกติและธรรมดาได้อย่างไร?  เจ้าสามารถเข้ารับที่ทางอันถูกควรของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างตามที่พระเจ้าตรัสได้อย่างไร?  เจ้าจะไม่พยายามเป็นยอดมนุษย์หรือบุคคลที่ยิ่งใหญ่บ้างได้อย่างไร?  เจ้าควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะเป็นบุคคลที่ปกติและธรรมดาคนหนึ่ง?  การนี้ทำได้อย่างไร?… ก่อนอื่นจงอย่าตั้งชื่อตำแหน่งให้ตัวเองและผูกมัดอยู่กับชื่อตำแหน่งนั้นโดยพูดว่า ‘ฉันคือผู้นำ ฉันคือหัวหน้าฝ่าย ฉันคือผู้กำกับดูแล ไม่มีใครรู้เรื่องธุรกิจนี้ดีไปกว่าฉัน ไม่มีใครเข้าใจทักษะทั้งหลายมากไปกว่าฉัน’  จงอย่าติดอยู่กับชื่อตำแหน่งที่เจ้าตั้งขึ้นเอง  ทันทีที่เจ้าทำเช่นนั้น นั่นจะพันธนาการมือและเท้าของเจ้า รวมทั้งส่งผลต่อสิ่งที่เจ้าพูดและทำ  การคิดและการตัดสินที่เป็นปกติของเจ้าก็จะได้รับผลไปด้วย  เจ้าต้องปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการตีกรอบของสถานะนี้  ก่อนอื่น จงลดตัวจากตำแหน่งและชื่อตำแหน่งที่เป็นทางการนี้ และยืนในที่ทางของบุคคลธรรมดา  หากเจ้าทำเช่นนี้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็จะกลายเป็นปกติขึ้นมาบ้าง  เจ้าต้องยอมรับและพูดด้วยว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร และฉันไม่เข้าใจสิ่งนั้นอีกด้วย—ฉันกำลังจะทำการศึกษาค้นคว้าบางอย่าง’ หรือ ‘ฉันไม่เคยได้รับประสบการณ์นี้มาก่อน ฉันเลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร’  เมื่อเจ้าสามารถพูดสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่จริงๆ และพูดอย่างซื่อสัตย์ได้ เจ้าย่อมจะมีเหตุผลที่ปกติ  ผู้อื่นจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเจ้า และจะมีทัศนะที่ปกติต่อเจ้าด้วยเหตุนี้ และเจ้าก็จะไม่ต้องแสร้งเล่นละครและจะไม่มีแรงกดดันใหญ่หลวงอันใดต่อตัวเจ้า แล้วเจ้าก็จะสามารถสัมพันธ์สนิทกับผู้คนได้อย่างเป็นปกติ  การใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นไปอย่างอิสระและง่ายดาย ผู้ใดก็ตามที่พบว่าการใช้ชีวิตนั้นช่างน่าเหนื่อยล้า ก็เป็นเพราะพวกเขาทำให้เป็นแบบนี้เอง  จงอย่าเสแสร้งหรือสร้างภาพ  ก่อนอื่น จงเปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ในหัวใจ เกี่ยวกับความคิดที่แท้จริงของเจ้า เพื่อให้ทุกคนตระหนักและเข้าใจสิ่งเหล่านั้น  ผลลัพธ์ก็คือ ความห่วงใย และอุปสรรคกับข้อสงสัยระหว่างเจ้ากับผู้อื่นก็จะถูกกำจัดออกไปจนหมด  เจ้ายังถูกสิ่งอื่นจำกัดเอาไว้อีกด้วย  เจ้ามักมองว่าตัวเองเป็นหัวหน้าฝ่าย ผู้นำ คนทำงาน หรือใครบางคนที่มีชื่อตำแหน่ง สถานะ และจุดยืนเสมอ หากเจ้าพูดว่าเจ้าไม่เข้าใจบางอย่าง หรือไม่สามารถทำบางสิ่งได้ เจ้ากำลังดูหมิ่นตัวเองอยู่ไม่ใช่หรือ?  เมื่อเจ้าเอาโซ่ตรวนเหล่านี้ในหัวใจของเจ้าออกไป เมื่อเจ้าหยุดนึกถึงตัวเองในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน และเมื่อเจ้าเลิกคิดว่าเจ้าดีกว่าผู้คนอื่น และรู้สึกว่าเจ้าเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกับคนทุกคน และว่ามีบางด้านที่เจ้าด้อยกว่าผู้อื่น—เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและเรื่องที่สัมพันธ์กับงานด้วยท่าทีเช่นนี้ ผลย่อมต่างออกไป เช่นเดียวกับบรรยากาศ  หากเจ้ามีความหวั่นวิตกอยู่ในหัวใจเสมอ หากเจ้ารู้สึกเครียดและถูกบีบคั้นตลอดเวลา และหากเจ้าต้องการปลดปล่อยตัวเองจากสิ่งเหล่านี้แต่ทำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ควรอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง ทบทวนตัวเอง มองดูข้อบกพร่องของตัวเอง และเพียรพยายามไปสู่ความจริง  หากเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ เจ้าก็จะได้รับผลลัพธ์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทะนุถนอมความล้ำค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้าคือรากฐานของการเชื่อในพระเจ้า)  หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกกระจ่างในหัวใจขึ้นมาก ฉันวางตัวในตำแหน่งผู้นำมาตลอด ฉันอยากเสแสร้งอยู่ตลอดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างเพื่อให้คนอื่นยกย่องฉัน และฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน ฉันเคยเชื่อว่าในการเป็นผู้นำ ฉันต้องเหนือกว่าคนอื่นและทำได้ทุกอย่าง แต่ฉันคิดผิด ความจริงคือ ฉันไม่ได้ดีกว่าคนอื่น ฉันมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหมือนกับพี่น้องชายหญิงของฉัน และมีหลายสิ่งที่ฉันมองไม่ขาดหรือไม่เข้าใจ การเป็นผู้นำเป็นเพียงโอกาสที่จะปฏิบัติ ฉันควรละทิ้งตำแหน่งของตัวเอง ซื่อสัตย์ เปิดอกเรื่องตัวตนที่แท้จริงของฉันกับคนอื่น และร่วมงานกับทุกคนอย่างเสมอภาคในขณะที่เราทำหน้าที่ ถ้าฉันไม่เข้าใจบางอย่าง ฉันก็ควรยอมรับและปล่อยให้คนที่เข้าใจสามัคคีธรรมมากขึ้น แบบนี้ไม่เพียงแต่ฉันจะแก้ไขปัญหาในการทำงานได้ทันท่วงที แต่ยังชดเชยข้อบกพร่องของตัวเองได้ด้วย หากมีปัญหาที่ฉันคิดไม่ตกหรือแก้ไขไม่ได้ ฉันก็ควรรายงานต่อผู้บังคับบัญชาโดยเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงผลสืบเนื่องร้ายแรงจากการจัดการที่ไม่ทันท่วงที

ตอนนี้ฉันได้รับเลือกให้ทำหน้าที่เป็นผู้นำคริสตจักรอีกครั้ง ฉันรู้สึกซาบซึ้งมาก และรู้ว่าพระเจ้าประทานโอกาสนี้ให้ฉันเพื่อที่ฉันจะได้กลับใจ ฉันไม่อาจชดเชยการกระทำผิดในอดีตได้ ฉันจึงอยากทำให้ดีที่สุดในอนาคตเมื่อฉันปฏิบัติหน้าที่ ฉันปฏิญาณกับตัวเองว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะทำทุกสิ่งที่ทำได้และควรทำเพื่อปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ดี หากข้าพระองค์อาศัยอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนเองและเริ่มขาดความรับผิดชอบในหน้าที่อีก ข้าพระองค์หวังว่าพระองค์จะทรงสั่งสอนและบ่มวินัยข้าพระองค์” ตอนนี้มีงานมากมายในหน้าที่ที่ฉันไม่ค่อยมีความรู้ บางครั้งตอนพี่น้องชายหญิงมาคุยงานกับฉัน บางเรื่องฉันก็ไม่เข้าใจมากนัก และยังรู้สึกอยากหลบเลี่ยงและไม่เข้าร่วม แต่เมื่อนึกถึงบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวในอดีต ฉันก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย และรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า ฉันขอให้พระองค์ช่วยให้ฉันสงบสติอารมณ์ ตั้งใจฟัง และร่วมงานกับพี่น้องชายหญิงเพื่อหาวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เมื่อฉันเข้าไปรับภาระและลงมือทำงานเหล่านี้จริงๆ ฉันไม่เพียงเข้าใจว่าปัญหาคืออะไรเท่านั้น บางครั้งฉันก็ให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผลได้ด้วย เมื่อมีปัญหาเรื่องหลักธรรมที่ฉันมองไม่ขาดหรือแก้ไขไม่ได้ ฉันก็จะรายงานต่อผู้นำระดับสูงและขอความช่วยเหลือ แบบนี้การทำงานจึงไม่ล่าช้าและปัญหาก็ได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้า:  67. วิธีเผชิญความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ถัดไป:  70. ทำไมฉันถึงไม่อาจยึดมั่นในหลักธรรม?

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger