70. ทำไมฉันถึงไม่อาจยึดมั่นในหลักธรรม?

ในเดือนสิงหาคมปี 2021 ฉันเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำคริสตจักร หลังจากมีปฏิสัมพันธ์กับลิลเลียน ผู้รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ ฉันสังเกตว่าเธอมักจะทำให้ปัญหาเล็กๆ ที่ผู้คนมีอยู่กลายเป็นเรื่องใหญ่โต และเล่าให้ทุกคนฟัง เธอร่วมงานกับคนอื่นได้ไม่ดี และพูดสิ่งที่ขัดกับข้อเท็จจริงเสมอ ครั้งหนึ่งในการชุมนุม เธอบอกว่าผู้นำคริสตจักรคนก่อนไม่ได้มุ่งเน้นงานข่าวประเสริฐ และไม่เคยถามไถ่ว่างานของเธอเป็นอย่างไร แต่อันที่จริงผู้นำคนนั้นติดตามงานของเธอตลอด นอกจากนี้เธอแจ้งผู้นำของเราว่างานราบรื่นมาก ทำให้ดูเหมือนว่าทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ แต่จริงๆ แล้ว เธอไม่ได้ทำงานจริงใดให้เสร็จสิ้นเลย ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง เธอเอาแต่เน้นย้ำเรื่องความยากลำบากในงานของเธอ โดยบอกว่าคนทำงานข่าวประเสริฐไม่เอาไหน แต่เมื่อฉันตรวจสอบรายละเอียด ฉันพบว่ามีงานเยอะมากที่เธอไม่ได้ทำ เธอเลยไม่มีมูลเหตุที่จะพูดแบบนั้น ฉันตำหนิเธอที่ไม่ทำงานจริงและโยนความผิดให้คนอื่น เธอไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ฉันนึกว่าเธอจะไปทบทวนตนเอง แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะส่งข้อความไปหามายาคู่ทำงานของฉันว่า เธอไม่อยากยุ่งกับฉันอีก ว่าฉันตัดแต่งเธออย่างไร้มูลเหตุทั้งๆ ที่ฉันเห็นปัญหาและไม่เข้าใจความยากลำบากที่แท้จริงของเธอ เธอยังบอกด้วยว่าเธอเป็นแบบฉันไม่ได้ แต่ต้องปฏิบัติต่อพี่น้องชายหญิงด้วยความรักและความอดทน พอได้อ่าน ฉันก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ หน้าที่ของเธอมีปัญหาเยอะมาก ฉันแค่ชี้ให้เห็นปัญหา นั่นไม่ได้ใกล้เคียงกับการตัดแต่งเธอเลย เธอพูดได้ยังไงว่าฉันตัดแต่งเธออย่างไร้มูลเหตุ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น เธอปลิ้นปล้อนและหลอกลวงขนาดนั้นได้ยังไง? ฉันอยากอธิบายเรื่องราวให้มายาฟัง แต่ฉันพิมพ์ข้อความถึงเธอไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ลังเล หากฉันส่งข้อความไปอธิบายหรือบรรยายปัญหาของลิลเลียน มายาอาจจะคิดว่า ฉันขาดความตระหนักรู้ในตนเองเมื่อเผชิญปัญหา และไม่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างถูกต้อง เมื่อคิดอย่างนั้น ฉันเลยไม่ส่งข้อความนั้นไป ฉันได้ยินในภายหลังว่าลิลเลียนใช้การเปิดใจกับผู้อื่นเป็นข้ออ้าง เพื่อบอกว่าฉันตัดแต่งเธออย่างไร้มูลเหตุโดยไม่รู้ที่มาที่ไป และนั่นทำให้เธอรู้สึกเป็นลบ พอได้ยินอย่างนี้ ฉันก็ไม่สบายใจมาก ฉันไม่รู้ว่าจะตรวจสอบงานของเธอในอนาคตได้อย่างไร และรู้สึกว่าเธอเข้ากับคนอื่นได้ยากจริงๆ สองสามวันต่อมา เนื่องจากความจำเป็นของงาน เราจึงอยากโอนย้ายคนสองสามคนออกจากขอบเขตความรับผิดชอบของลิลเลียนเพื่อไปทำงานให้น้ำ ที่น่าแปลกใจคือ ทันทีที่ฉันบอกเธอ เธอก็พูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า “ถ้าอยากย้ายพวกเขา ก็ทำเลย ฉันไม่สนหรอก ถึงยังไงฉันก็คงได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว” ต่อมาเธอบอกฉันอย่างเปิดเผยว่า เธอมีปัญหากับพี่น้องหญิงที่รับผิดชอบงานให้น้ำ และนั่นคือเหตุผลที่เธอไม่เห็นด้วยกับการย้าย เธอยังบอกอีกว่า ไม่มีใครโทษเธอได้เรื่องตำหนิพี่น้องหญิงคนนั้นอย่างรุนแรงหากเธอก่อปัญหาเพิ่มอีก เมื่อได้ยินการขู่ในคำพูดของเธอ ฉันก็รู้สึกว่าเธอไม่ได้แค่เข้ากับคนอื่นยาก แต่ยังขาดความเป็นมนุษย์ด้วย และฉันต้องระวังตัวตอนติดตามงานของเธอ มิฉะนั้นเธอจะหาบางอย่างมาเล่นงานฉัน

ครั้งหนึ่งผู้นำระดับสูงมอบหมายให้เราทำงานชำระล้าง เพื่อสืบค้นและตรวจสอบให้รู้ว่าคริสตจักรมีคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์หรือไม่ และหากพบว่าใครเป็นอย่างนั้น ให้ขับไล่พวกเขาออกจากคริสตจักร ฉันนึกถึงลิลเลียน ความเป็นมนุษย์ของเธอต่ำและเธอไม่ยอมรับความจริง เธอผูกใจเจ็บทุกคนที่พูดกับเธอเรื่องปัญหา และจะบิดเบือนสิ่งต่างๆ เปลี่ยนดำเป็นขาว และแพร่อคติของเธอลับหลังพวกเขา ฉันคิดว่าควรตรวจสอบพฤติกรรมทั่วไปของเธอ แต่แล้วฉันก็คิดถึงเรื่องที่ ลิลเลียนต่อต้านฉันตอนฉันตรวจสอบงานของเธอ และเรื่องที่เธอพูดลับหลังฉันว่าฉันตัดแต่งเธออย่างไร้มูลเหตุ ถ้าฉันไปรวบรวมการประเมินเรื่องเธอคราวนี้ พี่น้องชายหญิงจะคิดว่าฉันใช้โอกาสนี้เอาคืนเธอหรือเปล่า? คู่ทำงานของฉันจะคิดว่าฉันรักสถานะมากเกินไปไหม? และคิดว่าฉันจะหาโอกาสเล่นงานคนที่ชี้ให้เห็นปัญหาของฉันหรือเปล่า? แล้วทุกคนจะกลัวฉันและหลีกเลี่ยงฉัน และนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่ถ้าพวกเขาพยายามใช้วิจารณญานแยกแยะปัญหาของฉัน แล้วรายงานว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันคิดว่าช่างเถอะ ฉันจัดการเรื่องนี้ได้หลังจากที่คนอื่นใช้วิจารณญาณแยกแยะปัญหาของเธอแล้ว มิฉะนั้นหากฉันเป็นคนแรกที่ออกมาพูดเรื่องนี้ อาจเกิดความเข้าใจผิดได้ ฉันเลยไม่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด ไม่นานหลังจากนั้น มายาพูดว่าความเป็นมนุษย์ของลิลเลียนนั้นต่ำและอยากตรวจสอบพฤติกรรมของเธอ ฉันทั้งดีใจและรู้สึกผิดเล็กน้อยตอนเธอพูดแบบนั้น  ฉันรู้เรื่องของลิลเลียนอยู่แล้ว และฉันก็ควรจะตรวจสอบพฤติกรรมของเธอทันที แต่ฉันไม่จัดการเพราะกังวลว่าผู้คนจะคิดว่าฉันเอาคืนเธอ ฉันไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักร แต่อย่างน้อยคนอื่นก็พูดบางอย่าง ฉันเลยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกต่อไป หลังจากรวบรวมการประเมินเรื่องลิลเลียน เราได้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ที่เขียนการประเมินรู้จักเธอไม่ดีนัก และให้ข้อมูลน้อยมาก มีเพียงไม่กี่คนที่สังเกตเห็นปัญหาของเธอ ฉันรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องในสภาพการณ์แบบนี้คือไปเสาะหาคน ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเธอในระยะยาว แต่ฉันกังวลว่าคนอื่นจะพูดว่าฉันเพ่งเล็งเธอเพราะความเกลียดชังส่วนตัว ฉันเลยไม่อยากพูดอะไร ณ จุดนั้น มายาบอกว่าเราควรจับตาดูว่าทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างไร และฉันก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม

ต่อมาฉันพบว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ได้ให้คำแนะนำลิลเลียน และเธอไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับคำแนะนำ แต่ยังโต้กลับด้วยข้อโต้แย้งเท็จ ครั้งหนึ่งผู้ให้น้ำคนหนึ่งให้คำติชมกับลิลเลียนว่า ผู้คนที่คนทำงานข่าวประเสริฐไปประกาศให้ฟังบางคน ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมและขาดความเป็นมนุษย์ ลิลเลียนไม่เพียงไม่ยอมรับเรื่องนั้น แต่ยังแสดงอคติและความคับข้องใจต่อหน้าคนทำงานข่าวประเสริฐด้วย เธอบอกว่าพวกเขาทุกคนล้วนทำตามหลักธรรมในหน้าที่ของตน แต่เนื่องจากผู้ให้น้ำไม่ได้สามัคคีธรรมความจริงกับผู้คนอย่างชัดเจน คนทำงานข่าวประเสริฐเลยพยายามอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนความเชื่อ จนผู้เชื่อใหม่บางคนถูกข่าวลือชักพาให้หลงผิดและถอนตัวไป ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันกับมายาสามัคคีธรรมและชำแหละแก่นแท้ของปัญหานี้ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของลิลเลียน เราสามัคคีธรรมกับเธออีกหลายครั้งหลังจากนั้น ฉันนึกว่าเธอจะทบทวนตนเอง แต่เธอดึงดันและยังคงแพร่อคติของตนเองกับผู้ให้น้ำ เธอบอกว่ารู้สึกเป็นลบและไม่รู้ว่าจะทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างไร เพราะความบาดหมางที่เธอได้หว่านไว้ คนทำงานข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำบางคนจึงบ่นกันเอง และไม่มีความร่วมมืออย่างกลมเกลียวเลย ฉันรู้ว่าลิลเลียนไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ดูแล และเธอควรถูกปลดทันที ฉันรู้สึกเสียใจมากที่ไม่รีบสืบค้นและปลดเธอตั้งแต่แรก ฉันรู้ว่าเธอขาดความเป็นมนุษย์ แต่ฉันกลับเปิดโอกาสให้เธอขัดขวางงานของคริสตจักรต่อไป ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงชี้นำให้ฉันทบทวนตนเองและรู้จักตนเอง

ระหว่างที่ฉันแสวงหา ฉันเห็นว่าพระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อผู้คนไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ทำหน้าที่ในลักษณะสุกเอาเผากิน ทำตัวเหมือนพวกที่ชอบเอาใจผู้คน และไม่ปกป้องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่เป็นอุปนิสัยแบบใด?  นี่คือความฉลาดแกมโกง  เป็นอุปนิสัยของซาตาน  แง่มุมที่เด่นชัดที่สุดของปรัชญาในการดำรงชีวิตทางโลกของมนุษย์คือความฉลาดแกมโกง  ผู้คนคิดว่าหากพวกเขาไม่ฉลาดแกมโกง พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะล่วงเกินผู้อื่นและไม่สามารถปกป้องตนเองได้ โดยพวกเขาคิดว่าตนจะต้องฉลาดแกมโกงพอที่จะไม่ทำร้ายหรือล่วงเกินใคร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรักษาตนเองให้ปลอดภัย ปกป้องความเป็นอยู่ของตนเอง และตั้งหลักอย่างมั่นคงท่ามกลางผู้อื่น  ผู้ไม่มีความเชื่อทั้งหลายต่างดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตาน  พวกเขาล้วนเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนและไม่ล่วงเกินผู้ใด  เจ้าได้มาถึงพระนิเวศของพระเจ้า ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า และได้ฟังคำเทศนาของพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติความจริง พูดจาจากหัวใจ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์?  เหตุใดเจ้าถึงเป็นคนที่ชอบเอาใจผู้คนอยู่เสมอ?  พวกคนที่ชอบเอาใจผู้คนนั้นเอาแต่ปกป้องผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น และไม่ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร  ยามที่พวกเขาเห็นบางคนทำชั่วและสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของคริสตจักร พวกเขาก็เพิกเฉยต่อการกระทำนั้น  พวกเขาชอบเอาใจผู้คนและไม่ล่วงเกินผู้ใด  นี่คือไร้ความรับผิดชอบ และคนจำพวกนั้นฉลาดแกมโกงและไม่น่าไว้ใจมากเกินไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ฉันเข้าใจจากการเผยในพระวจนะของพระเจ้าว่า ฉันหลีกเลี่ยงการล่วงเกินลิลเลียน ก็เพราะพยายามที่จะรักษาภาพลักษณ์และสถานะของตัวเองเอาไว้ และฉันไม่ได้ปกป้องคริสตจักรตอนเห็นว่าเธอขัดขวางงานของคริสตจักร ในทางกลับกัน ฉันพยายามเอาใจผู้คนด้วยการเพิกเฉย นั่นเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบและฉลาดแกมโกง ผู้ปราศจากความเชื่อดำเนินชีวิตตามปรัชญาของซาตานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาเฝ้าสังเกตผู้อื่นอย่างระมัดระวังขณะพูดจา เพื่อดูว่าสถานการณ์เป็นไปในทิศทางใด พวกเขาเจ้าเล่ห์และหลอกลวงในแง่นั้น ขณะทำหน้าที่ ฉันมีท่าทีแบบเดียวกันกับผู้ปราศจากความเชื่อ ฉันเห็นชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ของลิลเลียนนั้นไม่ดีนัก และเธอก็กลายเป็นตัวขัดขวางงานของคริสตจักรไปแล้ว เธอควรจะถูกปลด แต่ฉันไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าฉันแค่จะเอาคืนเธอ ฉันเลยหลีกเลี่ยงปัญหาโดยพยายามไม่ทำอะไรที่อาจสร้างความสงสัย และผัดผ่อนการจัดการกับลิลเลียนออกไป ฉันอยากรอจนกว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ จะได้รับวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับเธอ เพราะอยากปกป้องหน้าตาและสถานะของตนเอง และแม้จะรู้ว่าเธอขัดขวางงานคริสตจักร แต่ฉันก็ยังชอบที่จะปล่อยให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรได้รับความเสียหาย มากกว่าที่จะปฏิบัติตามหลักธรรม เปิดโปงเธอ และจัดการกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม ฉันมันเจ้าเล่ห์เพทุบาย เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจจริงๆ เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกเสียใจและรู้สึกผิด ฉันรู้ว่าไม่อาจเพิกเฉยอีกต่อไป ฉันต้องจัดการกับปัญหาเรื่องลิลเลียนตามหลักธรรมของคริสตจักร และเลิกปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเพียงอย่างเดียวได้แล้ว

ฉันกับมายาไปคุยกับลิลเลียนหลังจากนั้น เปิดโปงว่าเธอบิดเบือนสิ่งต่างๆ และแพร่อคติเกี่ยวกับผู้อื่นตามอำเภอใจ ซึ่งทำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องชายหญิง และสิ่งนี้ได้ขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เธอไม่ยอมรับเรื่องนี้เลย แต่กลับแย้ง อย่างขุ่นเคืองว่า “ฉันเล่าปัญหาให้คุณฟัง และแทนที่จะแก้ปัญหา คุณกลับใช้ปัญหามาจับผิดฉัน ฉันเห็นว่าคุณไม่ได้ทำงานจริงอะไรเลย” เมื่อเห็นว่าเธอทำตัวเป็นจอมบงการแค่ไหนโดยไม่ตระหนักในตนเองเลย เราก็ชำแหละธรรมชาติและผลที่ตามมาจากคำพูดและการกระทำของเธอกับเธอ โดยอ้างอิงถึงพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง แต่เธอไม่ยอมรับเลย เธอเอาแต่เถียงและแก้ตัว

หลังจากนั้นฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอน ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจแก่นแท้ของลิลเลียน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ใครก็ตามที่มักจะรบกวนชีวิตคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็คือผู้ไม่เชื่อและเป็นคนชั่ว ต้องเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครหรือพวกเขาจะกระทำการเช่นไรในอดีต ถ้าพวกเขามักจะรบกวนงานของคริสตจักรและชีวิตคริสตจักร ไม่ยอมถูกตัดแต่ง และปกป้องตนเองเสมอด้วยการให้เหตุผลในทางที่ผิด ก็ต้องเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  แนวทางนี้ล้วนเป็นไปเพื่อดำรงรักษาการดำเนินงานของคริสตจักรให้เป็นปกติและปกป้องผลประโยชน์ของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าทุกประการ(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (14))  “ไม่ว่าพวกเขาจะทำผิดในเรื่องใดหรือทำสิ่งใดที่ไม่ดี ผู้คนที่มีอุปนิสัยชั่วช้านี้จะไม่ยอมให้ใครเปิดโปงหรือตัดแต่งตน  หากใครสักคนเปิดโปงและล่วงเกินพวกเขา พวกเขาก็จะบันดาลโทสะ โต้คืน และไม่มีวันยอมให้เรื่องจบ  พวกเขาไม่มีความอดทนและอดกลั้นให้แก่ผู้อื่น และไม่มีการข่มใจ  การประพฤติปฏิบัติตนของพวกเขาเป็นไปตามหลักการใด?  ‘ยอมทรยศเสียเองดีกว่าถูกทรยศ’  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาไม่ทนยอมให้ใครล่วงเกิน  นี่คือตรรกะของคนชั่วมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วนี่คือตรรกะของคนชั่ว  พวกเขาไม่ยอมให้ใครล่วงเกินตน  สำหรับพวกเขาแล้ว การมีคนมาสะกิดให้ตนโมโหแม้เพียงน้อยนิดก็เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และพวกเขาก็เกลียดคนที่ทำเช่นนั้น  พวกเขาจะตามเล่นงานคนคนนั้นไม่เลิกและจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไป—คนชั่วย่อมเป็นเช่นนั้น(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (14))  ฉันเห็นจากพระวจนะของพระเจ้าว่า คนชั่วมีอุปนิสัยชั่วร้ายและจะไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย พวกเขาเกลียดชังทุกคนที่เปิดโปงและชี้ให้เห็นปัญหาของพวกเขา มองคนกลุ่มนั้นเป็นศัตรู และอาจตอบโต้เพื่อแก้แค้นด้วย ฉันเปรียบเทียบลิลเลียนกับสิ่งนั้น เธอไม่เคยทบทวนตนเองหรือเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองเมื่อเผชิญปัญหา และเธอเกลียดทุกคนที่ให้คำแนะนำเธอ โดยมองพวกเขาเป็นศัตรู ในขณะเดียวกัน เธอก็บิดเบือนความจริง เปลี่ยนดำเป็นขาว ทั้งยังแพร่อคติและคำบ่นเกี่ยวกับผู้อื่น ก่อให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ของพี่น้องชายหญิง สิ่งนี้นำไปสู่ความไม่ลงรอยกัน ซึ่งขัดขวางและกีดกั้นงานข่าวประเสริฐ คนอื่นๆ ให้คำแนะนำและช่วยเหลือเธอหลายครั้ง แต่เธอไม่ยอมรับสิ่งที่พวกเขาพูด เธอตอบโต้ด้วยความเป็นปฏิปักษ์และข้อโต้แย้งเท็จโดยไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย โดยธรรมชาติของเธอ เธอเกลียดและรังเกียจความจริง แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนชั่ว และถ้าเราปล่อยให้เธออยู่ในคริสตจักรต่อไป ก็รังแต่จะเพิ่มปัญหาให้งานของคริสตจักร ฉันกับมายาจึงสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง เรื่องวิจารณญาณแยกแยะของเราต่อพฤติกรรมของลิลเลียนตามหลักธรรม และปลดเธอหลังจากการลงคะแนนเสียง เรามอบหมายให้เธอแยกตัวและทบทวนตนเอง และจะเอาเธอออกไปหากมีการก่อกวนอีก

ต่อมาพี่น้องชายหญิงก็ทยอยกันบอกว่ารู้สึกถูกตีกรอบมากตอนร่วมงานกับลิลเลียน เธอดุด่าคนอื่นตลอด และหลายคนกลัวเธอ ทุกคนเตรียมใจล่วงหน้าทุกครั้งที่เธอมาตรวจสอบงานของพวกเขา กังวลว่าจะถูกตำหนิเรื่องอะไรก็ตามที่พวกเขาอธิบายไม่ได้อย่างเหมาะสม ฉันรู้สึกไม่สบายใจมาก ลิลเลียนได้ทำความเลวมามากมาย ทำร้ายพี่น้องชายหญิงมาก็เยอะ ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร แต่เมื่อพบคนชั่ว ฉันกลับจัดการไม่ได้ ในกรณีนี้ จะมีฉันไปทำไม? ฉันทำงานจริงไม่ลุล่วงเลย ฉันครุ่นคิดอยู่สองสามวันว่า ทำไมฉันถึงจัดการกับคนอื่นที่เป็นผู้คนที่ชั่วและเป็นศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างถูกควร แต่กลับหลีกเลี่ยงและไม่อยากจัดการเรื่องลิลเลียน ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่ว่า ‘ศัตรูของพระคริสต์ก็คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นอันดับแรก และลงมือกระทำการก็ต่อเมื่อพวกเขาใคร่ครวญทุกสิ่งรอบด้านแล้ว พวกเขาไม่ยอมนบนอบความจริงอย่างแท้จริง อย่างจริงใจ และอย่างไม่มีเงื่อนไขโดยไม่มีการประนีประนอม แต่กลับเลือกที่จะนบนอบอย่างมีเงื่อนไข  เงื่อนไขนี้มีว่าอย่างไร?  ว่าสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาต้องได้รับการปกป้อง และต้องไม่เกิดการสูญเสีย  เมื่อเงื่อนไขข้อนี้ได้รับการตอบสนองแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงจะตัดสินใจเลือกว่าจะทำสิ่งใด  นั่นคือ ศัตรูของพระคริสต์ครุ่นคิดจริงจังว่าจะปฏิบัติต่อหลักธรรมความจริง พระบัญชาของพระเจ้า และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร หรือจะจัดการสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเผชิญอย่างไร  พวกเขาไม่คำนึงถึงวิธีสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า วิธีที่จะไม่สร้างความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า วิธีทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือวิธีทำประโยชน์แก่เหล่าพี่น้องชายหญิง เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคำนึงถึง  พวกศัตรูของพระคริสต์คำนึงถึงสิ่งใด?  สถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่ และเกียรติยศของพวกเขาจะลดลงหรือไม่  หากการทำบางสิ่งตามหลักธรรมความจริงเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและพี่น้องชายหญิง แต่จะเป็นเหตุให้ความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองเสียหาย และทำให้ผู้คนหลายคนตระหนักถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาและรู้ว่าพวกเขามีแก่นแท้ธรรมชาติจำพวกใด เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่ปฏิบัติตนตามหลักธรรมความจริงเป็นแน่  หากการทำงานจริงบางอย่างจะทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นมายกย่องพวกเขา นับถือและเลื่อมใสพวกเขา เปิดโอกาสให้พวกเขายิ่งมีเกียรติยศมากขึ้น หรือทำให้คำพูดของพวกเขามีสิทธิอำนาจ และทำให้ผู้คนในจำนวนที่มากขึ้นนบนอบพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเลือกทำสิ่งนั้นในหนทางนั้น มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีวันเลือกการทิ้งผลประโยชน์ของตนเองเพราะคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือของพี่น้องชายหญิง  นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของพวกศัตรูพระคริสต์  นี่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมิใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  “หากใครบางคนพูดว่าพวกเขารักความจริงและว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริง แต่โดยแก่นแท้แล้ว เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาคือการทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นแตกต่าง การอวดโอ้ การทำให้ผู้คนคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง การสัมฤทธิ์ผลประโยชน์ส่วนบุคคลของตัวเอง และการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขานั้นไม่ใช่เป็นการนบนอบหรือทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นการสัมฤทธิ์ชื่อเสียง ผลประโยชน์และสถานะ เช่นนั้นแล้ว การไล่ตามเสาะหาของพวกเขาย่อมไม่ถูกทำนองคลองธรรม  ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น เมื่อเป็นเรื่องงานของคริสตจักร การกระทำของพวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางหรือว่าพวกเขาช่วยขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้าเล่า?  พวกเขาเป็นอุปสรรคกีดขวางอย่างชัดเจน ทั้งนี้พวกเขาไม่ขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ไปข้างหน้า  ผู้คนบางคนสนับสนุนการทำงานของคริสตจักร แต่กระนั้นกลับไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะส่วนบุคคลของตัวเอง ประกอบกิจการของตัวเอง สร้างกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง ราชอาณาจักรเล็กๆ ของตัวเอง—บุคคลประเภทนี้กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาอยู่หรือไม่?  งานทั้งหมดที่พวกเขาทำนั้นในแก่นแท้แล้วขัดขวาง ก่อกวน และบั่นทอนงานของคริสตจักร  สิ่งใดคือผลสืบเนื่องของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของพวกเขา?  ก่อนอื่นการนี้ส่งผลต่อวิธีที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติและเข้าใจความจริง การนี้ขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา หยุดยั้งพวกเขาจากการเข้าสู่ครรลองที่ถูกต้องของความเชื่อในพระเจ้า และนำพวกเขาไปบนเส้นทางที่ผิด—ซึ่งทำร้ายผู้ที่ได้รับการเลือกสรร และพาพวกเขาไปสู่ความย่อยยับ  และในท้ายที่สุด การนี้ทำสิ่งใดกับงานของคริสตจักร?  ย่อมเป็นการก่อกวน บั่นทอน และรื้อทำลาย  นี่คือผลสืบเนื่องที่เกิดจากการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะของผู้คน(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่หนึ่ง))  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นว่า ศัตรูของพระคริสต์จะคำนึงถึงเฉพาะหน้าตาและสถานะของตนเองในการกระทำของพวกเขา หากพวกเขาสามารถทำบางอย่างให้สำเร็จเพื่อยกระดับหน้าตาของตน ศัตรูของพระคริสต์ก็จะทำสิ่งนั้น หากการทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมอาจส่งผลเสียต่อหน้าตาหรือสถานะของตน ศัตรูของพระคริสต์จะละทิ้งหลักธรรมเหล่านั้น และคิดถึงแต่สิ่งที่จะปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวและสิ่งที่จะสร้างประโยชน์ให้ตนเองเท่านั้น พวกเขาเห็นแก่ตัวและชั่วร้ายเป็นพิเศษ ฉันเองก็ทำตัวเหมือนศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? ฉันรู้มานานแล้วว่าลิลเลียนเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์ต่ำ และเธอไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง เธอเกลียดทุกคนที่ให้คำแนะนำเธอ จับผิดพวกเขา และใช้สิ่งนั้นตัดสินและเล่นงานพวกเขา และเธอจะกีดกั้นงานของคริสตจักรต่อไปหากเธอไม่ถูกแทนที่ทันที แต่เพราะเธอไม่ชอบฉัน ฉันจึงกังวลว่าพี่น้องชายหญิงจะคิดว่าฉันแค่แก้แค้นโดยการสืบค้นเรื่องเธอ พวกเขาอาจคิดว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จด้วยซ้ำ ฉันรู้สึกว่าตำแหน่งของฉันจะถูกคุกคาม  และเพราะอุปนิสัยของลิลเลียน ฉันเลยกังวลว่าถ้าฉันปลดเธอ เธอจะใส่ร้ายป้ายสีฉันลับหลัง หรือหาข้ออ้างเพื่อกล่าวโทษหรือรายงานเรื่องฉัน ฉันรู้สึกว่าการจัดการเธอรังแต่จะส่งผลเสียต่อฉัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อหน้าตาและตำแหน่งของฉันได้อย่างง่ายดาย ฉันเลยใช้ท่าทีแบบรอดูแทนและไม่ทำอะไรเลย ฉันช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายและเห็นแก่ตัวจริงๆ ก่อนหน้านั้นตอนฉันพบคนที่ควรถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ระหว่างทำงานชำระล้าง ฉันก็สามารถจัดการได้ตามหลักธรรม นั่นเป็นเพราะฉันไม่รู้จักพวกเขาส่วนใหญ่ ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อหน้าตาและสถานะของฉัน ถ้าฉันเอาพวกเขาออกไปหรือขับไล่พวกเขาออกจากคริสตจักร พี่น้องชายหญิงจะคำนึงว่าฉันเป็นผู้นำที่เข้าใจความจริง มีวิจารณญาณ และทำงานจริง แต่เมื่อต้องจัดการกับลิลเลียน ซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งของฉันโดยตรง ฉันเพียงแค่เพิกเฉยต่อปัญหา เพื่อพยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ก่อนหน้านั้นฉันจะยึดมั่นในหลักธรรม ก็เป็นเพราะว่าผลประโยชน์ส่วนตัวของฉันไม่มีความเสี่ยง ไม่ใช่เพราะฉันอยากทำงานของคริสตจักรให้ดีจริงๆ ฉันตระหนักจากพระวจนะของพระเจ้าว่า การทำงานเพื่อปกป้องเกียรติยศและสถานะส่วนตัว โดยพื้นฐานแล้วคือวิธีบ่อนทำลายและขัดขวางงานของคริสตจักร มันกีดกั้นความก้าวหน้าตามปกติของงาน เพราะอยากปกป้องหน้าตาและตำแหน่งของตนเอง ฉันจัดการกับคนชั่วได้ไม่ทันท่วงที ธรรมชาติของปัญหานั้นร้ายแรงจริงๆ ไม่ใช่แค่กรณีเล็กๆ ของการเผยให้เห็นความเสื่อมทราม อันที่จริงนี่เป็นการให้ที่หลบซ่อนคนชั่ว ส่งเสริมให้เธอขัดขวางงานของคริสตจักร นั่นคือการทำตัวเป็นสมุนซาตานและคือการทำชั่วด้วย พระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ช่างทิ่มแทงใจเป็นพิเศษ ที่กล่าวว่า “เจ้าควรแยกเดี่ยวหรือเอาตัวคนชั่วออกไปทันทีที่พบว่าพวกเขามีแก่นแท้ของคนชั่ว ก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำความชั่วครั้งใหญ่  นี่จะลดความเสียหายจากพวกเขาให้เหลือน้อยที่สุด เป็นทางเลือกที่เปี่ยมปัญญา  ถ้าผู้นำและคนทำงานรอจนคนชั่วก่อให้เกิดความวิบัติบางชนิดแล้วค่อยจัดการคนเหล่านั้น พวกเขาก็กำลังนิ่งดูดาย  นั่นย่อมจะพิสูจน์ว่าผู้นำและคนทำงานเบาปัญญาอย่างยิ่ง และไม่มีหลักธรรมในการกระทำของตน(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (14))  พอได้พิจารณาพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกแย่และผิดมาก ในฐานะผู้นำ งานของฉันคือปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากการกดขี่และการขัดขวางโดยคนชั่ว และคุ้มภัยชีวิตปกติของคริสตจักร เพื่อให้งานของคริสตจักรดำเนินไปในทางที่ถูกต้องและเป็นระเบียบ แต่เมื่อคนชั่วปรากฏตัวในคริสตจักร ฉันกลับชักช้าและนิ่งเฉย ฉันไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำ ซึ่งส่งผลให้พี่น้องชายหญิงรู้สึกถูกคนชั่วตีกรอบและเล่นงาน และการเข้าสู่ชีวิตก็ได้รับผลเสีย งานของคริสตจักรก็ถูกขัดขวาง สิ่งที่ฉันทำลงไปนั้นช่างน่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า!

ต่อมาฉันเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ฉันรู้ว่าเมื่อคนชั่วขัดขวางงานของคริสตจักร ตามหลักธรรมแล้ว ต้องจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว แล้วทำไมฉันถึงกลัวว่าคนอื่นจะตีความสถานการณ์ผิดและหาว่าฉันทรมานเธอ? และการทรมานใครสักคนคืออะไรกันแน่? ฉันอ่านเรื่องนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การสำแดงอื่นใดอีกที่เหมือนกันทั่วไปยามที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำงาน?  (พวกศัตรูของพระคริสต์กดข่มและทรมานผู้คนเพื่อเห็นแก่สถานะของตนเอง)  การทรมานผู้อื่นคือสิ่งที่เหมือนกันทั่วไปที่สุดสำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์ และเป็นหนึ่งในการสำแดงอันเป็นรูปธรรมของพวกเขา  เพื่อที่จะดำรงสถานะของตนไว้ พวกศัตรูของพระคริสต์เรียกร้องให้ทุกคนเชื่อฟังและใส่ใจในตัวพวกเขาเสมอ  หากพวกเขาพบว่าใครบางคนไม่ใส่ใจในตัวพวกเขา หรือชิงชังรังเกียจและขัดขืนต่อพวกเขา พวกเขาก็จะนำกลวิธีของการกดข่มและทรมานมาใช้กับคนผู้นั้นเพื่อที่จะกำราบเขา  บ่อยครั้งที่พวกศัตรูของพระคริสต์กดข่มบรรดาผู้ที่เห็นต่างจากพวกเขา  บ่อยครั้งที่พวกเขากดข่มผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตนอย่างจงรักภักดี  บ่อยครั้งที่พวกเขากดข่มผู้คนที่ค่อนข้างอยู่ในทำนองคลองธรรมและมีความซื่อตรงซึ่งไม่ประจบประแจงหรือเลียแข้งเลียขาพวกเขา  พวกเขากดข่มผู้คนที่ไม่คล้อยตามหรือยอมตามพวกเขา  พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นบนพื้นฐานของหลักธรรมความจริง  พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรม  เมื่อพวกเขาไม่ชอบใครบางคน เมื่อใครบางคนดูเหมือนไม่ได้มีใจยอมจำนนต่อพวกเขา พวกเขาก็หาโอกาสและข้อแก้ตัว อีกทั้งถึงกับมีข้ออ้างสารพัดที่จะโจมตีและทรมานคนผู้นั้นไปจนถึงขั้นที่ใช้การทำงานของคริสตจักรเป็นธงในการกดข่มเขา  พวกเขาไม่ลดละจนกว่าผู้คนจะกลายเป็นว่านอนสอนง่ายและไม่กล้าปฏิเสธพวกเขา พวกเขาไม่ลดละจนกว่าผู้คนจะยอมรับรู้สถานะและอำนาจของพวกเขา ยิ้มแย้มทักทายพวกเขา แสดงการสนับสนุนรับรองและการยอมตามพวกเขา อีกทั้งไม่กล้าที่จะคิดอะไรเกี่ยวกับพวกเขา  ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ในกลุ่มใด คำว่า ‘ความเป็นธรรม’ ก็ไม่มีอยู่จริงในการปฏิบัติของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อผู้อื่น และคำว่า ‘เปี่ยมรัก’ ก็ไม่มีอยู่จริงในการปฏิบัติของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อเหล่าพี่น้องชายหญิงผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเขาถือว่าผู้ใดก็ตามที่ก่อการคุกคามต่อสถานะของพวกเขาเป็นเสี้ยนหนามและหอกข้างแคร่ของพวกเขา และพวกเขาก็จะหาโอกาสและข้ออ้างทั้งหลายเพื่อทรมานคนเหล่านั้น  หากคนผู้นั้นไม่ยอมอ่อนข้อ พวกเขาก็ทรมานเขา และไม่หยุดจนกว่าคนผู้นั้นจะถูกกำราบ  การที่ศัตรูของพระคริสต์ทำเช่นนี้ไม่ตรงตามหลักธรรมความจริงอย่างมาก และเป็นปฏิปักษ์กับความจริง ดังนั้นพวกเขาควรถูกตัดแต่งหรือไม่?  ไม่เพียงเท่านั้น—ต้องถึงขั้นเปิดโปง แยกแยะ และระบุลักษณะของพวกเขาออกมาจึงจะได้  ศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติต่อทุกคนตามการเลือกชอบ เจตนา และจุดมุ่งหมายของตนเอง  ภายใต้สิทธิอำนาจของพวกเขา ผู้ใดก็ตามที่มีสำนึกแห่งความยุติธรรม ผู้ใดก็ตามที่สามารถพูดจาอย่างเป็นธรรม ผู้ใดก็ตามที่กล้าต่อสู้กับความอยุติธรรม ผู้ใดก็ตามที่ยึดมั่นต่อหลักธรรมความจริง ผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถพิเศษและมีการเรียนรู้อย่างแท้จริง ผู้ใดก็ตามที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า—ผู้คนเช่นนั้นล้วนแต่จะถูกศัตรูของพระคริสต์ริษยา และพวกเขาจะถูกกดข่ม กีดกันออก และถึงกับเหยียบย่ำอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของศัตรูของพระคริสต์จนถึงจุดที่พวกเขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก  เช่นนั้นคือความเกลียดชังที่ศัตรูของพระคริสต์ใช้ปฏิบัติต่อผู้คนที่ดีงามและบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  นั่นพูดได้ว่าผู้ที่ศัตรูของพระคริสต์อิจฉาและปราบปรามนั้นส่วนใหญ่เป็นคนดีและเป็นบุคคลสำคัญในทางบวกไม่มากก็น้อย  พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้คนที่พระเจ้าจะทรงช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงใช้ได้ ที่พระเจ้าจะทรงทำให้เพียบพร้อม  ในการนำกลวิธีของการกดข่มและการกีดกันออกเช่นนั้นมาใช้กับผู้คนเหล่านั้นที่พระเจ้าจะทรงใช้ ช่วยให้รอด และทำให้เพียบพร้อมนั้น พวกศัตรูของพระคริสต์คือคู่ต่อสู้ของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  พวกเขาเป็นผู้คนที่ขัดขืนพระเจ้าไม่ใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สิบเอ็ด)  หลังจากไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า การทรมานใครสักคนและการยึดมั่นในหลักธรรมนั้นเป็นคนละเรื่องกันเลย เราต้องคำนึงถึงแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเรา และเราต้องคำนึงด้วยว่าวิธีที่เราปฏิบัติต่อใครสักคนนั้นมีพื้นฐานมาจากพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ หากเราระบุได้ว่าใครสักคนเป็นคนชั่วหรือเป็นศัตรูของพระคริสต์ตามหลักธรรมความจริง จากนั้นจึงขับไล่หรือเอาพวกเขาออกไป ก็คือการกำจัดภัยพิบัติจากคริสตจักรตามหลักธรรม นั่นไม่ใช่การทรมาน แต่เมื่อศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วกดขี่และทรมานผู้อื่น นั่นมาจากแรงจูงใจที่ชั่วร้ายของพวกเขาล้วนๆ พวกเขาริษยาคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีสำนึกของความยุติธรรม พวกเขาเกลียดคนที่มีวิจารณญาณแยกแยะเรื่องพวกเขาและกล้าตำหนิพวกเขา พวกเขากำจัดผู้ที่ไม่เห็นด้วยเพื่อปกป้องอำนาจและสถานะของตนเอง พวกเขากระโจนใส่ปัญหาเล็กน้อยของผู้อื่นและทำให้เป็นเรื่องใหญ่  พวกเขาบิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายผู้อื่น โดยกล่าวหาผู้อื่นสารพัดเพื่อทำให้พวกเขาถูกขับไล่หรือถูกเอาตัวออกไป แรงจูงใจและเจตนาของพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงและพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พวกเขาถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง ฉันเปิดโปงและปลดลิลเลียน โดยใช้วิจารณญาณแยกแยะของตนเองว่าเธอเป็นคนชั่วตามพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความเคียดแค้นส่วนตัว และฉันไม่ได้ทรมานเธอ ฉันมองสิ่งต่างๆ อย่างผิวเผินและไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้ว การทรมานคืออะไร ฉันรู้สึกว่าการจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคนที่เคียดแค้นฉันเท่ากับการทรมานพวกเขา ฉันไม่ได้คำนึงถึงว่าพวกเขาเป็นคนชั่วหรือไม่และมีบทบาทอย่างไรในคริสตจักร ผลจากมุมมองที่ผิดพลาดของฉันคือฉันนิ่งเฉย ช่างโง่เขลาจริงๆ! พอเข้าใจเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยครั้งใหญ่

หลังจากนั้นฉันก็ตั้งใจฝึกฝนทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม โดยเฉพาะในกรณีของงานชำระล้าง หากมีการกำหนดว่าใครบางคนอาจถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่ ไม่ว่าพวกเขาจะมีปัญหากับฉันหรือไม่ก็ตาม ฉันก็จะจัดการเรื่องนี้ตามหลักธรรม  เมื่อฉันนำสิ่งนั้นมาปฏิบัติ ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นมาก ฉันได้มีประสบการณ์กับตัวเองว่า ตอนทำหน้าที่ เราต้องละทิ้งความกังวลเรื่องหน้าตาและสถานะ ยึดมั่นในหลักธรรมและปกป้องงานของคริสตจักร และด้วยวิธีนี้ เราจะรู้สึกสงบและมีความสุข

ก่อนหน้า:  69. ฉันกลายเป็น ผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร

ถัดไป:  72. เส้นทางสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger