81. ประสบการณ์ในการแบ่งปันข่าวประเสริฐที่ไม่อาจลืมเลือน
ประสบการณ์ข่าวประเสริฐที่สร้างความประทับใจอันลึกซึ้งที่สุดให้กับฉันเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ปี 2021 ตอนที่ฉันได้พบกับพี่น้องชายที่เป็นคาทอลิกคนหนึ่งทางออนไลน์ ชื่อราฟาเอล ฉันได้เป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับเขา และในระหว่างการสามัคคีธรรม ฉันพบว่าเขามีขีดความสามารถที่ดีและเข้าใจความจริงได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว เขาก็รู้สึกว่านั่นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า จึงยินดีที่จะแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง พร้อมทั้งเข้าร่วมการชุมนุมอย่างกระตือรือร้น แต่แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันหนึ่งพี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งข้อความมาหาฉันบอกว่า ราฟาเอลได้พบกับบาทหลวงคาทอลิกเก่าของพวกเขา และเขาไม่มาร่วมการชุมนุมอีกต่อไป เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉันก็คิดว่าเขาคงถูกปลูกฝังมโนคติอันหลงผิดและเหตุผลวิบัติจำนวนไม่น้อย ฉันจึงรีบติดต่อเขาทันที และพบว่าเขาสับสนกับสิ่งที่เราพูดไป แต่เขาไม่ได้บอกว่าสับสนเรื่องอะไร ในตอนนั้น ฉันไม่รู้ว่าควรจะสามัคคีธรรมกับเขาอย่างไร ฉันรู้สึกมืดแปดด้านไปหมด และไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรดี ฉันร้องเรียกหาพระเจ้าอยู่ตลอด ขอให้พระเจ้าทรงชี้แนะเขาหากเขาเป็นแกะของพระองค์ และบอกว่าฉันยินดีที่จะทำทุกสิ่งเท่าที่ฉันสามารถทำได้ในการสามัคคีธรรมกับเขา
ต่อมา ฉันกับพี่น้องหญิงอนิลาได้เชิญราฟาเอลมาสามัคคีธรรมร่วมกัน เมื่อเขาเข้าร่วมการประชุม เขาดูคึกคักมากและพูดพร่ำคำสอนทางศาสนามากมาย และพูดถึงการอุทิศตนของเขาต่อองค์พระเยซูเจ้า และบอกว่าเขาตั้งมั่นในความเชื่อมากเพียงใด เขาคิดว่าเนื่องจากองค์พระเยซูเจ้าได้ประสูติเป็นเพศชาย และทรงเรียกพระเจ้าบนสวรรค์ว่า “พระบิดา” อีกทั้งในโลกศาสนา ผู้คนก็คุ้นเคยกับการเรียกพระเจ้าบนสวรรค์ว่า “พระเจ้าพระบิดา” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงควรเสด็จกลับมาในรูปของผู้ชาย การที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในรูปของผู้หญิงนั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ เมื่อได้ฟังถ้อยคำที่รุนแรงของเขา ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มสื่อสารกับเขาอย่างไร ฉันจึงอธิษฐานขอการชี้แนะจากพระเจ้า จากนั้นฉันก็พูดกับราฟาเอลว่า “ฉันเชื่อว่าความเชื่อของคุณในองค์พระเยซูเจ้านั้นมั่นคงมากจริงๆ แต่ลองคิดดูสักนิดสิ เราอธิษฐานถึงองค์พระเยซูเจ้าอยู่บ่อยครั้ง แต่เรารู้จักพระองค์อย่างแท้จริงหรือเปล่า? เรารู้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าพระองค์เอง? เรารู้อย่างแท้จริงหรือไม่ว่าพระองค์คือความจริง หนทาง และชีวิต? เรากล้าพูดไหมว่าเรารู้จักแก่นแท้เทวสภาพขององค์พระเยซูเจ้า? เรากล้ารับประกันหรือไม่ว่าเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา เราจะสามารถรู้ได้จริงๆ ว่านั่นคือพระองค์? เราเชื่อในพระองค์เพราะอะไรกันแน่? เพราะครอบครัวที่พระองค์ทรงถือกำเนิด หรือการทรงปรากฏของพระองค์หรือเปล่า?” ราฟาเอลไม่ได้ตอบอะไรกลับมา จากนั้นฉันจึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองสามบทตอนให้เขาฟังว่า “แก่นแท้ของการเชื่อของผู้คนในพระเจ้าคือการเชื่อในพระวิญญาณของพระเจ้า และแม้กระทั่งการเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ก็เป็นเพราะว่าเนื้อหนังนี้เป็นร่างจำแลงของพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่าการเชื่อดังกล่าวยังคงเป็นการเชื่อในพระวิญญาณ มีความแตกต่างหลายประการระหว่างพระวิญญาณและเนื้อหนัง แต่เพราะว่าเนื้อหนังนี้มาจากพระวิญญาณ และเป็นพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งที่มนุษย์เชื่อจึงยังคงเป็นแก่นแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้) “การประสูติเป็นมนุษย์หมายความว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระราชกิจที่เนื้อหนังกระทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณ ซึ่งทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง แสดงออกโดยเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดเว้นแต่เนื้อหนังของพระเจ้าที่สามารถทำให้พันธกิจของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ลุล่วง นั่นคือ มีเพียงเนื้อหนังซึ่งประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้เท่านั้น—และไม่มีผู้อื่นใด—ที่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เขาฟัง ฉันก็สามัคคีธรรมว่า “เราทุกคนรู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถือกำเนิดในครอบครัวช่างไม้ ภายนอกพระองค์ทรงดูธรรมดา ไม่มีอะไรแตกต่างจากสามัญชนเลย แต่พระองค์ทรงเป็นร่างกายที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสวมอยู่ และพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ประสูติเป็นมนุษย์ เราไม่ได้เชื่อในพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นชาวยิว หรือเพราะพระองค์ทรงเกิดจากมารีย์ ยิ่งไม่ใช่เพราะเพศหรือการทรงปรากฏของพระองค์ เราเชื่อในพระองค์เพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระวิญญาณของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นความจริง หนทางและชีวิต มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถแสดงความจริงและทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งพระเจ้าได้ ในทำนองเดียวกัน ทำไมเราจึงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในตอนนี้? เราเชื่อเพราะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงสวมเนื้อหนังของบุคคลธรรมดาอีกครั้ง ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางเรา ทรงแสดงความจริง และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้าทรงมีแหล่งกำเนิดเดียวกัน และทั้งคู่ทรงมีแก่นแท้ของพระวิญญาณของพระเจ้าเหมือนกัน ไม่ว่าการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าในครั้งนี้จะประสูติในครอบครัวไหน รูปลักษณ์หรือเพศของพระองค์จะเป็นอย่างไร รูปลักษณ์หรือเพศของพระองค์จะเป็นอย่างไร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมายและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย นี่ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการประสูติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณของพระเจ้า และพระองค์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าที่เสด็จกลับมา”
ราฟาเอลค่อยๆ เปิดใจที่จะเแสวงหาความจริง เขาบอกว่าเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่ฉันพูดไป แต่เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมครั้งนี้พระเจ้าทรงเลือกที่จะประสูติเป็นมนุษย์ในรูปของผู้หญิง เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย ฉันก็ถามเขาว่า “รูปหรือเพศที่พระเจ้าทรงเลือกใช้เพื่อทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง เป็นสิ่งที่เรามีสิทธิ์ตัดสินใจได้หรือ? เมื่อแม่คลอดเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์เลือกหน้าตาของแม่ และไม่ว่าแม่จะมีรูปลักษณ์ยังไง เราก็ต้องยอมรับ นี่คือเหตุผลที่ลูกๆ ควรมี คุณไม่เห็นด้วยหรอกหรือ?” ราฟาเอลพยักหน้าและพูดว่า “แน่ล่ะ เราไม่มีสิทธิ์เลือก” ฉันพูดต่อไปว่า “ในทำนองเดียวกัน รูปแบบของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงเลือกประสูติเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง เป็นสิ่งที่เราตัดสินใจได้หรือเปล่า? ถ้าเราพูดว่าหากพระเจ้าทรงมาในรูปของผู้ชาย ฉันจะยอมรับ แต่ถ้าพระองค์ทรงมาในรูปของผู้หญิง ฉันจะไม่ยอมรับ นั่นจะไม่ไร้เหตุผลหรอกเหรอ? เพศในการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เป็นเรื่องของพระเจ้าพระองค์เอง และเป็นการเลือกของพระเจ้า ในฐานะมนุษย์ เราไม่มีคุณสมบัติที่จะไปวิจารณ์ ถูกไหม? พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระปัญญาของพระเจ้าสูงส่งยิ่งกว่าฟ้าสวรรค์ และความคิดของพระองค์ก็สูงส่งกว่าความคิดของมนุษย์ พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ที่ไม่สลักสำคัญอะไร แล้วพวกเราจะสามารถเข้าใจพระปัญญาของพระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์ได้ยังไง? ในเรื่องการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า พวกเราไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะเลือกเลย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และตราบใดที่พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าพระองค์จะทรงมีเพศใด พระองค์ก็ทรงยังคงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง และพวกเราควรยอมรับและนบนอบ แบบนี้เท่านั้นที่เรียกว่าสมเหตุสมผล และแบบนี้เท่านั้นที่เรียกว่าการเป็นคนมีปัญญา” ราฟาเอลตั้งใจฟังและไม่ได้แย้งอะไร
จากนั้นฉันก็อ่านพระคัมภีร์บางบทตอนให้เขาฟังว่า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1) “แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปกอยู่เหนือน้ำนั้น” (ปฐมกาล 1:2) “พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง” (ปฐมกาล 1:27) “ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี เพราะในวันนั้นท่านไม่เห็นสัณฐานใดๆ เมื่อพระยาห์เวห์ตรัสกับท่านที่โฮเรบจากท่ามกลางไฟ จงระวังเถิด เกรงว่าท่านทั้งหลายจะหลงทำรูปเคารพแกะสลักสำหรับตัวเอง เป็นรูปสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นรูปตัวผู้หรือตัวเมีย เหมือนสัตว์ใดๆ ในโลก เหมือนนกที่มีปีกบินไปในอากาศ เหมือนสิ่งใดๆ ที่คลานอยู่บนดิน เหมือนปลาใดๆ ที่อยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 4:15-18) ฉันสามัคคีธรรมว่า “จากบทตอนเหล่านี้ในพระคัมภีร์ เราสามารถเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณในแก่นแท้ พระองค์ไม่ทรงมีรูปที่แน่นอน และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์สร้างรูปเคารพใดๆ เพื่อนมัสการพระองค์ ในปฐมกาลเขียนไว้ว่า ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างชายก่อน และต่อมาทรงสร้างหญิงตามพระฉายาของพระองค์ ดังนั้น คุณคิดว่าพระเจ้าเป็นชายหรือเป็นหญิง? คุณอาจบอกว่าพระเจ้าเป็นชาย แต่พระองค์ก็ทรงสร้างหญิงตามพระฉายาของพระองค์ด้วย คุณอาจบอกว่าพระเจ้าเป็นหญิง แต่พระองค์ก็ทรงสร้างชายตามพระฉายาของพระองค์เช่นกัน แล้วนี่หมายความว่ายังไง? พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ชอบธรรม และพระองค์ทรงสร้างทั้งชายและหญิงตามพระฉายาของพระองค์ การประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระองค์นั้นมาในรูปของชาย และในยุคสุดท้ายนี้ พระองค์ประสูติเป็นมนุษย์ในรูปของหญิง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อทั้งสองเพศอย่างเท่าเทียม หากพระเจ้ามาประสูติเป็นมนุษย์ในรูปของผู้ชายทั้งสองครั้ง นั่นคงไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิง การกล่าวว่าพระเจ้าเป็นชายหรือหญิง เป็นการจำกัดขอบเขตพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดชังที่สุด ทุกครั้งที่พระเจ้ามาประสูติเป็นมนุษย์ ก็เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด และการประสูติเป็นมนุษย์นั้นหมายถึงการทรงปรากฏในรูปของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แต่ไม่ว่าพระเจ้าจะประสูติเป็นมนุษย์ในเพศใด แก่นแท้ของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์” เรื่องนี้ดูเหมือนจะทำให้ราฟาเอลเข้าใจ และเห็นด้วยอย่างแท้จริงกับสิ่งที่ฉันพูดไป จากนั้น ฉันจึงส่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองสามบทตอนให้เขาอ่านที่ว่า “พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในรูปแบบของชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ รูปแบบของพระองค์ทรงเป็นหญิง จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งที่เป็นชายและหญิงสามารถเป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ได้ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์สามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าประสูติมา หากพระเยซูประสูติเป็นผู้หญิงเมื่อพระองค์เสด็จมา กล่าวคือ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิสนธิในครรภ์เป็นทารกหญิง และไม่ใช่เด็กชาย พระราชกิจในช่วงระยะนั้นจะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม หากเป็นกรณีนั้น พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันก็จะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยชายแทน แต่พระราชกิจก็จะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม พระราชกิจที่ทรงกระทำในแต่ละช่วงระยะมีนัยสำคัญของช่วงระยะนั้น ทั้งสองระยะจะไม่มีการกระทำซ้ำ และทั้งสองระยะไม่มีความขัดแย้งกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การประสูติเป็นมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการประสูติเป็นมนุษย์ครบบริบูรณ์) “หากพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นชายเท่านั้น ผู้คนก็คงจะนิยามพระองค์ว่าทรงเป็นชาย ทรงเป็นพระเจ้าของผู้ชาย และคงจะไม่มีวันเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าของผู้หญิง เช่นนั้นแล้ว ผู้ชายก็ย่อมจะยึดถือว่าพระเจ้าทรงมีเพศสภาพเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ว่าพระเจ้าทรงเป็นประมุขของผู้ชาย—แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้หญิงจะเป็นเช่นไร? นี่ไม่เป็นธรรม นี่มิใช่การเลือกปฏิบัติหรอกหรือ? หากเป็นดังนี้แล้วไซร้ ทุกคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดย่อมจะเป็นชายเหมือนพระองค์ และจะไม่มีผู้หญิงได้รับการช่วยให้รอดสักคนเดียว เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างอาดัมและพระองค์ทรงสร้างเอวา พระองค์มิได้ทรงสร้างเพียงอาดัมเท่านั้น แต่ทรงสร้างทั้งชายและหญิงในพระฉายาของพระองค์ พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้ชายเท่านั้น—พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้หญิงเช่นกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) “พระเจ้าไม่ได้เป็นแค่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณ พระวิญญาณที่ทรงทวีอานุภาพขึ้นเป็นเจ็ดเท่า หรือพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด แต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งเช่นกัน—มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาที่ไม่เหมือนใคร พระองค์ไม่เพียงเป็นเพศชาย แต่เป็นเพศหญิงด้วยเช่นกัน สองพระองค์เหมือนกันตรงที่ทั้งสองพระองค์ทรงกำเนิดมาเป็นมนุษย์ และต่างกันตรงที่หนึ่งนั้นทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และอีกหนึ่งนั้นทรงถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์ แต่กระนั้นก็ก่อเกิดมาจากพระวิญญาณโดยตรง สองพระองค์เหมือนกันตรงที่ทั้งสองประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าเพื่อดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าพระบิดา และต่างกันตรงที่หนึ่งนั้นทรงปฏิบัติพระราชกิจการไถ่ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย ทั้งสองพระองค์ต่างเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระบิดา ทว่าหนึ่งนั้นเป็นผู้ไถ่ ซึ่งเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและความปรานี ส่วนอีกหนึ่งนั้นคือพระเจ้าแห่งความชอบธรรมซึ่งเปี่ยมด้วยความโกรธเคืองและการพิพากษา หนึ่งนั้นคือจอมทัพผู้ทรงเปิดตัวพระราชกิจแห่งการไถ่ ขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือพระเจ้าผู้ชอบธรรมซึ่งทำให้พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยสำเร็จลุล่วง หนึ่งนั้นคือปฐมกาล อีกหนึ่งนั้นคือบทอวสาน หนึ่งนั้นเป็นเนื้อหนังที่ไร้บาป ขณะที่อีกหนึ่งนั้นคือเนื้อหนังซึ่งเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ สืบสานพระราชกิจนั้นต่อไปและไม่เคยมีบาป ทั้งสองพระองค์เป็นพระวิญญาณเดียวกัน แต่สถิตในมนุษย์ที่แตกต่างกันและทรงถือกำเนิดในสถานที่ต่างกัน และอยู่ต่างช่วงเวลากันหลายพันปี อย่างไรก็ตาม พระราชกิจทั้งมวลของทั้งสองพระองค์ต่างเสริมกันและกัน ไม่เคยขัดแย้งกัน และสามารถพูดถึงได้ในคราวเดียวกัน ทั้งสองพระองค์ล้วนเป็นคน แต่คนหนึ่งเป็นเด็กชาย อีกคนเป็นทารกเพศหญิง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, อะไรคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า?) หลังจากได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว อนิลาก็สามัคคีธรรมว่า “พระราชกิจของพระเจ้านั้นใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่า พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจซ้ำ พระราชกิจของพระเจ้ามีการต่ออายุ และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และยกระดับอย่างต่อเนื่อง หากพระเจ้าทรงพระราชกิจเดิมซ้ำไปซ้ำมา มนุษย์ก็จะมีแนวโน้มที่จะจำกัดขอบเขตพระองค์ และเราจะไม่รู้จักพระองค์อย่างแท้จริง ครั้งแรกที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นผู้ชาย ดังนั้น หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในเนื้อหนังแล้วเป็นผู้ชายอีกครั้ง จะส่งผลสืบเนื่องยังไง? มนุษย์ก็จะจำกัดขอบเขตพระเจ้าว่าเป็นชาย และคิดว่าพระเจ้าทรงเห็นความสำคัญแต่ผู้ชายและทรงโปรดปรานผู้ชาย พวกเขาจะคิดว่าพระองค์ไม่ทรงรักผู้หญิง และทรงหลบเลี่ยงผู้หญิง ผู้หญิงเลยจะถูกเลือกปฏิบัติตลอดไป นั่นเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องหรือเปล่า? แบบนี้ยุติธรรมต่อผู้หญิงไหม? สิ่งนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่? สิ่งเหล่านี้เป็นแค่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ไม่ใช่หรอกเหรอ? พระเจ้าทรงชอบธรรม และทรงปฏิบัติต่อผู้ชายและผู้หญิงอย่างเท่าเทียมกัน พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งหนึ่งเป็นผู้ชาย และอีกครั้งเป็นผู้หญิง สิ่งนี้มีความหมายอย่างยิ่ง! การที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ผู้หญิงในยุคสุดท้ายได้ล้มล้างมโนคติอันหลงผิดของทุกคน พลิกกลับความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้า ทำลายการจำกัดขอบเขตพระเจ้าของมนุษย์ และแสดงให้ผู้คนเห็นว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้ชายเท่านั้น แต่ยังเป็นพระเจ้าของผู้หญิงด้วย พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของมนุษยชาติทั้งปวง ไม่มีใครสามารถใช้มโนคติอันหลงผิดของตนเอง มาจำกัดขอบเขตพระเจ้าให้เป็นชายหรือหญิงได้”
หลังจากที่อนิลาพูดจบ ฉันก็เสริมว่า “ที่จริงแล้ว ไม่ว่าพระเจ้าจะประสูติเป็นมนุษย์ในรูปใด แก่นแท้ของพระองค์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง รูปเหล่านี้คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนัง ซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง และสามารถปฏิบัติพระราชกิจแห่งพระเจ้าได้ ในยุคพระคุณ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังและถูกตรึงกางเขนเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมวลมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ชายและทรงสามารถถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มนุษยชาติได้ หากครั้งแรกพระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ผู้หญิง พระองค์ก็จะยังคงสามารถสำเร็จพระราชกิจแห่งการไถ่ และทรงแสดงความจริงเพื่อมอบเส้นทางกลับใจให้แก่มนุษยชาติได้ ดังนั้น เพศและรูปลักษณ์ในการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ และไม่สำคัญว่าพระองค์จะมีรูปลักษณ์อันยิ่งใหญ่หรือไม่ สิ่งสำคัญคือ พระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า ทรงแสดงความจริง และทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษยชาติให้รอด สิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เราควรใส่ใจอย่างจริงจังเมื่อเราสืบค้นหนทางที่แท้จริง” จากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งให้เขาฟังว่า “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ย่อมจะทรงมีการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้ทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นทางที่เที่ยงแท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) แทนที่จะอยู่ในรูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่า มนุษย์มืดบอดและไม่รู้ความ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) ฉันสามัคคีธรรมต่อว่า “พระวจนะของพระเจ้าชัดเจนมาก ในการตรวจสอบเพื่อยืนยันว่านี่คือการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ สิ่งสำคัญที่ต้องดูคือพระองค์สามารถแสดงความจริงและทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้หรือเปล่า หากคุณไม่มุ่งเน้นไปที่การฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าในขณะสืบค้นหนทางที่แท้จริง แต่กลับตัดสินจากการทรงปรากฏและเพศของการประสูติเป็นมนุษย์ คุณไม่ได้กำลังทำผิดพลาดแบบเดียวกับพวกฟาริสีที่ไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้าหรอกเหรอ? พวกฟาริสีเห็นว่าพื้นเพครอบครัวและการทรงปรากฏของพระองค์ ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดและความหลงผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์เลย พวกเขาจึงตัดสินและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า โดยไม่แสวงหาหรือสืบค้นพระวจนะหรือพระราชกิจของพระองค์เลย ในที่สุด พวกเขาก็จับองค์พระเยซูเจ้าตรึงกางเขน ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า พวกเขาจึงถูกลงโทษและสาปแช่ง หากผู้คนไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ หรือไม่มุ่งเน้นไปที่การฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แล้วปฏิเสธและไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพียงเพราะการประสูติเป็นมนุษย์ในรูปผู้หญิงของพระเจ้า ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา นี่ไม่ใช่การตรึงกางเขนพระเจ้าอีกครั้งหรอกเหรอ?”
หลังจากที่ได้สามัคคีธรรมกับราฟาเอล เขาพูดว่าจะแสวงหาความจริงต่อไป และเมื่อพวกเราเชิญเขามาร่วมการชุมนุมในคืนถัดมา เขาก็ตอบตกลงทันที แต่แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเขาไม่มาในคืนต่อมา และไม่รับสายฉัน ฉันเป็นกังวลมาก ดังนั้น ทุกเช้าหลังตื่นนอน ฉันจะส่งพระวจนะของพระเจ้าไปให้เขา โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะตอบกลับมา แต่เขาไม่เคยอ่านข้อความของฉันเลย และฉันก็เริ่มหมดหวังแล้วจริงๆ ต่อมา ฉันให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นพยายามติดต่อเขา แต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย ฉันตกอยู่ในสภาวะสิ้นหวังอีกครั้ง และคิดว่านี่คงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะถอดใจจากเขาโดยสิ้นเชิง ฉันก็บังเอิญเจอบทความหนึ่ง เกี่ยวกับประสบการณ์ของพี่น้องหญิงที่ประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวอิตาเลียนคนหนึ่ง ฉันบังเอิญรู้จักกับพี่น้องชายคนนี้ที่เธอเคยประกาศข่าวประเสริฐให้ฟัง เพราะตอนนี้เขากำลังทำงานคู่กับฉันในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พี่น้องชายคนนี้มีความเป็นมนุษย์ที่ดีและเข้าใจความจริงอย่างถ่องแท้ ฉันจึงนึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีมโนคติอันหลงผิดมากมายในขณะที่รับข่าวประเสริฐ หรือเรื่องที่ว่าพี่น้องหญิงคนนั้นจะติดต่อเขาไม่ได้นานถึงสองเดือน แต่พี่น้องหญิงคนนั้นก็ไม่ถอดใจ เธอเพียงแค่เฝ้ารอและพยายามหาโอกาสในการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับเขา จนในที่สุด พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ได้แก้ไขมโนคติอันหลงผิดของเขาไปทีละข้อ แล้วเขาก็ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ประสบการณ์ของพี่น้องหญิงคนนั้นกระทบใจฉันมาก แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกละอายใจด้วยเช่นกัน พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมากมาย ทรงจ่ายราคาที่สูงลิ่ว และทรงจัดการเตรียมการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลาย สำหรับทุกคนที่มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ หากฉันเข้าใจความเอาพระทัยใส่ของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอด อย่างนั้นฉันก็ควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ แต่เมื่อพบกับความลำบากยากเย็นเพียงเล็กน้อย ฉันกลับพร้อมที่จะถอยและถอดใจ ฉันไม่มีความเพียรเอาเสียเลย ความจงรักภักดีและคำพยานของฉันอยู่ที่ไหน? จากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในการประกาศข่าวประเสริฐ เจ้าต้องลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าเสียก่อน เจ้าต้องทำตามมโนธรรมและเหตุผลของตนจึงจะทำทุกสิ่งที่เจ้าสามารถและทุกสิ่งที่เจ้าควรทำได้ ไม่ว่าบุคคลที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงจะมีมโนคติอันหลงผิดอันใด หรือไม่ว่าพวกเขาจะหยิบยกคำถามอันใดขึ้นมา เจ้าก็ต้องตอบสนองอย่างเปี่ยมรัก หากเจ้าไม่สามารถตอบสนองได้จริงๆ เจ้าก็สามารถหาพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องกันมาสักสองสามบทตอนเพื่ออ่านให้พวกเขาฟัง หรือให้พวกเขาดูวิดีทัศน์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องของคำพยานจากประสบการณ์ หรือภาพยนตร์คำพยานข่าวประเสริฐที่เกี่ยวข้องกัน แนวทางนี้สามารถอย่างยิ่งที่จะสัมฤทธิ์ผล อย่างน้อยที่สุดเจ้าย่อมจะลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว และจะไม่รู้สึกว่าถูกมโนธรรมของเจ้ากล่าวหา แต่หากเจ้าสุกเอาเผากินและสักแต่ทำพอเอาหน้ารอด เจ้าก็หมิ่นเหม่ที่จะทำให้สิ่งทั้งหลายเกิดความล่าช้า และย่อมไม่ง่ายที่จะเอาชนะใจบุคคลนั้น ในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่ผู้อื่น คนเราต้องลุล่วงความรับผิดชอบของตน คนเราควรเข้าใจคำว่า ‘ความรับผิดชอบ’ อย่างไร? แท้จริงแล้วควรนำความรับผิดชอบไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้อย่างไร? เอาละ เจ้าควรเข้าใจว่าเมื่อได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าและมีประสบการณ์กับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็มีภาระผูกพันที่จะเป็นพยานถึงพระราชกิจของพระองค์ให้แก่ผู้ที่กระหายการทรงปรากฏของพระองค์ ดังนั้นเจ้าจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่พวกเขาอย่างไร? ไม่ว่าจะทางออนไลน์หรือในชีวิตจริงก็ตาม เจ้าควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐในหนทางใดก็ตามที่จะเอาชนะใจผู้คนได้และมีประสิทธิผล การเผยแผ่ข่าวประเสริฐไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าทำเมื่อเจ้ารู้สึกอยากทำ ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าทำเมื่อเจ้าอารมณ์ดีและไม่ทำเมื่อเจ้าอารมณ์ไม่ดี และนั่นก็ไม่ใช่บางสิ่งที่จะทำตามความชอบใจของเจ้า โดยเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครพึงได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า ไม่ใช่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐแก่คนที่เจ้าชอบและไม่เผยแผ่แก่คนที่เจ้าไม่ชอบ ข่าวประเสริฐควรเผยแผ่ตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและตามหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระองค์ เจ้าควรลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถเพื่อเป็นพยานยืนยันถึงความจริงที่เจ้าเข้าใจ ถึงพระวจนะของพระเจ้า และถึงพระราชกิจของพระเจ้าแก่ผู้ที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริง นั่นคือวิธีที่เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ผู้คนควรทำสิ่งใดขณะประกาศข่าวประเสริฐ? พวกเขาควรลุล่วงความรับผิดชอบของตน ทำทุกอย่างที่ทำได้ และเต็มใจที่จะยอมลำบากใดๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องทำให้ลุล่วงโดยหน้าที่) “แล้วควรปฏิบัติต่อใครบางคนที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงอย่างไร? ตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้าวางไว้ว่าใครบ้างที่สามารถประกาศข่าวประเสริฐให้ฟังได้ พวกเราก็มีภาระผูกพันในการประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา และต่อให้ท่าทีในปัจจุบันของพวกเขาย่ำแย่และพวกเขาไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ พวกเราก็ต้องใช้ความอดทน พวกเราต้องอดทนนานเพียงใดและมากแค่ไหนกัน? จนกว่าพวกเขาปฏิเสธเจ้าและไม่ยอมให้เจ้าเข้าไปในบ้านของพวกเขา และไม่ว่าเจ้าจะพยายามพูดคุยหารือกับพวกเขาเพียงใดก็ล้วนไม่เป็นผล รวมทั้งการโทรหา หรือการให้ผู้อื่นไปเชิญชวนพวกเขา และพวกเขาเมินเฉยใส่เจ้า ในกรณีนี้ย่อมไม่มีหนทางที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกเขา นั่นคือเวลาที่เจ้าจะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว นั่นคือความหมายของการทำหน้าที่ของตน ตราบใดที่มีความหวังอยู่เล็กน้อย เจ้าก็ควรคิดหาทุกๆ หนทางที่สามารถทำได้ และทำอย่างสุดความสามารถในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเป็นพยานให้พระราชกิจของพระองค์แก่พวกเขา ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าได้ติดต่อกับใครบางคนมานานสองถึงสามปี เจ้าได้พยายามประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่พวกเขาอยู่หลายครั้งแต่พวกเขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะยอมรับ ทว่าพวกเขามีความเข้าใจที่ค่อนข้างดี และพวกเขาเป็นคนที่จะสามารถประกาศข่าวประเสริฐให้ได้โดยแท้จริง เจ้าควรทำอย่างไร? ประการแรกเจ้าต้องไม่วางมือจากพวกเขาอย่างเด็ดขาด แต่ควรรักษาปฏิสัมพันธ์ที่ปกติกับพวกเขา รวมถึงเป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟังต่อไป จงอย่าละทิ้งพวกเขา จงอดทนไปจนถึงปลายทาง ถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็จะตื่นรู้และเริ่มสืบค้นหนทางที่แท้จริง เพราะฉะนั้น การใช้ความอดทนและเพียรพยายามไปจนถึงปลายทางนั้นสำคัญมากในการประกาศข่าวประเสริฐ แล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้? เพราะนี่คือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ตั้งแต่ที่เจ้าติดต่อกับพวกเขา เจ้าก็มีภาระผูกพันและความรับผิดชอบในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่พวกเขา ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรกจนกระทั่งพวกเขาเปลี่ยนใจนั้นมีหลายระยะ และการนี้ต้องใช้เวลา ในช่วงเวลานี้เจ้าต้องอดทนและรอคอยจนกว่าจะถึงวันที่พวกเขาเปลี่ยนใจ และจากนั้นเจ้าก็ควรพาพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า กลับมายังพระนิเวศของพระองค์ นี่คือภาระผูกพันของเจ้า ภาระผูกพันคืออะไร? ภาระผูกพันคือความรับผิดชอบที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เป็นสิ่งที่คนเราต้องทำโดยหน้าที่ นี่ก็เหมือนกับวิธีที่แม่ดูแลลูกของตน ไม่ว่าลูกจะเกเรหรือไม่เชื่อฟังอย่างไร หรือหากพวกเขาเจ็บป่วยและไม่กินอาหาร ภาระผูกพันของผู้เป็นแม่คืออะไร? คือการรู้ว่านี่คือลูกของตน ประคบประหงมพวกเขา รักพวกเขา และดูแลพวกเขาด้วยความใส่ใจ ไม่ว่าลูกยอมรับว่าเธอเป็นแม่ของพวกเขาหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาปฏิบัติต่อแม่อย่างไรก็ไม่สำคัญ—แม่ย่อมอยู่เคียงข้างลูกของตนเช่นเดิม คอยปกป้องพวกเขา โดยไม่เคยจากไปแม้ชั่วอึดใจ รอให้พวกเขาเชื่อว่าเธอคือแม่ของพวกเขา และรอให้พวกเขาหวนคืนสู่อ้อมกอดของเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เธอเฝ้าดูแลและเอาใจใส่พวกเขาในหนทางนี้อย่างไม่ว่างเว้น นี่คือความหมายของความรับผิดชอบ นี่คือความหมายของการต้องทำตามหน้าที่ หากผู้ที่มีส่วนในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเหล่านั้นปฏิบัติในหนทางนี้ เก็บงำหัวใจอันเปี่ยมรักเช่นนี้ไว้ให้ผู้คน เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะค้ำจุนหลักธรรมในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้โดยสมบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การประกาศข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่ผู้เชื่อทุกคนต้องทำให้ลุล่วงโดยหน้าที่) เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันก็รู้สึกละอายใจ พระเจ้าได้ทรงระบุไว้อย่างชัดเจนถึงความรับผิดชอบที่คนทำงานข่าวประเสริฐพึงปฏิบัติ สถานการณ์ของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน และจำเป็นต้องได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกัน คุณไม่สามารถพึ่งพามโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน หรืออคติของตัวเองเพื่อหลบเลี่ยงหรือตีกรอบพวกเขา ยิ่งไม่ควรด่วนถอดใจจากพวกเขา ตามหลักธรรมแล้ว หากคุณพิจารณาว่าคนใดเหมาะสมที่จะเป็นผู้รับข่าวประเสริฐ คุณก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่และใช้ทุกวิถีทางเพื่อเป็นพยานยืนยันให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าแก่พวกเขา และนำพวกเขามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นี่คือหลักธรรมที่คนเราควรมีในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อย่างไรก็ตาม หลังจากติดต่อพี่น้องชายราฟาเอลไม่ได้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ฉันก็หมดความอดทนและความกรุณาเสียแล้ว ฉันกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากและไม่อยากพยายามสามัคคีธรรมกับเขาต่อไป ฉันรู้สึกว่าในเมื่อเขาเมินเรา ไม่รับโทรศัพท์ และไม่อ่านข้อความของเรา ก็ไม่มีอะไรที่ฉันสามารถทำได้อีกแล้ว ฉันได้สามัคคีธรรมในสิ่งที่ฉันควรพูดไปแล้ว แต่เป็นราฟาเอลเองต่างหากที่ไม่ยอมรับ ฉันจึงไม่อาจทุ่มเทความพยายามไปได้มากกว่านี้ ก็เลยตัดสินใจปล่อยเขาไว้ก่อน แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ฉันเอาแต่คิดว่าพี่น้องชายคนนี้มีความเชื่อที่แท้จริง และมีขีดความสามารถและความสามารถที่ดีในการเข้าใจความจริง แต่เขาถูกครอบงำด้วยมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา เนื่องจากการรบกวนและการชักพาให้หลงผิดของปุโรหิต ฉันต้องช่วยเขาในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ฉันจะนิ่งดูดายไม่ได้ ฉันต้องลุล่วงความรับผิดชอบของคนทำงานข่าวประเสริฐ ดังนั้น ฉันจึงส่งบทความคำพยานจากประสบการณ์ให้เขา โดยหวังว่าจะช่วยเขาได้ ไม่ว่าเขาจะอ่านหรือไม่ ฉันก็ต้องทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้
ไม่กี่วันต่อมา เขาส่งข้อความมาหาฉันว่า “ที่ผ่านมา ผมอธิษฐานอยู่ตลอด แม้ว่าผมจะไม่ได้พูดอะไร แต่ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงมองหาหัวใจของพวกเรา หัวใจของผมได้ร้องเรียกหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อทรงให้ความรู้แจ้งและทรงชี้แนะผม เพื่อไม่ให้ผมทำผิดพลาดและล่วงเกินพระเจ้า” ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก จากนั้นในข้อความตอบกลับของเขา ฉันเห็นว่าเขาบอกว่า “โลกนี้ช่างเสื่อมทรามและชั่วร้าย การที่ผู้คนจะเข้าใกล้พระเจ้านั้นเป็นเรื่องยากมาก อาวุธเดียวที่ต่อสู้กับความชั่วได้คือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และพระคัมภีร์” เขายอมรับพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว และนี่พิสูจน์ว่าเขาสามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้า ว่ายังมีความหวังที่จะนำเขากลับมาได้ แต่ฉันรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับการต่อสู้ภายในอันหนักหน่วง และฉันกังวลว่าเขาอาจหยุดอ่านข้อความของฉันได้ทุกเมื่อ ฉันรู้สึกวิตกกังวลมาก ฉันจึงทำใจให้สงบและอธิษฐานถึงพระเจ้า ขณะอธิษฐาน ฉันนึกถึงถ้อยคำหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งมวลมนุษย์อย่างง่ายๆ หรือจนกระทั่งชั่วขณะสุดท้ายที่เป็นไปได้เลย” เมื่อได้รับแรงบันดาลใจ ฉันก็รีบอ่านพระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนที่ว่า “บทตอนต่อไปนี้ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือโยนาห์ 4:10-11: ‘จากนั้นพระยาห์เวห์ตรัสว่า เจ้าทะนุถนอมต้นละหุ่งที่เจ้าไม่ได้ลงแรงและไม่ได้ทำให้มันเจริญเติบโต ซึ่งเกิดขึ้นมาในหนึ่งคืน และตายไปในหนึ่งคืน: แล้วเราไม่ควรทะนุถนอมเมืองนีนะเวห์ ซึ่งเป็นเมืองยิ่งใหญ่ที่มีผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างมือซ้ายและมือขวา และยังสัตว์เลี้ยงอีกมากมายหรือ?’ เหล่านี้คือพระวจนะจริงๆ ของพระยาห์เวห์พระเจ้า จากการสนทนาระหว่างพระเจ้าและโยนาห์ ถึงแม้ว่าการโต้ตอบนี้จะสั้น แต่ก็เปี่ยมไปด้วยการดูแลเอาพระทัยใส่ที่พระผู้สร้างทรงมีต่อมวลมนุษย์ และความลังเลของพระองค์ที่จะทอดทิ้งมวลมนุษย์ไปเสีย” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) “ถึงแม้ว่าโยนาห์ได้รับความไว้วางพระทัยให้กล่าวประกาศพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าต่อผู้คนเมืองนีนะเวห์ เขาก็ไม่ได้เข้าใจเจตนารมณ์ของพระยาห์เวห์พระเจ้า อีกทั้งเขาไม่ได้เข้าใจความกังวลและความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนในเมือง ด้วยการตำหนินี้ พระองค์ทรงหมายที่จะบอกเขาว่า มนุษยชาติคือผลิตผลแห่งพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง และพระองค์ได้ทรงใช้ความมานะพยายามอันพากเพียรกับบุคคลทุกๆ คน ว่าบุคคลทุกๆ คนแบกความคาดหวังของพระเจ้าไว้บนบ่าของพวกเขา และว่าบุคคลทุกๆ คนได้ชื่นชมการจัดหาชีวิตของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงจ่ายราคาเป็นความมานะพยายามอันพากเพียรเพื่อบุคคลทุกๆ คน การตำหนินี้ยังบอกโยนาห์ด้วยว่าพระเจ้าทรงทะนุถนอมมนุษยชาติ ซึ่งเป็นงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์เอง เช่นเดียวกับที่โยนาห์ทะนุถนอมต้นละหุ่งนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งมวลมนุษย์อย่างง่ายๆ หรือจนกระทั่งชั่วขณะสุดท้ายที่เป็นไปได้เลย เพราะเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ มีเด็กเล็กและปศุสัตว์ที่ไร้เดียงสามากมายภายในเมืองนั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2) การได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก ฉันจึงพูดกับราฟาเอลว่า “พี่น้องชาย คุณเป็นคนที่รอบคอบและสามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ พระเจ้าได้ประสูติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย และได้แสดงพระวจนะแห่งความจริงนับล้านคำเพื่อจัดเตรียมให้พวกเรา เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากพันธนาการของบาป และชำระเราให้บริสุทธิ์เพื่อการเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ฉันหวังว่าคุณจะสามารถคำนึงถึงเรื่องนี้ได้อย่างจริงจัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับชะตากรรมและจุดจบของเรา ฉันจะอธิษฐานให้คุณ ขอให้พระเจ้าทรงเปิดหัวใจของคุณและทรงอนุญาตให้คุณกลับคืนสู่พระนิเวศของพระองค์ในเร็ววัน” จากนั้นฉันก็ส่งพระวจนะของพระเจ้าอีกสามบทตอนไปให้เขาอ่าน และในบรรดาพระวจนะเหล่านี้ มีบทตอนหนึ่งที่ทำให้เขาได้คิดทบทวนและนำเขาไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “การเสด็จกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้นั้น นี่คือหมายสำคัญแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของตนเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้ความและโอหัง แต่ควรเป็นคนที่นบนอบการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมทั้งกระหายและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เราแนะนำให้พวกเจ้าก้าวย่างบนไปเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าด้วยความรอบคอบ อย่าด่วนสรุปตามอำเภอใจ ยิ่งไปกว่านั้น อย่าเชื่อในพระเจ้าอย่างฉาบฉวยและมักง่าย พวกเจ้าควรรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรมีความถ่อมใจและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พวกที่เคยได้ยินความจริงแต่กลับเชิดหน้าใส่ความจริงนั้นคือผู้โง่เขลาและไม่รู้ความ พวกที่เคยได้ฟังความจริงแต่ยังด่วนสรุปอย่างไม่ระมัดระวังหรือกล่าวโทษความจริงนั้นคือคนโอหัง คนที่เชื่อในพระเยซูไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่น พวกเจ้าทุกคนควรเป็นคนที่มีสำนึกและยอมรับความจริง บางที เมื่อได้ฟังหนทางแห่งความจริงและได้อ่านพระวจนะแห่งชีวิตแล้ว เจ้าอาจจะเชื่อว่ามีพระวจนะเพียงหนึ่งใน 10,000 เท่านั้นที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์และมุมมองของเจ้า ดังนั้น ตัวเจ้าจึงควรแสวงหาพระวจนะหนึ่งใน 10,000 นั้นภายในพระวจนะเหล่านี้ต่อไป เรายังคงแนะนำให้เจ้าถ่อมใจ อย่ามั่นใจเกินไป และอย่ายกย่องตัวเองให้สูงส่งจนเกินไป ด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าซึ่งเจ้าพอจะมีอยู่บ้าง เจ้าย่อมจะได้รับความสว่างมากขึ้น หากเจ้าตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ซ้ำๆ เจ้าจะเข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ และพระวจนะเหล่านี้คือชีวิตหรือไม่ บางทีหลังจากที่ได้อ่านเพียงไม่กี่ประโยค คนบางคนจะกล่าวโทษพระวจนะเหล่านี้อย่างหูหนวกตาบอด และพูดว่า ‘นี่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้แจ้งบางส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์’ หรือ ‘นี่คือพระคริสต์เทียมเท็จที่มาเพื่อชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด’ พวกที่พูดอะไรเช่นนั้นเป็นผู้ที่ตาบอดด้วยความไม่รู้เท่าทัน! เจ้าเข้าใจพระราชกิจและพระปัญญาของพระเจ้าน้อยเกินไป และเราแนะนำให้เจ้าเริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้นเลย! พวกเจ้าต้องไม่กล่าวโทษพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงนี้อย่างมืดบอดเพราะการปรากฏตัวของพระคริสต์เทียมเท็จในช่วงยุคสุดท้าย และพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเจ้ากลัวการถูกชักนำไปในทางที่ผิด นั่นจะไม่เป็นความน่าเวทนาอันใหญ่หลวงหรอกหรือ? หลังจากการตรวจดูมากมาย หากเจ้ายังคงเชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่หนทาง และไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการลงโทษในท้ายที่สุด และเจ้าจะปราศจากพร หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงที่ถูกกล่าวอย่างราบเรียบยิ่งนักและชัดเจนยิ่งนักดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ใช่ไม่เหมาะสมสำหรับความรอดของพระเจ้าหรอกหรือ? เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้รับพรเพียงพอที่จะกลับคืนสู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าหรือ? จงตรองดูเถิด! อย่าหุนหันพลันแล่นและใจเร็ว และอย่าทำเหมือนว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเกม จงขบคิดเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของเจ้า เพื่อประโยชน์ของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้า เพื่อประโยชน์ของชีวิตของเจ้า และอย่าเล่นกับตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านี้ได้หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) ในวันนั้น ราฟาเอลได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ และส่งข้อความยาวๆ เกี่ยวกับความรู้สึกและความเข้าใจของเขาต่อพระวจนะบทตอนนั้น ฉันดูออกว่าเขารู้สึกขัดแย้งและกังวลว่าจะเดินบนเส้นทางที่ผิด และดูออกว่าเขากลัวว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะหมายถึงการนับถือนิกายอื่นและการทรยศต่อองค์พระเยซูเจ้า ฉันหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งเจอแล้วส่งไปให้เขา พร้อมทั้งสามัคคีธรรมว่า “คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มศาสนาใดๆ คริสตจักรนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการทรงปรากฏและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมา ไม่ใช่เพราะมีใครก่อตั้งนิกายใหม่ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เปิดฉากยุคแห่งราชอาณาจักร และปิดฉากยุคพระคุณ นอกจากพระเจ้าพระองค์เองผู้ประสูติเป็นมนุษย์แล้ว ไม่มีผู้นำ หรือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนไหนในโลกที่สามารถแสดงความจริง นำทาง หรือช่วยมนุษยชาติให้รอดได้ แม้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะแตกต่างจากองค์พระเยซูเจ้าหรือพระยาห์เวห์ แต่ในแก่นแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน พระยาห์เวห์ องค์พระเยซูเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นเพียงพระนามที่พระเจ้าทรงใช้ในยุคต่างๆ เท่านั้น แต่ไม่ว่าพระนามหรือพระราชกิจของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แก่นแท้ของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าชั่วนิตย์นิรันดร์ พระเจ้าตรัสว่า ‘พระราชกิจที่พระเยซูทำเป็นตัวแทนพระนามของพระเยซู และเป็นตัวแทนยุคพระคุณ ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็เป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจของทั้งสองพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวในสองยุคที่แตกต่างกัน… ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์มีสองพระนามที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกันที่ทำให้พระราชกิจทั้งสองช่วงระยะสำเร็จลุล่วงไป และพระราชกิจที่ทำไปนั้นก็ดำเนินต่อเนื่องกัน เมื่อพระนามแตกต่างกัน และเนื้อหาของพระราชกิจแตกต่างกัน ยุคจึงแตกต่างกัน เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จมา นั่นคือยุคของพระยาห์เวห์ และเมื่อพระเยซูเสด็จมา นั่นก็คือยุคของพระเยซู และดังนั้น ด้วยการเสด็จมาแต่ละครั้ง พระเจ้าจึงใช้พระนามหนึ่ง พระนามนั้นแทนยุคหนึ่ง และพระองค์ทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ และในเส้นทางใหม่แต่ละเส้นทางนั้น พระองค์ก็ใช้พระนามใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และแสดงให้เห็นว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีวันหยุดเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้า ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ต้องก้าวหน้าต่อไปในทิศทางข้างหน้าเพื่อให้บรรลุถึงปลายทาง แต่ละวันพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ แต่ละปีพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ต้องทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ เปิดตัวยุคใหม่ เริ่มต้นพระราชกิจที่ใหม่กว่าและยิ่งใหญ่ขึ้น และนำพระนามใหม่และพระราชกิจใหม่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้… จากพระราชกิจของพระยาห์เวห์จนถึงพระราชกิจของพระเยซู และจากพระราชกิจของพระเยซูมาจนถึงพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน สามช่วงระยะนี้ครอบคลุมแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าให้เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกัน และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว นับตั้งแต่การสร้างโลก พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์อยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงเป็นปฐมและอวสาน และพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุคหนึ่งและองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสิ้นสุดยุคนั้น พระราชกิจสามช่วงระยะในยุคที่แตกต่างกันและในสถานที่ที่แตกต่างกันนั้น คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ พวกที่แยกช่วงระยะทั้งสามนี้ออกจากกันล้วนยืนต่อต้านพระเจ้า บัดนี้จำเป็นที่เจ้าจะต้องเข้าใจว่าพระราชกิจทั้งหมดจากช่วงระยะแรกจนถึงทุกวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว พระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว ไม่อาจมีข้อสงสัยในการนี้ได้’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชัดเจนมาก พระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมนุษยชาติให้รอดนั้นแบ่งออกเป็นสามระยะ ระยะแรกคือพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงออกธรรมบัญญัติเพื่อนำชนชาติอิสราเอลให้ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ระยะที่สองคือพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ และนี่คือครั้งแรกที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมวลมนุษย์ ระยะที่สามคือพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ดังคำเผยพระวจนะที่อยู่ในหนังสือวิวรณ์ พระราชกิจทั้งสามระยะนี้คือแผนการบริหารจัดการที่ครบถ้วนของพระเจ้าในการช่วยมนุษยชาติให้รอด พระเจ้าทรงพระราชกิจที่แตกต่างกันในแต่ละยุค แต่พระราชกิจทั้งสามระยะนี้ล้วนกระทำโดยพระเจ้าองค์เดียวกัน ฉันจะยกตัวอย่างง่ายๆ พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าสามารถเปรียบเทียบได้กับการสร้างบ้านหลังหนึ่ง ยุคธรรมบัญญัติคือรากฐานของบ้าน เพราะหากไม่มีรากฐาน บ้านก็ไม่สามารถสร้างขึ้นได้เลย ยุคพระคุณคือโครงสร้างของบ้าน เพราะหากไม่มีโครงสร้าง บ้านก็ไม่สามารถเป็นรูปเป็นร่างได้ ยุคราชอาณาจักรเปรียบเสมือนหลังคา หากไม่มีขั้นตอนสุดท้ายนี้ บ้านก็จะไม่สมบูรณ์และไม่สามารถกันลมกันฝนได้ ดังนั้น พระราชกิจทั้งสามขั้นตอนนี้จึงขาดไม่ได้เลย การที่เราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้หมายความว่าเราได้ทรยศองค์พระเยซูเจ้า เรื่องเชื่อในพระเจ้าองค์อื่นนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เราเพียงเดินตามรอยพระบาทของพระเมษโปดกให้ทัน ในปัจจุบัน มีศาสนาหลักอยู่หลายศาสนาในโลกนี้ และผู้เชื่อในพระเจ้าได้แยกออกเป็นสองพันกว่านิกาย ไม่ว่าพวกเขาจะเคยสังกัดนิกายใดมาก่อนก็ตาม พี่น้องชายหญิงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้มีความเชื่อที่จริงใจและกระหายต่อการทรงปรากฏของพระเจ้า ได้มายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย และได้ยอมรับการให้น้ำและหล่อเลี้ยงจากพระวจนะของพระองค์ ความจริงข้อนี้ชัดเจนมาก และยังเป็นการลุล่วงคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์อีกด้วย ‘ทรงประสงค์ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์’ (เอเฟซัส 1:10) ‘ในวาระสุดท้ายจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ จะถูกสถาปนาขึ้นเป็นที่สูงสุดของภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้อยู่เหนือบรรดาเนินเขา ประชาชาติทั้งหมดจะหลั่งไหลเข้ามาหา’ (อิสยาห์ 2:2)” หลังจากได้เห็นสิ่งที่บอก ราฟาเอลก็ส่งอีโมจิรูปอธิษฐานมาและบอกว่า “คุณพูดถูก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว เราทุกคนควรมาอยู่ภายใต้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเรียกหาผม พระองค์ทรงรู้ถึงหัวใจ ความกังวล และความกลัวของผม” ฉันจึงส่งภาพยนตร์ข่าวประเสริฐสองสามเรื่องและพระวจนะของพระเจ้าไปให้เขา ฉันยังได้อธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยว่า ไม่ว่าในท้ายที่สุดราฟาเอลจะมาเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่ ฉันจะทำทุกอย่างที่ฉันสามารถทำได้ และเรียนรู้ที่จะรอคอย แสวงหา และนบนอบ
สี่วันต่อมา ฉันได้รับข้อความที่ไม่คาดคิดจากเขา ถามว่าเขาสามารถเข้าร่วมการชุมนุมต่อได้หรือไม่ เขายังบอกอีกว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีค่าสำหรับเขามาก และเป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ จากพระวจนะของพระเจ้า เขาเข้าใจความจริงและความล้ำลึกของพระคัมภีร์มากมาย พระวจนะของพระเจ้าดึงดูดเขา ในขณะนั้น ฉันรู้สึกซาบซึ้งจนถึงกับน้ำตาไหล ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ! ต่อมา เขาบอกว่าเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ฉันส่งให้ และคำถามในพระวจนะเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกผิดมาก เขาพูดว่า “ผมไม่สามารถปล่อยปละละเลยในความเชื่อของตัวเอง หรือมองเห็นเป็นเรื่องล้อเล่นได้ ผมเลยตัดสินใจที่จะสืบค้นหนทางที่แท้จริงต่อไป การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นสำคัญสำหรับผมมาก และผมก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะต้อนรับพระองค์ ผมไม่อยากล่วงเกินหรือทรยศพระองค์ในท้ายที่สุด” ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก! ฉันได้เห็นถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าคือสิ่งที่เปลี่ยนใจราฟาเอล และทำให้เขาตัดสินใจยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมาก และทำให้ฉันตระหนักว่า ไม่ว่าฉันจะพบกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐประเภทใด ตราบใดที่พวกเขาสามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ ฉันก็ควรลุล่วงหน้าที่และภาระผูกพันของตัวเองในการนำพวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า มีเพียงการทำหน้าที่ของเราในหนทางนี้เท่านั้น เราถึงจะไม่ทิ้งหนี้และความเสียใจไว้เบื้องหลัง ขอบคุณพระเจ้า!