82. ตัวเลือกที่ถูกต้อง

ผมเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกล ในครอบครัวที่เป็นชาวนามาแล้วหลายรุ่น ตอนที่ผมยังเรียนอยู่ แม่มักจะสอนผมอยู่เสมอว่า “ครอบครัวของเราไม่มีอะไรให้พึ่งพาเลย ถ้าแกอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาและประสบความสำเร็จในชีวิต แกก็มีแค่ตัวแกเองเท่านั้น ความหวังเดียวของแกคือเรียนหนังสือให้เก่ง” ผมพิจารณาคำพูดเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งผมจะโดดเด่นเหนือกว่าคนอื่นๆ และนำเกียรติมาเผื่อบรรพบุรุษของผม แต่หลังจากเรียนจบ ไม่เพียงแต่ผมจะไม่สามารถหางานที่มั่นคงได้เท่านั้น ทั้งพ่อและแม่ของผมยังล้มป่วยหนักอีกด้วย เราใช้เงินออมของครอบครัวจนหมดและยืมเงินจากญาติๆ ผมไม่สามารถคืนเงินพวกเขาได้ทันเวลา ถึงขั้นที่ป้าของผมเองเรียกผมว่าไอ้ปลิงดูดเลือดลับหลังผมอีกด้วย ผมทุ่มเททำงานหาเงินเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ดูถูกผมอีกต่อไป แต่สภาพครอบครัวยากจนของเรา รวมถึงการถูกญาติพี่น้องของเราเมินเฉย ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจ และผมก็แอบร้องไห้บ่อยครั้ง ในตอนที่ผมกำลังรู้สึกตกต่ำที่สุด เพื่อนคนหนึ่งได้แบ่งปันข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับผม จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและการชุมนุมกับพี่น้องชายหญิง ผมได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ และชะตากรรมของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ผมยังได้เรียนรู้อีกว่าชีวิตนั้นเจ็บปวดมาก เพราะมนุษย์สูญเสียการคุ้มครองจากพระเจ้าหลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ตอนนี้ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และกำลังทรงแสดงความจริง เพื่อช่วยมนุษยชาติจากความเสื่อมทรามและอันตรายจากซาตาน หลังจากที่ได้รู้ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมนุษยชาติให้รอด ผมก็เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมอย่างกระตือรือร้นและอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มทำหน้าที่ของผมในคริสตจักร

หลังจากผ่านไปไม่กี่เดือน เมื่อพี่น้องเห็นว่าผมมีความกระตือรือร้นและปรารถนาที่จะแสวงหาความจริง พวกเขาก็แนะนำให้ผมรับการฝึกฝนเพื่อเป็นหัวหน้ากลุ่ม ผมได้ร่วมงานกับพี่น้องชายชื่อหลี่เจิ้ง และพวกเราทั้งสองก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มชุมนุมบางกลุ่มร่วมกัน ตอนนั้นผมมีงานทำอยู่ หลี่เจิ้งจึงไปเข้าร่วมการชุมนุมตอนกลางวันซึ่งอยู่ไกลออกไปเล็กน้อย ส่วนผมไปเข้าร่วมการชุมนุมตอนเย็น ด้วยวิธีนั้น ทุกอย่างก็เข้ากับตารางเวลาของผม พอใกล้สิ้นปี เรามีบุคลากรไม่เพียงพอในการดูแลงานทั่วไป หลี่เจิ้งจึงถูกมอบหมายให้ไปรับผิดชอบงานส่วนนั้น และผมก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มเหล่านั้นเป็นการชั่วคราว ผมรู้ว่าผมต้องพึ่งพาพระเจ้าและทำในส่วนของผม แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกว่าผมอยู่ในจุดที่ยากลำบาก ถ้าผมทุ่มเวลาและความพยายามทั้งหมดไปกับการทำหน้าที่ ผมก็คงจะไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับงานของผม บริษัทของผมตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีไว้ที่หนึ่งล้านหยวน และถ้าผมทำได้เกินกว่านั้น ผมจะได้รับโบนัสสิ้นปีที่มากขึ้น ผมคิดว่า “ถ้าผมบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ไม่เพียงแต่ผมจะสามารถชำระหนี้ได้เท่านั้น แต่ผมยังสามารถประหยัดเงินได้อีกด้วย แล้วเพื่อนๆ และญาติๆ ของผมก็จะไม่ดูถูกผมอีก บางทีผมควรจะทำเงินนี่ให้ได้ก่อน แล้วค่อยทำหน้าที่ของผมต่อไป” หัวหน้าของผมต้องการให้ผมทำงานล่วงเวลาในตอนเย็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ผมจึงทำงานเพิ่มหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นในตอนกลางคืน จากนั้นจึงหยุดงานเพื่อไปเข้าร่วมการชุมนุม แต่ไม่นาน หัวหน้าของผมก็ไม่อนุญาตให้ผมหยุดงานอีกต่อไปและต้องการให้ผมทำงานล่วงเวลาเพิ่ม นั่นทำให้ผมไปชุมนุมสายบ่อย พี่น้องของผมเตือนผมว่าผมต้องไปให้เร็วกว่านี้ และผมก็พยักหน้าให้พวกเขาอย่างไม่เต็มใจ หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ได้รับคำสั่งซื้อล็อตใหญ่มูลค่ากว่า 500,000 หยวน และได้รับเงินมากกว่า 7,000 หยวนในเดือนนั้น ซึ่งยิ่งทำให้ผมอยากได้เงินเพิ่มมากยิ่งขึ้น ผมคิดว่า: “ว้าว ได้เงินเร็วจริง ๆ! แค่คำสั่งซื้อนี้ก็กวาดไปได้มากกว่าครึ่งของเป้าสิ้นปีแล้ว ถ้าลูกค้าอีกห้ารายในสิบรายนี้ตกลงสั่งซื้อเพิ่ม ฉันคงจะได้เงินก้อนโตเลย! แล้วถ้าได้ลูกค้ารายใหญ่เพิ่มอีก บางทีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าฉันอาจจะซื้อบ้านกับรถได้เลยก็ได้! แล้วพอได้ดิบได้ดีแบบนั้นกลับไปบ้านเกิด ชาวบ้านก็คงจะนับหน้าถือตาฉันมากแน่ๆ” ดังนั้น ผมจึงทุ่มเทสุดตัวให้กับความฝันในการหาเงินก้อนโต โดยทำงานล่วงเวลาจนดึกดื่นอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งผมก็นึกถึงพี่น้องที่กำลังรอผมไปเข้าร่วมการชุมนุม และผมก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่พอเลิกงานก็สายเกินไปแล้ว ผมกลับมาถึงบ้านอย่างเหน็ดเหนื่อย และเข้านอนทันทีเพราะไม่มีแรงอ่านพระวจนะของพระเจ้า บางเช้าผมก็ตื่นสายมาก ก็เลยแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างผ่านๆ แล้วก็รีบไปทำงาน ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับพระเจ้าในตอนที่ผมอธิษฐาน เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแบบนั้น ผมก็เริ่มทำหน้าที่ด้วยความสุกเอาเผากินมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้มาใหม่บางคนที่ผมต้องรับผิดชอบมีความจำเป็นต้องได้รับการให้น้ำอย่างเร่งด่วน แต่ผมดันขอให้พี่น้องคนอื่นไปเข้าร่วมการชุมนุมกับผู้มาใหม่แทนผม แต่พวกเขาต่างก็มีหน้าที่ของตนเอง และบางครั้งไม่สามารถทำแทนผมได้เช่นกัน ผลที่ตามมาก็คือ ประสิทธิผลในการให้น้ำได้รับผลกระทบ ต่อมาพี่น้องชายหญิงก็สามัคคีธรรมกับผมเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับหน้าที่เป็นอันดับแรก และเตือนผมว่าการเข้าร่วมการชุมนุมแบบขอไปทีและความไม่รับผิดชอบในหน้าที่นั้น จะเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในชีวิตของผู้มาใหม่ การได้ยินแบบนั้นทำให้ผมกลัว หากผู้เชื่อใหม่ไม่ได้รับการให้น้ำอย่างทันท่วงที พวกเขาอาจถูกข่าวลือชักพาให้หลงผิดและเลิกเชื่อไปได้ และนั่นก็เท่ากับว่าผมกำลังกระทำความชั่ว ผมรู้ว่าผมไม่สามารถดำเนินชีวิตเช่นนั้นต่อไปได้ ผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและสัญญาว่าจะกลับใจและเปลี่ยนแปลง

หลังจากนั้น ผมก็ไปตรวจดูว่ากลุ่มของผมเป็นอย่างไรบ้าง ผมเห็นว่าเพราะการที่ผมไม่ได้ทำงานอย่างจริงจัง ปัญหาและความยากลำบากของผู้มาใหม่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขทันเวลา จึงทำให้พวกเขาอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ บางคนถึงขั้นไม่เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอด้วยซ้ำ ผมรู้สึกผิดอย่างมากเมื่อเห็นสภาพของสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนั้น ผู้เชื่อใหม่ๆ ยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพวกเขาต้องการการให้น้ำและการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยให้พวกเขาสร้างรากฐานในหนทางที่แท้จริงได้ดีขึ้น ผมรู้สึกว่าควรลาออกจากงานและทุ่มเทเวลาให้กับหน้าที่ของผมแบบเต็มตัว แต่เจ้านายของผมได้มอบหมายงานดีๆ ให้กับผมจำนวนหนึ่ง และหัวหน้าของผมก็บอกว่าจะช่วยหาลูกค้าให้ผมเพิ่มเติม เมื่อผมบอกเพื่อนร่วมงานว่ากำลังคิดจะลาออก พวกเขาก็บอกว่า “ตอนนี้คุณทำยอดมาได้เกินครึ่งทางแล้ว คุณทำได้ทะลุเป้าก่อนสิ้นปีแน่ๆ มาล้มเลิกตอนนี้มันน่าเสียดายนะ” เมื่อได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกว่ามันน่าเสียดาย และอยากจะอดทนจนถึงสิ้นปีแล้วค่อยลาออก อย่างไรก็ตาม คริสตจักรยังคงขาดแคลนคนอยู่ หากผมให้ความสนใจแค่กับการหาเงินจากงานของตัวเอง และไม่ทุ่มเทให้กับงานของคริสตจักร ก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างมาก นี่เป็นปัญหาหนักใจสำหรับผมจริงๆ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้าขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำผม

แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังฟังเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าที่มีชื่อว่า “ทุกวันที่เจ้าดำรงชีวิตอยู่ตอนนี้มีความสำคัญยิ่งยวด” ผมได้ยินสิ่งนี้ “ตอนนี้ แต่ละวันที่พวกเจ้าใช้ชีวิตล่วงไปนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และมีความสำคัญสูงสุดต่อบั้นปลายและชะตากรรมของพวกเจ้า  ดังนั้น พวกเจ้าจะต้องทะนุถนอมทุกสิ่งที่พวกเจ้ามีในวันนี้ และมองเห็นความล้ำค่าของแต่ละนาทีที่ผ่านไป  เจ้าต้องหาเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้มาทำให้ตัวเจ้าได้ประโยชน์มากที่สุด เจ้าจะได้ไม่ใช้ชีวิตนี้อย่างไร้ค่า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?)  นอกจากนี้ผมยังฟัง “เวลาที่เสียไปไม่มีวันย้อนคืน” “จงตื่นเถิด พี่ชายน้องชายทั้งหลาย!  จงตื่นเถิด พี่สาวน้องสาวทั้งหลาย!  วันของเราจะไม่ถูกทำให้ล่าช้า เวลาคือชีวิต และการยึดเวลากลับมาก็คือการช่วยชีวิตให้รอด!  เวลาอยู่ไม่ไกลแล้ว!  หากพวกเจ้าล้มเหลวในการสอบเข้าวิทยาลัย พวกเจ้าสามารถเรียนและสอบซ้ำได้หลายครั้งตามที่เจ้าเห็นชอบ  อย่างไรก็ดี วันของเราจะไม่ทนกับความล่าช้าอีกต่อไป  จงจำไว้!  จงจำไว้!  เรารบเร้าเจ้าด้วยวจนะดีๆ เหล่านี้  บทอวสานของโลกเปิดเผยคลี่คลายออกมาต่อหน้าต่อตาของพวกเจ้า และความวิบัติอันใหญ่หลวงก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว  สิ่งใดสำคัญกว่า: ชีวิตของพวกเจ้า หรือการนอนหลับของพวกเจ้า อาหารและเครื่องดื่มและเสื้อผ้าของพวกเจ้า?  ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องชั่งน้ำหนักสิ่งเหล่านี้แล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 30)  บทเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ทำให้ผมประทับใจ พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือการสรุปจบยุคสมัย พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของแต่คนละคน โดยการแยกคนเหล่านั้นตามประเภทของพวกเขา ในท้ายที่สุด ทุกคนจะได้รับการช่วยให้รอดและรักษาไว้ หรือไม่ก็ตกสู่ความพินาศ ซึ่งนั่นขึ้นอยู่กับว่าเราไล่ตามเสาะหาความจริงในตอนนี้อย่างไร นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะตัดสินจุดจบและชะตากรรมของเรา ทุกวันนี้เราต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งแล้วครั้งเล่า แผ่นดินไหว น้ำท่วม และภัยแล้งเกิดขึ้นในอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราไม่ทราบว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดเมื่อใด ผมรู้ว่าถ้าผมไม่ใช้เวลาของผมในการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควร และไปไล่ตามเงินและชีวิตที่ง่ายดายเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อแทน โอกาสของผมที่จะได้รู้ความจริงและได้รับความรอดจะถูกทำลายลง ผมนึกถึงภรรยาของโลท เหล่าทูตสวรรค์นำครอบครัวของเธอออกจากเมืองและบอกพวกเขาไม่ให้หันกลับไปมอง แต่เธอหันกลับไปมองเพราะความโลภในทรัพย์สินและทรัพย์สมบัติของเธอ การกระทำดังกล่าวทำให้เธอกลายเป็นเสาเกลือ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความอับอาย ผมเป็นเหมือนกับภรรยาของโลท ผมโลภในทรัพย์สินและไล่ตามเสาะหาความสุขทางโลก เอามือจับคันไถและหันหลังกลับไป ผมช่างโง่และตาบอดจริงๆ! ผมนึกถึงตอนที่ตัวเองล่องลอยอยู่ในโลกเมื่อก่อน มีหนี้สินมากมายโดยที่ไม่มีทางออก ความรอดของพระเจ้าได้มาสู่ผมและพาผมออกจากความทุกข์ทรมาน ช่วยให้ผมมีโอกาสไล่ตามเสาะหาความจริงและความรอด ผมสำราญในความรักของพระเจ้าแต่ไม่มีความปรารถนาที่จะตอบแทนความรักนั้น ผมละเลยและไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ผมไร้ซึ่งมโนธรรม ผมไม่สามารถยังคงอยู่บนเส้นทางที่ผิดอย่างดื้อรั้นได้ แทนที่จะทำเช่นนั้น ผมต้องละทิ้งผลประโยชน์ส่วนตัว ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของตนให้ถูกควร

หลังจากนั้นผมก็เริ่มนึกสงสัยว่า ทำไมผมถึงไม่สามารถละทิ้งงานและเงินได้เลย ต้นเหตุคืออะไร แล้ววันหนึ่ง ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการวินิจฉัยหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน  ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และเมื่อใส่โซ่ตรวนเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างพวกมันออกไป  พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวทรามยิ่งขึ้นทุกที  ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  “‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?  บางทีผู้คนอาจไม่เข้าใจคติพจน์นี้ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้?  บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน  นี่คือสิ่งใด?  มันคือการบูชาเงิน  มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่?  มันยากมาก!  ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ!  ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5)  พระวจนะของพระเจ้าเผยให้ผมได้เห็นรากแห่งการไล่ตามเงินทองและชื่อเสียง ตั้งแต่ที่ผมยังเด็ก ผมคิดว่าปรัชญาของซาตานอย่าง “เงินทองทำให้โลกหมุนไป” และ “จงยืนอยู่เหนือผู้อื่นและนำเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของท่าน” เป็นคำที่ควรยึดมั่นในการดำรงชีวิต ผมคิดว่าเมื่อมีเงินทอง ผู้คนจะพูดได้อย่างมั่นใจและมีศักดิ์ศรี และพวกเขาจะภาคภูมิ สูงส่ง และได้รับความเคารพ ผมคิดว่านั่นคือวิธีเดียวในการมีชีวิตที่มีคุณค่าและมีเกียรติ โดยเฉพาะตอนที่ญาติพี่น้องตั้งใจเมินผม ผมทำงานล่วงเวลามากขึ้นเพื่อหาเงินให้เยอะขึ้น โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้หลุดพ้นจากสายตาที่ชวนให้อึดอัดของพวกเขา หลังจากที่รับเชื่อ ผมก็รู้ว่าผมต้องเข้าชุมนุมและทำหน้าที่ของตนเองมากขึ้น เพื่อเข้าใจถึงความจริงและก้าวหน้าในชีวิต แต่ผมก็ยังไม่อาจละทิ้งการแสวงหาเงินทองและสถานะของตนได้ ในยามที่ผมต้องเลือกระหว่างภาระหน้าที่และการงาน ผมก็ให้เงินมาก่อน ไม่ค่อยใส่ใจหน้าที่นัก เมื่องานของผมไปได้ดีและมีรายได้มากขึ้น ความปรารถนาของผมก็ยิ่งแรงกล้า ผมเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหาวิธีเพิ่มลูกค้าและเพิ่มยอดคำสั่งซื้อเพื่อให้ได้ค่าจ้างที่สูงขึ้น โดยไม่ใส่ใจงานของคริสตจักรเลย ซึ่งแปลว่าผู้มาใหม่บางคนไม่ได้รับการให้น้ำในเวลาที่เหมาะสมจนเกือบละทิ้งความเชื่อ และงานให้น้ำก็ล่าช้าอย่างมาก เป็นตอนนั้นเองที่ผมตระหนักว่า การใช้ชีวิตตามปรัชญาของซาตานทำให้ผมเห็นแก่ตัวและโลภมากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง ผมได้ชื่นชมการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ของผมเพื่อตอบแทนพระองค์เลย ผมไม่มีเหตุผลหรือจิตสำนึกเอาเสียเลย! ซาตานใช้เงินทองและฐานะล่อลวงและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ซาตานดึงหัวใจของผมให้ออกห่างจากพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นทุกที จนถึงจุดที่ว่าผมเพียงแค่ทำพอเป็นพิธี แม้แต่ในเวลาอธิษฐานและอ่านพระวจนะของพระเจ้า หากเป็นเช่นนั้นต่อไป ผมก็จะไม่ได้รับความจริง และผมจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอดจากพระเจ้า

ในเวลาต่อมา ผมได้ยินเพลงสรรเสริญอีกเพลงหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า ชื่อว่า “การพลาดโอกาสที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าถือเป็นความเสียใจตลอดชีวิต” ซึ่งมีใจความว่า “เจ้าควรกลายเป็นผู้ตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้าตรงนี้และในตอนนี้ เจ้าไม่ควรรอให้พระเจ้าเผยให้มนุษยชาติทั้งปวงเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วค่อยมาตระหนักรู้ถึงภาระของพระเจ้ามากขึ้น  เมื่อถึงเวลานั้นจะไม่สายเกินไปหรอกหรือ?  บัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  หากเจ้าปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เจ้าจะเสียใจไปตลอดชีวิต เช่นเดียวกับที่โมเสสไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนคานาอันอันดีงามได้ และเสียใจไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา ตายไปด้วยความสำนึกเสียใจ  ทันทีที่พระเจ้าได้เผยให้ปวงประชาเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แล้ว เจ้าก็จะเต็มไปด้วยความเสียใจ  ต่อให้พระเจ้ามิได้ทรงตีสอนเจ้า เจ้าก็จะตีสอนตัวเจ้าเองเพราะความสำนึกเสียใจของเจ้าเอง  โอกาสดีที่สุดที่จะบรรลุความเพียบพร้อมคือปัจจุบัน บัดนี้คือเวลาที่เหมาะสมอย่างที่สุด  หากเจ้าไม่พยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า ทันทีที่พระราชกิจของพระองค์สรุปปิดตัว ก็จะสายเกินไป—เจ้าย่อมจะพลาดโอกาสไปแล้ว  ไม่ว่าความทะเยอทะยานของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด หากพระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจอีกต่อไป เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะใช้ความพยายามเช่นไร เจ้าจะไม่มีวันสามารถที่จะบรรลุความเพียบพร้อมได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม)  ผมสัมผัสได้ถึงความคาดหวังของพระเจ้าที่มีต่อเราผ่านพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงหวังว่าเราจะให้ความสำคัญกับช่วงเวลาอันมีค่านี้ เพื่อแสวงหาความจริงอย่างเหมาะสม ทำหน้าที่ของเราอย่างดี และได้รับความรอดจากพระองค์ นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับการทำให้ความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า และเป็นช่วงเวลาสำคัญในการทำหน้าที่ของเรา ในการทำหน้าที่ของเรานั้น เมื่อใช้หลักปฏิบัติในการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ เราสามารถเรียนรู้ความจริงได้มากขึ้นและก้าวหน้าในชีวิตได้เร็วขึ้น หากผมไม่คว้าโอกาสนี้ในการฝึกฝนให้ดี แต่ยังไล่ตามเงินทองต่อไป ผมก็คงจะไม่เหลืออะไรเลยเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น และความเสียใจใดๆ ที่มีก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จริงแล้ว เราควรพอใจกับชีวิตที่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่ม หากเราละเลยหน้าที่เพื่อไปหาเงินก้อนโต ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนั้นจะเป็นภัยต่อชีวิตของเรา และเราจะสูญเสียโอกาสอันน่าเหลือเชื่อที่จะได้รับความจริงและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า ซึ่งเป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างมาก!

ต่อมาผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “ในฐานะใครคนหนึ่งที่ปกติและไล่ตามเสาะหาความรักแด่พระเจ้า การเข้าสู่ราชอาณาจักรเพื่อกลายเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าคืออนาคตที่แท้จริงของพวกเจ้า และเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและมีนัยสำคัญมากที่สุด ไม่มีผู้ใดได้รับพรมากไปกว่าพวกเจ้า  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อเนื้อหนัง และพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อซาตาน แต่วันนี้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรากล่าวว่าชีวิตของพวกเจ้ามีนัยสำคัญมากที่สุด  เฉพาะผู้คนกลุ่มนี้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตที่มีนัยสำคัญมากที่สุด นั่นคือ ไม่มีใครอีกเลยในแผ่นดินโลกที่สามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมายเช่นนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์)  การอ่านพระวจนะจากพระเจ้าเหล่านี้ทำให้ผมมีกำลังใจ การไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำความรู้จักพระเจ้าเป็นหนทางเดียวในการมีชีวิตที่มีความหมายอย่างแท้จริง เมื่อก่อน ผมใช้ชีวิตตามปรัชญาซาตานมาโดยตลอด โดยคิดว่าทุกคนจะชื่นชมผมถ้าผมมีเงินและสถานะ และคิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้ชีวิตผมมีความหมาย แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง หากปราศจากความเชื่อและไม่ได้รับความจริงในชีวิต ผู้คนก็จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดๆ ได้อย่างแท้จริง ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองมาจากไหน หรือไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ พวกเขามุ่งแสวงหาสถานะและเงินทอง โดยไม่คิดที่จะหันกลับไม่ว่าตนเองจะทนทุกข์มากแค่ไหน เมื่อความวิบัติมาถึง คนประเภทนี้ย่อมต้องพินาศไป และเงินทองของพวกเขาก็จะไร้ประโยชน์ ช่างน่าเศร้าเหลือเกินที่ต้องถูกซาตานใช้เป็นของเล่นและทำร้ายมาทั้งชีวิต แต่การมีความเชื่อและการไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นต่างออกไป เราอาจไม่ได้รับความพึงพอใจทางวัตถุมากนัก แต่เมื่อได้รู้ความจริง เราก็จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย และจะไม่ถูกล่อลวงหรือผูกมัดด้วยเงินทองอีกต่อไป เราจะได้รับสันติสุขและความรู้แจ้ง โยบมีทรัพย์สินมากมายในครอบครัว แต่เขาไม่ได้หาความสุขจากสิ่งนั้น เขามุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจการปกครองของพระเจ้าในทุกสิ่ง รวมถึงการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว เมื่อบททดสอบมาถึงเขา เขาไม่เคยบ่นเลย และสามารถตั้งมั่นในการเป็นพยานได้ เขาได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า และในที่สุดพระเจ้าก็ทรงปรากฏต่อหน้าเขา ชีวิตของโยบมีความหมายและมีค่า เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ผมจึงเขียนใบลาออก เมื่อเห็นว่าผมตัดสินใจแล้ว หัวหน้าก็ไม่ได้พยายามรั้งผมไว้ ขั้นตอนการลาออกของผมผ่านไปอย่างราบรื่น ทันทีที่ผมเดินออกจากบริษัท ผมรู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระ

หลังจากนั้นผมก็ทุ่มเททำหน้าที่ของตัวเอง และช่วยพี่น้องให้น้ำผู้มาใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน ผู้เชื่อใหม่มาเข้าร่วมการชุมนุมด้วยความกระตือรือร้น และชีวิตในคริสตจักรก็เริ่มคึกคักขึ้น ผมรู้สึกถึงความสงบสุขอย่างแท้จริง! ขอบคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  81. ประสบการณ์ในการแบ่งปันข่าวประเสริฐที่ไม่อาจลืมเลือน

ถัดไป:  85. หญิงพรหมจารีมีปัญญาเท่านั้นที่สามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger