12. เส้นทางอันลำบากยากเย็นของฉันสู่ความร่วมมืออย่างกลมเกลียว

ในเดือนกรกฎาคมปี 2020 ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และได้รับมอบหมายให้ดูแลงานของคริสตจักรร่วมกับพี่น้องหญิงเฉินฉือ ตอนเริ่มทำหน้าที่นั้นครั้งแรก ฉันยังจับความเข้าใจหลักธรรมไม่ได้หลายข้อ และจะหารือกับเธอทุกครั้งที่มีคำถาม ฉันยอมรับคำแนะนำใดๆ ที่เธอให้อย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นสักพัก ฉันก็เริ่มเห็นผลสำเร็จในหน้าที่บ้าง ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถในงานและทำงานเองได้ หลังจากนั้น เมื่อได้รับมอบหมายงาน ฉันจะจัดการเองโดยไม่หารือกับเฉินฉือ แม้ในบางกรณีที่เราควรจะตัดสินใจร่วมกัน ฉันก็จะตัดสินใจเอง เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้กระทำตามหลักธรรม เฉินฉือมักจะเตือนฉันให้หยุดตัดสินใจโดยพลการ บางครั้งเธอถึงกับพูดเรื่องนี้ต่อหน้ามัคนายกหลายคน ฉันรู้สึกว่าเธอจ้องจับผิดฉัน เธอไม่ให้เกียรติฉันและทำให้ฉันอับอาย ฉันเลยรู้สึกไม่ยอมรับเธอนิดหน่อย บางครั้งตอนเราคุยงานกัน เธอจะปฏิเสธแนวคิดของฉัน แล้วฉันจะคิดอย่างท้าทายว่า “เราทั้งคู่ดูแลงานของคริสตจักร แล้วทำไมสิ่งที่คุณพูดถึงถูก แต่สิ่งที่ฉันพูดถึงผิดล่ะ? คุณปฏิเสธแนวคิดของฉันตลอด นั่นทำให้ดูเหมือนว่าคุณดีกว่าฉันไม่ใช่เหรอ? พี่น้องชายหญิงจะไม่คิดว่าฉันเป็นผู้นำที่แย่หรอกเหรอ? แล้วฉันจะสู้หน้าทุกคนยังไงล่ะ?” ฉันเริ่มมีอคติต่อเธอ หลังจากนั้น เมื่อเราคุยงานกัน ทันทีที่ความคิดเห็นของฉันถูกปฏิเสธ ฉันจะแค่เงียบ แม้ว่าบางครั้งฉันจะคิดว่าเธอพูดถูก แต่แค่คิดว่าต้องยอมเธอฉันก็รู้สึกอึดอัดแล้ว นานวันเข้า อคติที่ฉันมีต่อเธอก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น ฉันไม่อยากคุยกับเธอ โดยเฉพาะเรื่องงาน เธอถูกฉันจำกัดมากจริงๆ ส่วนฉันก็รู้สึกอัดอั้นและเก็บกดมาก

ในเดือนมกราคม ปี 2021 เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพ การที่เราขาดความร่วมมืออย่างกลมเกลียวกันมานาน และความรู้สึกว่าถูกฉันจำกัด เฉินฉือจำนนต่อความคิดลบอยู่ช่วงหนึ่งและไม่อาจฟื้นตัวได้ ในที่สุดเธอก็ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนตุลาคม คริสตจักรจัดการเลือกตั้งเพื่อหาคนมารับตำแหน่งผู้นำที่ว่างอยู่ ผู้นำระดับสูงคนหนึ่งพูดถึงเฉินฉือและถามถึงสถานการณ์ของเธอ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง พี่น้องหญิงหวังจือซิน พูดว่า “ช่วงนี้สภาวะของเธอดีขึ้นมาก และเธอแบกรับภาระในหน้าที่มากขึ้น” นี่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลนิดหน่อย “เธอคงจะชื่นชมเฉินฉือสินะ พอได้ยินอย่างนั้น ผู้นำต้องคิดว่าเฉินฉือเหมาะกับตำแหน่งนี้แน่ๆ ถ้าเธอได้รับเลือกจริงๆ จะไม่ได้แปลว่าเราต้องร่วมงานกันอีกเหรอ?” เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงช่วงที่เราร่วมงานกัน ฉันก็รู้สึกกลัวมากว่า “เมื่อก่อนตอนที่เรามีความคิดเห็นต่างกันเรื่องวิธีดำเนินงาน เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่จะเข้าข้างเฉินฉือ ไม่มีใครฟังฉันเลย แถมเธอมีสำนึกของความยุติธรรม ตอนสังเกตเห็นว่าฉันไม่ได้กระทำตามหลักธรรม เธอก็จะบอกฉันเรื่องนั้น ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกอับอาย ฉันทุกข์ใจมากตอนร่วมงานกับเธอ ถ้าฉันต้องร่วมงานกับเธออีก จะไม่เข้าอีหรอบเดิมเหรอ? ถ้าเธอชี้ให้เห็นปัญหาของฉันอยู่ตลอด ภาพลักษณ์ที่ฉันสร้างมาในหมู่พี่น้องชายหญิงจะไม่พังหมดเหรอ?” เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็ไม่อยากร่วมงานกับเฉินฉือจริงๆ ฉันคิดว่า “ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องบอกทุกคนเรื่องความเสื่อมทรามที่เธอเคยเผยให้เห็น ไม่งั้นจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากถ้าเธอได้รับเลือก” จากนั้นฉันก็รีบสาธยายพฤติกรรมแย่ๆ ของเธอทั้งหมด รวมถึงว่าเธอห่วงเรื่องสถานะ ไม่แบกรับภาระในหน้าที่ตัวเอง และอื่นๆ พอกังวลว่าเจาะจงไม่มากพอ ฉันก็ยกบางตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงมาประกอบด้วย ผู้นำมองออกว่าฉันปฏิบัติต่อเฉินฉืออย่างเป็นธรรมไม่ได้ และสามัคคีธรรมกับฉันถึงหลักธรรมในการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรม แต่ฉันก็ทำหูทวนลม ไม่กี่วันต่อมา การเลือกตั้งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ และพี่น้องหญิงหลี่หมิงถามฉันถึงสถานการณ์ของเฉินฉือ ฉันคิดในใจว่า “เธอไม่ได้สนิทกับเฉินฉือ และก็ไม่ได้รู้จักเฉินฉือดี ฉันต้องบอกเธอว่าเฉินฉือไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ แบบนั้นเธอจะได้ไม่ลงคะแนนให้เฉินฉือ” ฉันเลยเล่าให้เธอฟังเรื่องพฤติกรรมแย่ๆ ของเฉินฉือในอดีตแบบหมดเปลือก รวมถึงเรื่องไม่แบกรับภาระในหน้าที่ด้วย แต่แล้วจู่ๆ พี่น้องหญิงที่อยู่ใกล้ๆ ก็พูดว่า “เฉินฉือไม่ได้แบกรับภาระในตอนนั้นเพราะเธออยู่ในสภาวะที่แย่ ในช่วงหลังนี้ เธอได้พลิกสภาวะของตัวเอง และกำลังแบกรับภาระในหน้าที่ แถมเธอสามัคคีธรรมกับเราอย่างใจเย็น และช่วยเราตอนเราไม่เข้าใจบางอย่างในหน้าที่” พอได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็เริ่มกระวนกระวายว่า “ทำไมคุณถึงเอาแต่ชมเฉินฉือ? คุณลงคะแนนให้เธอแล้วเหรอ? หลี่หมิงจะลงคะแนนให้เธอด้วยไหมหลังจากได้ยินสิ่งที่คุณพูด? ถ้าเธอได้รับเลือกจริงๆ เราจะต้องร่วมงานกันอีก แล้วฉันจะไม่แค่ไม่สามารถโดดเด่นได้ ฉันจะต้องถูกเธอตำหนิตลอดด้วย จะดีกว่าถ้ามีการเลือกคู่ทำงานคนใหม่ แบบนั้นเขาจะได้เห็นด้วยกับความคิดเห็นของฉันเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉันเป็นผู้นำมาสักพักแล้วและเข้าใจหลักธรรมมากกว่า ต่อให้ฉันทำอะไรผิด เขาก็คงจะเห็นไม่ชัดเจนและจะไม่วิจารณ์ฉันตรงๆ จะได้ไม่มีใครท้าทายสถานะของฉัน” ยิ่งคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าจะปล่อยให้เฉินฉือได้รับเลือกไม่ได้ ฉันเลยพูดทันทีว่าเฉินฉือมีประสบการณ์ชีวิตไม่มากนัก และเพียงแค่แบ่งปันคำพูดและคำสอน เมื่อเห็นหลี่หมิงพยักหน้า ฉันก็รู้สึกโล่งใจนิดหน่อย คิดว่าหมายความว่าเธอคงจะไม่ลงคะแนนให้เฉินฉือ นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้ว เฉินฉือและพี่น้องหญิงอีกคนจะได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดเท่ากัน ฉันเริ่มกังวลยิ่งกว่าเดิมว่าเฉินฉือจะได้รับเลือกและเริ่มร่วมงานกับฉันอีก หลังจากนั้นสักพัก ผู้นำถามฉันว่า “ถ้าเฉินฉือได้รับเลือกจริงๆ คุณจะรู้สึกยังไง?” คำถามทำให้ฉันกังวลว่าพวกเขาอาจจะเลือกเฉินฉือจริงๆ ฉันเลยรีบพูดว่า “เฉินฉือมีประสบการณ์ชีวิตไม่มากนัก แถมมีอุปนิสัยเสื่อมทรามร้ายแรง…” ผู้นำดูออกว่าฉันไม่ยอมรับเฉินฉือมากแค่ไหน และเปิดโปงฉันอีกครั้งว่า “คุณสังเกตเห็นแต่จุดอ่อนของผู้คน แต่ไม่เคยสังเกตเห็นจุดแข็งของพวกเขา คุณจะไม่สามารถร่วมมือกับใครได้ดีถ้าเป็นแบบนั้น คุณกำลังโอหังและทะนงตนนะ” การได้ยินผู้นำพูดว่าฉันจะไม่สามารถร่วมมือกับใครได้ดีกระทบใจฉันมาก ฉันรู้สึกว่าผู้นำได้เปิดเผยเจตนาของฉัน และจะมองฉันไม่ดีอย่างแน่นอน ตอนนี้ทั้งพี่น้องชายหญิงและผู้นำต่างก็ชอบเฉินฉือ แล้วฉันจะทำหน้าที่ต่อไปได้ยังไง? ฉันรู้สึกแย่มากและถึงกับไม่อยากเป็นผู้นำอีกต่อไป ฉันคิดว่า “ถ้าพวกคุณคิดว่าเธอดีนัก ก็เลือกเธอไปเลยสิ” ฉันเลยพูดกับผู้นำว่า “ฉันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี ร่วมมือกับใครก็ไม่ได้ ฉันทำหน้าที่นี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ฉันคิดว่าคุณควรเลือกผู้นำคนอื่นมาแทนที่ฉัน” ผู้นำสามัคคีธรรมกับฉันว่า “ผมไม่ได้พูดว่าคุณกำลังโอหังและทะนงตนเพื่อตีกรอบคุณ แต่เพื่อผลักดันคุณให้แสวงหาความจริงและแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของคุณ…” พอได้ยินอย่างนี้ ฉันก็รู้ตัวว่ากำลังระบายความโกรธกับหน้าที่ และรู้สึกผิดและไม่สบายใจนิดหน่อย แต่พอคิดเรื่องร่วมงานกับเฉินฉือ ฉันก็เริ่มหงุดหงิด ฉันไม่อยากรับมือสถานการณ์นี้ เลยอ้างว่ามีงานอื่นแล้วผละออกมา ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวใจมาก ฉันรู้ตัวว่ากำลังต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ได้ทรงซ่อนพระพักตร์จากฉัน แถมฉันหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ฉันด้วย ถ้าฉันไม่พลิกสถานการณ์ พระเจ้าจะทรงดูหมิ่นฉัน และฉันจะสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไป ณ จุดนี้ ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อย เลยมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า มีบทเรียนที่ข้าพระองค์ต้องเรียนรู้จากสถานการณ์ที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ข้าพระองค์ในวันนี้ ข้าพระองค์ผิดที่หลีกเลี่ยงและไม่ยอมรับบทเรียน แต่ข้าพระองค์ไม่แน่ใจว่าจะทบทวนและเข้าใจตัวเองอย่างไร โปรดทรงชี้แนะข้าพระองค์ให้นบนอบการจัดการเตรียมการของพระองค์และได้บทเรียนไปพร้อมๆ กันด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกสงบลงนิดหน่อย

มีการประกาศผลการเลือกตั้งในวันต่อมาว่า เฉินฉือได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ข่าวนี้ไม่ได้กระทบฉันมากนัก ฉันเริ่มทบทวนตัวเองว่า ฉันวิจารณ์ความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเฉินฉือมาโดยตลอด แต่ไม่เคยพูดถึงจุดแข็งและข้อดีของเธอเลย ฉันไม่ได้กีดกันเธอหรอกเหรอ? ฉันเลยค้นหาพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่างๆ เรื่องศัตรูของพระคริสต์กีดกันผู้ที่คัดค้านพวกตน พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งตรงประเด็นมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์กีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร?  พวกเขามักจะใช้วิธีการที่คนอื่นเห็นว่ามีเหตุผลและถูกควร โดยถึงกับใช้การถกเถียงเกี่ยวกับความจริงเพื่อให้มีข้อได้เปรียบ เพื่อที่จะโจมตี กล่าวโทษ และชักพาผู้อื่นให้หลงผิด  ตัวอย่างเช่น ศัตรูของพระคริสต์คิดว่าหากเพื่อนร่วมงานของตนเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อนร่วมงานของพวกเขาก็สามารถเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขาได้ และด้วยเหตุนั้นศัตรูของพระคริสต์จะกล่าวคำเทศนาอันสูงส่งและอภิปรายทฤษฎีฝ่ายวิญญาณเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิดและทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาสูงส่ง  ในหนทางนั้นพวกเขาสามารถดูแคลนและกดข่มเพื่อนร่วมงานและผู้ร่วมงานของตนได้ และทำให้ผู้คนรู้สึกว่าถึงแม้เพื่อนร่วมงานของผู้นำของตนจะเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาก็ไม่เท่าเทียมกับผู้นำของตนในแง่ของขีดความสามารถและศักยภาพ  บางคนถึงกับกล่าวว่า ‘คำเทศนาของผู้นำของเรานั้นสูงส่ง และไม่มีใครสามารถเทียบได้’  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ การได้ยินความคิดเห็นประเภทนั้นคือสิ่งที่น่าพอใจเป็นที่สุด  พวกเขาคิดกับตนเองว่า ‘คุณเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน คุณไม่มีความเป็นจริงความจริงบ้างหรือ?  เหตุใดคุณจึงไม่สามารถพูดจาอย่างคมคายและมีระดับได้อย่างฉัน?  ตอนนี้คุณอับอายขายหน้าไปหมดแล้ว  คุณไร้ซึ่งศักยภาพ แต่คุณกลับกล้าต่อสู้กับฉัน!’  นั่นคือสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์กำลังคิด  เป้าหมายของศัตรูของพระคริสต์คืออะไร?  พวกเขากำลังพยายามทำทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อกดข่ม ดูแคลน และยกตนเองขึ้นเหนือคนอื่น  นี่คือวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์ปฏิบัติต่อทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือทำงานกับพวกเขา… นอกเหนือจากการทำชั่วเหล่านี้ ศัตรูของพระคริสต์ยังทำบางสิ่งที่น่าดูหมิ่นยิ่งกว่านั้น นั่นก็คือพวกเขาพยายามคิดหาวิธีที่จะมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่เสมอ  ตัวอย่างเช่น หากบางคนประพฤติผิดประเวณีหรือกระทำผิดอย่างอื่น ศัตรูของพระคริสต์จะฉวยเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นอำนาจงัดในการโจมตีพวกเขา มองหาโอกาสที่จะดูถูก เปิดโปง และพูดให้ร้ายพวกเขา ตีตราพวกเขาเพื่อให้พวกเขาหมดกำลังใจที่จะมีใจกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนเพื่อที่พวกเขาจะได้รู้สึกเป็นลบ  ศัตรูของพระคริสต์ยังทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเลือกปฏิบัติต่อพวกเขา หน่ายหนี และปฏิเสธพวกเขาด้วย เพื่อให้บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงถูกโดดเดี่ยว  ในท้ายที่สุด เมื่อบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงทุกคนรู้สึกเป็นลบและอ่อนแอ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข็งขันอีกต่อไป และไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมการชุมนุม เป้าหมายของศัตรูของพระคริสต์ก็สัมฤทธิ์  เนื่องจากบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงไม่เป็นเหตุให้เกิดภัยคุกคามต่อสถานะและอำนาจของพวกเขาอีกต่อไป และไม่มีใครกล้ารายงานหรือเปิดโปงพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ศัตรูของพระคริสต์จึงรู้สึกสบายใจได้… โดยสรุปแล้ว บนพื้นฐานของการสำแดงเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์ พวกเราอาจตัดสินได้ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำ เพราะพวกเขาไม่ได้กำลังนำผู้คนในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าหรือการสามัคคีธรรมความจริง และพวกเขาก็ไม่ได้กำลังให้น้ำหรือค้ำชูผู้คน โดยเปิดโอกาสให้ผู้คนเหล่านั้นได้รับความจริง  ตรงกันข้าม พวกเขากลับขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร รื้อถอนและทำลายงานของคริสตจักร ตลอดจนหน่วงเหนี่ยวผู้คนบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริงและการได้รับความรอด  พวกเขาต้องการนำประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้หลงเจิ่นและเป็นเหตุให้พวกเขาสูญสิ้นโอกาสที่จะได้รับความรอด  นี่คือเป้าหมายสูงสุดที่ศัตรูของพระคริสต์ต้องการสัมฤทธิ์โดยการขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักร(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สาม: พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง)  พระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ทิ่มแทงใจฉันมาก พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าศัตรูของพระคริสต์กดข่มและกีดกันผู้ที่คัดค้านพวกตน จับผิดและดูหมิ่นผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อเสริมความมั่นคงให้สถานะของตัวเอง ฉันปฏิบัติกับเฉินฉือแบบนั้นเลยไม่ใช่เหรอ? ในช่วงการเลือกตั้ง เมื่อเห็นว่าทุกคนชื่นชมเธอ ฉันก็จำได้ว่าตอนที่เราร่วมงานกันก่อนนั้น คนอื่นล้วนยอมรับแนวคิดของเธอ และเธอได้รับความสนใจไปหมดแทนที่จะเป็นฉัน แถมเธอชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของฉันตลอด ซึ่งทำให้ฉันเสียหน้า ฉันกังวลว่าถ้าเธอได้รับเลือกอีกครั้ง ก็คงจะเข้าอีหรอบเดิมอีก พี่น้องชายหญิงจะฟังและชื่นชมแต่เธอ และจะไม่มีใครฟังฉันอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดว่าเฉินฉือแบกรับภาระได้ และเมื่อพี่น้องหญิงอีกคนคิดจะลงคะแนนให้เธอ ฉันเลยรู้สึกถึงวิกฤตและทำทุกวิถีทางเพื่อปฏิเสธจุดแข็งของเธอ ถือเอากรณีความเสื่อมทรามในอดีตของเธอเป็นเรื่องใหญ่ ฉันพูดว่าเธอมีประสบการณ์ชีวิตไม่มากนักและไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พยายามทำให้ทุกคนเกิดอคติต่อเธอ เพื่อจะได้ไม่ลงคะแนนให้เธอ เมื่อผู้นำสังเกตเห็นปัญหาของฉันและตัดแต่งฉันที่ปฏิบัติต่อเฉินฉืออย่างไม่เป็นธรรม ฉันก็มองว่าฉันไม่ได้ดังใจ แล้วก็เริ่มไร้เหตุผล อยากจะละทิ้งหน้าที่ ทุกอย่างที่ฉันพูดเต็มไปด้วยเจตนาแอบแฝงที่ฉลาดแกมโกง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อปกป้องความทะนงตนและสถานะของตัวเอง นั่นต่างจากศัตรูของพระคริสต์ที่โจมตีผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อเสริมความมั่นคงให้สถานะของตัวเองยังไง? ตอนนี้มีความจำเป็นเร่งด่วนให้ผู้คนร่วมมือกันในงานของคริสตจักร แม้ว่าเฉินฉือจะแสดงสัญญาณของความเสื่อมทรามและมีข้อบกพร่อง แต่เธอก็มีสำนึกของความยุติธรรมและแบกรับภาระในหน้าที่ตัวเอง เธอแสวงหาความจริงเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา และเป็นคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เธอจึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ แต่ฉันกลับกังวลว่าเธอจะคุกคามสถานะของฉันในสายตาคนอื่น ฉันเลยทำทุกวิถีทางเพื่อดูหมิ่นและกีดกันเธอ โดยไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรแม้แต่น้อย ฉันไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเลย ฉันทำหน้าที่ของตัวเองแบบไหนกัน? ฉันก่อกวนและขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันทำชั่ว! เมื่อตระหนักเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกทันทีว่าจริงๆ แล้วที่ผ่านมาฉันน่ารังเกียจแค่ไหน ในอดีตฉันคิดมาตลอดว่า การกีดกันและลงโทษผู้คนเป็นการกระทำของศัตรูของพระคริสต์ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า ฉันก็มีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์เหมือนกัน และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ถ้าฉันไม่กลับใจ ก็มีแต่จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และทรงกำจัดออกไป เมื่อคิดได้ ฉันก็รู้สึกกลัวมาก แต่ก็เข้าใจด้วยว่า การถูกตัดแต่งและถูกเผยเป็นโอกาสของฉันที่จะทบทวนและกลับใจ ฉันจำเป็นต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเอง และร่วมมือกับเฉินฉืออย่างถูกควรเพื่อทำงานของคริสตจักรให้ดีและชดเชยความเสียใจในอดีต

หลังจากนั้น ฉันก็เปิดใจกับพี่น้องชายหญิงเรื่องความเสื่อมทรามของตัวเอง เพื่อที่พวกเขาจะได้มีวิจารณญาณแยกแยะต่อสิ่งที่ฉันพูดเกี่ยวกับเฉินฉือก่อนหน้านี้ และปฏิบัติกับเธออย่างถูกควร เมื่อเห็นเฉินฉือ ฉันก็หยุดกีดกันและไม่ยอมรับเธอ ใส่ใจและถามถึงสภาวะของเธออย่างจริงจัง คุยงานและร่วมมือกับเธอ เราค่อยๆ เริ่มเข้ากันได้ดีขึ้นมาก ฉันเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก โดยเฉพาะในช่วงการชุมนุม เมื่อเฉินฉือพูดถึงประสบการณ์และความเข้าใจของเธอในแบบที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก ฉันก็รู้สึกละอายใจยิ่งกว่าเดิม ในตอนนั้นฉันเกือบจะทำให้พี่น้องหญิงของฉันเสียโอกาสเป็นผู้นำ ฉันเกือบจะทำชั่ว

ต่อมา ฉันยังคงแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเอง ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ความทะนุถนอมที่ศัตรูของพระคริสต์มีต่อความมีหน้ามีตาและสถานะนั้นมีมากกว่าของผู้คนปกติ และเป็นสิ่งที่มีอยู่ในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา  นี่หมายความว่าในทุกสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ สิ่งแรกที่พวกเขาคำนึงถึงก็คือความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น  สำหรับศัตรูของพระคริสต์ ความมีหน้ามีตาและสถานะคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา  ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน?  แล้วความมีหน้ามีตาของฉันล่ะ?  การทำเช่นนี้จะทำให้ฉันเป็นที่นับหน้าถือตาหรือไม่?  นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’  นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาคำนึงถึงสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้… และพวกเขาก็จะยังคงคิดออกแต่เรื่องความมีหน้ามีตาและสถานะเท่านั้น  แม้ว่าศัตรูของพระคริสต์จะเชื่อในพระเจ้าเช่นกัน แต่พวกเขาก็มองว่าการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะเทียบได้กับความเชื่อในพระเจ้า และวางสองสิ่งนี้ไว้ในระดับเดียวกัน  ซึ่งหมายความว่าขณะที่พวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเองไปด้วย  อาจกล่าวได้ว่าในหัวใจของศัตรูพระคริสต์ การไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ และการไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะก็เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงเช่นกัน การได้มาซึ่งความมีหน้ามีตาและสถานะก็คือการได้มาซึ่งความจริงและชีวิต  ถ้าพวกเขารู้สึกว่าตนนั้นไม่มีชื่อเสียง ผลประโยชน์ หรือสถานะ รู้สึกว่าไม่มีผู้ใดยกย่อง ยอมรับนับถือ หรือติดตามพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมผิดหวังอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่มีคุณค่าในการเชื่อเช่นนั้น และพวกเขากล่าวกับตนเองว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นเป็นความล้มเหลวหรือไม่?  ฉันสิ้นหวังแล้วไม่ใช่หรือ?’  พวกเขามักจะคิดคำนวณเรื่องเช่นนี้อยู่ในหัวใจของพวกเขา  พวกเขาคิดคำนวณวิธีที่พวกเขาจะสามารถสร้างพื้นที่ให้ตนเองในพระนิเวศของพระเจ้า วิธีที่พวกเขาจะสามารถมีหน้ามีตาสูงส่งอยู่ในคริสตจักร วิธีที่พวกเขาจะสามารถทำให้ผู้คนรับฟังเมื่อพวกเขาพูด และสนับสนุนเมื่อพวกเขาลงมือทำ วิธีที่พวกเขาจะสามารถทำให้ผู้คนติดตามพวกเขาไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน และวิธีที่พวกเขาจะสามารถมีเสียงที่มีอิทธิพลในคริสตจักร มีชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ—หัวใจของพวกเขาสนใจแต่สิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง  เหล่านี้คือสิ่งที่คนพวกนี้ไล่ตามเสาะหา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สาม))  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าศัตรูของพระคริสต์หวงแหนหน้าตาและสถานะของตัวเอง และทุกสิ่งที่พวกเขาทำมีจุดประสงค์เพื่อไล่ตามไขว่คว้าอำนาจ พวกเขาอยากให้ทุกคนเชื่อฟัง และมีพวกเขาอยู่ในใจ โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาทำทั้งหมดนี้เพื่อสร้างอาณาจักรอิสระของตัวเอง และแก่งแย่งผู้คนกับพระเจ้า เพื่อทำให้ผู้คนบูชาพวกเขา ฉันได้เห็นว่าสิ่งที่ฉันสำแดงออกมานั้นเหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเลย ฉันพยายามปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาคนอื่น แสวงหาสถานะและการมีสิทธิ์ชี้ขาดอยู่เสมอ ฉันอยากเป็นจุดสนใจของทุกคน พอมีคนเก่งกว่าเข้ามา ฉันก็มองว่าพวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อสถานะตัวเอง และจะโจมตีและกีดกันพวกเขา ฉันปฏิบัติกับเฉินฉืออย่างนั้นเลย กังวลว่าถ้าเธอได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันจะไม่สามารถโดดเด่นได้ ฉันเลยใส่ไฟเรื่องความเสื่อมทรามในอดีตของเธอเพื่อชักพาให้คนอื่นหลงผิดจนไม่ลงคะแนนให้เธอ ฉันถึงกับหวังว่าคู่ทำงานคนใหม่จะได้รับเลือก แบบนั้นไม่ว่าฉันจะพูดหรือทำอะไร ต่อให้ไม่สอดคล้องกับหลักธรรม คู่ทำงานคนใหม่ของฉันก็จะเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจน และจะไม่เปิดโปงหรือวิจารณ์ฉัน เพราะฉันเป็นผู้นำมานานกว่ามาก จากนั้นฉันก็จะเป็นคนใหญ่คนโตในคริสตจักร สั่งอะไรก็ได้ตามนั้น อยากทำอะไรก็ทำได้ ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของฉันไร้การควบคุมอย่างสิ้นเชิง ฉันตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง! เพื่อคงอำนาจปกครองแบบเผด็จการ พรรคคอมมิวนิสต์จีนอนุญาตให้ผู้คนติดตามและยอมจำนนต่อพรรคเท่านั้น พรรคห้ามไม่ให้ผู้คนเชื่อและติดตามพระเจ้าโดยเด็ดขาด และผู้ที่เชื่อจะถูกจับกุมและข่มเหงอย่างโหดร้าย ฉันเองก็ทำได้ถึงขั้นกดข่มและกีดกันผู้คนเพื่อปกป้องสถานะของตัวเอง ไม่อยากเชื่อเลยว่าเพื่อสถานะแล้วฉันทำตัวเลวร้ายแค่ไหน ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันควรร่วมงานกับผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่อทำงานของคริสตจักรให้ดี และพาพี่น้องชายหญิงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่ฉันเอาแต่คิดถึงหน้าตาและสถานะ ฉันไม่มีที่ว่างในหัวใจให้งานของคริสตจักร หรือการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง และฉันไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าเลย ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี แต่ก็ยังกดข่มพี่น้องหญิงของฉันเพื่อเห็นแก่สถานะของตัวเอง พระเจ้าทรงรังเกียจสิ่งที่ฉันทำมาก!

ฉันตระหนักว่ามีอีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันกดข่มและกีดกันเฉินฉือ ซึ่งก็คือ เธอคอยวิจารณ์ฉัน เปิดโปงฉัน และทำให้ฉันเสียหน้า ฉันพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนต่อไปนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวะนี้ว่า “เจ้าควรทำอย่างไรหากเจ้าปรารถนาจะทิ้งระยะห่างจากเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์?  เจ้าควรริเริ่มที่จะเข้าใกล้คนที่รักความจริง คนที่เที่ยงธรรม เข้าใกล้คนที่สามารถชี้ให้เจ้าเห็นประเด็นปัญหาทั้งหลาย ผู้ที่สามารถพูดตามความจริงและตำหนิเจ้าในยามที่ค้นพบปัญหาของเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถตัดแต่งเจ้าในยามที่พวกเขาค้นพบปัญหาของเจ้า—นี่คือคนที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้ามากที่สุด และเจ้าก็ควรทะนุถนอมพวกเขา  หากเจ้ากีดกันและกำจัดคนดีเช่นนี้ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะสูญเสียการคุ้มครองจากพระเจ้า และความวิบัติก็จะค่อยๆ มาสู่เจ้า  ด้วยการเข้าใกล้คนดีและคนที่เข้าใจความจริง เจ้าย่อมจะมีสันติสุขและความชื่นบานยินดี และเจ้าย่อมจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดความวิบัติได้ ด้วยการเข้าใกล้คนสามานย์ คนที่ไร้ยางอาย และคนที่ประจบสอพลอเจ้า เจ้าย่อมจะตกอยู่ในอันตราย  ไม่เพียงแต่เจ้าจะถูกลวงและหลอกให้หลงกลอย่างง่ายดายเท่านั้น แต่ความวิบัติยังอาจมาถึงเจ้าได้ตลอดเวลาอีกด้วย  เจ้าต้องรู้ว่าคนประเภทใดสามารถทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากที่สุด—นั่นก็คือบรรดาผู้ที่เตือนเจ้าเมื่อเจ้าทำบางสิ่งที่ผิด หรือเมื่อเจ้ายกย่องและเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับตัวเองและชักพาผู้อื่นให้หลงผิด นั่นสามารถทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากที่สุด  การเข้าใกล้คนเช่นนี้คือเส้นทางเดินที่ถูกต้อง  พวกเจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  หากใครบางคนกล่าวบางสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อความมีหน้ามีตาของเจ้าและเจ้าใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้าไปกับการขุ่นเคืองพวกเขาโดยกล่าวว่า ‘เหตุใดคุณจึงเปิดโปงฉัน?  ฉันไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อคุณ  เหตุใดคุณจึงต้องทำสิ่งทั้งหลายให้ลำบากยากเย็นสำหรับฉันอยู่เสมอ?’ และเจ้าก็มีความขุ่นแค้นฝังใจในหัวใจของเจ้า ความแตกร้าวเปิดกว้างขึ้น และเจ้าคิดอยู่เสมอว่า ‘ฉันเป็นผู้นำ ฉันมีอัตลักษณ์และสถานะนี้ และฉันจะไม่อนุญาตให้คุณพูดอย่างนั้น’ เช่นนั้นนี่คือการสำแดงประเภทใด?  นี่ไม่ใช่การยอมรับความจริงและเป็นการตั้งตนเป็นปรปักษ์กับผู้อื่น นี่คือการไม่รับรู้เหตุผลอยู่ในที  นี่ไม่ใช่ความคิดเกี่ยวกับสถานะของเจ้าที่ก่อความทุกข์ยากลำบากหรอกหรือ?  นี่แสดงให้เห็นว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าร้ายแรงเกินไป  พวกที่เก็บงำความคิดเกี่ยวกับสถานะเอาไว้อยู่เสมอคือคนที่มีอุปนิสัยที่ร้ายแรงของศัตรูของพระคริสต์  หากพวกเขาก็กระทำชั่วเช่นกัน เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะถูกเผยออกมาและกำจัดออกไปอย่างรวดเร็วมาก  การที่ผู้คนปฏิเสธและไม่ยอมรับความจริงเป็นอันตรายมาก!  การมีความอยากที่จะแย่งชิงสถานะและต้องการละโมบประโยชน์แห่งสถานะอยู่เสมอเป็นสัญญาณของภาวะอันตราย  เมื่อหัวใจของคนเราถูกสถานะตีกรอบอยู่เสมอ คนเรายังสามารถปฏิบัติความจริงและรับมือกับสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่?  หากคนเราไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติและกระทำการเพื่อประโยชน์แห่งชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะเสมอ รวมทั้งใช้อำนาจของตนในการทำสิ่งต่างๆ เช่นนั้นพวกเขาไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์ที่ชัดเจนซึ่งแสดงธาตุแท้ของพวกเขาหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับให้ตัวเอง)  เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า พี่น้องชายหญิงไม่ได้เปิดโปงและวิจารณ์ฉัน เพื่อล้อเลียน ดูหมิ่น หรือทำให้ฉันอับอาย แต่เพื่อช่วยให้ฉันรู้จักตัวเอง นี่จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของฉัน และจะรับรองว่าฉันไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ผิด ฉันคิดย้อนกลับไปตอนที่ฉันกับเฉินฉือร่วมมือกัน และเธอเปิดโปงฉันตรงๆ หลังจากสังเกตเห็นว่าฉันทำตัวโอหัง ทะนงตน และกระทำโดยพลการ นั่นคือความช่วยเหลืออันเปี่ยมรักที่เธอได้มอบให้ฉัน การมีคนแบบนั้นอยู่ข้างๆ เพื่อกำกับดูแลฉันเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของฉัน แต่ในตอนนั้น ฉันไม่ยอมรับสิ่งนั้นจากพระเจ้า และรู้สึกอยู่ตลอดว่าเธอทำให้ฉันเสียหน้าด้วยการวิจารณ์และเปิดโปงฉันต่อหน้าคนอื่น ฉันเลยเริ่มมีอคติต่อเธอและกีดกันเธอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงว่าฉันมีอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ พระวจนะของพระเจ้าได้มอบเส้นทางแห่งการปฏิบัติแก่ฉันว่า ฉันควรอยู่กับผู้คนที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงให้มากขึ้น และเมื่อฉันทำอะไรผิดและขัดต่อหลักธรรม ฉันก็ควรละทิ้งสถานะและความทะนงตน แล้วฟังความคิดของพวกเขา แบบนี้ฉันจะหลีกเลี่ยงการทำชั่วได้ ฉันคิดว่าถึงแม้ฉันจะเป็นผู้นำ แต่ก็ยังขาดความเข้าใจเชิงลึกในหลายประเด็น และถูกอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองครอบงำ ดังนั้นฉันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวนบ้างในหน้าที่ การทำงานกับผู้อื่นอย่างกลมเกลียว อีกทั้งช่วยเหลือและเกื้อหนุนกันและกันเท่านั้น ที่จะทำให้ฉันสามารถทำหน้าที่และทำงานของคริสตจักรได้ดี หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็เปิดใจกับเฉินฉือและขอโทษเธอ เล่าเรื่องที่ฉันโจมตีและกดข่มเธอให้เธอฟังอย่างหมดเปลือก พอได้ยินอย่างนั้น เธอก็สามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของตัวเองเพื่อช่วยฉัน ด้วยการเปิดใจและการสามัคคีธรรม พวกเราจึงทลายกำแพงระหว่างกันลงได้

มีช่วงหนึ่งที่ฉันละเลยงานธุรการทั่วไปเพราะยุ่งกับงานอื่น พี่น้องหญิงหยางหยานยี่ที่ดูแลงานนั้นวิจารณ์ฉันอย่างไม่รักษาน้ำใจว่า “คุณไม่ได้ชุมนุมกับเรามาสองเดือนแล้ว คุณไม่ได้แก้ไขความลำบากยากเย็นที่เรามีในหน้าที่ และชีวิตของเราก็ได้รับผลเสีย พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า ผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จมอบหมายงานแล้วไม่ติดตามผล ถ้างั้นคุณไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จเหรอ?” พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็ไม่ยอมรับ และคิดเข้าข้างตัวเองว่า “ในช่วงสองเดือนมานี้ ฉันถามถึงสภาวะของคุณนะ แค่ถามไม่บ่อยขนาดนั้น อีกอย่าง นี่เป็นเพราะฉันยุ่งกับงานอื่น คุณจะเรียกฉันว่าผู้นำเทียมเท็จแค่เพราะเรื่องนั้นไม่ได้ ในเมื่อคุณเป็นแบบนี้ ฉันจะกล้าติดตามผลงานของคุณในอนาคตได้ยังไง? หากคุณจับได้ว่าฉันทำอะไรผิดอีก แล้วไปหาผู้นำระดับสูงเพื่อรายงานและฟ้องว่าฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันจะไม่สูญเสียสถานะเหรอ? ไม่ได้การแล้ว ต่อไปฉันจะปล่อยให้คุณดูแลงานไม่ได้” แต่แล้วฉันก็นึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ฉันโจมตีและกีดกันเฉินฉือ แล้วตอนนี้ฉันก็ไม่อยากปล่อยให้หยานยี่ดูแลงานเหมือนกันหลังจากที่เธอแสดงความคิดเห็นเรื่องฉัน ฉันยังโจมตีและกีดกันผู้ที่มีความเห็นแตกต่างอยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “เจ้าต้องเข้าใกล้คนที่สามารถพูดกับเจ้าตามความจริง การมีคนเช่นนี้อยู่เคียงข้างเจ้าเป็นข้อดีอย่างยิ่งกับเจ้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีคนดีอยู่รอบๆ ตัวเจ้าดังเช่นบรรดาผู้ที่มีความกล้าที่จะตำหนิเจ้าและเปิดโปงเจ้าเวลาที่พวกเขาค้นพบปัญหาเกี่ยวกับเจ้านั้น สามารถป้องกันไม่ให้เจ้าออกนอกลู่นอกทางไป  พวกเขาไม่สนใจว่าสถานะของเจ้าคืออะไร และชั่วขณะที่พวกเขาค้นพบว่าเจ้าทำบางสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักธรรมความจริง เมื่อนั้นพวกเขาก็จะตำหนิและเปิดโปงเจ้าหากจำเป็น  มีเพียงคนเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นคนที่เที่ยงธรรม คนที่มีสำนึกถึงความยุติธรรม และไม่สำคัญว่าพวกเขาเปิดโปงและตำหนิเจ้าอย่างไร นั่นล้วนเป็นประโยชน์ต่อเจ้า และล้วนเป็นเรื่องของการกำกับดูแลเจ้าและผลักดันเจ้าไปข้างหน้า  เจ้าต้องเข้าใกล้คนเช่นนี้ เมื่อมีคนเช่นนี้เคียงข้างเจ้าและช่วยเหลือเจ้า เจ้าย่อมมีความปลอดภัยมากขึ้นทีเดียว—นี่เองคือการมีการคุ้มครองจากพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่สี่: พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานยืนยันเกี่ยวกับให้ตัวเอง)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ค่อยๆ สงบลง ฉันคำนึงอย่างรอบคอบว่า ถึงแม้หยานยี่จะตัดแต่งฉันอย่างรุนแรง แต่เธอก็พูดความจริง ในช่วงสองเดือนนั้น ฉันไม่ได้เข้าใจหรือแก้ไขสภาวะและปัญหาของเธอ การเข้าสู่ชีวิตของเธอได้รับผลเสียจริงๆ ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันมีหน้าที่คอยติดตามสภาวะของพี่น้องชายหญิง และแก้ไขความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ฉันจะหนีความรับผิดชอบไม่ได้ ไม่ว่าฉันจะยุ่งแค่ไหน แต่ฉันกลับไม่แสดงว่าเป็นห่วงหยานยี่เลย ตอนเธอให้ข้อเสนอแนะบางอย่าง ฉันก็อยากโจมตีเธอเพื่อแก้แค้น เพราะคิดว่าเธอทำให้หน้าตาและสถานะของฉันเสียหาย และถ้าเธอเอาเรื่องฉันไปฟ้อง ฉันก็จะสูญเสียสถานะ ฉันมันช่างปองร้ายจริงๆ! ตอนที่หยานยี่ตัดแต่งฉันนั้น เธอดูแลงานของฉันและปฏิบัติความจริง ถ้าฉันโจมตีและแก้แค้นเธอ ฉันจะขัดกับความจริงและทำชั่ว เมื่อตระหนักได้อย่างนี้ ฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ตัวแล้วว่ามีธรรมชาติปองร้าย ข้าพระองค์อยากโจมตีและแก้แค้นหยานยี่เพื่อปกป้องหน้าตาของตน นี่เป็นการลงโทษผู้คน ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาที่จะกระทำตามอุปนิสัยเสื่อมทรามของตนอีกต่อไปแล้ว ข้าพระองค์พร้อมที่จะปฏิบัติความจริงและยอมรับข้อเสนอแนะของหยานยี่” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกผิดเป็นพิเศษและอยากจะขอโทษ แต่ที่น่าประหลาดใจคือ เธอขอโทษฉันก่อน โดยพูดว่าเธอล้ำเส้นไปหน่อยและพูดจาด้วยอุปนิสัยเสื่อมทราม ฉันก็ขอโทษเธอเหมือนกันว่า “คุณทำถูกแล้วที่ตัดแต่งฉัน ฉันไม่ได้ทำงานจริงจริงๆ น่ะแหละ และฉันควรทบทวนเรื่องนี้” ฉันรู้สึกว่าพี่น้องชายหญิงตัดแต่งและช่วยเหลือฉัน ก็เพื่อให้ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่ได้ทำงานจริง สิ่งนี้มาจากพระเจ้าและเป็นการทรงคุ้มครองฉัน ขอบคุณพระเจ้า!

จากประสบการณ์เหล่านี้ ฉันได้ตระหนักว่าฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมเสียอย่างร้ายแรง และฉันละโมบหน้าตาและสถานะมากเกินไป เมื่อเป็นเรื่องความทะนงตนและสถานะของตัวเอง ฉันทำได้ถึงขั้นกดข่มและกีดกันผู้คน ฉันตระหนักด้วยว่า ไม่ว่าเราจะเผชิญสถานการณ์ใด เราต้องให้ความสำคัญกับการทบทวนและรู้จักตัวเอง และการแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา เมื่อนั้นเองที่เราจะหลีกเลี่ยงการทำชั่วและการต่อต้านพระเจ้าได้ ขอบพระคุณพระเจ้า!

ก่อนหน้า:  11. การไม่พากเพียรในหน้าที่ทำร้ายผม

ถัดไป:  13. ความเสียหายจากการทำอย่างขอไปที

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

26. เปิดประตูสู่หัวใจของฉันและต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

โดยหยงหย่วน สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1982 ครอบครัวของเราอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกากันทั้งครอบครัว...

31. ยึดมั่นในหน้าที่ของฉัน

โดย หย่างมู่ ประเทศเกาหลีใต้ฉันเคยรู้สึกอิจฉาเมื่อเห็นพี่น้องชายหญิงแสดง ร้องเพลง และเต้นรำในการสรรเสริญพระเจ้า...

29. ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger