13. ความเสียหายจากการทำอย่างขอไปที

โดย ซิ้นจื่อ อิตาลี

เดือนตุลาคมปี 2021 ฉันเริ่มฝึกให้นำผู้มาใหม่ ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฉันก็ตระหนักว่าสิ่งที่ต้องเรียนรู้มีล้นมือ ฉันต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงแห่งนิมิต และฉันยังต้องฝึกสามัคคีธรรมตามความจริงเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา แต่ความเข้าใจความจริงของฉันตื้นเขิน แถมฉันยังคุยไม่เก่ง ฉันพบว่ามันเป็นหน้าที่ที่ยากเย็นจริงๆ เมื่อหัวหน้าทีมอยากให้ฉันแก้ปัญหาของผู้มาใหม่โดยเร็ว ฉันก็รู้สึกว่าทำให้สำเร็จยากเป็นพิเศษ ผู้มาใหม่ทุกคนมีปัญหามากมาย เพื่อแก้ไข ฉันต้องแสวงหาความจริงเป้าหมายเยอะมาก และพิจารณาว่าจะสามัคคีธรรมให้ชัดเจนยังไง นี่ต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก ฉันจึงบอกหัวหน้าทีมว่าฉันขาดความสามารถและทำได้ไม่ดี หัวหน้าทีมสามัคคีธรรมกับฉัน และบอกว่าฉันต้องแบกภาระในหน้าที่ และไม่ควรกลัวความทุกข์ยาก หลังจากฟังสามัคคีธรรม ฉันก็ฝืนใจเห็นด้วยไป แต่ในใจ ฉันไม่อยากยอมลำบากเลย ในการชุมนุม ฉันคอยสามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่อย่างที่เคย และเพราะฉันไม่เข้าใจความติดขัดของพวกเขา ฉันจึงสามัคคีธรรมไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่บรรลุผลอะไร ทำให้จำนวนผู้มาใหม่ที่เข้าร่วมชุมนุมเป็นประจำเริ่มลดลง พอหัวหน้าทีมรู้ปัญหาก็ขอให้ฉันช่วยหนุนใจพวกเขาทันที แต่ฉันคิดว่า “ฝ่ายข่าวประเสริฐก็สามัคคีธรรมตามความจริงแห่งนิมิตกับพวกเขาไปเยอะแล้ว ดังนั้นถ้าพวกเขายังไม่มาชุมนุม ให้ฉันไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? อีกอย่าง ผู้มาใหม่พวกนั้นก็ไม่มาชุมนุมในพักหลังๆ ดังนั้นการไปสามัคคีธรรมกับพวกเขาจะใช้เวลามากแน่นอน ซึ่งจะเหน็ดเหนื่อยทีเดียว” พอคิดแบบนั้น ฉันจึงส่งข้อความไปทักทายพวกเขาสั้นๆ และพักคนที่ไม่ตอบไว้ก่อน ไม่เสียสมองไปใส่ใจพวกเขา พวกคนที่มีปัญหามากกว่า ฉันก็จะเก็บเอาไว้สามัคคีธรรมทีหลังสุด หรือไม่ก็ปัดภาระไปให้คนงานข่าวประเสริฐหนุนใจแทน ไม่นานนัก ผู้มาใหม่บางคนก็เลิกมาชุมนุมเพราะปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขอยู่นานมาก เมื่อไรก็ตามที่ฉันสังเกตว่าผู้มาใหม่ไม่มาชุมนุม ฉันจะรู้สึกผิดและหัวเสีย คิดว่าฉันควรยอมลำบากมากกว่านี้เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา แต่พอฉันคิดว่ามันจะยุ่งยากแค่ไหน ฉันก็ปล่อยให้มันผ่านๆ ไป

ฉันจำได้ว่าผู้มาใหม่คนหนึ่งซึ่งเป็นคาทอลิคมาก่อน ซึ่งเกิดมโนคติอันหลงผิดเรื่องการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าและการทำงานในยุคสุดท้าย และเลิกมาชุมนุม ไม่ว่าฉันจะส่งข้อความหรือโทรหาเธอแค่ไหน เธอก็ไม่ตอบกลับ สองวันต่อมา เธอก็ส่งข้อความนี้มา “ฉันเกิดในครอบครัวคาทอลิค ฉันเป็นคาทอลิคตั้งแต่ยังเล็ก แล้วตอนนี้ก็ผ่านมา 64 ปีแล้ว ฉันเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าได้เท่านั้น ฉันไม่สามารถเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้อีกต่อไป” สิ่งที่ฉันตอบกลับไปก็คือ “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา การยอมรับงานในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นทางเดียวเพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักร” แต่เธอก็ไม่ตอบกลับมา ฉันติดต่าหาเธออีกสองสามครั้ง แต่เธอก็เพิกเฉย ฉันจึงผลักปัญหานี้ให้หัวหน้าทีม ฉันประหลาดใจเมื่อเธอส่งพระวจนะบทตอนที่เกี่ยวข้องมาให้ ให้ฉันแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขเรื่องนี้ เมื่อเห็นว่าฉันต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วยความจริงมากมาย และครุ่นคิดว่าจะสามัคคีธรรมเพื่อบรรลุผลยังไง ก็รู้สึกน่าเหนื่อยใจมาก ผู้มาใหม่คนนั้นไม่ตอบกลับฉัน และต่อให้ฉันมีความจริงพร้อม เธอก็อาจจะยังไม่ฟังสามัคคีธรรมของฉันอยู่ดี ฉันจึงปัดเรื่องเธอออกไปและไม่สนใจเธอ มีผู้มาใหม่คนหนึ่งที่ทำงานยุ่งทุกวันจริงๆ และเธอไม่เคยมีเวลาเข้าร่วมชุมนุมที่ฉันชวนเลย ตอนแรก ฉันคอยส่งพระวจนะและเพลงสรรเสริญให้เธอทุกวัน แต่ทุกครั้งเธอก็จะแค่ตอบว่า “อาเมน” แล้วก็ไม่โผล่มาที่การชุมนุม สุดท้าย ฉันก็เลิกส่งพระวจนะของพระเจ้าให้เธอ ฉันรู้สึกว่าเธองานยุ่งเกินไป ซึ่งคือความเป็นจริงของเธอ และไม่ว่าฉันจะลงทุนเวลาไปมากแค่ไหน ก็แก้ปัญหานั้นไม่ได้ ฉันรู้ว่าฉันควรจัดเวลาชุมนุมไม่ให้เป็นอุปสรรคกับเธอ แล้วหาพระวจนะบทตอนที่เกี่ยวข้องเพื่อสามัคคีธรรมถึงมโนคติอันหลงผิดของเธอ นี่เป็นทางบรรลุผลทางเดียว ฉันรู้สึกว่าการทำแบบนี้มันยุ่งยากวุ่นวาย ฉันจึงไม่อยากยอมลำบาก แต่ถ้าฉันไม่แบ่งปันสามัคคีธรรมนั้น แล้วผู้นำมารู้เข้า เธอก็จะจัดการกับฉันที่ไม่ทำงานตามจริง ฉันจึงต้องฝืนสามัคคีธรรมกับผู้มาใหม่คนนั้นหลายครั้ง และพอฉันเห็นว่าเธอยังไม่เข้าร่วมการชุมนุม ฉันรู้สึกว่าเธอไม่กระหายความจริง และไม่ใช่เพราะฉันไม่มีความพยายาม สุดทาย ฉันจึงไม่ใส่ใจเธอ ฉันทำหน้าที่อย่างขอไปทีมาตลอด หลบเลี่ยงความยากเข็ญทุกอย่าง เมื่อฉันเจอเข้ากับผู้มาใหม่ที่มีมโนคติอันหลงผิดหรือความทุกข์ยากจริงๆ ฉันไม่อยากเสียเวลาพิจารณาว่าจะแก้ปัญหาของพวกเขายังไง แล้วก็แค่ส่งต่อพวกเขาไปให้หัวหน้าทีม ผ่านไปสองเดือน ก็มีผู้มาใหม่ร่วมชุมนุมตามปกติน้อยมาก ผู้นำคริสตจักรจัดการฉัน หลังจากรู้เข้า เธอบอกว่าฉันทำหน้าที่แบบสุกเอาเผากิน และบอกว่าฉันต้องเปลี่ยนแปลงทันที ฉันจึงสาบานว่าฉันจะละทิ้งเนื้อหนังและให้น้ำผู้มาใหม่ให้ดี แต่เมื่อเจอผู้มาใหม่ที่มีปัญหาเยอะเข้า ฉันก็ยังไม่เต็มใจยอมลำบากในการแก้ปัญหาของพวกเขา แต่ฉันกลับพูดแค่ว่าฉันขาดความสามารถและไม่เหมาะกับหน้าที่นั้น ฉันยังคงทำงานแบบขอไปที ไม่ปรับปรุงตัว หน้าที่ของฉันจึงไม่เกิดผล ผู้นำจึงจัดการฉันอย่างหนักว่า “คุณทำหน้าที่อย่างขอไปทีเกินไป คุณไม่เคยถามถึงความทุกข์ยากของผู้มาใหม่ กระทั่งรู้เรื่องพวกเขาขึ้นบ้าง คุณก็ไม่พยายามแก้ไข นั่นจะเป็นการทำหน้าที่ได้ยังไง?  คุณแค่กำลังทำร้ายผู้มาใหม่เท่านั้น ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะถูกปลดออก!” พอถูกจัดการและตักเตือนแบบนั้น ฉันก็ทั้งรู้สึกผิดและกลัว ฉันเริ่มทบทวนตัวเองว่า ทำไมฉันทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดี และรู้สึกว่ามันยากเกินไปเสมอเลย?

ในการเฝ้าเดี่ยววันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ที่ว่า “ผู้คนบางคนขาดหลักธรรมในยามที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาทำสิ่งที่ตนเองอยากทำและกระทำการตามอำเภอใจเสมอ  นี่คือความมักง่ายและสุกเอาเผากินมิใช่หรือ?  ผู้คนเหล่านี้กำลังฉ้อโกงพระเจ้ามิใช่หรือ?  และพวกเจ้าเคยพิจารณาบ้างหรือไม่ว่าผลสืบเนื่องของการนี้จะเป็นเช่นไร?  หากพวกเจ้าไม่สนใจน้ำพระทัยของพระเจ้าเวลาที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน หากพวกเจ้าไม่มีมโนธรรม หากพวกเจ้าทำทุกสิ่งโดยไร้ประสิทธิผล หากพวกเจ้าไม่สามารถกระทำการอย่างสุดหัวใจและสุดกำลังของตน พวกเจ้าจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้ากระนั้นหรือ?  ผู้คนมากมายปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่เต็มใจนักและพวกเขาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง  พวกเขาทนฝ่าความทุกข์ไม่ได้แม้สักเล็กน้อย และรู้สึกอยู่เสมอว่าพวกเขาทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง และพวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความลำบากยากเย็นแต่อย่างใด  เจ้าสามารถติดตามพระเจ้าจนถึงปลายทางโดยการปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ได้อย่างนั้นหรือ?  การที่เจ้าสะเพร่าและสุกเอาเผากินในสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำนั้นไม่เป็นไรหรอกหรือ?  เมื่อมองจากมโนธรรมของเจ้า การนี้ยอมรับได้หรือ?  ต่อให้ประเมินวัดตามเกณฑ์กำหนดของมนุษย์ นี่ก็ไม่น่าพอใจ—ดังนั้นจะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่น่าพอใจได้หรือ?  หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริง  เจ้าไม่สามารถให้การปรนนิบัติที่น่าพอใจด้วยซ้ำ  เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าได้อย่างไร?  ผู้คนมากมายกลัวความยากลำบากเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาเกียจคร้านเกินไป พวกเขาละโมบในความสะดวกสบายทั้งหลายทางเนื้อหนัง และไม่เคยพยายามเรียนรู้ทักษะเฉพาะทาง และพวกเขาก็ไม่พยายามใคร่ครวญความจริงในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการเป็นคนสุกเอาเผากินในหนทางนี้จะช่วยตัดปัญหา กล่าวคือ พวกเขาไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลอะไรหรือถามผู้ใด พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้สมองของตนหรือขบคิด—อันที่จริงนี่ทำให้ไม่ต้องพยายามมากและทำให้พวกเขาไม่ต้องลำบากกายแต่อย่างใด และพวกเขาก็ทำกิจนั้นให้เสร็จสิ้นได้อยู่ดี  และหากเจ้าจัดการพวกเขา พวกเขาก็จะเยาะเย้ยท้าทายและแก้ตัวว่า ‘ฉันไม่ได้ขี้เกียจหรือบ่ายเบี่ยง งานก็เสร็จแล้ว—ทำไมคุณถึงจู้จี้ขนาดนี้?  นี่ไม่ใช่แค่การวิจารณ์จุกจิกเท่านั้นหรอกหรือ?  ฉันทำได้ดีอยู่แล้วโดยปฏิบัติหน้าที่ของฉันแบบนี้ คุณจะไม่พอใจได้อย่างไร?’  พวกเจ้าคิดว่าผู้คนเช่นนี้จะสามารถก้าวหน้าต่อไปได้อีกหรือ?  พวกเขาสุกเอาเผากินตลอดเวลาเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนและยังคงคิดหาข้อแก้ตัวมากมาย และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็ไม่ยอมให้ผู้ใดเปิดปากพูด  นี่คืออุปนิสัยใดกัน?  นี่คืออุปนิสัยของซาตานมิใช่หรือ?  ผู้คนจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างน่าพึงพอใจหรือเมื่อพวกเขาทำตามอุปนิสัยเช่นนี้?  พวกเขาจะสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยหัวใจทั้งดวง จิตใจทั้งหมด และอย่างสุดดวงจิตของตนเท่านั้นคือผู้ที่รักพระเจ้า)  พระเจ้าทรงเปิดโปงคนมากมายที่เกียจคร้านในหน้าที่เกินไป กระสันความสบายทางเนื้อหนัง ขาดความขยัน และพอใจกับการดูงานยุ่งอยู่เสมอ แบบนั้นคุณทำหน้าที่ให้ดีไม่ได้หรอก ฉันตระหนักว่าเหตุผลที่หน้าที่ของฉันไม่เกิดผล ไม่ใช่เพราะฉันขาดความสามารถ แต่เป็นเพราะฉันเกียจคร้าน และกลัวการทำหน้าที่อย่างเป็นทุกข์ ฉันรู้สึกว่าการให้น้ำผู้มาใหม่แปลว่าฉันต้องรู้ความจริงมากมาย ว่าฉันต้องรู้จักแก้ไขปัญหาหลากหลายที่พวกเขามี ซึ่งทำให้มันเป็นหน้าที่ที่น่าเหน็ดเหนื่อย ฉันจึงทำส่งๆ ไป หัวหน้าทีมอยากให้ฉันเห็นปัญหาของผู้มาใหม่โดยเร็ว และฉันคงเห็นถ้าฉันทำงานหนัก แต่พอฉันเห็นว่าต้องใช้เวลาและความพากเพียรมากขึ้น ฉันก็ปัดภาระไปให้หัวหน้าทีมและคนทำงานข่าวประเสริฐ ฉันได้เห็นว่าผู้มาใหม่ไม่เข้าร่วมการชุมนุม เพราะพวกเขามีมโนคติอันหลงผิดหรือกำลังเผชิญความยากลำบาก แต่ฉันก็ไม่สนใจ พอคนอื่นบอกทางแก้ไขให้ ฉันก็ไม่ตอบสนอง บางครั้งฉันส่งพระวจนะหรือเพลงสรรเสริญให้ผู้มาใหม่ แต่ผ่านไปสองสามวันฉันก็เลิกทำ แล้วก็ทิ้งขว้างพวกเขา ฉันเห็นว่าฉันเกียจคร้านจริงๆ กระหายความสุขทางเนื้อหนัง และไม่ได้จริงใจในหน้าที่สักนิด ฉันแค่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ปล่อยไหลไปในคริสตจักร ฉันช่างน่าขยะแขยงและน่ารังเกียจสำหรับพระเจ้า

จากนั้น ฉันอ่านพระวจนะนี้ “ในปัจจุบันโอกาสที่จะปฏิบัติหน้าที่มีไม่มาก ดังนั้นเจ้าต้องคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ในยามที่เจ้าทำได้  เวลาเผชิญหน้าที่ก็คือเวลาที่เจ้าต้องทุ่มเทตนเองโดยแท้ นั่นคือเวลาที่เจ้าต้องมอบถวายตนเอง สละตนเองเพื่อพระเจ้าและเป็นเวลาที่เจ้าพึงต้องยอมลำบาก  จงอย่าสงวนสิ่งใดไว้ อย่าเก็บงำกลอุบายใดๆ อย่าเหลือทางหนีทีไล่หรือหาทางออกให้ตนเอง  หากเจ้าหาทางหนีทีไล่ เอาแต่คอยคำนวณ หรือหัวหมอและคิดคดทรยศทรยศ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่แคล้วที่จะทำได้แย่  สมมุติเจ้าพูดว่า ‘ไม่มีผู้ใดได้เห็นฉันปฏิบัติตนในลักษณะที่กะล่อน  เยี่ยมจริงเลย!’  นี่คือการคิดแบบไหนกัน?  เจ้าคิดว่าเจ้าปิดหูปิดตาผู้คน และปิดพระเนตรพระกรรณพระเจ้าด้วยแล้วกระนั้นหรือ?  แต่อันที่จริงแล้ว พระเจ้าทรงรู้สิ่งที่เจ้าได้ทำไปแล้วหรือไม่?  พระองค์ทรงรู้  ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้ใดก็ตามที่มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้ามาระยะหนึ่งย่อมจะรู้ถึงความเสื่อมทรามและความต่ำช้าของเจ้า และแม้ว่าพวกเขาอาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่พวกเขาก็จะประเมินเจ้าในหัวใจของตนไว้แล้ว  มีผู้คนมากมายที่ถูกเปิดโปงและถูกขับออกไปเพราะมีผู้อื่นเป็นจำนวนมากมายเหลือเกินเข้าใจพวกเขา  เมื่อทุกคนมองทะลุแก่นแท้ของพวกเขา ทุกคนก็เปิดเผยตัวตนของผู้คนเหล่านั้นว่าเป็นเช่นไรและไล่พวกเขาออกไป  ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ ผู้คนก็ควรทำหน้าที่ของตนให้ดีอย่างสุดความสามารถของตน พวกเขาควรใช้มโนธรรมของตนทำสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  เจ้าอาจมีข้อบกพร่อง แต่หากเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิผล นี่ก็จะไม่เพิ่มพูนขึ้นถึงระดับที่ทำให้เจ้าถูกขับออกไป  หากเจ้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าดี ว่าเจ้าจะไม่ถูกขับออกไปอย่างแน่นอน และเจ้ายังคงไม่คิดทบทวนหรือพยายามรู้จักตนเอง และเจ้าเพิกเฉยต่อกิจที่ถูกต้องเหมาะสมของเจ้า สะเพร่าและสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหมดความอดทนกับเจ้าแล้วจริงๆ พวกเขาก็จะเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า และเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะถูกขับออกไป  นั่นเป็นเพราะทุกคนมองเห็นเจ้าอย่างทะลุปรุโปร่งและเจ้าสูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อตรงของตนไปแล้ว  หากไม่มีผู้ใดเชื่อใจเจ้า พระเจ้าจะเชื่อพระทัยเจ้าได้หรือ?  พระเจ้าทรงพิจารณาหัวใจส่วนลึกสุดของมนุษย์ว่า พระองค์เชื่อพระทัยบุคคลเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอนที่สุด…ผู้คนที่ไว้วางใจได้คือผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ และผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมมีมโนธรรมและสำนึก และพวกเขาก็ควรจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีได้ง่ายมากๆ เพราะพวกเขาถือว่าหน้าที่ของตนคือภาระผูกพันของตน  ผู้คนที่ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกย่อมปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ไม่ดี และพวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ของตนไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ใด  ผู้อื่นต้องเป็นกังวลถึงพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาและเฝ้าถามถึงความก้าวหน้าของพวกเขาอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วสิ่งทั้งหลายอาจยุ่งเหยิงได้ในขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ สิ่งทั้งหลายอาจผิดพลาดขณะปฏิบัติกิจหนึ่งๆ ได้ ซึ่งย่อมมีปัญหามากจนไม่คุ้มค่า  กล่าวสั้นๆ คือผู้คนจำเป็นต้องทบทวนตนเองอยู่เสมอเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตนว่า ‘ฉันลุล่วงหน้าที่นี้ดีพอแล้วหรือยัง?  ฉันใส่หัวใจของฉันลงไปในหน้าที่แล้วหรือ?  หรือฉันสักแต่ทำแค่พอเอาหน้ารอด?’  หากเจ้าสะเพร่าและสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เจ้าก็ตกอยู่ในอันตราย  อย่างน้อยที่สุด นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีความน่าเชื่อถือ และผู้คนจะไม่สามารถเชื่อใจเจ้าได้  ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือหากเจ้าแค่ทำหน้าที่ของเจ้าอย่างขอไปที และหากเจ้าหลอกลวงพระเจ้าอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง!  อะไรคือผลสืบเนื่องของการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ?  ทุกคนมองออกว่าเจ้าเจตนาฝ่าฝืน ว่าเจ้าใช้ชีวิตตามอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองเท่านั้น ว่าเจ้าเอาแต่สะเพร่าและสุกเอาเผากินเท่านั้นและเจ้าไม่ปฏิบัติความจริง—ซึ่งทำให้เจ้าไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์!  หากนี่สำแดงอยู่ในตัวเจ้าโดยตลอด หากเจ้าหลีกเลี่ยงความผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ทำความผิดพลาดเล็กน้อยอย่างไม่หยุดหย่อน และไม่กลับใจตั้งแต่ต้นจนจบ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนเลวคนหนึ่ง เป็นผู้ปราศจากความเชื่อ และควรถูกเอาออกไป  ผลสืบเนื่องเช่นนี้เลวร้ายนัก—เจ้าจะถูกเปิดโปงจนหมดสิ้นและถูกขับออกไปในฐานะผู้ปราศจากความเชื่อและคนเลว(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเข้าสู่ชีวิตเริ่มต้นที่การปฏิบัติหน้าที่)  “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้ครบบริบูรณ์ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และควรถูกลงโทษ  การนี้ลิขิตไว้โดยฟ้าและรับรู้โดยแผ่นดินโลกว่าพวกมนุษย์ทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงไว้วางใจมอบหมายต่อพวกเขาให้ครบบริบูรณ์ นี่คือความรับผิดชอบอันสูงส่งที่สุดของพวกเขา และสำคัญพอกันไม่มีผิดกับชีวิตจริงๆ ของพวกเขา  หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่แสนสาหัสที่สุด ในการนี้ เจ้าน่าวิปโยคกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  เมื่อเผขิญการเปิดเผยของพระวจนะ ฉันสัมผัสได้ถึงความขยะแขยงและพระพิโรธของพระองค์ต่อคนที่ทำหน้าที่อย่างขอไปที พวกเขาขาดมโนธรรม เหตุผล คุณลักษณะ และศักดิ์ศรี และไม่น่าไว้วางใจอย่างสิ้นเชิง หากพวกเขายังคงไม่กลับใจ ก็เป็นผู้ทำชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และควรถูกขับออกไป การให้น้ำผู้มาใหม่เป็นงานที่สำคัญ พวกเขาเพิ่งยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า จึงต้องได้รับน้ำให้มากเพื่อหยั่งรากบนหนทางที่แท้จริง ซาตานจะได้ไม่ขโมยพวกเขาไป ยิ่งกว่านั้น ไม่มีใครที่ยอมรับงานของพระเจ้า ทำได้อย่างง่ายดายหรือราบรื่น และคนจำนวนหนึ่งก็ต้องยอมลำบาก ในการให้น้ำและช่วยพวกเขา เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะได้อยู่เฉพาะพระพักตร์ ในฐานะผู้ให้น้ำ การให้น้ำผู้มาใหม่เป็นความรับผิดชอบของฉัน โดยเฉพาะเมื่อฉันเห็นผู้มาใหม่ที่กำลังลำบาก ฉันก็ควรหาความจริงอย่างเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น แต่ทว่า ฉันกลับบอกปัดงานหนักและกะล่อน เมื่อฉันเห็นผู้มาใหม่เผชิญความยากลำบาก ฉันก็เลือกปัญหาที่แก้ได้ง่ายเสมอ และผลักปัญหายากๆ ออกไปไม่สนใจพวกมัน ที่แย่กว่านั้น ฉันคิดคดทร่ยศและไร้ความรับผิดชอบในหน้าที่อย่างชัดเจน ทำให้ผู้มาใหม่บางคนไม่เข้าร่วมการชุมนุมและถึงกับห่างหายไป แต่ฉันบอกปัดความรับผิดชอบโดยการบอกว่าพวกเขาไม่กระหายความจริง หรือไม่งั้นก็พูดว่าฉันขาดความสามารถ และไม่อาจแก้ปัญหาของพวกเขาได้ เพื่อหลอกคนอื่นให้ตัวเองพ้นผิดที่สุกเอาเผากิน ฉันทำหน้าที่เหมือนผู้ไม่เชื่อที่ทำงานให้เจ้านายเลยไม่ใช่หรือ? ฉันใช้เล่ห์กล ทำงานมั่วไปวันๆ โดยไม่มีจิตสำนึกหรือความตระหนักรู้ หลังจากที่เชื่อมาหลายปี ฉันก็ยังพยายามหลอกพระเจ้าโดยไม่ใส่ใจสักนิด ฉันช่างฉลาดแกมโกงและเต็มได้วยเล่ห์ลวง! ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย ย้อนไปตอนแรกที่ฉันยอมรับข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันทำงานยุ่งทุกวัน และพ่อแม่ของฉันก็ขัดขวางความเชื่อ ฉันรู้สึกเครียดจริงๆ และถึงกับคิดว่าจะเลิกร่วมชุมนุม แต่พี่น้องชายหญิงก็สามัคคีธรรมความจริงกับฉันอย่างอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า และจัดการชุมนุมตามตารางเวลาของฉัน บางครั้งฉันก็เข้าร่วมไม่ได้เพราะงานยุ่งเกินไป พี่น้องชายหญิงจึงขี่จักรยานมาไกลเพื่อสามัคคีธรรมพระวจนะกับฉัน เพื่อช่วยและเกื้อหนุนฉัน ตอนนั้นเองที่ฉันได้รู้ถึงงานของพระเจ้า และเห็นว่าการไล่ตามความจริงเป็นทางเดียวที่จะถูกช่วยให้รอด แล้วฉันก็เต็มใจเข้าร่วมการชุมนุมและทำหน้าที่ คริสตจักรคอยเน้นเสมอ ว่าการให้น้ำผู้มาใหม่ต้องใจเย็น และคำนึงถึงความยากลำบากของพวกเขาให้มาก ว่าเราต้องหนุนใจพวกเขาให้เข้าร่วมการชุมนุม ให้หยั่งรากบนหนทางที่แท้จริงโดยเร็วที่สุด ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยรักและความปรานี และทรงช่วยเราให้รอดอย่างกว้างไกลที่สุดที่เป็นไปได้ พระองค์ทรงมีมโนธรรมอย่างเหลือเชื่อต่อทุกคนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริง หากมีความหวังแม้เพียงนิดเดียวพระองค์ก็ไม่ยอมแพ้ แต่สำหรับฉัน ฉันเย็นชาและไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อผู้มาใหม่เลย ฉันไม่สนใจชีวิตของพวกเขาสักนิด ซึ่งแปลว่าปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และบางคนก็ไม่อยากเข้าร่วมการชุมนุมอีกต่อไป จากพฤติกรรมของแัน นั่นเป็นการทำหน้าที่ตรงไหนกัน? ฉันเพียงแค่ทำชั่ว พยายามหลอกและโกงพระเจ้า พอตระหนักได้ ฉันรู้สึกผิดมาก และฉันเกลียดตัวเองที่ขาดความเป็นมนุษย์อย่างมาก

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ “เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ?  เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ?  ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน  เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย  เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง  เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!  เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข?  พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?  วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า?  งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ?  เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า?  แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน?  เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ?  นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ?…เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  การอ่านพระวจนะทั้งหมดเรียกให้เราพิจารณา ฉันรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองอย่างมาก เพื่อชำระให้สะอาด และแปลงสภาพอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา เพื่อให้โอกาสได้รับความรอดแก่เรา พระเจ้าทรงบำรุงเลี้ยงเราอย่างเอาจริงเอาจังด้วยความจริงมากมายนัก และพระองค์ได้ทรงสามัคคีธรรมอย่างละเอียดถึงความจริงทุกด้าน ด้วยกลัวว่าเราจะไม่เข้าใจ พระเจ้าได้ทรงยอมลำบากอย่างใหญ่หลวงเพื่อพวกเรา ใครก็ตามที่มีความเป็นมนุษย์ควรมานะบากบั่นในการไล่ตามความจริง และอุทิศตัวในการทำหน้าที่ แต่ฉันขาดมโนธรรมอย่างสิ้งเชิง ฉันไม่ไล่ตามความจริงเลย ห่วงแต่สิ่งชูใจทางกาย และยังใช้ชีวิตตามหลักปรัชญาของซาตานเท่านั้น อย่าง “จงใช้ชีวิตไปโดยอัตโนมัติ” “เพราะชีวิตนั้นแสนสั้น จงทำวันนี้ให้เป็นวันที่น่ายินดีที่สุด” ฉันรู้สึกเหมือนเราต้องทำดีกับตัวเองในช่วงไม่กี่สิบไปบนโลก และไม่ทำให้ตัวเองเคร่งเครียดเกินไป เราควรใช้ชีวิตอย่างสุขใจไร้กังวล ฉันทำหน้าที่ภายใต้สภาพการณ์ที่ฉันจะไม่ทุกข์กับความไม่สบายกายหรือความเหน็ดเหนื่อย ฉันทำอะไรก็ตามที่ง่ายที่สุด เมื่อไรที่ฉันต้องเค้นสมองกับเรื่องบางอย่าง ฉันก็เกิดต่อต้านและหนีปัญหา ไม่ว่าด้วยการผลักปัญหาไปให้คนอื่นหรือพักเอาไว้ เพิกเฉยมัน ฉันไม่ได้จริงจังกับหน้าที่เลยสักนิด ปัญหาของผู้มาใหม่บางคนจึงไม่ถูกแก้ไข จนพวกเขาเลิกมาชุมนุม ตอนนั้นเองที่ฉันเห็น ว่าหลักปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านั้นทำให้ฉันเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ ฉันเหมือนสุกร กระหายความสบายและไม่ไล่ตามความจริงสักนิด ทำหน้าที่ให้ย่งเหยิง และไม่คำนึงถึงมันเลยสักนิด ฉันกำลังละทิ้งหน้าที่ ไม่ได้รับความจริงที่ฉันควรได้รับ และไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน ฉันไร้ประโยชน์สิ้นดีไม่ใช่หรือ? ฉันได้รับประสบการณ์ ว่าการกระหายความสบายทางเนื้อหนังกำลังทำร้ายตัวฉันเอง และทำลายโอกาสที่ฉันจะได้รับความรอด การเผชิญความยากลำบากในหน้าที่ที่จริงเป็นโอกาสดี ที่จะพึ่งพิงพระเจ้าและแสวงหาความจริง ความยากลำบากบังคับให้ฉันแสวงหาความจริงและรู้จักทำตามหลักธรรมในหน้าที่ เป็นช่องทางที่ดีให้ฉันไล่ตามความจริงและการเข้าสู่ชีวิต แต่ฉันกลับปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เหมือนสิ่งรบกวน เป็นภาระที่ต้องสลัดทิ้ง พอตระหนักได้ ฉันก็เสียใจกับการที่ฉันตามใจเนื้อหนังไปจริงๆ และสูญเสียโอกาสดีๆ มากมายที่จะเรียนรู้ความจริง ฉันไม่อยากทำงานมั่วๆ อีกต่อไป ฉันต้องละทิ้งเนื้อหนังและทุ่มเทให้การทำหน้าที่

วันหนึ่ง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง ที่ทำให้ฉันเข้าใจผลสืบเนื่องของการทำหน้าที่อย่างขอไปทีได้ดีขึ้น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “สมมุติว่ามีงานที่สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ในหนึ่งเดือนโดยคนคนเดียว  หากใช้เวลาหกเดือนเพื่อทำงานนี้ ห้าเดือนที่เหลือจะไม่ใช่ความสูญเสียหรอกหรือ?  เมื่อพูดถึงการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ผู้คนบางคนเต็มใจที่จะพิจารณาหนทางที่แท้จริงและจำเป็นต้องใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นที่จะรับเชื่อ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมคริสตจักรและรับการให้น้ำและการดูแลต่อไป  พวกเขาใช้เวลาเพียงหกเดือนเท่านั้นในการสร้างรากฐาน  แต่หากท่าทีของบุคคลที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นท่าทีที่ไม่แยแสและสุกเอาเผากิน และผู้นำและคนทำงานไม่มีสำนึกรับผิดชอบ และลงเอยด้วยการใช้เวลาครึ่งปีในการเรียกให้บุคคลนั้นรับเชื่อ ครึ่งปีนี้ไม่ถือว่าเป็นความสูญเสียอย่างหนึ่งในชีวิตของพวกเขาหรอกหรือ?  หากพวกเขาเผชิญความวิบัติครั้งใหญ่และขาดรากฐาน พวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย และเจ้าจะไม่ติดค้างพวกเขาหรอกหรือ?  ความสูญเสียดังกล่าวไม่ได้ประเมินวัดทางการเงินหรือโดยการใช้เงินทอง  เจ้าชะลอการเข้าใจความจริงของพวกเขาไว้ครึ่งปี เจ้าทำให้พวกเขาวางรากฐานและปฏิบัติหน้าที่ของตนล่าช้าไปครึ่งปี  ผู้ใดจะรับผิดชอบเรื่องนี้?  ผู้นำและคนทำงานสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้หรือ?  การรับผิดชอบชีวิตของใครบางคนนั้นเกินความสามารถที่ผู้ใดจะแบกรับไว้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน)  สิ่งที่พระวจนะเปิดเผยนั้นน่าเสียใจและลำบากใจจริงๆ ฉันก็เหมือนผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ทำงานตามจริง สะเพร่าในหน้าที่และไม่รับผิดชอบ ทำให้ผู้มาใหม่ไม่มาชุมนุม และบางคนถึงกับเลิกเชื่อเพราะปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไข การให้นำผู้มาใหม่แบบนั้นมันเป็นการทำร้ายพวกเขาไม่ใช่หรือ? แม้ว่าบางคนไม่ได้เลิกเชื่อ ชีวิตของพวกเขาก็เสียหายเพราะมีมโนคติอันหลงผิดและไม่ร่วมชุมนุมอยู่นาน นั่นเป็นความเสียหายที่ฉันไม่มีทางชดใช้ได้ ถ้าฉันไม่มัวแต่ห่วงเนื้อหนังมากเกินไป สามารถยอมลำบาก และปฏิบัติต่อแต่ละปัญหาของผู้มาใหม่อย่างจริงจัง บางคนก็อาจจะสามารถหยั่งรากบนหนทางที่แท้จริงและเรียนรู้ความจริงแต่เนิ่นๆ ใช้ชีวิตแห่งคริสตจักร ทำหน้าที่ สะสมความประพฤติดีเร็วขึ้น และสิ่งต่างๆ ก็จะไม่กลายเป็นอย่างที่มันเป็น แต่ ณ จุดนั้น ก็สายเกินจะพูดแล้ว พอคิดถึงผู้มาใหม่ที่ไม่อยากเข้าชุมนุม แันก็รู้สึกผิดและเสียใจจริงๆ และติดค้างพระเจ้ามากเหลือเกิน นั่นเป็นการฝ่าฝืน มลทินที่ฉันทิ้งไว้ในหน้าที่! ฉันยังเสียใจ และกลัวอีกด้วย ฉันรู้สึกเหมือนฉันได้ก่อปัญหาใหญ่ และล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า ฉันอธิษฐานด้วยน้ำตาว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ใฝ่หาความสบายและทำหน้าที่อย่างขอไปทีเสมอ ซึ่งทำให้พระองค์ขยะแขยง ข้าพระองค์อย่างกลับใจต่อพระองค์ และชดใช้ให้การฝ่าฝืนของข้าพระองค์ผ่านการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ขอทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของข้าพระองค์ และหากข้าพระองค์ยังคงสุกเอาเผากิน โปรดทรงสั่งสอนและบ่มวินัยข้าพระองค์ด้วยเถิด”

แล้วฉันก็ไปหาผู้มาใหม่ที่คิดลบ อ่อนแอ และไม่เข้าร่วมการชุมนุม และเริ่มมองหาพระวจนะเพื่อแก้ปัญหาของพวกเขา ฉันยังถามเหล่าพี่น้องหญิงที่ให้น้ำเก่งเรื่องหลักธรรมและวิธีเข้าหา แล้วก็ไปหาผู้มาใหม่ที่มีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา ที่ไม่เข้าชุมนุม ฉันส่งข้อความหาเธอจำนวนหนึ่ง ซึ่งเธอไม่ตอบสักข้อความ ฉันรู้สึกค่อนข้างห่อเหี่ยว และคิดว่าฉันควรลืมมันไปเสีย ถึงยังไงเธอก็เป็นคนที่ไม่ตอบกลับ ข้อนี้คือความจริง ฉันยังส่งอีกข้อความหนึ่งให้ผู้มาใหม่ที่ทำงานยุ่ง และเมื่อฉันเห็นว่าเธอปฏิเสธคำชวนเข้าร่วมชุมนุม ฉันก็ไม่อยากยอมลำบากหนุนใจเธออีก จากนั้น ฉันก็นึกถึงคำอธิษฐานถึงพระเจ้าของฉัน รวมถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระองค์ “ในเวลาที่ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา โดยข้อเท็จจริงแล้วพวกเขากำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ  หากเจ้าทำหน้าที่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและนบนอบพระเจ้าด้วยท่าทีที่ซื่อสัตย์และด้วยหัวใจ ท่าทีนี้จะไม่ถูกต้องกว่าเป็นอย่างมากหรอกหรือ?  ดังนั้น เจ้าควรจะประยุกต์ใช้ท่าทีนี้กับชีวิตประจำวันของเจ้าอย่างไร?  เจ้าต้องทำให้ ‘การนมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจและความซื่อสัตย์’ เป็นความเป็นจริงของเจ้า  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการที่จะหย่อนยานและทำแค่พอเป็นพิธี เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการจะปฏิบัติตนในหนทางที่ปลิ้นปล้อนและเกียจคร้าน และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าวอกแวกหรือเลือกความสนุกสำราญมากกว่า เจ้าควรคิดให้ถี่ถ้วนว่า ‘ในการประพฤติตนเยี่ยงนี้ ฉันกำลังเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจหรือไม่?  นี่คือการทุ่มหัวใจให้กับการทำหน้าที่ของฉันหรือไม่?  การทำเช่นนี้ทำให้ฉันกำลังไม่มีความจงรักภักดีหรือไม่?  ในการทำการนี้ ฉันกำลังล้มเหลวในการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามพระบัญชาที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายให้ฉันหรือไม่?’  นี่คือวิธีที่เจ้าควรทบทวนตนเอง  หากเจ้ารู้ได้ว่าเจ้าสะเพร่าและสุกเอาเผากินในหน้าที่ของตนอยู่เสมอ และไม่จงรักภักดีและเจ้าได้ทำร้ายพระเจ้า เจ้าควรทำอย่างไร?  เจ้าควรพูดว่า ‘ฉันรู้สึกในตอนนั้นเลยว่าตรงนี้มีบางอย่างผิดปกติ แต่ฉันไม่ได้มองว่านั่นคือปัญหา ฉันแค่กลบเกลื่อนไปอย่างไม่ใส่ใจ  ฉันไม่ตระหนักจนถึงตอนนี้ว่าจริงๆ แล้วฉันสะเพร่าและสุกเอาเผากิน ว่าฉันยังไม่ได้ทำสิ่งที่ฉันรับผิดชอบ  ฉันไม่มีมโนธรรมและเหตุผลอย่างแท้จริง!’  เจ้าค้นพบปัญหาและได้รู้จักตนเองบ้างแล้ว—ดังนั้นตอนนี้เจ้าต้องกลับตัว!  ท่าทีที่เจ้ามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนนั้นผิด  เจ้าไม่เอาใจใส่ในหน้าที่ ทำเหมือนเป็นงานเสริมและเจ้าไม่ได้ใส่หัวใจของเจ้าลงไป  หากเจ้าสะเพร่าและสุกเอาเผากินเช่นนี้อีก เจ้าต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและให้พระองค์บ่มวินัยและตีสอนเจ้า  คนเราต้องมีเจตจำนงเช่นนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถกลับใจได้อย่างแท้จริง  คนเราจะกลับตัวก็ต่อเมื่อมโนธรรมของพวกเขาชัดเจนและท่าทีที่พวกเขามีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตนเปลี่ยนไปแล้วเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หนทางข้างหน้ามีอยู่แต่ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและตรึกตรองความจริงเป็นนิจเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเห็น ว่าการทำหน้าที่ให้ดีไม่ได้ยากเย็น ว่าเราต้องจริงใจ ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และทำเต็มที่ไปกับสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราทำได้ ไม่ใช้เล่ห์กลหรือทำอะไรลวกๆ และเราต้องมีท่าทีเช่นนี้เพื่อทำหน้าที่ของเราให้ดี ฉันจึงตั้งปณิธานว่า คราวนี้ฉันจะไม่ทำให้พระเจ้าผิดหวังอีก ฉันต้องแสดงให้พระเจ้าเห็นการกลับใจของฉัน ว่าฉันทำงานหนักและจริงใจอย่างแท้จริง และต่อให้ผู้มาใหม่เหล่านั้นไม่เข้าร่วมการชุมนุมหลังจากที่ฉันช่วยและหนุนใจ ฉันก็ยังได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตัวเอง และไม่มีความรู้สึกผิด

ฉันไปคุยกับพี่น้องหญิงอีกคนเพื่อแสวงหาเส้นทางปฏิบัติ และฉันยังไปหาผู้มาใหม่ที่มีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนาคนนั้นเพื่อสามัคคีธรรม ฉันเปิดใจกับเธอถึงเส้นทางแห่งความเชื่อของฉันเอง ฉันประหลาดใจ เมื่อเธอตอบข้อความของฉัน ที่จริงเธอชอบการชุมนุมมาก แต่มีมโนคติอันหลงผิดและความสับสนอยู่นิดหน่อย คำพูดจากใจของผู้มาใหม่คนนี้ทำให้ฉันตื้นตันใจ และแบ่งปันสามัคคีธรรมเรื่องมโนคติอันหลงผิดของเธอตรงๆ สุดท้าย เธอก็ตกลงมาร่วมชุมนุมและไม่นาน เธอก็รับหน้าที่ เมื่อฉันเห็นผลเช่นนั้น ฉันก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ฉันรู้สึกทั้งเบิกบานและเสียใจ หากไม่มีการให้ความรู้แจ้งของพระวจนะ เปิดโอกาสให้ฉันรู้จักตัวเองและแก้ไขท่าทีต่อหน้าที่ของตัวเอง ฉันก็คงกระทำการฝ่าฝืนอีกอย่างหนึ่ง จากนั้น ฉันก็ไปหาผู้มาใหม่ที่ยุ่งกับงานอีกครั้ง ก่อนนั้นฉันจะผลักดันให้เธอเข้าร่วมชุมนุมด้วยไม่คำนึงถึงอุปสรรคที่เธอมี ครั้งนี้ ฉันสามัคคีธรรมพระวจนะเพื่อช่วยให้เธอดูถามสถานการณ์จริงของตัวเอง และปรับเวลาการชุมนุมอย่างเหมาะสม เมื่อเธอไม่มีเวลาสำหรับการชุมนุม ฉันจะอ่านพระวจนะกับเธอเมื่อเธอมีเวลาว่าง และแบ่งปันสามัคคีธรรมอย่างอดทน แล้วเธอก็เปิดใจกับฉันและพูดถึงพระวจนะที่เธอได้อ่าน เธอยังบอกฉันอยากสุขใจว่า ไม่ว่าอย่างไร เธอก็จะไม่ละทิ้งการชุมนุม หรือการกินดื่มพระวจนะไปดื้อๆ หลังจากนั้น เธอก็ไม่เคยขาดการชุมนุมอีกเลย และไม่ว่าเธอจะงานยุ่งแค่ไหน เธอก็อุทิศเวลาเพื่อไตร่ตรองพระวจนะ ต่อมา ฉันเกื้อหนุนผู้มาใหม่มากขึ้น ดึงพวกเขากลับเข้าที่ทาง พอฉันเปลี่ยนท่าทีให้ถูกต้อง พึ่งพิงพระเจ้า และทุ่มเทให้อย่างแท้จริง ฉันก็ได้รับผลที่ดีขึ้นในการทำหน้าที่

ฉันเคยคิดคนทรยศและสุกเอาเผากินในหน้าที่มาตลอด แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทุกข์กาย แต่ฉันใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากเสมอ ฉันไม่รู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้าเลย ฉันสัมฤทธิ์ผลในหน้าที่น้อยลงเรื่อยๆ ขาดความรู้แจ้งอย่างสิ้นเชิง และฉันกังวลเสมอว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งฉันและขับฉันออก ฉันทั้งหดหู่และเจ็บปวดมาก ทันทีที่ฉันทุ่มเทให้หน้าที่ของตัวเอง ฉันก็รู้สึกได้ถึงการทรงสถิตและการทรงนำของพระเจ้า ฉันยังมีความคืบหน้าในหน้าที่และรู้สึกได้ถึงสันติสุขและความสบายใจอีกด้วย ฉันได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าท่าทีต่อหน้าที่นั้นสำคัญแค่ไหน การเผชิญความยากลำยาก ด้วยการยอมลำบากจริงๆ และใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะสามารถได้รับการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ และสร้างผลสัมฤทธิ์ในหน้าที่ของเรา

ก่อนหน้า:  12. เส้นทางอันลำบากยากเย็นของฉันสู่ความร่วมมืออย่างกลมเกลียว

ถัดไป:  14. หนึ่งวันที่ไม่มีทางลืม

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

43. เมื่อปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ฉันจึงเป็นอิสระ

โดย เสี่ยวเว่ย ประเทศจีนพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในอุปนิสัยของผู้คนปกตินั้นไม่มีความคดโกงหรือการหลอกลวง ผู้คนมีสัมพันธภาพปกติต่อกัน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

โปรดกรอกคำค้นหาในช่องค้นหา

Connect with us on Messenger
เนื้อหา
การตั้งค่า
หนังสือ
ค้นหา
วิดีโอ