14. ผลพวงจากการลื่นเป็นปลาไหลในหน้าที่ของตน
ในเดือนกรกฎาคม ปี 2023 ฉันกำลังทำวีดิทัศน์ให้กับคริสตจักร แต่เพราะฉันยังฝึกได้ไม่นาน และทักษะทางเทคนิคของฉันก็อยู่ในระดับปานกลาง พี่น้องหญิงเจียงซิน ซึ่งเป็นคู่ทำงานของฉัน จึงรับทำวีดิทัศน์ที่ยากๆ บางชิ้น ส่วนฉันทำแค่วีดิทัศน์ง่ายๆ ที่ทำไม่ยาก ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันเพิ่งจะเริ่มต้น ยังไม่รู้หลักธรรมอะไรมากมาย และทักษะก็ยังไม่ดีนัก แต่เพราะมีเจียงซินอยู่ด้วย ฉันก็จะค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ” หลังจากศึกษาเล็กน้อย ฉันก็มีความก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่พอเห็นวีดิทัศน์ที่ทำยากทีไร ฉันก็มักจะหาข้ออ้างที่จะไม่ทำ โดยคิดว่า “การทำวีดิทัศน์แบบนี้จะยากเกินไป ต้องใช้ความพยายามมากและฉันต้องยอมลำบาก!” เนื่องจากฉันเลือกเฉพาะวีดิทัศน์ที่ทำง่าย งานก็เลยสบายๆ และฉันก็ไม่รู้สึกกดดัน ฉันเห็นเจียงซินค้นคว้า เสาะแสวง และไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลา และฉันก็คิดว่า “ขนาดเจียงซินเก่งกว่าฉัน บางครั้งเธอก็ยังต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเลย ถ้าฉันต้องทำวีดิทัศน์เหล่านั้น คงต้องยอมลำบากกว่านั้นอีก คงยากและเหนื่อยน่าดู! ฉันจะทำแต่วีดิทัศน์ง่ายๆ นี่แหละ” ด้วยแนวทางนี้ ฉันจึงทำหน้าที่ของตัวเองได้สักพัก โดยไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใด ต่อมา เมื่อเจียงซินประสบปัญหาในการทำวีดิทัศน์ เธอจะขอให้ฉันช่วยค้นคว้าและหารือเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ กับเธอ ฉันพบว่ามันยากและน่ารำคาญมาก ฉันจึงไม่ช่วยในเรื่องนี้ ฉันได้แต่โยนงานวีดิทัศน์ยากๆ ให้เจียงซินทำจนเป็นเรื่องปกติ และไม่พยายามพัฒนาตัวเองเลยแม้แต่น้อย เมื่อฉันเห็นว่างานกองอยู่ที่พี่น้องหญิงเจียงซินเยอะ และเธอต้องอยู่ภายใต้ความกดดันมากมาย ฉันก็ไม่อยากช่วยเธอเลย พอเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มรู้สึกเฉื่อยชาหน้าที่และไม่มีความก้าวหน้าอยู่เป็นเวลานาน ฉันรู้สึกว่าสภาวะของตัวเองไม่ถูกต้อง และถามตัวเองว่า “ฉันมักจะอ้างว่าฉันเป็นมือใหม่ ยังไม่เข้าใจงานนี้อย่างชัดเจน เลยเอาแต่ตามใจตัวเอง โยนงานวีดิทัศน์ยากๆ ทั้งหมดไปให้พี่น้องหญิงเจียงซิน โดยไม่ต้องการยอมลำบากหรือทุ่มเทอะไรเลย นี่ฉันกำลังหนีความยากลำบาก และยอมแพ้เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากใช่หรือไม่?”
ต่อมาฉันได้ค้นหาพระวจนะที่เกี่ยวข้องของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “เวลาทำหน้าที่ ผู้คนเลือกงานเบาเสมอ งานที่ไม่เหนื่อย และไม่มีการออกไปผจญสภาพอากาศข้างนอก นี่คือการเลือกงานง่ายและบ่ายเบี่ยงงานหนัก เป็นการสำแดงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง มีสิ่งใดอีก? (การพร่ำบ่นตลอดเวลาเมื่อหน้าที่ของพวกเขาหนักไปนิด เหน็ดเหนื่อยไปหน่อย เมื่อหน้าที่นั้นเกี่ยวพันกับการต้องยอมลำบาก) (การหมกมุ่นอยู่กับอาหาร เสื้อผ้า และความหรรษาทางเนื้อหนัง) เหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังทั้งหลาย เมื่อคนแบบนี้เห็นว่างานหนึ่งๆ ตรากตรำหรือเสี่ยงจนเกินไป พวกเขาก็หลอกให้คนอื่นทำแทน ตัวเองทำแต่งานสบาย และพวกเขาก็หาข้ออ้างมากล่าวว่าตนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย ขาดความสามารถในการทำงาน และไม่สามารถรับงานนี้ได้—แม้ว่าที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะพวกเขาละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังก็ตาม… ผู้คนที่ลุ่มหลงในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเหมาะที่จะทำหน้าที่หรือไม่? ทันทีที่มีคนหยิบยกเรื่องการทำหน้าที่ของพวกเขาขึ้นมา หรือพูดคุยเรื่องการจ่ายราคาและการทนทุกข์กับความยากลำบาก พวกเขาก็จะเอาแต่ส่ายหน้า พวกเขามีปัญหามากเกินไป เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น และมีแต่การคิดลบ ผู้คนแบบนี้ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ของตน และควรถูกกำจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)) พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าบางคนมักเลือกแต่งานง่ายๆ และหลีกเลี่ยงงานยากในการทำหน้าที่ของตน และเมื่อใดก็ตามที่เห็นงานยาก พวกเขาก็โยนงานนั้นให้คนอื่น แล้วเลือกทำแต่งานที่ง่ายและสบายสำหรับตัวเอง คนแบบนี้ลุ่มหลงในความสบายทางกาย และไม่คู่ควรกับการทำหน้าที่ เมื่อฉันทบทวนตัวเอง ก็ตระหนักว่าฉันก็แสดงพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้ ตอนที่ร่วมงานกับเจียงซิน ฉันเห็นว่าการทำวีดิทัศน์ที่ซับซ้อนพวกนั้น ต้องเสาะแสวง ไตร่ตรอง ค้นคว้า และยอมลำบาก และฉันพบว่าเป็นสิ่งที่น่ารำคาญและชวนให้ปวดหัวจริงๆ ฉันจึงใช้ข้ออ้างที่ตัวเองยังไม่มีประสบการณ์ แล้วก็โยนงานเหล่านี้ไปให้เจียงซิน ฉันเลือกทำแต่วีดิทัศน์ที่ง่ายและทำได้ไม่ยาก ฉันจึงไม่รู้สึกกดดันและรู้สึกผ่อนคลาย ต่อมาเมื่อเจียงซินประสบปัญหาในการทำวีดิทัศน์ และต้องการให้ฉันช่วยค้นคว้าและหารือเรื่องต่างๆ ฉันก็พบว่ามันน่ารำคาญ และไม่อยากเสียแรงทุ่มเท ในการทำหน้าที่ ฉันโยนงานที่ต้องทุ่มเทและเสียสละไปให้คนอื่น เอาแต่ลุ่มหลงในความสบาย ลื่นเป็นปลาไหลและบ่ายเบี่ยง พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้ฉันสูญเสียความซื่อตรงและศักดิ์ศรีทั้งหมดไป การทำหน้าที่แบบนี้ย่อมทำให้พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดฉันออกไปอย่างแน่นอน จนถึงตอนนี้นี่เอง ที่ฉันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ฉันไม่อาจปล่อยให้ตัวเองไร้แรงจูงใจ สุกเอาเผากิน และหมกมุ่นกับเนื้อหนังต่อไปได้อีกแล้ว
ต่อมา ขณะที่ฉันดูวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ ฉันก็ได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ตรงกับสภาวะของฉันพอดี พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ครั้งหนึ่ง องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา’ (มัทธิว 13:12) ความหมายของพระวจนะเหล่านี้คืออะไร? สิ่งที่พระวจนะหมายถึงก็คือว่า หากเจ้าไม่แม้แต่จะดำเนินการหรือทุ่มเทอุทิศตัวเจ้าให้กับหน้าที่หรืองานของเจ้าเอง พระเจ้าก็จะทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเจ้าไป การ ‘เอาไป’ หมายความว่าอย่างไร? ในฐานะมนุษย์ นั่นทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างไร? อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าล้มเหลวที่จะบรรลุสิ่งซึ่งขีดความสามารถและพรสวรรค์ของเจ้าน่าจะเปิดโอกาสให้เจ้าบรรลุได้ และเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไร และเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่งเท่านั้น การถูกพระเจ้าทรงเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นเช่นนั้นนั่นเอง หากเจ้าเผอเรอและไม่ยอมลำบาก และเจ้าไม่จริงใจในหน้าที่ของเจ้า พระเจ้าก็จะทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเจ้าไป พระองค์จะทรงเพิกถอนสิทธิ์ของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไป พระองค์จะไม่ทรงมอบสิทธิ์นี้แก่เจ้า เนื่องจากพระเจ้าได้ประทานพรสวรรค์และขีดความสามารถแก่เจ้า แต่เจ้ากลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่สละตนพระเจ้าหรือยอมลำบาก และเจ้าไม่ได้ใส่หัวใจของเจ้าลงไปในนั้น ไม่เพียงแต่พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพรเจ้าเท่านั้น แต่พระองค์จะยังทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเจ้าเคยมีไปอีกด้วย พระเจ้าประทานของขวัญแก่ผู้คน ประทานทักษะพิเศษ ตลอดจนเชาวน์กับปัญญาแก่พวกเขา ผู้คนควรใช้สิ่งเหล่านี้อย่างไร? เจ้าต้องมอบอุทิศทักษะพิเศษของเจ้า ของประทานของเจ้า เชาวน์และปัญญาของเจ้าให้แก่หน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องใช้หัวใจของเจ้าและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ เจ้าต้องใช้ทั้งหมดนี้ในหน้าที่ของเจ้า โดยการทำดังนี้ เจ้าย่อมจะได้รับพร การได้รับพรจากพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? การนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างไร? ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า และพวกเขามีเส้นทางในยามพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน สำหรับคนอื่นอาจดูเหมือนว่าขีดความสามารถของเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเรียนรู้มาไม่สามารถทำให้เจ้าทำสิ่งทั้งหลายสำเร็จได้—แต่หากพระเจ้าทรงพระราชกิจและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า ไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถเข้าใจและทำสิ่งเหล่านั้นได้ ทว่าเจ้าจะทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีอีกด้วย ในท้ายที่สุดเจ้าจะนึกสงสัยกับตนเองด้วยซ้ำว่า ‘ฉันไม่เคยเป็นคนมีทักษะขนาดนั้น แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากกว่าเดิมในตัวฉัน—ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เป็นบวก ฉันไม่เคยศึกษาสิ่งเหล่านั้นมาก่อน แต่จู่ๆ ตอนนี้ฉันก็เข้าใจสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ฉันกลายเป็นคนฉลาดมากขึ้นมาทันทีได้อย่างไร? เดี๋ยวนี้ฉันทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?’ เจ้าจะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นี่คือความรู้แจ้งและพระพรของพระเจ้า นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงอวยพรผู้คน หากพวกเจ้าไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ในขณะปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานของตน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ยังไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า หากการทำหน้าที่ของตนให้ความรู้สึกไร้ความหมายต่อตัวเจ้าเสมอ หากนั่นให้ความรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ทำ และหากเจ้าไม่เคยได้รับความรู้แจ้ง และรู้สึกว่าเจ้าไม่มีเชาว์ปัญญาหรือสติปัญญาที่จะนำมาใช้ได้ เช่นนั้นนี่หมายถึงความเดือดร้อน นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่มีแรงจูงใจที่ถูกต้องหรือเส้นทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าย่อมไม่ทรงเห็นชอบ รวมทั้งสภาวะของเจ้าก็ผิดปกติ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่า การที่ฉันไม่ก้าวหน้าในการทำวีดิทัศน์ช่วงนี้ หลักๆ เป็นเพราะท่าทีของฉันที่มีต่อหน้าที่นั้นผิดไป ฉันกลัวว่าตัวเองจะต้องกังวลและเหน็ดเหนื่อย และไม่เต็มใจทุ่มเทในการทำหน้าที่ โดยเลือกทำแต่สิ่งที่ง่ายเท่านั้น ฉันไม่ทุ่มเทจิตใจและกำลังในการทำหน้าที่ และเอาแต่ลื่นเป็นปลาไหลและบ่ายเบี่ยง พระเจ้าทรงดูหมิ่นท่าทีของฉันที่มีต่อหน้าที่ และทรงเอาสิ่งที่ฉันเคยมีในตอนแรกไป ฉันไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่เลย และแม้แต่วีดิทัศน์ที่ง่ายๆ ก็ยังทำออกมาได้ไม่ดี หากฉันไม่กลับใจ ฉันอาจสูญเสียหน้าที่ไปโดยสิ้นเชิง เมื่อฉันทบทวนถึงตอนที่เคยฝึกให้น้ำผู้มาใหม่ แรกๆ ก็มีหลักธรรมหลายอย่างเช่นกันที่ฉันจับความเข้าใจไม่ได้ แต่พี่น้องหญิงที่ฉันร่วมงานด้วยก็สามัคคีธรรมกับฉันและช่วยเหลือฉัน ฉันมักถามเธอทุกครั้งที่ฉันประสบปัญหา และสรุปสิ่งต่างๆ ศึกษา และอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่บ่อยๆ ตอนนั้น ฉันก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผล เมื่อเทียบกับตอนนี้ แม้ฉันจะฝึกทำงานผลิตวีดิทัศน์ได้ไม่นาน แต่ก็มีเทคนิคบางอย่างที่ฉันก็สามารถเชี่ยวชาญได้ ถ้าฉันศึกษาและปรับใช้ แต่ฉันมัวแต่ลุ่มหลงในความสบายทางกาย ขาดความอยากก้าวหน้า และไม่เต็มใจยอมลำบาก ทักษะทางวิชาชีพของฉันจึงไม่พัฒนา และฉันก็ไม่เห็นการทรงนำของพระเจ้าในการทำหน้าที่เลย พระเจ้าทรงยุติธรรมและชอบธรรมต่อผู้คน หากเรายอมลำบากและตั้งใจทำหน้าที่ของเรา เราก็จะได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า และเราจะก้าวหน้าได้ทั้งในการเข้าสู่ชีวิตและทักษะทางวิชาชีพ แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจทำหน้าที่ และเอาแต่ทำตัวลื่นเป็นปลาไหลและบ่ายเบี่ยง ท้ายที่สุดเราก็จะถูกเผย และเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะไม่ได้บรรลุในสิ่งที่ควรจะบรรลุได้ เมื่อทบทวนเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกผิดและสำนึกผิดอย่างมาก เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือให้ฉันยอมลำบากและตั้งใจทำหน้าที่ แสดงบทบาทของตนในหน้าที่ และทำวีดิทัศน์ที่ดียิ่งขึ้นเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า แต่ฉันกลับเกียจคร้านและลุ่มหลงในความสบาย ไม่ได้ยอมลำบากอย่างแท้จริงในการทำหน้าที่ และไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ฉันทำให้พระเจ้าทรงผิดหวัง ฉันช่างขาดความเป็นมนุษย์จริงๆ และช่างไม่รู้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นคุณต่อฉันเอง! เมื่อได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็ร้องไห้และอธิษฐานถึงพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่ควรทำหน้าที่ด้วยท่าทีแบบนั้นเลย ข้าพระองค์ช่างไม่คู่ควรแก่ความไว้วางพระทัยเลยจริงๆ! พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจต่อพระองค์ ขอทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของข้าพระองค์ ทรงนำและช่วยเหลือข้าพระองค์ด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเสาะแสวงอีกครั้งเพื่อเข้าใจว่า ทำไมฉันถึงถอยหนีทุกครั้งเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “วันนี้ ถึงแม้ว่าขั้นตอนถัดไปแห่งพระราชกิจของพระเจ้ายังไม่ได้เริ่มขึ้น ก็ไม่มีอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเรียกร้องที่ขอจากเจ้าและเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ใช้ดำเนินชีวิต มีพระราชกิจมากมายเหลือเกินและความจริงมากมายเหลือเกิน พวกมันไม่มีค่าคู่ควรที่เจ้าจะรู้หรอกหรือ? การตีสอนและการพิพากษาไร้ความสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของเจ้าให้ตื่นขึ้นมาหรือ? การตีสอนและการพิพากษาไร้ความสามารถที่จะทำให้เจ้าเกลียดชังตัวเจ้าเองหรือ? เจ้าพอใจที่จะมีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตานพร้อมกับสันติสุขและความชื่นบาน และสิ่งชูใจเล็กน้อยทางเนื้อหนังอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาผู้คนทั้งหมดหรอกหรือ? ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน นี่คือผู้คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเนื้อหนังและสุขสำราญไปกับซาตาน เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก! เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข? พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ? พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ? วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า? งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ? เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า? แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน? เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ? นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ? และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ?… คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าเผชิญหน้าพระเจ้ากระนั้นหรือ? หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ? หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) เมื่อฉันอ่านคำอย่าง “คนขี้ขลาด” และ “สัตว์ร้าย” หัวใจของฉันก็เจ็บปวดขึ้นมา ฉันเป็นคนประเภทเดียวกับที่พระเจ้าทรงเปิดโปง คือคนที่รักเนื้อหนัง และไม่แสวงหาความจริง ในการทำหน้าที่ ฉันมัวแต่ลุ่มหลงในความสบายทางกาย โดยไม่ต้องการยอมลำบากเพื่อสิ่งใดเลย ฉันมักอยากทำแต่งานง่ายๆ และไม่ซับซ้อน แล้วก็แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ฉันก็เป็นเหมือนหมูตัวหนึ่งที่เอาแต่กิน ดื่ม และนอนทั้งวัน โดยไม่มีความคิดหรือเป้าหมายอะไรให้ไล่ตามไขว่คว้า ฉันไม่มีการแบกรับภาระหรือมีความอยากก้าวหน้าในหน้าที่ และยอมจำนนต่อเนื้อหนังอยู่เสมอ เพราะฉันมักใช้พิษของซาตานมาโดยตลอด เช่น “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” และ “ชีวิตนี้สั้น ดังนั้นควรสุขสำราญกับชีวิตเมื่อยังทำได้” เป็นกฎเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต ก่อนที่จะเชื่อในพระเจ้า ฉันก็เคยพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ เสาะแสวงความสบาย และไม่มีความทะเยอทะยานใดๆฉันคิดว่า ในเมื่อชีวิตนี้สั้นนัก ก็ควรใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุขในโลกใบนี้ มากกว่าที่จะทำให้ชีวิตตัวเองเหนื่อยหรือยากลำบาก หลังจากได้มาเชื่อในพระเจ้าแล้ว ฉันก็ยังยึดถือมุมมองแบบนี้ในการทำหน้าที่ เมื่อเจองานวีดิทัศน์ยากๆ ฉันก็มักโยนงานให้เจียงซิน แล้วหางานง่ายๆ ให้ตัวเองทำ ต่อมา เมื่องานของพี่น้องหญิงเจียงซินล้นมือ และเธออยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากในการทำหน้าที่ ฉันก็เอาแต่หลีกเลี่ยงและใช้ชีวิตแบบสบายๆ โดยไม่เต็มใจจะช่วยแบ่งเบาภาระของเธอเลย ฉันคิดถึงแต่เรื่องเนื้อหนังของตัวเอง ไม่ได้คิดถึงความลำบากของพี่น้องหญิงเจียงซินหรืองานของคริสตจักรเลย ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจจริงๆ! เมื่อทบทวนเรื่องนี้ ฉันก็ตระหนักว่าพิษเหล่านี้ที่ซาตานปลูกฝังไว้ได้ทำให้ฉันชั่วช้าและเสื่อมทราม ไม่มีความอยากก้าวหน้าใดๆ และใช้ชีวิตอย่างคนไร้ค่า แน่นอนว่าฉันคงไม่สามารถทำหน้าที่ด้วยท่าทีเช่นนี้ได้นานนัก และสุดท้ายฉันจะถูกพระเจ้าทรงเผยและกำจัดออกไป
ต่อมา ฉันก็เข้าใจข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนจากพระวจนะของพระองค์ ฉันอ่านสิ่งนี้จากพระวจนะของพระเจ้า “สมมุติว่าคริสตจักรจัดสรรงานหนึ่งให้แก่เจ้า และเจ้าบอกว่า ‘… ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายงานอะไรให้ฉันก็ตาม ฉันก็จะทำงานนั้นด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ถ้ามีบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง แก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริง และทำงานนั้นให้ดี ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันจะใช้ทุกสิ่งที่มีมาทำหน้าที่ให้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย สิ่งใดก็ตามที่ฉันสัมฤทธิ์ได้ ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบที่ฉันควรแบกรับ และอย่างน้อยฉันก็จะไม่สวนทางกับมโนธรรมและเหตุผลของตนเอง หรือทำตัวสุกเอาเผากิน กลับกลอกและอู้งาน หรือปล่อยตัวตามสบายไปกับผลงานจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น ฉันจะไม่ทำเรื่องที่ต่ำกว่ามาตรฐานทางมโนธรรม’ นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุดสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และคนที่ทำหน้าที่ของตนเช่นนี้ก็อาจมีคุณสมบัติของคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลได้ อย่างน้อยเจ้าต้องชัดเจนในมโนธรรมเวลาทำหน้าที่ของเจ้า และอย่างน้อยเจ้าก็ต้องคู่ควรกับอาหารสามมื้อที่เจ้าได้รับในแต่ละวัน ไม่ใช่เอาแต่ได้ นี่เรียกว่าการมีสำนึกรับผิดชอบ ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ต้องมีท่าทีเช่นนี้คือ ‘ในเมื่อฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ ฉันก็ต้องจริงจังกับงาน ฉันต้องให้ความสนใจ และต้องใช้หัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมาทำงานให้ดี ส่วนจะทำได้ดีจริงหรือไม่นั้น ฉันไม่อาจหาญให้คำรับรอง แต่ท่าทีของฉันก็คือฉันจะปฏิบัติงานให้ดีอย่างสุดความสามารถ และแน่นอนว่าฉันจะไม่สุกเอาเผากินในเรื่องงาน ถ้างานเกิดปัญหา เช่นนั้นฉันก็ควรรับผิดชอบ และดูให้แน่ใจว่าฉันได้ถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นและทำหน้าที่ของตนอย่างดี’ นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ได้รับเส้นทางแห่งปฏิบัติ พระเจ้าทรงยกชูฉันขึ้นมาทำหน้าที่นี้ ฉันจึงต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุด เมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็น ฉันจะละเลยหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉันต้องยอมลำบากจริงๆ และทำให้ดีที่สุดเพื่อลุล่วงหน้าที่ ฉันเพิ่งเริ่มฝึกทำวีดิทัศน์และยังไม่ชำนาญ ดังนั้นจากนี้ไป ฉันจำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานของตัวเองให้ดีขึ้น เมื่อเจองานวีดิทัศน์ยากๆ ฉันก็ควรรับผิดชอบเองถ้าฉันพอทำไหว หรือไม่ก็ควรทำคู่กันไปกับเจียงซิน ยอมลำบากจริงๆ ถามเธอในสิ่งที่ไม่เข้าใจ และเรียนรู้ไปทีละน้อย ด้วยวิธีนี้ ฉันก็จะสามารถนำทักษะที่เรียนรู้มาใช้ในการทำหน้าที่ได้
ครั้งหนึ่ง ฉันอยากจะโยนงานวีดิทัศน์ยากๆ ที่กำลังทำอยู่ให้เจียงซินอีกครั้ง แต่ฉันก็นึกถึงคำอธิษฐานถึงพระเจ้าครั้งก่อนที่ขอกลับใจ และตระหนักว่า เมื่อต้องเผชิญกับความลำบากยากเย็นในวีดิทัศน์นี้ ฉันก็อยากจะปัดความรับผิดชอบอีกแล้ว ฉันยังคงกลัวการยอมลำบากและไม่เสาะแสวงความก้าวหน้าอยู่อีกงั้นหรือ? ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันต่อต้านเนื้อหนังและยอมลำบากอย่างแท้จริง ฉันยังได้ไตร่ตรองด้วยว่า พระเจ้าทรงหวังให้ฉันต่อต้านเนื้อหนัง และปฏิบัติความจริงเมื่อเผชิญกับความลำบากยากเย็นนี้ และให้ฉันพัฒนาทักษะผ่านการทำวีดิทัศน์ เมื่อเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว ฉันจึงค้นคว้าข้อมูลอย่างขยันขันแข็งและเรียนรู้เทคนิคบางอย่าง และสุดท้าย ฉันก็ทำวีดิทัศน์เสร็จลุล่วงด้วยดี แม้ว่าการทำวีดิทัศน์นั้นจะใช้เวลาและต้องทุ่มเท แต่ทักษะของฉันก็พัฒนาขึ้น ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงนำของพระองค์!