91. การไล่ตามไขว่คว้า ชีวิตสมรสที่เพียบพร้อม นำไปสู่ความสุขหรือไม่?

หลังจากรู้จักและรักกันมาแปดปี ฉันกับสามีกำลังจะหมั้นหมายกัน แต่จู่ๆ ฉันก็ล้มป่วยเป็นโรคที่ทำให้ฉันมีลูกไม่ได้ ตอนนั้นฉันท้อแท้มาก และหมดกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป ครอบครัวสามีเห็นว่าฉันมีลูกไม่ได้จึงเร่งเร้าให้เขาเลิกกับฉัน แต่เขาเมินการห้ามปรามของครอบครัวและตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะแต่งงานกับฉัน ความภักดีอันแน่วแน่ของสามีจุดประกายความหวังในชีวิตฉันอีกครั้ง และฉันรู้สึกขอบคุณเขามาก แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกผิดที่มีลูกไม่ได้ และรู้สึกตลอดว่าเป็นหนี้บุญคุณสามี ในใจฉันแอบบอกตัวเองว่าต้องทะนุถนอมชีวิตคู่ที่ได้มาอย่างยากลำบากอย่างถูกควร หลังจากแต่งงาน ฉันดูแลบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อที่สามีจะได้สบายใจระหว่างออกไปทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องเล็กน้อย ฉันก็ทำเต็มที่เพื่อให้เขามาก่อน และพยายามให้เกียรติเขาต่อหน้าญาติและเพื่อนฝูง หลังจากแต่งงานกันได้ประมาณสองปี เพราะไม่อยากให้ฉันโทษตัวเองที่มีลูกไม่ได้ สามีฉันจึงรับอุปการะเด็กมาคนหนึ่ง หลังจากรับอุปการะเด็กคนนี้ บ้านเราก็มีความชื่นบานยินดีและเสียงหัวเราะเพิ่มขึ้นมาก และฉันรู้สึกว่าบ้านอบอุ่นกว่าเดิม  

ในเดือนมกราคม ปี 2009 ลูกพี่ลูกน้องมาประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับฉัน พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพมาก และดึงดูดฉันมาก หลังจากนั้น ฉันมักจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงถึงความเข้าใจของเราในพระวจนะของพระองค์ ฉันได้เข้าใจว่าพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าคือการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ว่ามีคนจำนวนมากที่ถูกซาตานทำร้ายและยังไม่ได้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ว่าเป็นความรับผิดชอบและพันธกิจของเราที่จะนำคนเหล่านี้มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความรอดจากพระองค์ ฉันอยากเสนอตัวช่วยเหลือเรื่องงานข่าวประเสริฐด้วย ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่นานฉันก็เข้าไปทำหน้าที่ในคริสตจักร ฉันคิดในใจว่า “จะดีแค่ไหนถ้าฉันเป็นพยานยืนยันข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้ากับสามี และได้เขามาร่วมเชื่อในพระเจ้ากับฉัน” แต่หลังจากฟังฉัน สามีก็พูดอย่างดูถูกว่า “โลกนี้ไม่มีพระเจ้าอย่างแน่นอน” และเสริมว่าเขาเป็นพวกวัตถุนิยม สามีเห็นว่าฉันค่อนข้างกระตือรือร้นเรื่องความเชื่อในพระเจ้า จึงไปค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเพราะความใคร่รู้ เขาเห็นการโฆษณาชวนเชื่อเชิงลบที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสร้างขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายคริสตจักรและลบหลู่พระเจ้า เขาจึงถามฉันอย่างหวั่นใจว่า “คุณกำลังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ? นั่นจะทำให้คุณถูกจับกุมนะ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบอกว่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าละทิ้งครอบครัวและการงานของตัวเอง อย่าไปหลงเชื่อ” เขาบอกอีกด้วยว่าไปที่สำนักงานคุ้มครองความมั่นคงภายในประเทศมาเพื่อสอบถามข้อมูล และได้รับแจ้งว่าสำหรับครอบครัวที่มีผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวต้องรายงานเรื่องพวกเขา และลูกๆ ของพวกเขาจะไม่สามารถเป็นข้าราชการหรือเข้ากองทัพได้ในอนาคต และสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะติดร่างแหไปด้วย เขาบอกว่าถ้าฉันยังคงเชื่อต่อไป ไม่ช้าก็เร็วฉันจะถูกจับกุม เมื่อได้ฟังคำพูดของสามี ฉันก็รู้สึกประหลาดใจมาก พรรคคอมมิวนิสต์จีนถึงกับใช้สมาชิกในครอบครัวรายงานเรื่องผู้เชื่อในพระเจ้า ช่างเลวทรามเหลือเกิน! ฉันรีบพูดกับสามีว่า “อย่าเชื่อข่าวลือที่คุณเห็นในอินเทอร์เน็ต พรรคคอมมิวนิสต์จีนสร้างขึ้นมาทั้งนั้น ฉันเชื่อในพระเจ้า แต่ฉันยังไม่ได้ละทิ้งครอบครัวและการงาน” เขาไม่เชื่อฉันแม้แต่น้อยและยังคงเข้าข้างพรรคคอมมิวนิสต์จีน เนื่องจากสามีคัดค้านความเชื่อของฉัน ฉันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแอบเชื่อลับหลังเขาต่อไป  

หนึ่งปีต่อมา สามีค้นพบว่าฉันยังเชื่อในพระเจ้า และกังวลว่าฉันจะถูกจับกุมและเอาครอบครัวเราเข้าไปพัวพัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหน้าตาของเขา ครั้งหนึ่งจู่ ๆ เขาก็ลงไปคุกเข่าอ้อนวอนให้ฉันหยุดเชื่อในพระเจ้า เมื่อเห็นสามีคุกเข่าขอร้อง ฉันก็ค่อนข้างประหลาดใจ ปกติเขาทำตัวเหมือนผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะคุกเข่าอ้อนวอนฉันในวันนั้น ฉันจำได้ว่าปกติแล้วเขาใส่ใจครอบครัวมากและทำดีกับฉันมาก และฉันคิดว่า “ถ้าฉันไม่ฟังเขา เขาจะยังทำดีกับฉันเหมือนแต่ก่อนไหม? เราจะทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยไหม จะไปถึงจุดที่เราเข้ากันไม่ได้ไหม? แต่ถ้าฉันฟังเขาและเลิกเชื่อในพระเจ้า ฉันจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความรอด” เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้ ฉันก็เริ่มใจอ่อนเล็กน้อย และคิดว่า “บางทีในอนาคต ฉันจะออกไปข้างนอกให้น้อยลง ฉันจะอยู่บ้านกับสามีในช่วงสุดสัปดาห์ เขาจะได้ไม่กังวลมากนัก บางทีเขาอาจจะแค่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนชักพาให้หลงผิดชั่วขณะ ตอนนี้ฉันเข้าใจความจริงเพียงผิวเผิน ในอนาคต ถ้าฉันค่อยๆ คุยกับเขา ฉันเชื่อว่าเขาจะเข้าใจฉัน” ต่อมา เพื่อทำให้ฉันละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า เขาแอบพิมพ์โฆษณาชวนเชื่อเชิงลบในอินเทอร์เน็ตของพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกมา และนำกลับบ้านมาให้ฉันอ่าน ฉันปฏิเสธ แต่เขาดึงฉันเข้าไปและบังคับให้ฉันอ่าน ฉันเบือนหน้าหนีเขาโดยไม่รู้ตัว และต้องประหลาดใจที่สิ่งนี้ทำให้สามีโกรธมาก เขาคว้าคอเสื้อฉัน ผลักฉันเข้าไปที่มุมห้อง และใช้มือกำรอบคอฉันอย่างรุนแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว มีความดุร้ายในแววตาเขา เขาพูดกับฉันอย่างมุ่งร้ายว่า “วันนี้เธอจะได้เห็นความจริง! ตื่นได้แล้ว!” เขาบีบคอฉันแรงมากจนฉันหายใจไม่ออก และหลังจากนั้นสักพัก ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือ เมื่อเห็นสิ่งที่สามีทำลงไป ฉันก็ตกตะลึง ตั้งแต่รู้จักสามีมา เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายฉันเลยสักครั้ง ตอนนี้เขาใช้ความรุนแรงกับฉันเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า! ฉันรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก และน้ำตาก็ไหลนองหน้า ฉันคิดในใจว่า “ในอนาคตฉันจะทำยังไง? ถ้าฉันเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ตัวเองต่อไป สามีจะไม่ดีกับฉันเหมือนแต่ก่อนแน่ แล้วครอบครัวเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน? แต่ถ้าฉันละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า ฉันจะสูญเสียโอกาสที่จะได้รับการช่วยให้รอด การที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงความจริงและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเป็นโอกาสที่หายากมากที่ฉันจะพลาดไม่ได้” ฉันรู้สึกขัดแย้งและเจ็บปวดมาก และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ฉันไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า วุฒิภาวะของข้าพระองค์ต่ำเกินไป โปรดให้ความรู้แจ้งและชี้นำข้าพระองค์ให้ตั้งมั่นท่ามกลางสภาพการณ์เหล่านี้ด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “นับตั้งแต่การสร้างโลก เราได้เริ่มคัดสรรและลิขิตคนกลุ่มนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว—ซึ่งก็คือพวกเจ้าในวันนี้นั่นเอง  นิสัยใจคอ ขีดความสามารถ รูปร่างหน้าตา และวุฒิภาวะของเจ้า ครอบครัวที่เจ้าถือกำเนิดมา หน้าที่การงาน การสมรสของเจ้า—ตัวเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของเจ้า กระทั่งรวมถึงสีผม สีผิว และเวลาเกิดของเจ้า—ล้วนได้รับการจัดการเตรียมการด้วยมือของเรา  แม้แต่สิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำและผู้คนที่เจ้าพบในแต่ละวัน เราก็ได้จัดการเตรียมการไปกับมือ มิพักต้องเอ่ยถึงความจริงที่ว่า การนำเจ้าเข้ามาหาเราในวันนี้ แท้จริงแล้วก็เกิดจากการจัดการเตรียมการของเรา  อย่ากระโจนเข้าไปสู่ความไม่เป็นระเบียบ เจ้าควรจะเดินหน้าไปอย่างมีสติใจเย็น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 74)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่าชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การงาน ชีวิตสมรส และครอบครัวของคนเรานั้นล้วนถูกลิขิตไว้โดยพระเจ้ามาช้านานแล้ว ครอบครัวฉันจะแตกแยกหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และฉันควบคุมไม่ได้ว่าสามีจะหย่ากับฉันหรือไม่ ฉันควรนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หลังจากเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ใจฉันก็รู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย  

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมดังนี้ “เจ้าต้องมีความกล้าหาญของเราภายในตัวเจ้า และเจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ  อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่เรา เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจมืดใดๆ เช่นกัน  จงวางใจในสติปัญญาของเราที่จะเดินไปตามหนทางที่เพียบพร้อม จงอย่ายอมให้แผนประทุษกรรมใดๆ ของซาตานเริ่มมีผล  จงใช้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าไปในการวางหัวใจของเจ้าต่อหน้าเรา และเราจะปลอบประโลมเจ้า และนำสันติและความสุขมาให้เจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ตระหนักว่าฉันเกือบตกเป็นเหยื่อของแผนการอันฉลาดแกมโกงของซาตานเพราะความรักใคร่เอ็นดูของตัวเอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงทางอินเทอร์เน็ตเพื่อใส่ร้ายคริสตจักร ชักพาให้ญาติของเราที่ปราศจากความเชื่อหลงผิด และใช้ข่าวลือเหล่านั้นขัดขวางและข่มเหงเรา โดยมุ่งหวังที่จะทำให้เราหลบเลี่ยงและทรยศพระเจ้า ในตอนแรก สามีไม่ได้ข่มเหงฉันเพราะความเชื่อของฉัน แต่หลังจากเห็นข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเหล่านั้นทางอินเทอร์เน็ต เขาก็ทำทุกวิถีทางเพื่อพยายามต่อต้านและข่มเหงฉัน โดยใช้กลวิธีสารพัดเพื่อทำให้ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้า เขาทำตัวเป็นเครื่องมือของซาตาน! ถ้าฉันเลิกเชื่อในพระเจ้าและเลิกทำหน้าที่เพราะการข่มเหงของสามี นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันหลงกลแผนการอันฉลาดแกมโกงของซาตานหรอกหรือ? พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ”  เมื่อเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ฉันเชื่อฟังสามีได้ แต่เรื่องความเชื่อในพระเจ้า ฉันต้องมีจุดยืนของตัวเองและยึดมั่นในหลักธรรม ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้าเพราะการข่มเหงของเขาไม่ได้ ฉันต้องต่อสู้สิ่งนี้ด้วยปัญญา หลังจากนั้น ฉันเริ่มทำหน้าที่ในช่วงเย็น โดยบอกสามีว่าฉันสอนหนังสือเพื่อหารายได้พิเศษ ขณะไปทำงานตามปกติในช่วงกลางวัน สิ่งต่างๆ ดำเนินไปอย่างเงียบๆ แบบนี้สักพัก และสามีไม่โต้เถียงกับฉันเรื่องที่ฉันเชื่อในพระเจ้า หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง สามีก็เริ่มสงสัย เขาเริ่มแอบตามดูฉัน มักจะรื้อค้นกระเป๋าของฉัน เขาพบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและบันทึกจากการเฝ้าเดี่ยวที่ฉันซ่อนไว้ในตู้เก็บของ และชี้นิ้วด่าฉันอย่างโกรธเคืองว่า “คุณนี่มันหัวแข็งจริงๆ! ผมจะเผาหนังสือของคุณให้หมด มาดูกันว่าคุณจะยังเชื่อต่อไปได้ยังไง!” ฉันกลัวว่าเขาจะเผาหนังสือจริงๆ ดังนั้นตอนเขาไม่อยู่บ้าน ฉันเลยแอบเอาหนังสือไปที่บ้านพี่น้องหญิงคนหนึ่งเพื่อเก็บให้ปลอดภัย การข่มเหงของสามีทำให้ฉันเฝ้าเดี่ยวและอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่บ้านไม่ได้ตามปกติ ฉันเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเช่าอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง ทุกวันฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าในพื้นที่เช่าแห่งนี้ก่อนกลับบ้าน  

ในเดือนพฤษภาคม ปี 2012 เนื่องจากสามีฉันไปที่สำนักงานคุ้มครองเพื่อหาข้อมูลเรื่องความเชื่อในพระเจ้า คนจากสำนักงานจึงเริ่มจับตาดูเขา ปกติพวกเขาจะติดต่อเขาทางวีแชต โดยอ้างว่ามาถามสารทุกข์สุกดิบเพราะเป็นห่วง และถามเขาว่าฉันทำงานที่ไหน หลังจากฉันถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนตามดูนานกว่าสองเดือน ฉันก็ถูกจับกุมที่การชุมนุม หลังจากถูกปล่อยตัว ฉันกลัวว่าถ้าตำรวจสะกดรอยตามฉัน จะทำให้พี่น้องชายหญิงเดือดร้อน ฉันจึงหยุดไปชุมนุมชั่วคราวและปกติจะแอบอ่านพระวจนะของพระเจ้าตอนสามีไม่อยู่บ้าน วันหนึ่งสามีรู้เข้าว่าฉันยังเชื่อในพระเจ้า และถามฉันด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณหยุดเชื่อได้ไหม? ถ้าคุณยังเชื่อในพระเจ้าและถูกจับอีก รู้ไหมว่ามันจะส่งผลต่อหน้าตาผมยังไง? ได้คำนึงถึงความรู้สึกของผมหรืออนาคตของลูกเราบ้างไหม? เราสามคนไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างสุขสบายหรือไง? ถ้าคุณไม่มีความสุข เราไปเที่ยวก็ได้ ผมซื้อรถเก๋งคันเล็กๆ ให้คุณได้ด้วยนะ ถ้าคุณอยากได้อะไร ผมจะจัดหามาให้ ทำไมคุณถึงยืนกรานที่จะเดินตามไอ้เส้นทางความเชื่อนี้?” ตอนนั้นฉันรู้สึกถูกทดลองและใจอ่อนอยู่บ้าง ฉันคิดว่าการมีความสุขร่วมกันกับครอบครัวฟังดูดีทีเดียว และฉันอยากจะรับข้อเสนอของสามี แต่เมื่อคิดเรื่องเลิกเชื่อในพระเจ้า ฉันก็รู้สึกเศร้ามาก ฉันจึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากเชื่อในพระองค์และทำหน้าที่ของตนเอง แต่ก็ไม่อยากให้ครอบครัวแตกแยก โปรดประทานความเชื่อและความแน่วแน่เพื่อทนรับความทุกข์ ข้าพระองค์จะได้เอาชนะการทดลองนี้ของซาตานได้” หลังจากนั้น ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากบนถนนไปสู่การรักพระเจ้า เจ้าสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของพระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงสู้รบกับซาตาน และเจ้าไม่หวนกลับไปหาซาตาน เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะสัมฤทธิ์การรักพระเจ้า และเจ้าย่อมจะตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันมีความเชื่อและเข้มแข็ง เมื่อเผชิญสภาพการณ์เหล่านี้ ฉันต้องยืนเคียงข้างพระเจ้าและทำให้ซาตานอับอาย สามีกลัวว่าถ้าฉันถูกจับกุมอีกครั้ง มันจะส่งผลต่อหน้าตาของเขา และทำให้เขาอับอายจนไม่กล้าพบหน้าญาติและเพื่อนฝูง เขาเลยใช้ความเพลิดเพลินทางวัตถุมาล่อลวงฉันให้ทรยศพระเจ้า ฉันไม่มีวิจารณญาณแยกแยะและถูกทดลอง ถึงกับอยากทำให้สามีพอใจ และไล่ตามไขว่คว้าความสุขทางเนื้อหนังในครอบครัว ฉันมีวุฒิภาวะต่ำจริงๆ ฉันนึกถึงตอนก่อนถูกจับกุม เพื่อให้ฉันละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า สามีฉันใช้ทุกวิถีทางเพื่อจับตาดูและติดตามฉัน ถึงกับอยากจะเผาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉัน ฉันเห็นว่าสามีไม่ได้ดีกับฉันอย่างแท้จริง เขาแค่เสนอผลประโยชน์ทางวัตถุเหล่านี้เพื่อทำให้ฉันละทิ้งความเชื่อ ฉันไม่อาจหลงกลแผนการอันฉลาดแกมโกงของซาตานได้ ฉันจึงบอกสามีไปว่า “มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และการนมัสการพระเจ้าเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลอย่างแท้จริง” สามีฉันตอบอย่างดูถูกว่า “ความคิดที่ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาจากพระคัมภีร์ ซึ่งเขียนโดยมนุษย์เอง แต่คุณก็ยังเชื่อ คุณมันโง่จริงๆ!” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ฉันก็ตระหนักว่าทัศนะที่ขัดแย้งกันของเราเรื่องการเชื่อในพระเจ้านั้นไปด้วยกันไม่ได้ เรากำลังเดินอยู่บนคนละเส้นทาง และไม่ช้าก็เร็ว ชีวิตสมรสของเราก็จะต้องจบลง เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็ปวดใจมาก และคิดว่า “เราผ่านอะไรมามากมายในช่วงที่เราแต่งงานกัน ในตอนแรก ความภักดีอันแน่วแน่ของสามีช่วยให้ฉันผ่านช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นที่สุดในชีวิตมาได้ ถ้าฉันต้องสูญเสียชีวิตสมรสนี้ไป ฉันจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรในอนาคต?” ฉันยังรู้สึกติดค้างสามีและลูกอยู่บ้าง แต่แล้วฉันก็คิดว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่มาของชีวิตมนุษย์ และไม่มีพระเจ้าก็เท่ากับไม่มีชีวิต ถ้าฉันฟังสามีและไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่กินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ฉันก็จะละทิ้งความรอดจากพระเจ้าและดำเนินชีวิตต่อไปภายใต้อำนาจของซาตาน แล้วฉันจะไม่ดำเนินชีวิตเหมือนซากศพเดินได้หรอกหรือ? ฉันไม่อาจละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าได้!” ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงชี้นำฉันให้เดินบนเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า  

หลังจากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “อิทธิพลอันตรายที่ช่วงเวลาหลายพันปีของ ‘จิตวิญญาณชาตินิยมอันสูงส่ง’ ได้ทิ้งไว้ลึกในหัวใจของมนุษย์ และการคิดแบบระบอบศักดินาที่ผู้คนถูกผูกมัดและล่ามโซ่ไว้ โดยไม่มีเสรีภาพเลยแม้แต่น้อย และไม่มีเจตจำนงที่จะทะเยอทะยานหรืออดทนนาน ไม่มีความอยากที่จะสร้างความก้าวหน้า แต่ยังคงอยู่ในความเป็นลบและถอยหลัง โดยตั้งมั่นอยู่ในวิธีการคิดของทาส เป็นต้น—ปัจจัยที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงเหล่านี้ได้ให้รูปหล่อที่โสมมและน่าเกลียดที่ไม่อาจลบออกได้กับทัศนะที่เป็นอุดมการณ์ อุดมคติ หลักศีลธรรม และอุปนิสัยของมนุษยชาติ  ดูเหมือนว่าพวกมนุษย์กำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดแห่งการก่อการร้ายซึ่งไม่มีผู้ใดท่ามกลางพวกเขาที่พยายามที่จะอยู่เหนือมัน และไม่มีผู้ใดท่ามกลางพวกเขาคิดถึงการก้าวต่อไปสู่โลกตามอุดมคติ แต่พวกเขากลับพอใจกับวาสนาในชีวิตของพวกเขา เพื่อใช้วันเวลาของพวกเขาไปกับการให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูกหลาน ดิ้นรนต่อสู้ ตรากตรำ ทำงานบ้านของพวกเขา ฝันถึงครอบครัวที่สะดวกสบายและมีความสุข และฝันถึงความรักใคร่ในการสมรส ลูกหลานที่กตัญญู ความชื่นบานยินดีในช่วงปีสนธยาของพวกเขาในขณะที่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบ… เป็นเวลาหลายสิบ หลายพัน หลายหมื่นปีจนถึงตอนนี้ ผู้คนได้สิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาในหนทางนี้ตลอดมา โดยไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม เจตนาทั้งหมดอยู่ที่การสังหารกันและกันในโลกที่มืดมิดนี้บนการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและโชควาสนา และการวางอุบายต่อต้านกันและกันเท่านั้น  มีผู้ใดเคยแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าบ้าง?  มีผู้ใดเคยใส่ใจกับพระราชกิจของพระเจ้าไหม?  ทุกส่วนของมนุษยชาติที่ติดพันด้วยอิทธิพลของความมืดได้กลายเป็นธรรมชาติของมนุษย์มานานแล้ว และดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะดำเนินพระราชกิจของพระเจ้า และผู้คนมีหัวใจที่ให้ความสนใจต่อสิ่งที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบให้กับพวกเขาในวันนี้น้อยลงไปอีก(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (3))  จากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง ฉันได้พบต้นตอของความเจ็บปวดของตัวเอง เนื่องจากถูกผูกมัดและตีกรอบด้วยมโนคติอันหลงผิดแบบเดิมๆ เช่น “เมื่อชายหญิงแต่งงานกันแล้ว พันธะจากความรักของพวกเขานั้นลึกซึ้ง” “จูงมือแก่เฒ่าไปด้วยกัน” และ “เป็นภรรยาที่ดีและเป็นแม่ที่รักใคร่” ฉันเชื่อว่าการมีความรักในชีวิตคู่และความกตัญญูกตเวที และการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขคือความหมายของความสุข เมื่อฉันเห็นว่าสามีปฏิเสธที่จะเชื่อในพระเจ้า และถึงกับต่อต้านและข่มเหงฉัน โต้เถียงเรื่องนี้กับฉันอยู่เสมอ ฉันก็กลัวว่าความรักของเราจะพังทลาย และกลัวว่าเราจะสูญเสียชีวิตสมรสที่งดงามนี้ไป ฉันจึงอยากทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้ แต่ก่อนที่ฉันเชื่อในพระเจ้า แม้ว่าสามีจะดีกับฉัน และแม้ว่าครอบครัวเราจะค่อนข้างแน่นแฟ้น และชีวิตสมรสของเราดูกลมเกลียวกันดี แต่วันๆ ไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน ซึ่งมักทำให้ฉันรู้สึกว่างเปล่าภายใน ในความเป็นจริง นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ตอนนี้ต่อให้ฉันรักษาครอบครัวเราเอาไว้ และเนื้อหนังของฉันได้รับการสนอง เพราะสามีไม่เชื่อในพระเจ้าและเดินตามเส้นทางของคนทางโลก เราดูเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ในใจเราแตกแยก เราใช้กันคนละภาษา เรื่องความสุขไม่ต้องพูดถึงเลย เมื่อมองดูครอบครัวต่างๆ ที่ฉันรู้จัก หลายครอบครัวดูสุขสำราญจากภายนอก แต่พวกเขาไม่สามารถหลุดจากความว่างเปล่าภายในได้ อย่างเช่น ฉันมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ที่แม้จะมีรถ มีบ้าน มีลูกสาวแสนสวย มีชีวิตที่ดูสุขสบายทางวัตถุ และมีชีวิตสมรสที่ดี แต่เธอกลับไม่มีความสุขเลย และมักจะกังวลว่าสามีจะนอกใจขณะไปทำธุระไกลบ้าน เพื่อให้ยังดูอ่อนเยาว์ เธอทุ่มเทเวลาเยอะไปกับการดูแลสุขภาพและความงามของตัวเอง เธอถึงกับติดตามสามีไปทั่ว เธอมักบ่นกับฉันว่าชีวิตเธอเหน็ดเหนื่อยมาก สิ่งนี้ทำให้ฉันตระหนักว่าไม่ว่าผู้คนจะเพลิดเพลินกับชีวิตทางวัตถุมากเพียงใด ก็ไม่อาจแก้ไขความว่างเปล่าในใจได้ และไม่ว่าครอบครัวของพวกเขาจะกลมเกลียวกันแค่ไหน สิ่งนั้นก็ไม่อาจสนองความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณของตัวเองได้ หากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าจะมีความสุขทางโลกมากเพียงใด ทุกอย่างจะอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม เมื่อเกิดมหันตภัย คนเหล่านั้นจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าและจะถูกทำลายทั้งหมด หากฉันเลือกที่จะเดินตามทางของผู้ปราศจากความเชื่อ ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าเพื่อไล่ตามไขว่คว้าความรักในชีวิตสมรสและความสุขในครอบครัว และสนองความสุขทางโลกที่อยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ท้ายที่สุดฉันก็จะประสบหายนะและถูกลงโทษ มนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และชีวิตคนเราจะมีคุณค่าและมีความหมายก็ต่อเมื่อพวกเขากลับไปหาพระผู้สร้างและทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างเช่นเปโตรที่ได้ยินการเรียกขององค์พระเยซูเจ้าและละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามพระองค์ ในท้ายที่สุด เขาก็เข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริงและได้รับความเพียบพร้อมและพรจากพระเจ้า ชีวิตของเขาเป็นชีวิตที่มีค่าและมีความหมายมากที่สุด ต่อไปในอนาคต ฉันควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควรและใช้ชีวิตที่มีความหมายไปจนตาย ต่อมาเพราะบริษัทของฉันลดจำนวนลูกจ้าง ฉันจึงได้รับมอบหมายให้ทำงานเป็นพนักงานขาย ซึ่งหมายความว่าฉันไม่จำเป็นต้องอยู่สำนักงานทั้งวัน และสามารถทำหน้าที่ของตัวเองตอนกลางวันได้ ฉันตระหนักว่าพระเจ้ากำลังทรงชี้ทางให้ฉัน  

ในเดือนธันวาคม ปี 2012 ฉันถูกจับกุมอีกครั้งขณะประกาศข่าวประเสริฐและถูกจำคุกสิบห้าวัน เมื่อฉันกลับถึงบ้าน สามีก็พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงท้อแท้ว่า “คุณรู้ไหม ตอนนี้คุณมีประวัติการจับกุมแล้ว คราวนี้ผมพยายามใช้เส้นสายและบอกหัวหน้าสำนักงานคุ้มครองไม่ให้ลงบันทึกคดีคุณ แต่เขาบอกว่า ‘คดีผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นคดีร้ายแรง! เป็นคำสั่งจากหน่วยงานกลาง การแทรกแซงของใครก็ไม่มีผล! ลูกๆ ของพวกเขาจะไม่สามารถทำงานเป็นข้าราชการหรือเข้ากองทัพได้ในอนาคต’ ตอนนี้คุณเอาคนทั้งครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้อง คิดสิว่าคุณทำอะไรลงไปกับหน้าตาของผม!” เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ฉันก็รู้สึกขุ่นเคืองและคิดว่า “การเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่อาชญากรรมด้วยซ้ำ แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงต้องสร้างปัญหาให้คนทั้งครอบครัวฉันด้วย? พรรคคอมมิวนิสต์จีนน่ารังเกียจจริงๆ!” สามีฉันพูดต่อไปว่า “ผมไม่อยากอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลาแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตอนนี้มีสองเส้นทางให้คุณเลือก หนึ่งคือละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าและใช้ชีวิตนี้ต่อไปกับผม อีกเส้นทางคือหย่า เราจะแยกทางกัน และไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน ผมจะให้เวลาคุณคิดสองสามวัน แล้วแต่คุณนะ!” เมื่อได้ยินสามีพูดถึงการหย่า ฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจจะแตกสลาย ฉันคิดว่า “ลูกเรายังเล็กมาก จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาหลังจากเราหย่ากัน?” ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ฉันมีปฏิสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิงไม่ได้เพราะเพิ่งถูกปล่อยตัวและเผชิญความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้หนทางกว่าปกติ และคิดถึงวันเวลาที่ได้อยู่กับพี่น้องชายหญิง ในช่วงนั้นสามีฉันกลับบ้านดึกทุกคืน และเขามักจะเมาจนหมดสติ แม้ว่าเราจะยังอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่เราก็ห่างเหินกัน และความอบอุ่นที่บ้านเราเคยมีก็หายไปนานแล้ว ฉันรู้สึกทุกข์ระทม และความเกลียดชังที่ฉันมีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็รังแต่จะเพิ่มขึ้น ข่าวลือที่พรรคสร้างขึ้นทำให้ครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  “พวกเจ้าเกลียดชังพญานาคใหญ่สีแดงอย่างแท้จริงหรือไม่?  พวกเจ้าเกลียดชังมันอย่างจริงใจโดยแท้หรือไม่?  เหตุใดเราจึงถามพวกเจ้าหลายครั้งเหลือเกิน?  เหตุใดเราจึงถามคำถามนี้กับพวกเจ้าต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า?  มีภาพลักษณ์เช่นไรของพญานาคใหญ่สีแดงในหัวใจของพวกเจ้าหรือ?  มันถูกลบออกไปแล้วจริงหรือ?  แท้จริงแล้วพวกเจ้าไม่ได้คำนึงถึงมันว่าเป็นบิดาของพวกเจ้าหรอกหรือ?  ผู้คนทั้งปวงควรล่วงรู้เจตนารมณ์ในคำถามทั้งหลายของเรา  เจตนารมณ์ของเราไม่ใช่เพื่อยั่วยุความโกรธของผู้คน และไม่ใช่เพื่อยุยงให้เกิดการกบฏท่ามกลางมนุษย์ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อที่มนุษย์อาจพบเจอทางออกของเขาเอง แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งปวงปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากพันธนาการของพญานาคใหญ่สีแดง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 28)  เมื่อพิจารณาจากพระวจนะของพระเจ้า เห็นชัดเจนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นมารที่เกลียดชังและต่อต้านพระเจ้า พรรคคอมมิวนิสต์จีนสนับสนุน “เสรีภาพทางศาสนา” ในขณะที่จับกุมและข่มเหงผู้เชื่อในพระเจ้าไปทั่ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงทุกรูปแบบเพื่อชักพาผู้คนให้หลงผิด ทำให้ผู้คนเชื่อในคำพูดเยี่ยงมารของพรรคและต่อต้านพระเจ้าไปพร้อมๆ กัน ฉันนึกถึงพี่น้องชายหญิงจำนวนมากที่ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมและข่มเหง และถูกบังคับให้ออกจากบ้าน และครอบครัวที่กลมเกลียวกันหลายครอบครัวที่แตกแยกเพราะข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงและการหลอกลวงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ยังโทษผู้เสียหาย โดยบอกว่าผู้เชื่อในพระเจ้าไม่ต้องการครอบครัว ช่างเป็นโจรที่ร้องว่า ‘หยุดโจรไว้!’ การได้เห็นแก่นแท้ที่เลวทรามและน่าเกลียดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างชัดเจนเพิ่มความมุ่งมั่นของฉันที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและติดตามพระเจ้าจนถึงที่สุด ไม่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะข่มเหงฉันยังไง ฉันก็แน่วแน่ที่จะติดตามพระเจ้า!

ตอนกลางคืน ฉันยืนบนระเบียงตามลำพัง ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่ฉันเชื่อในพระเจ้า ฉันได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้า การให้น้ำ และการจัดเตรียมจากพระวจนะของพระเจ้าอย่างมาก ได้เข้าใจความจริงบางอย่าง และได้พบกำลังใจ ฉันรู้ว่าชีวิตจะมีค่าก็ต่อเมื่อฉันเชื่อและติดตามพระเจ้า แต่เมื่อฉันคิดว่าชีวิตสมรสที่ได้มาอย่างยากลำบากจะพังทลายแบบนี้ ฉันก็ยังรู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากติดตามพระองค์ แต่ก็ไม่อาจละทิ้งครอบครัวได้ โปรดประทานความเชื่อและความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ต่อสู้ดิ้นรนจนพ้นจากข้อจำกัดทางเนื้อหนังเหล่านี้ด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ชีวิตของคนได้รับประทานจากพระเจ้า พวกเขาจะรู้ว่าทุกสิ่งที่ตนมีล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ และเป็นพระเจ้าที่พวกเขาควรขอบคุณ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น)  ฉันมองสามีเป็นผู้มีพระคุณต่อฉันมาโดยตลอด โดยเชื่อว่าเขาเป็นผู้ที่ให้กำลังใจฉันดำเนินชีวิตต่อไปและมอบชีวิตสมรสที่งดงามให้กับฉัน ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ตอนที่เขาข่มเหงและต่อต้านฉันหลังจากฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ไม่เกลียดเขา ตอนฉันไม่ได้ทำหน้าที่ ฉันถึงกับพยายามเจียดเวลาทำอาหารดีๆ ให้เขากิน เพราะอยากชดใช้หนี้ที่ฉันติดค้างเขา พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่าทุกอย่างที่ฉันมี พระเจ้าประทานให้ฉัน ว่าชีวิตสมรสนี้ก็มาจากอธิปไตยและการลิขิตของพระเจ้า ผู้ที่ฉันควรขอบคุณคือพระเจ้า! เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก และในที่สุดภาระที่ทำให้หัวใจหนักอึ้งมาหลายปีก็หายไป ฉันขอบคุณพระเจ้าจากใจจริง!

หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง และเกิดวิจารณญาณแยกแยะเรื่องแก่นแท้ของสามีในระดับหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าคือศัตรู กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหรือภายนอกกระแสนี้หรือไม่ก็ตาม—คือศัตรูของพระคริสต์!  ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ?  เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และปฏิบัติต่อพวกมันด้วยจิตสำนึกและความรัก แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ?  เจ้ามิได้อยู่ร่วมขบวนการเดียวกับพวกปีศาจหรอกหรือ?  หากผู้คนมาได้จนถึงจุดนี้แต่ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีความปรารถนาใดๆ ที่จะแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า  หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความยุติธรรมหรอกหรือ?  หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นกบฏหรอกหรือ?  เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ?  บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ?  หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?… มาตรฐานที่มนุษย์ใช้ตัดสินมนุษย์คนอื่นๆ อยู่บนพื้นฐานของพฤติกรรมของพวกเขา กล่าวคือ บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขานั้นดีก็เป็นคนชอบธรรม ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ความประพฤติของเขาน่าสะอิดสะเอียนก็เป็นคนชั่ว  ส่วนมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษามนุษย์นั้นอยู่บนพื้นฐานของแก่นแท้ของพวกเขาว่านบนอบต่อพระองค์หรือไม่ กล่าวคือ บุคคลผู้ซึ่งนบนอบต่อพระเจ้าคือคนชอบธรรม ในขณะที่บุคคลผู้ซึ่งไม่นบนอบเป็นศัตรูและเป็นคนชั่ว โดยไม่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของบุคคลผู้นี้ดีหรือชั่ว และโดยไม่คำนึงถึงว่าวาทะของพวกเขาถูกหรือผิด(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  พระเจ้าทรงเปิดโปงว่าทุกคนที่ไม่ยอมรับพระองค์เป็นมารและซาตาน พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้า พระเจ้าทอดพระเนตรแก่นแท้ของผู้คน ในขณะที่ฉันมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขา ฉันเห็นว่าสามีจัดการทุกอย่างได้ดีทั้งในบ้านและนอกบ้าน ว่าเขาใจดีกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ว่าเขาจะยื่นมือช่วยเหลือตอนผู้คนต้องให้เขาช่วย ว่าเขาไม่หันหลังให้ฉันแม้แต่หลังจากฉันมีลูกไม่ได้ ฉันเลยคิดว่าเขาเป็นคนดีที่หาได้ยากในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม หลังจากเขารู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้า ด้านดุร้ายของเขาก็ถูกเปิดโปง ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นคนละคน เพื่อให้ฉันละทิ้งความเชื่อ เขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อข่มขู่และล่อลวงฉัน ถึงกับบีบบังคับฉันโดยขู่เรื่องหย่า ฉันได้เห็นว่าแก่นแท้ของสามีคือแก่นแท้ของมารที่เกลียดความจริงและเกลียดชังพระเจ้า ฉันยังตระหนักด้วยว่าเมื่อก่อนสามีดีกับฉันแค่เพราะฉันเต็มใจที่จะสละตัวเองเพื่อครอบครัวโดยไม่บ่นและเชื่อฟังทุกอย่างที่เขาพูด ซึ่งสนองความทะนงตัวของเขาในฐานะผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิง หลังจากที่ฉันพบพระเจ้า ฉันได้เข้าใจความจริงบางอย่างและพัฒนาแนวคิดของตัวเอง และเมื่อฉันปฏิเสธที่จะเชื่อฟังเขาและละทิ้งความเชื่อ เขาก็เริ่มข่มเหงและต่อต้านฉัน เมื่อการจับกุมของฉันส่งผลกระทบต่อหน้าตาและผลประโยชน์ของเขา เขาก็ขู่ว่าจะหย่ากับฉัน ในความเป็นจริง เขาไม่ได้ดีกับฉันอย่างแท้จริงเลย ซึ่งสอนฉันว่าความรักที่แท้จริงไม่มีอยู่ระหว่างผู้คน ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องผลประโยชน์และการธุรกรรม ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่มีความเชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  ฉันตระหนักว่าบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าเส้นทางนี้ ฉันถูกโชคชะตากำหนดมาให้แยกทางกับสามี ต่อให้เราพยายามอยู่ด้วยกัน เราก็จะไม่มีความสุข และสิ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ ฉันไม่อาจประนีประนอมได้เมื่อเป็นเรื่องความเชื่อในพระเจ้า หลังจากนั้น สามีก็ถามว่าฉันตัดสินใจหรือยัง ฉันตอบไปว่า “ฉันเลือกที่จะเชื่อในพระเจ้า” เมื่อได้ยินเช่นนี้ สามีก็ส่ายหัวและพูดอย่างสิ้นหวังว่า “ผมใช้ทุกวิถีทางแล้วจริงๆ ผมแค่สู้พระเจ้าของคุณไม่ได้เลย ขอให้คุณโชคดี” ฉันขอบคุณพระเจ้าในใจ หลังจากนั้น เราก็ทำตามขั้นตอนการหย่าอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ฉันเดินออกจากสำนักงานกิจการพลเรือน ฉันก็ถอนหายใจโล่งอกครั้งใหญ่ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ในที่สุดฉันก็สามารถเชื่อในพระเจ้าได้อย่างอิสระ  

ประสบการณ์นี้ช่วยให้ฉันเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของตัวเอง และทำให้ฉันตระหนักว่าเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนและช่วยผู้คนให้รอดได้ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงนำฉันออกมาจากครอบครัว ทรงปลดปล่อยฉันจากการพัวพันของครอบครัว เพื่อที่ฉันจะได้สละตัวเองเพื่อพระองค์แบบเต็มเวลา ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  

ก่อนหน้า:  9. การตื่นรู้หลังจากถูกขับไล่

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

52. ลาก่อน จอมตามใจ!

โดย หลี่เฟย ประเทศสเปนพูดถึงคนที่ชอบตามใจผู้อื่น ก่อนมาเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยคิดว่าพวกเขาช่างยอดเยี่ยม พวกเขามีอุปนิสัยที่อ่อนโยน...

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger