บทที่ 111

แน่นอนว่าชนชาติทั้งมวลควรจะได้รับการอวยพรเพราะพระองค์ กลุ่มชนทั้งมวลจักต้องป่าวร้องและสรรเสริญเราเพราะพระองค์  ราชอาณาจักรของเราจักต้องเฟื่องฟูและพัฒนา และจักต้องยืนนานไปตลอดกาล  ไม่มีใครเลยที่จะได้รับอนุญาตให้เหยียบย่ำราชอาณาจักรและไม่มีสิ่งใดเลยที่จะได้รับอนุญาตให้ดำรงอยู่ซึ่งไม่คล้อยตามเรา เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเปี่ยมบารมี ผู้ที่ไม่ยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง  เราไม่อนุญาตให้ใครก็ตามตัดสินเรา และเราไม่อนุญาตให้ใครก็ตามเข้ากันไม่ได้กับเรา  นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นอุปนิสัยของเราและบารมีของเรา  เมื่อใครก็ตามต้านทานเรา เราจะลงโทษเขาในเวลาของเราเอง  เหตุใดจึงไม่มีใครเลยที่ได้เห็นเราลงโทษคนหนึ่งคนใด?  นั่นเป็นเพียงเพราะเวลาของเรายังไม่มาถึงและมือของเรายังไม่ได้กระทำการอย่างแท้จริง  แม้ว่ามหาวิบัติทั้งหลายได้กระหน่ำลงมา แต่การนี้ประกอบไปด้วยการพูดเกี่ยวกับว่ามหาวิบัติทั้งหลายพ่วงเอาสิ่งใดมาด้วยเท่านั้น ในขณะที่ความเป็นจริงของมหาวิบัติทั้งหลายยังไม่ได้ตกแก่มนุษย์คนใด  พวกเจ้าได้จับความเข้าใจสิ่งใดจากวจนะของเราแต่ประการใดบ้างหรือไม่?  ในวันนี้ เราจะเริ่มปล่อยความเป็นจริงของมหาวิบัติทั้งหลาย  หลังจากการนี้ ใครก็ตามที่ต้านทานเราจะถูกซัดโทษใส่โดยมือของเรา  ในอดีต ทั้งหมดที่เราได้ทำไปคือการเปิดโปงผู้คนไม่กี่คน ยังไม่มีมหาวิบัติใดได้มาถึง  วันนี้แตกต่างไปจากอดีต  นับตั้งแต่ที่เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหมดเกี่ยวกับสิ่งที่มหาวิบัติทั้งหลายพ่วงมาด้วย เราจะประกาศแสดงความเป็นจริงของมหาวิบัติทั้งหลายต่อสาธารณชน ณ เวลาที่กำหนด  ก่อนหน้านี้ มหาวิบัติไม่เคยกล้ำกรายใครเลย ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่ (กล่าวคือ บุตรทั้งหลายของพญานาคใหญ่สีแดง) จึงได้ปฏิบัติตนอย่างบุ่มบ่ามและตามอำเภอใจต่อไป  เมื่อความเป็นจริงมาถึง สรรพสิ่งที่ทรงสร้างเคราะห์ร้ายเหล่านี้จะเชื่อมั่นอย่างครบบริบูรณ์  มิฉะนั้น ทุกคนก็คงจะไม่แน่ใจในตัวเรา และคงจะไม่มีใครเลยที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรา  นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา  จากการนี้ สามารถเห็นได้ว่าหนทางการทำงานของเรา (อ้างอิงถึงหนทางการทำงานของเราในผู้คนทั้งปวง) ได้เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว กล่าวคือ  เรากำลังแสดงให้เห็นถึงความโกรธของเรา การพิพากษาของเรา และคำสาปแช่งของเราโดยผ่านทางพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง และมือของเราได้เริ่มที่จะตีสอนทุกคนที่ต้านทานเรา  เรากำลังแสดงให้เห็นถึงความปรานีของเราและความรักมั่นคงของเราโดยผ่านทางบุตรหัวปีทั้งหลาย  แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือ โดยผ่านทางบุตรหัวปีทั้งหลาย เรากำลังแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ของเรา ซึ่งไม่ยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง เรากำลังแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของเรา และเรากำลังแสดงให้เห็นถึงภาวะบุคคลของเรา  พวกคนปรนนิบัติได้ลงหลักปักฐานที่จะทำการปรนนิบัติเรา และบุตรหัวปีทั้งหลายจำนวนมากขึ้นทุกทีก็กำลังได้รับการทำให้เป็นที่รู้จัก  โดยการซัดโทษใส่พวกที่ต้านทานเรา เรายอมให้พวกคนปรนนิบัติได้เห็นมืออันไร้ความเวทนาของเรา เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำการปรนนิบัติเราด้วยความเกรงกลัวและความสั่นเทา  เรายังยอมให้บุตรหัวปีทั้งหลายของเราได้เห็นสิทธิอำนาจของเราและเข้าใจเราได้ดียิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้เติบโตในชีวิต  วจนะที่เราได้พูดในช่วงเวลาล่าสุด (รวมถึงประกาศกฤษฎีกาบริหาร คำเผยพระวจนะ และการพิพากษาผู้คนทุกประเภท) กำลังเริ่มที่จะได้รับการทำให้ลุล่วงตามลำดับ กล่าวคือ ผู้คนจะได้เห็นวจนะของเราได้รับการทำให้เป็นจริงต่อหน้าต่อตาของพวกเขา ได้เห็นว่าไม่มีวจนะใดเลยของเราที่ไม่เกิดดอกผล แต่ได้เห็นว่าวจนะเหล่านั้นทุกคำสัมพันธ์กับชีวิตจริง  ก่อนที่วจนะของเราจะได้รับการทำให้ลุล่วง ผู้คนจำนวนมากจะจากไปเพราะพวกเขายังไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง  นี่คือหนทางที่เราทำงาน—มันไม่ใช่เพียงหน้าที่รับผิดชอบของคทาเหล็กของเราเท่านั้น แต่ที่ยิ่งมากไปกว่านั้นก็คือ มันคือปัญญาแห่งวจนะของเรา  จากการเหล่านี้ คนเราสามารถเห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเราและความเกลียดชังของเราต่อพญานาคใหญ่สีแดง  (การนี้สามารถเห็นได้เพียงภายหลังจากที่เราได้เริ่มงานของเราแล้วเท่านั้น  ตอนนี้ผู้คนบางคนได้รับการเปิดเผยแล้ว—มันเป็นเพียงสัดส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของการตีสอนของเราเท่านั้น แต่มันไม่สามารถถูกรวมอยู่ในมหาวิบัติทั้งหลายได้  นี่ไม่ยากลำบากเลยที่จะเข้าใจ  ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้ว่า นับจากบัดนี้ไป หนทางการทำงานของเราจะยิ่งยากขึ้นไปอีกสำหรับผู้คนที่จะเข้าใจ  วันนี้เรากำลังบอกพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะไม่อ่อนแอเพราะการนี้เมื่อเวลานั้นมาถึง  นี่คือสิ่งที่เราวางใจมอบหมายให้พวกเจ้า เพราะสิ่งทั้งหลายซึ่งผู้คนไม่ได้เห็นมานับตั้งแต่ครั้งโบราณกาลจะเกิดขึ้น รวมทั้งสิ่งทั้งหลายซึ่งจะทำให้เป็นการลำบากยากเย็นสำหรับผู้คนที่จะวางความรู้สึกของตนและความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ)  เหตุผลที่ทำไมเราจึงใช้วิถีทางที่แตกต่างกันเพื่อลงโทษพญานาคใหญ่สีแดงเป็นเพราะมันคือศัตรูของเราและคู่แค้นของเรา  เราต้องทำลายพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของมัน—เมื่อนั้นเท่านั้นเราจึงจะสามารถขจัดความเกลียดชังจากหัวใจของเราได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นเราจึงจะสามารถดูหมิ่นเหยียดหยามพญานาคใหญ่สีแดงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการทำลายพญานาคใหญ่สีแดงอย่างสิ้นเชิงและโยนมันเข้าไปสู่บึงไฟและกำมะถัน เข้าไปสู่บาดาลลึก

ไม่ได้เฉพาะเมื่อวานนี้เท่านั้นที่เรายอมให้บุตรหัวปีทั้งหลายของเราครองราชย์ร่วมกับเราและเข้าร่วมกับเราในการปกครองประชาชาติทั้งปวงและในการชื่นชมพร เรายังทำเช่นนั้นด้วยในวันนี้ และที่สำคัญกว่านั้น เราก็จะทำเช่นนั้นพรุ่งนี้ด้วยเช่นกัน  เราได้สำเร็จลุล่วงงานของเราอย่างประสบความสำเร็จ—เราได้พูดเช่นนั้นเรื่อยมาโดยตลอด และสามารถพูดได้เช่นกันว่าเราได้เริ่มที่จะพูดดังนั้นนับตั้งแต่กาลสมัยแห่งการเริ่มต้นการสร้างโลก แต่พวกมนุษย์ไม่เข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูด  นับตั้งแต่กาลสมัยแห่งการสร้างโลกจนกระทั่งถึงบัดนี้ เราไม่ได้ทำงานด้วยตนเองโดยเฉพาะ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ วิญญาณของเราไม่เคยได้เคลื่อนลงมายังมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์เพื่อพูดและทำงาน  แต่วันนี้แตกต่างไปจากอดีต กล่าวคือ  วิญญาณของเรากำลังทำงานด้วยตนเองโดยเฉพาะทุกหนแห่งในสากลพิภพ  เพราะในยุคสุดท้ายเราต้องการได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งจะครองราชย์อยู่ในอำนาจร่วมกับเรา ในตอนแรกเราได้มาซึ่งบุคคลหนึ่งผู้ที่มีจิตใจเดียวกันกับเรา ผู้ที่อาจจะคำนึงถึงภาระของเรา  หลังจากนั้น วิญญาณของเราก็จะเคลื่อนลงมายังพระองค์อย่างครบบริบูรณ์เพื่อแสดงเสียงของเราและเพื่อปล่อยประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราและเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายของเราต่อสากลพิภพ  วิญญาณของเราจะทำด้วยตนเองโดยเฉพาะที่จะให้พระองค์ทรงมีความเพียบพร้อม วิญญาณของเราจะบ่มวินัยพระองค์ด้วยตนเองโดยเฉพาะ  เพราะพระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ไม่มีใครเลยที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน  เมื่อบุตรหัวปีทั้งหลายของเราเข้าสู่ร่างกาย จะเป็นที่ชัดเจนอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ว่าสิ่งที่เราทำตอนนี้คือความเป็นจริงหรือไม่  แน่นอนว่า ในสายตาของมนุษย์ ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่เชื่อและไม่มีใครเลยที่สามารถเชื่อฟังได้  แต่เช่นนั้นก็คือความยอมผ่อนปรนของเราต่อผู้คน  เพราะความเป็นจริงยังไม่ได้มาถึง ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถเชื่อหรือเข้าใจได้  ไม่เคยมีผู้ใดที่จะเชื่อวจนะของเราท่ามกลางมโนคติที่หลงผิดแบบมนุษย์ของพวกเขา  ผู้คนทั้งหมดเป็นอย่างนี้ กล่าวคือ  พวกเขาเพียงเชื่อสิ่งที่ตัวตนฝ่ายเนื้อหนังของเราพูดเท่านั้น หรือไม่ก็พวกเขาเพียงเชื่อเสียงของวิญญาณของเราเท่านั้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง  นี่คือสิ่งที่ลำบากยากเย็นที่สุดในการจัดการกับผู้คน  หากพวกเขายังไม่ได้เห็นบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นด้วยตาของพวกเขาเอง ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองได้ และไม่มีใครเลยที่สามารถเชื่อสิ่งที่เราพูดได้  นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราจึงใช้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราเพื่อลงโทษบุตรแห่งการกบฏเหล่านั้น

เราได้พูดสิ่งเช่นนั้นมาก่อนแล้วว่า  เราคือองค์แรกและองค์สุดท้าย และเราคือพระองค์ผู้ที่ควบคุมดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเบื้องปลาย  ในยุคสุดท้าย เราจะได้มาซึ่งลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ 144,000 คน  พวกเจ้ามีความเข้าใจวจนะเหล่านี้ตามตัวอักษรอยู่บ้าง—“ลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ”—แต่พวกเจ้าไม่ชัดเจนเกี่ยวกับจำนวน 144,000  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ จำนวนๆ หนึ่งต้องอ้างอิงถึงจำนวนของผู้คนหรืออ้างอิงถึงจำนวนสิ่งของ “144,000” ที่ขยายความ “ลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ”—“ลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ 144,000 คน”—ผู้คนคิดว่ามีลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ 144,000 คน  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนบางคนคิดว่ามีความหมายเชิงสัญลักษณ์บางอย่างภายในข้อเท็จจริงของจำนวนนี้ และพวกเขาคิดว่า 140,000 และ 4,000 เป็นส่วนที่แยกจากกัน  แต่การตีความสองอย่างนี้ผิด  การนี้ไม่ได้อ้างอิงถึงจำนวนตามจริง และนับประสาอะไรที่จะอ้างอิงถึงความหมายเชิงสัญลักษณ์บางอย่าง  ท่ามกลางมนุษยชาติ ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถเจาะทะลุการนี้ได้—ผู้คนหลายชั่วคนที่ผ่านมาล้วนคิดว่านั่นอาจอ้างอิงถึงความหมายเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง  จำนวน “144,000” สัมพันธ์กับลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ  เมื่อเป็นเช่นนั้น 144,000 จึงอ้างอิงถึงกลุ่มผู้คนในยุคสุดท้ายผู้ที่จะครองราชย์ และเป็นผู้ที่เรารัก  กล่าวคือ 144,000 ควรถูกตีความเป็นกลุ่มผู้คนที่ได้มาจากศิโยนและผู้ที่จะหวนคืนสู่ศิโยน  การอธิบายที่ครบบริบูรณ์เรื่องลูกหลานเพศชายที่ได้รับชัยชนะ 144,000 คนเป็นดังต่อไปนี้ กล่าวคือ  พวกเขาคือผู้คนที่ได้มาจากศิโยนสู่โลกและได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และเป็นพวกเขานั่นเองที่ท้ายที่สุดแล้วจะได้รับการรับคืนโดยเราและจะหวนคืนสู่ศิโยนร่วมกับเรา  จากวจนะของเรา คนเราสามารถเห็นขั้นตอนทั้งหลายของงานของเรา ซึ่งหมายความว่าเวลาที่พวกเจ้าควรจะเข้าสู่ร่างกายอยู่ไม่ไกลมากนัก  นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราจึงได้อธิบายแง่มุมนี้แก่เจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก และได้ให้คำเตือนใจเจ้าเกี่ยวกับการนั้น  พวกเจ้าจะเห็นอย่างชัดเจน และจากวจนะของเราพวกเจ้าจะค้นหาหนทางสู่การปฏิบัติจนพบ จากวจนะของเราพวกเจ้าจะค้นหาจังหวะก้าวเดินของงานของเราจนพบ  เพื่อค้นหาจังหวะก้าวเดินของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จนพบ เจ้าต้องหยั่งรู้สิ่งนั้นจากความล้ำลึกทั้งหลายที่เราเผย (เพราะไม่มีใครเลยที่สามารถเห็นและไม่มีใครเลยที่สามารถเจาะทะลุพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้)  นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราจึงเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายในยุคสุดท้าย

ในบ้านของเรา จะไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่คล้อยตามเรา และนับจากบัดนี้ไปเราจะเริ่มชำระล้างและชำระให้สะอาดไปทีละน้อย  ท่ามกลางผู้คน ไม่มีใครเลยที่สามารถสอดแทรกได้ และไม่มีใครเลยที่สามารถทำงานนี้ได้  นี่เป็นการเปิดเผยว่าทำไมเราจึงกำลังทำงานในด้วยตัวเองโดยเฉพาะในยุคสุดท้าย  และนี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงได้บอกพวกเจ้าหลายครั้งว่าพวกเจ้าแค่จำเป็นต้องทำตัวเองให้มีความชื่นชมยินดีและไม่จำเป็นต้องกระดิกนิ้วทำอะไร  โดยผ่านทางการนี้นี่เองฤทธานุภาพของเราจึงเปิดเผย ความชอบธรรมและบารมีของเราจึงได้รับการเปิดเผย และความล้ำลึกทั้งหมดของเราที่ผู้คนไม่สามารถปลดล็อคได้จึงได้รับการเปิดเผย  (เพราะผู้คนไม่เคยมีความรู้อันใดเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการของเราหรือความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับขั้นตอนทั้งหลายของงานของเรา สิ่งเหล่านั้นจึงถูกเรียกว่า “ความล้ำลึกทั้งหลาย”)  สิ่งที่เราจะได้รับและสิ่งที่เราจะทำในยุคสุดท้ายคือความล้ำลึกทั้งหลาย  ก่อนเวลาที่เราได้สร้างโลก เราไม่เคยทำสิ่งที่เราทำในวันนี้และเราไม่เคยแสดงให้ผู้คนเห็นใบหน้าอันรุ่งโรจน์ของเราหรือส่วนใดของภาวะบุคคลของเรา มีเพียงวิญญาณของเราเท่านั้นที่ได้ทำงานกับผู้คนบางคน  (เพราะ นับตั้งแต่เวลาแห่งการสร้างโลก ไม่มีใครเลยที่สามารถสำแดงเราได้และไม่มีใครเลยที่สามารถแสดงตัวเรา เราไม่เคยอนุญาตให้ผู้คนเห็นภาวะบุคคลของเรา และวิญญาณของเราได้ทำงานกับผู้คนบางคนเรื่อยมา)  มีเพียงวันนี้เท่านั้นที่เราได้เปิดเผยฉายาอันรุ่งโรจน์ของเราและภาวะบุคคลของเราแก่พวกมนุษย์ และมีเพียงตอนนี้เท่านั้นที่พวกเขาได้เห็นสิ่งเหล่านี้  แต่สิ่งที่พวกเจ้าเห็นวันนี้ยังคงไม่ครบบริบูรณ์ และมันยังคงไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการให้ผู้คนได้เห็น  สิ่งที่เราต้องการให้พวกเจ้าได้เห็นนั้นอยู่ในร่างกายเท่านั้น และในขณะนี้ไม่มีใครเลยที่บรรจบกับสภาพเงื่อนไขนี้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่มีใครเลยที่สามารถเห็นภาวะบุคคลของเราได้ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่ร่างกาย  ดังนั้น เราจึงพูดว่าเราจะเผยภาวะบุคคลของเราต่อสากลพิภพบนภูเขาศิโยน  จากการนี้สามารถเห็นได้ว่าการเข้าสู่ภูเขาศิโยนคือส่วนสุดท้ายของโครงการของเรา  ณ เวลาที่เข้าสู่ภูเขาศิโยน ราชอาณาจักรของเราจะถูกสร้างขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ภาวะบุคคลของเราคือราชอาณาจักร  เวลาที่บุตรหัวปีทั้งหลายเข้าสู่ร่างกายคือเวลาที่ราชอาณาจักรจะถูกทำให้เป็นจริงอย่างเที่ยงตรงพอดี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงได้พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงเรื่องเกี่ยวกับการที่บุตรหัวปีทั้งหลายเข้าสู่ภูเขาศิโยน  นี่คือจุดศูนย์กลางของแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งสิ้นของเรา ซึ่งไม่มีใครเลยที่ได้เคยจับความเข้าใจมาก่อน

ทันทีที่เราเปลี่ยนหนทางในการทำงานของเรา จะมีสิ่งทั้งหลายมากขึ้นไปอีกที่อยู่เกินเอื้อมของความคิดมนุษย์ ดังนั้นจงระมัดระวังในเรื่องนี้  มีสิ่งทั้งหลายที่อยู่เกินเอื้อมของความคิดมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เราพูดนั้นผิด  มันก็แค่ว่าจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับผู้คนที่จะทนทุกข์ และจำเป็นยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับผู้คนที่จะร่วมมือกับเรา  จงอย่าเหลวแหลกอย่างมัวเมา และจงอย่าแค่ทำตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  เพราะพวกที่ทำการปรนนิบัติเราส่วนใหญ่ก็ร่วงลงต่ำในแง่นี้  เรากำลังใช้วจนะของเราเพื่อเปิดโปงธรรมชาติของมนุษย์และเพื่อเปิดเผยมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  (แต่พวกที่ทำการปรนนิบัติเราก็แค่ร่วงลงต่ำ เพราะเราไม่เปลี่ยนมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา ในขณะเราเปลี่ยนมโนคติที่หลงผิดของบรรดาผู้ที่เป็นบุตรหัวปีทั้งหลายของเราและลบการคิดของพวกเขาออกไปโดยผ่านทางการนี้)  ดังนั้นในตอนสุดท้าย บุตรหัวปีทั้งหลายของเราจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเพราะความล้ำลึกทั้งหลายที่เราได้เปิดเผยออกไป

ก่อนหน้า:  บทที่ 110

ถัดไป:  บทที่ 112

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger