บทที่ 112

ประโยคที่ว่า “คำพูดและความเป็นจริงดำเนินไปเคียงข้างกัน” เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา  จากคำพูดเหล่านี้ เราย่อมจะทำให้ทุกคนมองเห็นอุปนิสัยของเราได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน  ผู้คนคิดว่าการนี้ไม่อาจจะสัมฤทธิ์ได้ แต่สำหรับเราแล้ว มันง่ายดายและน่ายินดี และไม่ต้องใช้ความมานะพยายามใดๆ  ทันทีที่คำพูดของเราออกมาจากปากของเรา ทันทีนั้นก็มีข้อเท็จจริงที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้  นี่คืออุปนิสัยของเรา  เนื่องจากเราได้พูดบางสิ่งบางอย่างไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน  มิฉะนั้น เราคงไม่พูด  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ คำว่า “ความรอด” ได้มีการพูดออกมาเพื่อผู้คนทั้งหมด แต่นี่ไม่ตรงกับเจตนาของเรา  ในอดีต เราพูดว่า “เราจะช่วยบรรดาผู้ที่ไม่รู้เท่าทันและผู้ที่เป็นผู้แสวงหาที่กระตือรือร้นให้รอดเสมอ”  ในที่นี้ มีการพูดคำว่า “ช่วยให้รอด” เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ทำการปรนนิบัติเรา และนั่นหมายความว่าเราจะให้การปฏิบัติพิเศษต่อคนปรนนิบัติเช่นนั้น  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราจะลดบทลงโทษสำหรับผู้คนเหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม คนปรนนิบัติเหล่านั้น ผู้ที่ตลบตะแลงและหลอกลวงจะอยู่ท่ามกลางเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง กล่าวคือ เราจะทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้การลงโทษที่รุนแรง  (ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง แต่พวกเขาก็แตกต่างจากพวกที่ต้องถูกทำลายเป็นอย่างมาก กล่าวคือ พวกเขาย่อมจะได้รับการลงโทษที่รุนแรงชั่วนิรันดร์ และการลงโทษที่ผู้คนเหล่านั้นจะได้รับก็คือการลงโทษซาตานและหมู่มาร  นี่ยังเป็นความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่เราหมายถึงด้วยเช่นกัน เมื่อเราพูดว่าผู้คนเหล่านั้นเป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดง)  แต่เราไม่ใช้คำพูดประเภทเหล่านี้เกี่ยวกับบรรดาบุตรหัวปีของเรา เกี่ยวกับพวกเขาแล้ว เราพูดว่าเราจะนำบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับคืน และพูดว่าพวกเขาจะหวนคืนสู่ศิโยนอีกครั้ง  ดังนั้น เราจึงพูดเสมอว่าบรรดาบุตรหัวปีของเราคือผู้ได้รับเลือกและได้รับการกำหนดไว้ล่วงหน้าของเรา  ตั้งแต่ดั้งเดิม บรรดาบุตรหัวปีของเราเป็นของเรา และพวกเขามาจากเรา ดังนั้นจึงพวกเขาจึงต้องกลับมาหาเราที่นี่  เมื่อเปรียบเทียบบรรดาบุตรและบรรดาผู้คนกับบรรดาบุตรหัวปีแล้ว—นี่คือความแตกต่างระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลกอย่างแท้จริง กล่าวคือ ถึงแม้ว่าบรรดาบุตรและบรรดาผู้คนจะดีกว่าคนปรนนิบัติมากนัก แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่เป็นของเราแต่อย่างใด  ยังสามารถพูดได้อีกด้วยว่าบรรดาบุตรและบรรดาผู้คนได้รับเลือกเพิ่มเติมจากท่ามกลางมวลมนุษย์  ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นพลังงานของเราที่บรรดาบุตรหัวปีเสมอ และจากนั้นเราจะปล่อยให้บรรดาบุตรหัวปีของเราทำให้บรรดาบุตรและบรรดาผู้คนเหล่านี้ครบบริบูรณ์  ขั้นตอนเหล่านี้คือขั้นตอนการทำงานในอนาคตของเรา  ตอนนี้ไม่เป็นประโยชน์ที่จะบอกพวกเจ้า ดังนั้นเราจึงแทบจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้กับบรรดาบุตรและบรรดาผู้คน แต่กับบรรดาบุตรหัวปีเท่านั้นที่เราพูดเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆ และกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆ  นี่คือวิธีที่เราพูดและทำงาน  ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนี้ได้—เรามีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว

เรากำลังต่อสู้โต้กลับมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าทุกๆ วัน และเรากำลังชำแหละพวกเจ้าแต่ละคนวันแล้ววันเล่า  เมื่อเราพูดไปถึงจุดหนึ่ง พวกเจ้าก็กลับไปเหมือนเก่า และพวกเจ้าแยกสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราออกจากเทวสภาพของเราอีกครั้ง  ที่จุดนี้ถึงเวลาที่ผู้คนจะได้รับการเปิดเผยแล้ว กล่าวคือ ผู้คนคิดว่าเรายังคงใช้ชีวิตในเนื้อหนังและเราไม่ใช่พระเจ้าเองแต่อย่างใด คิดว่าเรายังคงเป็นมนุษย์และพระเจ้ายังคงทรงเป็นพระเจ้า และคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงมีความเกี่ยวข้องอันใดกับสภาวะบุคคลที่เราเป็น  มวลมนุษย์นี้ช่างเสื่อมทรามจริงๆ!  เราได้พูดคำพูดไปมากมายแล้วก่อนหน้านี้ แต่พวกเจ้าได้ปฏิบัติต่อคำพูดเหล่านั้นเสมือนว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีอยู่นานแล้ว และการนี้ทำให้เราเกิดความเกลียดชังพวกเจ้าที่สลักอยู่ในกระดูกของเรา!  การนี้ทำให้เราเกลียดพวกเจ้าอย่างแท้จริง!  เราผู้เป็นพระเจ้าผู้ครบบริบูรณ์เอง เราผู้ครอบครองทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ใครกล้าทำให้เราขุ่นเคืองโดยไม่คิดมาก?  ใครกล้าต้านทานเราในความคิดของพวกเขา?  หลังจากความวิบัติมหันตภัยของเราเริ่มต้นลงมา เราจะลงโทษพวกเจ้าทีละคน ไม่ปล่อยใครคนใด แต่จะลงโทษพวกเขาทุกคนอย่างรุนแรง  วิญญาณของเราทำงานในสภาวะบุคคล  นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ใช่พระเจ้าเอง แต่ในทางตรงกันข้าม มันหมายความว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เองมากขึ้นไปอีก  ผู้คนไม่รู้จักเรา—พวกเขาทั้งหมดต้านทานเราและมองไม่เห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเราจากคำพูดของเรา แต่พวกเขาพยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างในคำพูดของเราที่พวกเขาสามารถใช้ต่อต้านเราและมองหาความผิดพลาดของเราแทน  เมื่อเราปรากฏพร้อมกับบรรดาบุตรหัวปีของเราในศิโยนในวันหนึ่ง เราจะเริ่มต้นจัดการสิ่งมีชีวิตต่ำช้าเหล่านี้  ในช่วงเวลานี้ เรากำลังทำงานนี้เป็นหลัก  เมื่อเราได้พูดมาถึงจุดหนึ่งๆ คนปรนนิบัติจำนวนมากมายจะได้ล่าถอยไปแล้ว และบรรดาบุตรหัวปีจะยังได้ทุกข์ทนกับความยากลำบากทุกประเภทแล้วด้วยเช่นกัน  เมื่องานสองขั้นตอนนี้ก้าวหน้า งานของเราระยะหนึ่งจะมาถึงบทอวสาน  ในขณะเดียวกัน เราจะพาบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับไปศิโยน  เหล่านี้คือขั้นตอนของงานของเรา

บรรดาบุตรหัวปีของเราคือส่วนที่ขาดไม่ได้ของราชอาณาจักรของเรา ซึ่งเห็นได้จากการนี้ว่าอันที่จริงแล้วสภาวะบุคคลของเราคือราชอาณาจักร—การเกิดของราชอาณาจักรของเราเกิดขึ้นหลังจากการเกิดของบรรดาบุตรหัวปีของเรา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ราชอาณาจักรของเราได้ดำรงอยู่นับตั้งแต่เวลาแห่งการสร้างโลก และการได้รับบรรดาบุตรหัวปีของเรา (หมายถึงการนำบรรดาบุตรหัวปีของเรากลับคืน) คือการฟื้นคืนราชอาณาจักรของเรา  จากการนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าบรรดาบุตรหัวปีมีความสำคัญอย่างยิ่ง  ราชอาณาจักรจะเกิดขึ้น ความเป็นจริงเกี่ยวกับการครอบครองในฤทธิ์เดชจะปรากฏขึ้น ชีวิตใหม่จะออกมา และยุคเก่าจะสามารถสิ้นสุดลงได้ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของยุคนั้นก็เมื่อบรรดาบุตรหัวปีของเราดำรงอยู่เท่านั้น  นี่คือแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะบรรดาบุตรหัวปีอยู่ในฐานะนี้ พวกเขาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการทำลายล้างของโลก ความล่มสลายของซาตาน การเผยถึงตัวตนที่แท้จริงของคนปรนนิบัติ และข้อเท็จจริงที่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงจะไม่มีพงศ์พันธุ์และจะลงสู่บึงไฟและกำมะถัน—ดังนั้น พวกผู้คนที่ใช้ฤทธิ์เดชและพวกผู้คนทั้งหมดที่เป็นพงศ์พันธุ์ของพญานาคใหญ่สีแดงจึงทำการขัดขวาง ต้านทาน และทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่า  ในขณะเดียวกัน เราก็ยกบรรดาบุตรหัวปีของเราสูงขึ้น เป็นพยานเพื่อพวกเขา และเผยพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  เพราะมีเพียงบรรดาผู้ที่มาจากเราเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นพยานเพื่อเราได้ พวกเขาเพียงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะใช้ชีวิตตามอย่างเรา และพวกเขาเพียงเท่านั้นที่มีรากฐานที่จะต่อสู้ในการสู้รบและได้รับชัยชนะอันงดงามเพื่อเรา  พวกที่แยกจากเราไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าเศษดินในมือของเรา—เป็นสิ่งสร้างที่มีชีวิต ทุกคนเลย  ส่วนที่เป็นบุตรและประชากรก็เป็นเพียงคนที่ดีกว่าซึ่งได้รับการเลือกสรรจากบรรดาสิ่งสร้างที่มีชีวิต แต่พวกเขาไม่ได้มาจากเรา  ดังนั้นจึงมีความแตกต่างเป็นอย่างมากระหว่างบรรดาบุตรหัวปีและบรรดาบุตร  บรรดาบุตรไม่มีคุณสมบัติที่จะเปรียบเทียบกับบรรดาบุตรหัวปีเลย—พวกเขาได้รับการควบคุมและปกครองโดยบรรดาบุตรหัวปี  ตอนนี้พวกเจ้าควรเข้าใจแจ่มแจ้งเกี่ยวกับการนี้แล้ว!  ทุกๆ คำที่เราพูดเป็นจริง และไม่เป็นเท็จแต่อย่างใด  ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงสภาวะบุคคลของเรา และนั่นเป็นถ้อยคำของเรา

เราได้พูดแล้วว่าเราไม่พูดถ้อยคำที่ว่างเปล่า และไม่ได้ทำผิดพลาด นี่เพียงพอที่จะแสดงถึงบารมีของเรา  แต่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะแยกสิ่งดีออกจากสิ่งเลว และพวกเขาจะกลายเป็นได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถ้วนทั่วก็เมื่อการตีสอนบังเกิดกับพวกเขาเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วพวกเขาก็ยังคงกบฏและหัวแข็งอยู่  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงใช้การตีสอนเพื่อบดขยี้ตอบโต้มวลมนุษย์ทั้งหมด  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เนื่องจากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้น แล้วเหตุใดจึงมีบรรดาบุตรหัวปีมากมายที่มาจากเรา?  เราสามารถกล่าวได้เช่นนี้ว่า ในกิจการของเราเอง เราพูดถึงพวกเขาในลักษณะใดก็ได้ที่เราปรารถนา  มนุษย์มีความสามารถทำอะไรกับเราได้บ้าง?  เรายังสามารถกล่าวได้เช่นนี้เช่นกันว่า ถึงแม้ว่าบรรดาบุตรหัวปีกับเราไม่ได้มีภาพลักษณ์หนึ่งเดียว แต่เรามีวิญญาณเดียวกัน ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงสามารถมีจิตใจหนึ่งเดียวกับเราในขณะที่พวกเขาให้ความร่วมมือกับเรา  เหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่มีภาพลักษณ์หนึ่งเดียวก็คือ เพื่อให้ผู้คนทั้งหมดอาจมีความสามารถที่จะมองเห็นทุกๆ ส่วนของสภาวะบุคคลของเราด้วยความชัดเจนเหนือปกติได้  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบรรดาบุตรหัวปีของเราจึงมีสิทธิอำนาจร่วมกันกับเราเหนือชนชาติทั้งมวลและกลุ่มชนทั้งหมด  นี่คือหมายเหตุสุดท้ายของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา (“หมายเหตุสุดท้าย” ที่เราพูดถึงนี้หมายถึงว่าน้ำเสียงของเราอ่อนโยนและเราได้เริ่มต้นพูดกับบรรดาบุตรและผู้คนแล้ว)  ผู้คนส่วนใหญ่มีความกังขาเกี่ยวกับแง่มุมนี้ แต่ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องมีความกังขามากมายเช่นนั้นในตัวพวกเขา  เราจะตีแผ่มโนคติที่หลงผิดทั้งหมดของผู้คนทีละอย่าง เพื่อทำให้ผู้คนรู้สึกละอายโดยไม่มีที่ให้หลบซ่อน  เราเดินทางทั่วจักรวาลและไปจนถึงสุดปลายพิภพ และสังเกตโฉมหน้าทั้งหมดของจักรวาล  เราตรวจสอบบุคคลทุกๆ ประเภท—ไม่มีผู้ใดที่สามารถหลีกหนีจากมือของเราได้  เราเข้าร่วมในสิ่งทุกประเภท และไม่มีสิ่งใดที่เราไม่ปฏิบัติด้วยตัวเราเอง  ใครกล้าที่จะปฏิเสธฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของเรา?  ใครกล้าที่จะไม่ได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถ้วนทั่วเกี่ยวกับเรา?  ใครกล้าที่จะไม่หมอบราบต่อหน้าเราอย่างครบบริบูรณ์?  ฟ้าสวรรค์ทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงเพราะบรรดาบุตรหัวปีของเรา และที่ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นดินโลกทั้งหมดจะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเพราะเราและบรรดาบุตรหัวปีของเรา  ผู้คนทั้งหมดจะมาคุกเข่าต่อหน้าสภาวะบุคคลของเรา และทุกสรรพสิ่งจะมาอยู่ภายในการควบคุมของมือของเราอย่างแน่นอน—โดยไม่มีข้อผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย  ทุกๆ คนต้องได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถ้วนทั่ว และทุกๆ วัตถุจะมาที่บ้านของเราและทำการปรนนิบัติเรา  นี่คือส่วนสุดท้ายของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา  จากนั้นเป็นต้นไป ข้อย่อยต่างๆ ทั้งหมดของประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ซึ่งมีเป้าหมายที่ผู้คนที่แตกต่างกัน จะเริ่มต้นก่อเกิดผลลัพธ์ (เพราะประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราได้รับการประกาศต่อสาธารณะอย่างสมบูรณ์ และได้มีการจัดทำการจัดการเตรียมการที่เหมาะสมสำหรับบุคคลทุกประเภทและทุกๆ สิ่งแล้ว  ผู้คนทั้งหมดจะอยู่ในสถานที่ที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขา และตัวตนที่แท้จริงของบุคคลทุกประเภทจะถูกตีแผ่เพราะประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา)  เช่นนั้นจะเป็นการมาถึงประกาศกฤษฎีกาบริหารที่แท้จริงและจริงแท้

ตอนนี้ ตามขั้นตอนของงานของเรา เราพูดสิ่งที่เราต้องการจะพูด และทุกคนต้องเอาใจใส่กับคำพูดของเราอย่างจริงจัง  ตลอดหลายยุคหลายสมัย วิสุทธิชนทุกคนได้พูดถึง “กรุงเยรูซาเลมใหม่” และทุกคนรู้การนี้ แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำนี้  เนื่องจากงานของวันนี้ได้ดำเนินมาถึงช่วงระยะนี้แล้ว เราจะเผยความหมายที่แท้จริงของคำนี้กับพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจเข้าใจคำนี้ได้  แต่การเผยของเรามีข้อจำกัด—ไม่สำคัญว่าเราจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร และไม่สำคัญว่าเราจะพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนอย่างไร พวกเจ้าไม่มีวันสามารถเข้าใจอย่างสมบูรณ์ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดสามารถพาดพิงถึงความเป็นจริงของคำนี้ได้  ในอดีต กรุงเยรูซาเลมอ้างอิงถึงสถานที่ที่เราพักอาศัยบนแผ่นดินโลก นั่นคือ สถานที่ที่เราเดินและเคลื่อนที่  แต่คำว่า “ใหม่” เปลี่ยนคำนี้ และตอนนี้คำนี้ไม่เหมือนกับที่เคยเป็นมาก่อน  ผู้คนไม่สามารถจับความเข้าใจคำนี้ได้เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้อ้างอิงถึงราชอาณาจักรของเรา ผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้คือสภาวะบุคคลที่เราเป็น ผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้คือสวรรค์และแผ่นดินโลกใหม่ และผู้คนบางคนคิดว่าคำนี้คือโลกใหม่ที่จะมาถึงหลังจากที่เราทำลายโลกนี้แล้ว  ต่อให้จิตใจของบุคคลจะซับซ้อนและมีความสามารถที่จะจินตนาการที่มากมายเหลือเกิน พวกเขายังคงไม่สามารถจับใจความสิ่งใดๆ เกี่ยวกับคำนี้ได้  ตลอดหลายยุคหลายสมัย ผู้คนหวังตลอดมาว่าจะรู้หรือมองเห็นความหมายที่แท้จริงของคำนี้ แต่พวกเขาไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้ความปรารถนาของพวกเขาลุล่วงได้—พวกเขาทั้งหมดผิดหวังและตายไป เหลือทิ้งความทะเยอทะยานของพวกเขาไว้เบื้องหลัง เพราะเวลาของเรายังไม่มาถึง เราจึงไม่สามารถบอกผู้ใดได้โดยง่าย  เนื่องจากงานของเราได้เสร็จสิ้นมาถึงช่วงระยะนี้ เราจึงจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับพวกเจ้า  กรุงเยรูซาเลมใหม่รวมสี่สิ่งเหล่านี้เข้าไว้ทั้งหมด กล่าวคือ ความโกรธของเรา ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ราชอาณาจักรของเรา และพรอันไม่รู้จบที่เรามอบให้กับบรรดาบุตรหัวปีของเรา เหตุผลที่เราใช้คำว่า “ใหม่” นั้นเป็นเพราะสี่ส่วนนี้ซ่อนอยู่  เพราะไม่มีใครรู้ความโกรธของเรา ไม่มีใครรู้ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ไม่มีใครเคยเห็นราชอาณาจักรของเรา และไม่มีผู้ใดเคยได้ชื่นชมพรของเรา คำว่า “ใหม่” จึงอ้างอิงถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่  ไม่มีใครสามารถเข้าใจสิ่งที่เราได้พูดไปได้อย่างสมบูรณ์ เพราะกรุงเยรูซาเลมใหม่ได้เคลื่อนลงมาสู่แผ่นดินโลก แต่ไม่มีผู้ใดได้รับประสบการณ์กับความเป็นจริงของกรุงเยรูซาเลมใหม่ด้วยตัวเอง  ไม่สำคัญว่าเราจะพูดถึงกรุงเยรูซาเลมใหม่อย่างครบถ้วนเพียงใด ผู้คนจะไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์  ต่อให้คนบางคนจะเข้าใจ แต่ความเข้าใจนี้ก็เป็นเพียงคำพูดของพวกเขา จิตใจของพวกเขา และมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเท่านั้น  นี่คือแนวโน้มที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือหนทางไปข้างหน้าหนทางเดียว และไม่มีผู้ใดสามารถหลุดพ้นจากแนวโน้มนี้ได้

ก่อนหน้า:  บทที่ 111

ถัดไป:  บทที่ 113

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger