บทที่ 115

เพราะเจ้า หัวใจของเราจะชื่นบานเป็นอย่างยิ่ง เพราะเจ้า มือของเราจะเต้นรำด้วยความชื่นบานยินดี และเราจะให้พรอันไม่รู้จบแก่เจ้า เพราะเจ้าได้มาจากเราก่อนเวลาแห่งการสร้างโลก  ในวันนี้เจ้าต้องหวนคืนสู่ข้างเรา เพราะเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือของแผ่นดินโลก แต่เป็นของเรา เราจะรักเจ้าไปตลอดกาล เราจะอวยพรเจ้าไปตลอดกาล และเราจะปกป้องเจ้าไปตลอดกาล  มีเพียงพวกที่มาจากเราเท่านั้นที่รู้เจตนารมณ์ของเรา มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะแสดงความคำนึงถึงภาระของเรา และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่เราต้องการทำ ในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จลุล่วงแล้ว  หัวใจของเราเป็นเหมือนลูกไฟลูกหนึ่ง โหยหาบุตรทั้งหลายอันเป็นที่รักของเราให้กลับมาอยู่ร่วมกับเราในไม่ช้า และโหยหาให้ภาวะบุคคลของเราหวนคืนสู่ศิโยนอย่างครบบริบูรณ์ในไม่ช้า  เจ้ามีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับการนี้  ถึงแม้ว่าพวกเราไม่สามารถติดตามกันและกันในจิตวิญญาณได้บ่อยครั้ง แต่พวกเราสามารถร่วมเคียงกันและกันในจิตวิญญาณและพบกันในเนื้อหนังได้บ่อยครั้ง  พระบิดาและบุตรทั้งหลายไม่สามารถแยกจากกันได้ตลอดกาล พวกเขาเชื่อมโยงกันอย่างสนิทสนม  ไม่มีใครเลยที่สามารถนำเจ้าไปจากข้างเราได้จนกว่าจะถึงวันที่หวนคืนสู่ภูเขาศิโยน  เรารักบุตรหัวปีทั้งหมดที่มาจากเรา และเราเกลียดชังศัตรูทั้งหมดที่ต่อต้านเรา  เราจะนำพาบรรดาผู้ที่เรารักกลับไปสู่ศิโยนและเหวี่ยงพวกที่เราเกลียดชังเข้าไปสู่แดนคนตาย เข้าไปในนรก  นี่คือหลักการหลักของประกาศกฤษฎีกาบริหารทั้งปวงของเรา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุตรหัวปีทั้งหลายของเราพูดหรือทำคือการแสดงออกของพระวิญญาณของเรา  เป็นความเข้าใจที่ชัดเจนของการนี้ว่าทุกคนต้องเป็นคำพยานต่อบุตรหัวปีทั้งหลายของเรา  นี่คือขั้นตอนถัดไปของงานของเรา และหากใครก็ตามต้านทาน เราจะให้บุตรอันเป็นที่รักทั้งหลายของเราจัดการกับพวกเขา  ตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน  หากบรรดาผู้ที่เรารักกล่าวคำพูดของการพิพากษาหนึ่งคำ ซาตานก็ตายลงในแดนคนตายในทันใด เพราะเราได้มอบสิทธิอำนาจให้บุตรหัวปีทั้งหลายของเราแล้ว  นี่กล่าวได้ว่านับจากนี้เป็นต้นไป ถึงเวลาแล้วที่บุตรหัวปีทั้งหลายของเรากับเราจะได้ปกครองร่วมกัน  (นี่คือระยะของเนื้อหนัง ซึ่งแตกต่างเล็กน้อยจากการปกครองร่วมกันในร่างกาย)  ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังในความคิดจะทนทุกข์กับชะตากรรมเดียวกันกับพวกที่ต้านทานภาวะบุคคลที่เราเป็น  บุตรหัวปีทั้งหลายของเราควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างที่เราได้รับการปฏิบัติ เพราะพวกเรามีร่างกายหนึ่งเดียวและไม่มีวันสามารถถูกแยกจากกันได้  ดังที่ได้มีการเป็นพยานต่อเราในอดีต ในวันนี้จึงควรจะมีพยานต่อบุตรหัวปีทั้งหลายของเราในทำนองเดียวกัน  นี่คือหนึ่งในประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา ทุกคนต้องยืนขึ้นและเป็นคำพยาน

ราชอาณาจักรของเราแผ่ขยายไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก และบุตรหัวปีทั้งหลายของเราเดินทางไปยังสุดปลายแผ่นดินโลกร่วมกับเรา  เพราะอุปสรรคทั้งหลายของเนื้อหนังของพวกเจ้า จึงมีวจนะหลายคำที่พวกเจ้าไม่เข้าใจ แม้ว่าเราได้พูดวจนะเหล่านั้นไปแล้วก็ตาม ดังนั้นส่วนใหญ่ของงานนี้ต้องได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์หลังจากการหวนคืนสู่ศิโยน  สามารถเห็นได้จากวจนะของเราว่าการหวนคืนนี้อยู่ไม่ไกลเกินไป—ในข้อเท็จจริงนั้น ชั่วขณะนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว  นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกำลังพูดถึงศิโยนและเรื่องทั้งหลายในศิโยนอยู่เป็นนิตย์  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจุดประสงค์ของวจนะของเราคือสิ่งใด?  พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดอยู่ในหัวใจของเรา?  หัวใจของเราโหยหาที่จะหวนคืนสู่ศิโยนในไม่ช้า ที่จะสิ้นสุดยุคสมัยเดิมโดยครบถ้วนบริบูรณ์ ที่จะสิ้นสุดชีวิตของพวกเราบนแผ่นดินโลก (เพราะเราชิงชังผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายทางโลก และเรายิ่งเกลียดชังชีวิตในเนื้อหนังมากขึ้นไปอีก และสิ่งขัดขวางทั้งหลายของเนื้อหนังนั้นใหญ่หลวง มีเพียงเมื่อหวนคืนสู่ศิโยนแล้วเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะจำเริญ) และที่จะฟื้นคืนชีวิตของพวกเราในราชอาณาจักร  จุดประสงค์ของการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของเราคือเพื่อวางรากฐานสำหรับครั้งที่สองของเรา  นี่คือเส้นทางที่จำเป็นต้องมีการเดินทาง  มีเพียงโดยการมอบตัวเราเองอย่างครบบริบูรณ์ให้ซาตานเท่านั้นเราจึงจะสามารถไถ่พวกเจ้าได้ เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะหวนคืนสู่ร่างกายของเราในระหว่างช่วงระยะขั้นสุดท้าย  (หากไม่ใช่เพราะการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของเราแล้ว เราคงจะไม่สามารถได้รับสง่าราศีได้ และเราคงจะไม่สามารถนำเครื่องบูชาลบล้างบาปกลับไปได้ ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าก็คงจะได้มาสู่โลกในฐานะพวกคนบาปทั้งหลาย)  เพราะเรามีปัญญาไม่สิ้นสุด ข้อเท็จจริงที่เราได้นำทางพวกเจ้าออกจากศิโยนนั้นหมายความว่าเราจะมั่นใจว่าจะนำพาพวกเจ้ากลับสู่ศิโยน  ความพยายามทั้งหลายของซาตานที่จะขวางกั้นหนทางจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะงานอันยิ่งใหญ่ของเรานั้นสำเร็จลุล่วงนานมาแล้ว  บุตรหัวปีทั้งหลายของเราก็เป็นเหมือนเรา—พวกเขาบริสุทธิ์และไร้จุดด่างพร้อย ดังนั้นเราจะยังคงหวนคืนสู่ศิโยนพร้อมกับบุตรหัวปีทั้งหลายของเรา และพวกเราจะไม่มีวันแยกจากกัน

แผนการบริหารจัดการของเรากำลังค่อยๆ ได้รับการเผยต่อพวกเจ้า  เราได้เริ่มต้นดำเนินงานของเราจนเสร็จสิ้นในชนชาติทั้งหมดและท่ามกลางกลุ่มชนทั้งหมด  นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าการหวนคืนของเราสู่ศิโยนนั้นอยู่ไม่ไกลเกินไปแล้ว เพราะการดำเนินงานของเราในชนชาติทั้งหมดและท่ามกลางกลุ่มชนทั้งหมดคือบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องทำให้เสร็จหลังจากการหวนคืนสู่ศิโยน  จังหวะก้าวเดินของเรารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ  (เพราะวันแห่งการหวนคืนของเราสู่ศิโยนกำลังเข้าใกล้เข้ามา เราต้องการแล้วเสร็จงานของเราบนแผ่นดินโลกก่อนที่เราจะหวนคืน)  เรากำลังกลายเป็นยุ่งอยู่กับงานของเรามากขึ้นไปอีก แต่กระนั้นก็มีงานบนแผ่นดินโลกสำหรับเราที่จะทำน้อยลงทุกที—แทบจะไม่มีเลย  (ธุระของเรานั้นมุ่งหมายไปที่งานในพระวิญญาณ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่สามารถได้รับจากวจนะของเราเท่านั้น ธุระของเราไม่ใช่เป็นอย่างที่ยุ่งอยู่ในเนื้อหนัง แต่อ้างอิงถึงการวางแผนการของเราเกี่ยวกับกิจมากมาย)  นี่เป็นเพราะ ตามที่เราได้พูดแล้ว งานของเราบนแผ่นดินโลกได้เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้วอย่างถ้วนทั่ว และส่วนที่เหลือของงานของเราต้องรอจนกระทั่งเราหวนคืนสู่ศิโยน  (เหตุผลที่ทำไมเราต้องหวนคืนสู่ศิโยนเพื่อทำงานนั้นก็คือว่า งานในอนาคตไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ในเนื้อหนัง และหากงานนี้จะทำสำเร็จในเนื้อหนัง มันคงจะลดเกียรตินามของเรา)  เมื่อเราทำให้ศัตรูของเราปราชัยและหวนคืนสู่ศิโยน ชีวิตจะสวยงามและสันติสุขมากกว่าชีวิตก่อนยุคทั้งหลาย  (นี่เป็นเพราะเราได้เอาชนะโลกอย่างครบบริบูรณ์แล้ว และด้วยการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของเราและการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของเรา เราได้รับสง่าราศีโดยครบบริบูรณ์  ในการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของเรา เราได้รับส่วนหนึ่งของสง่าราศีของเราเท่านั้น แต่ในการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของเรา ภาวะบุคคลของเราได้รับสง่าราศีโดยครบบริบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสสำหรับซาตานที่จะฉวยโอกาสอีกต่อไป  ดังนั้น อนาคตของศิโยนจะสวยงามและสันติสุขยิ่งขึ้นไปอีก)  ภาวะบุคคลของเราจะปรากฏต่อหน้าพิภพและซาตานอย่างรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อที่จะดูหมิ่นเหยียดหยามพญานาคใหญ่สีแดง นี่คือจุดศูนย์กลางของปัญญาทั้งหมดของเรา  ยิ่งเราพูดถึงสิ่งภายนอกทั้งหลายมากขึ้นเท่าใด พวกเจ้าก็จะยิ่งสามารถเข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราพูดถึงสิ่งทั้งหลายของศิโยนที่พวกมนุษย์ไม่สามารถเห็นได้มากขึ้นเท่าใด พวกเจ้าก็จะยิ่งคิดว่าสิ่งเหล่านี้ว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น และยิ่งลำบากยากเย็นมากขึ้นเท่านั้นสำหรับพวกเจ้าที่จะจินตนาการสิ่งเหล่านั้น พวกเจ้าจะคิดว่าเรากำลังเล่าเทพนิยายอยู่  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าต้องคอยระวัง  ไม่มีวจนะที่กลวงเปล่าในปากของเรา วจนะที่มาจากปากของเรานั้นไว้วางใจได้  นี่เป็นจริงอย่างแน่นอนที่สุด แม้ว่าจะยากที่จะเข้าใจด้วยหนทางการคิดของพวกเจ้า  (เพราะข้อจำกัดทั้งหลายของเนื้อหนัง พวกมนุษย์ไร้ความสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เราพูดอย่างครบบริบูรณ์และอย่างถ้วนทั่ว และหลายสิ่งที่เราได้พูดไปแล้ว เรายังไม่ได้เปิดเผยอย่างครบบริบูรณ์  กระนั้น เมื่อพวกเราหวนคืนสู่ศิโยน เราจะไม่จำเป็นต้องอธิบาย พวกเจ้าจะเข้าใจไปเองเป็นธรรมดา)  การนี้จะต้องไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่สำคัญ

ถึงแม้ว่าเนื้อหนังและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์มีข้อจำกัดทั้งหลาย แต่เรายังคงต้องการที่จะปรับปรุงการคิดอย่างเนื้อหนังของพวกเจ้าและสู้กับมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าโดยผ่านทางความล้ำลึกทั้งหลายที่ถูกเปิดเผย เพราะ อย่างที่เราได้พูดไปแล้วหลายครั้ง นี่คือขั้นตอนหนึ่งของงานของเรา (และงานนี้จะไม่หยุดจนกว่าจะเข้าสู่ศิโยน)  มี “ภูเขาศิโยน” หนึ่งลูกในจิตใจของทุกๆ บุคคล และมันแตกต่างกันสำหรับทุกบุคคล  ในเมื่อเราพาดพิงถึงภูเขาศิโยนอยู่เรื่อยๆ เราจะให้ข้อมูลทั่วไปบางอย่างเกี่ยวกับภูเขานั่นแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจรู้เกี่ยวกับมันสักเล็กน้อย  การอยู่บนภูเขาศิโยนคือการหวนคืนสู่โลกวิญญาณ  ถึงแม้นี่จะอ้างอิงถึงโลกวิญญาณ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์ไม่สามารถเห็นหรือสัมผัสได้ การนี้เกี่ยวข้องกับร่างกาย  มันไม่ใช่ไม่ปรากฏแก่ตาหรือไม่สามารถสัมผัสได้อย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อร่างกายปรากฏขึ้น มันมีรูปสัณฐานและรูปทรง แต่เมื่อร่างกายไม่ปรากฏขึ้น มันไม่มีรูปสัณฐานหรือรูปทรง  บนภูเขาศิโยน จะไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับอาหาร เสื้อผ้า สิ่งจำเป็นประจำวัน หรือที่กำบัง อีกทั้งจะไม่มีการสมรสหรือครอบครัว และจะไม่มีการแบ่งเพศ (บรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่อยู่บนภูเขาศิโยนคือภาวะบุคคลของเรา ในร่างกายหนึ่งเดียว ดังนั้นจึงไม่มีการแต่งงาน ครอบครัว หรือการแบ่งเพศ) และทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งภาวะบุคคลของเราพูดถึงก็จะสัมฤทธิ์ผล  เมื่อผู้คนไม่ทันระวังตัว ภาวะบุคคลของเราจะปรากฏท่ามกลางพวกเขา และเมื่อผู้คนกำลังไม่ให้ความสนใจ ภาวะบุคคลของเราจะปลาสนาการไป  (นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนซึ่งมีเลือดเนื้อไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ ดังนั้นจึงเป็นการลำบากยากเย็นสำหรับพวกเจ้าที่จะจินตนาการในตอนนี้)  ในอนาคต จะยังคงมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และสวรรค์กับแผ่นดินโลกในทางกายภาพ แต่เพราะภาวะบุคคลของเราจะอยู่ในศิโยน จะไม่มีการแผดเผาของดวงอาทิตย์ ไม่มีกลางวัน และไม่มีความทุกข์จากความวิบัติทางธรรมชาติทั้งหลาย  เมื่อเราพูดว่า พวกเราจะไม่จำเป็นต้องมีแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้ความสว่างแก่พวกเรา เรากำลังพูดถึงการอยู่ในศิโยน  ตามมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลต้องถูกกำจัดทิ้ง และผู้คนทั้งหมดต้องดำรงชีวิตในความสว่างของเรา  พวกเขาคิดว่านี่คือความหมายที่แท้จริงของ “พวกเราจะไม่จำเป็นต้องมีแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้แสงสว่างแก่พวกเรา” แต่ในข้อเท็จจริงนั้น นี่คือการตีความผิด  เมื่อเราพูดว่า “ทุกเดือน ต้นไม้จะออกผลสิบสองลักษณะ” เรากำลังอ้างอิงถึงเรื่องราวในศิโยน  ประโยคนี้เป็นตัวแทนสภาพเงื่อนไขทั้งหลายของชีวิตในศิโยนในความครบถ้วนบริบูรณ์ของสิ่งเหล่านั้น  ในศิโยน เวลาจะไม่ถูกจำกัด อีกทั้งจะไม่มีข้อจำกัดทั้งหลายเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และพื้นที่  นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราจึงพูดว่า “ทุกเดือน”  “ผลสิบสองลักษณะ” ไม่ได้เป็นตัวแทนพฤติกรรมที่พวกเจ้ากำลังใช้ชีวิตตามในวันนี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันอ้างอิงถึงชีวิตแห่งอิสรภาพในศิโยน  วจนะเหล่านี้เป็นการกล่าวอย่างกว้างๆ ทั่วไป เกี่ยวกับชีวิตในศิโยน  จากการนี้ เราสามารถเห็นได้ว่าชีวิตในศิโยนจะมั่งคั่งและแปรปรวนหลากหลาย (เพราะที่นี่ “สิบสอง” อ้างอิงถึงความเต็มเปี่ยม)  มันจะเป็นชีวิตที่ปราศจากความระทมใจและน้ำตา และจะไม่มีการฉวยประโยชน์หรือการกดขี่ ดังนั้นทั้งหมดจะได้การปลดแอกและเป็นอิสระ  นี่เป็นเพราะทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่ภายในภาวะบุคคลของเรา ไม่สามารถแยกได้โดยบุคคลใด และทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นฉากเหตุการณ์ของความงดงามและความใหม่ชั่วนิรันดร์  มันจะเป็นเวลาที่ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้ว และเป็นการเริ่มต้นชีวิตของพวกเราหลังการหวนคืนของพวกเราสู่ศิโยน

ถึงแม้ว่างานของเราบนแผ่นดินโลกได้เสร็จสิ้นแล้วอย่างถ้วนทั่ว แต่เรายังคงจำเป็นต้องให้บุตรหัวปีทั้งหลายของเราทำงานบนแผ่นดินโลก ดังนั้นเรายังไม่สามารถหวนคืนสู่ศิโยนได้  เราไม่สามารถหวนคืนสู่ศิโยนได้โดยลำพัง  เราจะหวนคืนสู่ศิโยนพร้อมกับบุตรหัวปีทั้งหลายของเราหลังจากที่พวกเขาได้แล้วเสร็จงานของพวกเขาบนแผ่นดินโลกแล้ว  ด้วยเหตุนี้ อาจกล่าวอย่างถูกต้องได้ว่า พวกเรากำลังได้รับสง่าราศีไปพร้อมกัน นี่คือการสำแดงอันครบบริบูรณ์ของภาวะบุคคลของเรา  (เราพูดว่างานของบุตรหัวปีทั้งหลายของเราบนแผ่นดินโลกยังไม่ครบบริบูรณ์เพราะบุตรหัวปีทั้งหลายของเรายังไม่ได้รับการสำแดง  งานนี้ยังคงต้องทำให้เสร็จโดยพวกคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีและซื่อสัตย์ทั้งหลาย)

ก่อนหน้า:  บทที่ 114

ถัดไป:  บทที่ 116

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger