บทที่ 101

เราจะไม่ปรานีแม้เพียงเล็กน้อยต่อผู้ใดก็ตามที่ทำให้การบริหารจัดการของเราหยุดชะงัก หรือผู้ใดที่พยายามที่จะทำลายแผนของเรา  ทุกคนควรจับความเข้าใจความหมายของเราจากวจนะที่เราเอ่ย และควรมีความเข้าใจที่ชัดเจนในสิ่งที่เรากำลังพูดถึง  ในมุมมองของสถานการณ์ปัจจุบัน เจ้าแต่ละคนควรตรวจดูตนเอง กล่าวคือ เจ้ากำลังแสดงบทบาทประเภทใดอยู่?  เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์ของเรา หรือว่าเจ้ากำลังทำงานปรนนิบัติซาตาน?  แต่ละการกระทำและทุกการกระทำของเจ้ามีสาเหตุมาจากเรา หรือจากพวกมาร?  เจ้าควรชัดเจนในทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการล่วงเกินกฎการบริหารปกครองของเรา และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นการก่อให้เกิดความกริ้วอันเดือดดาลของเรา  เมื่อคิดย้อนไปในอดีต ผู้คนนั้นไม่ซื่อสัตย์และอกตัญญูต่อเราเสมอมา พวกเขาไม่เคารพและที่ยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาทรยศเรา  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผู้คนเหล่านี้จึงเผชิญหน้ากับการพิพากษาของเราในวันนี้  แม้ว่าเราจะปรากฏเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง ผู้คนทั้งหมดที่เราไม่ได้เห็นชอบ (เจ้าควรเข้าใจความหมายของเราจากการนี้ กล่าวคือ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเจ้าดูสวยงามเพียงใดหรือว่าเจ้ามีเสน่ห์เพียงใด แต่อยู่ที่ว่าเราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าและได้คัดเลือกพวกเจ้าแล้วหรือไม่) จะถูกเรากำจัดออกไป  การนี้เป็นจริงอย่างแน่นอน  นี่เป็นเพราะเราอาจปรากฏเป็นมนุษย์ในภายนอก แต่เจ้าจำเป็นต้องมองข้ามสภาวะความเป็นมนุษย์ของเราเพื่อล่วงรู้เทวสภาพของเรา  ดังที่เราได้พูดหลายครั้งแล้วว่า “สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติและเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ เป็นสองส่วนที่มิอาจแยกจากกันได้ของพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครบบริบูรณ์”  อย่างไรก็ตาม เจ้ายังคงไม่เข้าใจเรา เจ้าเพียงแค่ผูกติดความสำคัญกับพระเจ้าที่คลุมเครือของเจ้าเท่านั้น  เจ้าคือผู้คนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  ถึงกระนั้น ผู้คนเช่นนั้นก็ยังคงปรารถนาที่จะได้เป็นบุตรหัวปีของเรา  ช่างน่าละอายนัก!  พวกเขามองไม่เห็นว่า ที่จริงแล้วสถานะของพวกเขาคืออะไร!  พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งสถานะที่จะรับใช้ในฐานะผู้คนของเรา ดังนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถเป็นบุตรหัวปีของเราและเป็นราชาพร้อมกับเราได้อย่างไร?  ผู้คนเช่นนี้ไม่รู้จักตนเอง พวกเขาเป็นพวกของซาตาน และไม่ควรค่าแก่การเป็นเสาหลักในบ้านของเรา นับประสาอะไรที่จะรับใช้ต่อหน้าเรา  ดังนั้นเราย่อมจะกำจัดพวกเขาออกไปทีละคน และเราจะเผยใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาทีละคน

งานของเราดำเนินไปทีละขั้นตอน โดยไม่ถูกขัดขวางและไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย เพราะเราได้รับชัยชนะและเพราะเราได้ปกครองในฐานะองค์กษัตริย์ตลอดทั่วทั้งจักรวาล  (สิ่งที่เรากำลังอ้างถึงอยู่นี้คือว่า ตั้งแต่ทำให้ซาตานและหมู่มารปราชัย เราได้ฟื้นคืนฤทธานุภาพของเราขึ้นใหม่)  เมื่อเราได้รับบุตรหัวปีของเราทั้งหมด ธงแห่งชัยชนะจะผงาดเหนือภูเขาศิโยน  นั่นกล่าวได้ว่า บรรดาบุตรหัวปีของเราก็คือธงชัยของเรา สง่าราศีของเรา และสิ่งที่เราโอ้อวด สิ่งเหล่านั้นคือหมายสำคัญว่าเราได้ทำให้ซาตานอับอาย และสิ่งเหล่านั้นคือวิธีการที่เราทำงาน  (เราได้ทำให้พญานาคใหญ่สีแดงอับอาย และปกครองเหนือบุตรแห่งความกบฏทั้งหลาย โดยผ่านทางกลุ่มผู้คนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหลังจากที่เราได้ลิขิตพวกเขาไว้ล่วงหน้า แต่เป็นผู้ที่กลับมาเคียงข้างเราอีกครั้ง)  พวกบุตรหัวปีของเราคือที่ซึ่งความมีมหิทธิฤทธิ์ของเราตั้งอยู่ พวกเขาคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเรา ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและไม่สามารถโต้แย้งได้  เราจะทำแผนการบริหารจัดการของเราให้ครบบริบูรณ์โดยผ่านทางพวกเขานั่นเอง  นี่คือสิ่งที่เราหมายความถึงในอดีตเมื่อครั้งที่เรากล่าวว่า “เราจะทำให้ชนชาติทั้งมวลและกลุ่มชนทั้งปวงหวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของเราโดยผ่านทางพวกเจ้านั่นเอง”  นั่นยังเป็นสิ่งที่เราอ้างถึงเมื่อเรากล่าววจนะที่ว่า “ภาระอันหนักอึ้งบนบ่าของพวกเจ้า” ด้วยเช่นกัน  นั่นชัดเจนหรือไม่?  เจ้าเข้าใจหรือไม่?  พวกบุตรหัวปีของเราคือการตกผลึกของแผนการบริหารจัดการทั้งแผนของเรา ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงไม่เคยปฏิบัติต่อกลุ่มนี้อย่างสุภาพ และเราจึงได้บ่มวินัยพวกเขาอย่างรุนแรงมาตลอด (การบ่มวินัยที่รุนแรงนั้นได้แก่ความระทมทุกข์ที่ทนทุกข์กันในโลก ความโชคร้ายของครอบครัวทั้งหลาย และการทอดทิ้งโดยบิดามารดา สามี ภรรยา และบุตรหลานทั้งหลาย—กล่าวอย่างสั้นก็คือ การทอดทิ้งโดยโลกนี้และการถูกละทิ้งโดยยุคนี้) และนี่คือเหตุผลที่เจ้ามีโชควาสนาที่ได้มาอยู่ต่อหน้าเราในวันนี้  นี่คือคำตอบต่อคำถามที่พวกเจ้าได้ใคร่ครวญอยู่บ่อยครั้งยิ่งนักว่า “เหตุใดผู้คนอื่นๆ จึงไม่ยอมรับชื่อนี้ แต่ข้ายอมรับ?”  ปัจจุบันนี้เจ้ารู้แล้ว!

วันนี้ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับในอดีต  แผนการบริหารจัดการของเราได้รับเอาวิธีการใหม่ๆ เข้ามา งานของเราแตกต่างจากที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ และถ้อยคำของเราตอนนี้ยิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเสียอีก  เราจึงได้เน้นย้ำไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพวกเจ้าควรทำการปรนนิบัติเราอย่างถูกต้องเหมาะสม (การนี้กล่าวแก่เหล่าคนปรนนิบัติ)  จงอย่าปฏิบัติต่อพวกเจ้าเองในเชิงลบ แต่จงคงไว้ซึ่งการไล่ตามเสาะหาที่จริงจังตั้งใจ  การได้รับพระคุณมาบ้างนั้นไม่น่าชื่นชมหรอกหรือ?  นั่นดีกว่าการทนทุกข์ในโลกนี้มากนัก  เราบอกเจ้าไว้เลย!  หากเจ้าไม่ทำการปรนนิบัติเราอย่างหมดหัวใจ และกลับร้องทุกข์ว่าเราไม่ชอบธรรมแทน เช่นนั้นแล้ว วันพรุ่งนี้เจ้าจะตกลงสู่แดนคนตายและนรก  ไม่มีบุคคลใดอยากได้ความตายที่เร็วขึ้น—ไม่ใช่หรอกหรือ?  แม้กระทั่งมีชีวิตมากขึ้นอีกหนึ่งวันก็คือวันที่มีความหมาย ดังนั้นเจ้าจะต้องถวายตัวเจ้าเองให้แก่แผนการบริหารจัดการของเราจนหมดสิ้น และหลังจากนั้นจึงรอคอยการพิพากษาของเราที่มีต่อเจ้า และรอการตีสอนอันชอบธรรมของเราให้ตกมาถึงเจ้า  จงอย่าได้ทึกทักว่าสิ่งที่เรากำลังพูดนี้ไร้สาระ เราพูดจากความชอบธรรมของเราและจากอุปนิสัยของเรา  ยิ่งกว่านั้นคือ เรากระทำการด้วยบารมีและความชอบธรรมของเรา  ที่ผู้คนทั้งหมดพูดว่าเราไม่ชอบธรรมนั้น เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักเรา นี่คือการแสดงออกที่ชัดเจนถึงอุปนิสัยที่กบฏของพวกเขา  ส่วนเรานั้นไม่มีความรู้สึกใดๆ ทางเนื้อหนัง แต่มีเพียงแค่ความชอบธรรม บารมี การพิพากษา และความโกรธเคือง  ยิ่งเวลาผ่านไปมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะเห็นอุปนิสัยของเรามากขึ้นเท่านั้น  ปัจจุบันนี้คือช่วงระยะแห่งการเปลี่ยนผ่าน และพวกเจ้าสามารถมองเห็นได้เพียงแค่ส่วนเล็กน้อยของการนี้เท่านั้น เจ้าสามารถมองเห็นเพียงแค่สิ่งทั้งหลายที่สำแดงออกมาภายนอกเท่านั้น  เมื่อบรรดาบุตรหัวปีของเราปรากฏ เราจะอนุญาตให้พวกเจ้าได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างและเข้าใจการนั้นทั้งหมด  ทุกคนจะเชื่อมั่นในหัวใจของพวกเขาและในคำพูดของพวกเขา  เราจะให้พวกเจ้าพูดออกมาเพื่อเป็นพยานแก่เรา สรรเสริญเราตลอดกาล และเชิดชูเราตลอดกาล  การนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ผู้คนแทบจะไม่สามารถจินตนาการถึงการนี้ได้ อย่าว่าแต่จะเชื่อการนี้เลย

พวกที่เป็นบุตรหัวปีมีความชัดแจ้งที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องของนิมิตทั้งหลาย และความรักของพวกเขาที่มีต่อเราก็เติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าที่เคย  (นี่ไม่ใช่ความรักอันเพ้อฝันประโลมใจ ซึ่งเป็นการทดลองของซาตานที่มีต่อเรา และเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ต้องมองให้ทะลุปรุโปร่ง  ด้วยเหตุผลนี้ เราได้กล่าวถึงไว้ก่อนหน้านี้ว่า มีพวกที่อวดเสน่ห์ของตัวเองต่อหน้าเรา  ผู้คนเช่นนั้นคือขี้ข้าของซาตาน ที่เชื่อว่าเราจะถูกดึงดูดโดยรูปโฉมของพวกเขา  ช่างไร้ยางอายนัก!  พวกเขาคือผู้เคราะห์ร้ายที่ต่ำช้าที่สุด!)  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ตัวพวกเขาเองไม่ใช่ลูกหัวปี ได้กลายเป็นไม่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับนิมิตทั้งหลาย และได้สูญเสียความเชื่อในสภาวะบุคคลที่เราเป็น โดยผ่านทางวจนะเหล่านี้ที่เราได้พูดตลอดช่วงเวลานี้  หลังจากนั้น พวกเขาจึงเพิ่มความไม่แยแสขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งพวกเขาล้มลงในที่สุด  ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถช่วยตัวพวกเขาเองได้  นั่นคือเป้าหมายของสิ่งที่เรากำลังพูดในช่วงเวลานี้ ทุกคนควรเห็นการนี้ (เรากำลังพูดกับพวกบุตรหัวปี) และควรเห็นความมหัศจรรย์ของเราโดยผ่านทางถ้อยคำและการกระทำของเรา  เพราะเหตุใดจึงมีการพูดว่า เราคือองค์สันติราช พระบิดานิรันดร์ ว่าเราเป็นผู้มหัศจรรย์ และว่าเราเป็นที่ปรึกษา?  การอธิบายการนี้จากมุมมองของอัตลักษณ์ของเรา ถ้อยคำของเรา หรือจากสิ่งที่เราทำ คงจะเป็นการผิวเผินอย่างยิ่ง นั่นคงจะไม่ควรค่าแก่การพูดถึงเสียด้วยซ้ำ  เหตุผลของการเรียกเราว่าองค์สันติราชมีสาเหตุมาจาก กำลังของเราที่จะทำให้พวกบุตรหัวปีของเราครบบริบูรณ์ การพิพากษาซาตานของเรา และพรอันไร้ขอบเขตที่เราได้ประสาทให้แก่พวกบุตรหัวปี  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เฉพาะพวกบุตรหัวปีเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเรียกเราว่าองค์สันติราช เนื่องจากเรารักพวกบุตรหัวปีของเรา และฉายา “องค์สันติราช” ควรมาจากปากของพวกเขา  สำหรับพวกเขา เราคือองค์สันติราช  สำหรับพวกบุตรของเราและประชากรของเรา เราเป็นที่รู้จักในฐานะพระบิดานิรันดร์  เนื่องจากการดำรงอยู่ของพวกบุตรหัวปีของเรา และเพราะว่าพวกเขาสามารถกุมอำนาจราชาธิปไตยร่วมกับเราและปกครองชนชาติทั้งมวลและกลุ่มชนทั้งปวง (นั่นคือ พวกบุตรและประชากร) ดังนั้นพวกบุตรและประชากรจึงควรเรียกเราว่าพระบิดานิรันดร์—อันหมายถึงพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ซึ่งอยู่เหนือพวกบุตรหัวปี  เราเป็นผู้มหัศจรรย์สำหรับพวกที่ไม่ใช่บุตร ประชากร หรือพวกบุตรหัวปี  เพราะความมหัศจรรย์ของงานของเรา บรรดาผู้ปราศจากความเชื่อไม่สามารถมองเห็นเราได้เลย (เพราะเราได้บดบังดวงตาของพวกเขาไว้) และไม่มีทรรศนะที่ชัดเจนต่องานของเรา  ดังนั้น สำหรับพวกเขา เราจึงเป็นผู้มหัศจรรย์  สำหรับเหล่ามารทั้งหมดและสำหรับซาตานนั้น เราเป็นที่ปรึกษา เพราะทั้งหมดที่เราทำมีหน้าที่ทำให้พวกมันอับอาย การกระทำทั้งหมดของเรานั้นก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของพวกบุตรหัวปีของเรา  ทุกย่างก้าวของเราดำเนินไปอย่างราบรื่น และเราได้รับชัยชนะกับทุกย่างก้าว  นอกจากนี้ เรายังสามารถมองเห็นทะลุกลอุบายทั้งหมดของซาตานและใช้พวกมันเพื่อรับใช้เรา โดยทำให้มันเป็นวัตถุเพื่อรับใช้จุดประสงค์ของเราจากด้านลบ  นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการที่เราเป็น “ที่ปรึกษา” ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนได้และซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจได้อย่างครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม ในแง่ของสภาวะบุคคลของเรา เราคือองค์สันติราชและพระบิดานิรันดร์ เช่นเดียวกับที่ปรึกษาและผู้มหัศจรรย์  ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่ไม่จริง  มันเป็นความจริงที่โต้แย้งไม่ได้และเปลี่ยนแปลงไม่ได้!

เรามีสิ่งที่จะพูดมากนัก เพียงแค่ไม่มีคำเปรียบเปรยใดที่สามารถเอ่ยออกมาได้  ดังนั้นเราจึงพึงประสงค์ให้พวกเจ้าอดทนและรอคอย  ไม่ว่าพวกเจ้าทำสิ่งใด จงอย่าได้ผละจากไปตามความคิดชั่วแล่น  เพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้เข้าใจในอดีตนั้น บัดนี้ล้าหลังแล้ว มันไม่สามารถปรับใช้ได้อีกต่อไป และปัจจุบันนี้เป็นเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง—เหมือนการเปลี่ยนผ่านระหว่างราชวงศ์ทั้งหลาย  ด้วยเหตุผลนี้ เราจึงต้องการให้พวกเจ้าปรับเปลี่ยนการคิดของพวกเจ้าและละทิ้งมโนคติที่หลงผิดแบบเก่าของพวกเจ้า  นี่คือความหมายที่แท้จริงของ “การสวมเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมอันบริสุทธิ์”  เฉพาะเราเท่านั้นที่สามารถอธิบายวจนะของเราเองได้ และเฉพาะเราเองเท่านั้นที่รู้ว่าเราได้รับภาระที่จะทำสิ่งใด  ดังนั้น เฉพาะวจนะของเราเท่านั้นที่ปราศจากมลทินและเป็นสิ่งที่เราตั้งใจโดยแท้ และดังนั้น นั่นจึงเป็นการสวมเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมอันบริสุทธิ์  ความเข้าใจที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดแบบมนุษย์เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น ความเข้าใจของมนุษย์นั้นไม่บริสุทธิ์และไม่สามารถสนองเจตนารมณ์ของเราได้  ดังนั้นเราจึงกล่าวด้วยตัวเอง และเราจึงอธิบายด้วยตัวเอง และนี่คือสิ่งที่เราหมายความถึงเมื่อครั้งที่เราพูดว่า “เราทำงานด้วยตัวเอง”  นั่นเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในแผนการบริหารจัดการของเรา และผู้คนทั้งหมดต้องถวายเกียรติเราและสรรเสริญเรา  ในเรื่องการจับใจความวจนะของเรานั้น เราไม่เคยมอบอำนาจนั้นให้แก่พวกมนุษย์ อีกทั้งพวกเขาไม่เคยครอบครองปฏิภาณที่จะทำเช่นนั้นเลย  นี่คือหนึ่งในวิธีการของเราที่จะทำให้มารอับอาย  (หากพวกมนุษย์เข้าใจถ้อยคำของเราและสามารถหยั่งความคิดของเราได้ในทุกขั้นตอน เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็สามารถครอบครองผู้คนเมื่อใดก็ได้ตามที่มันต้องการ และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาจะทรยศเราและทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเป้าหมายของเราในการคัดเลือกบุตรหัวปีทั้งหลาย  หากเราเข้าใจความล้ำลึกทุกประการ และบุคคลที่เราเป็นสามารถกล่าวถ้อยคำที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งรู้ได้ เช่นนั้นแล้ว เราก็สามารถถูกซาตานครอบครองได้เช่นกัน  นี่คือเหตุผลที่ในขณะที่เราอยู่ในร่างมนุษย์ เราก็ไม่ได้เหนือธรรมชาติเลย)  จำเป็นสำหรับทุกคนที่จะต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนถึงนัยสำคัญของวจนะเหล่านี้และติดตามการนำของเรา  จงอย่าได้พยายามทำความเข้าใจวจนะและคำสอนอันล้ำลึกทั้งหลายด้วยตัวพวกเจ้าเองทั้งหมดเลย

ก่อนหน้า:  บทที่ 100

ถัดไป:  บทที่ 102

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger