บทที่ 102

เราได้พูดมาระดับหนึ่งๆ และงานของเราได้มาถึงจุดหนึ่งๆ แล้ว พวกเจ้าแต่ละคนก็น่าจะกำลังทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของเรา และสามารถคำนึงถึงภาระของเราในระดับต่างๆ ได้  ตอนนี้คือจุดเปลี่ยนที่เนื้อหนังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกวิญญาณ—พวกเจ้าเป็นผู้เบิกทางที่ข้ามระหว่างยุคทั้งหลาย ผู้คนสากลที่เดินข้ามจักรวาลและสุดปลายพิภพ  พวกเจ้าคือยอดรักของเรา เจ้าเป็นพวกเดียวที่เรารัก  สามารถพูดได้ว่าเราไม่รักใครนอกจากพวกเจ้า เพราะความมานะพยายามอย่างพากเพียรของเราทั้งหมดได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกเจ้า  สามารถเป็นได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าไม่รู้การนั้น?  เหตุใดเราจึงสร้างทุกสรรพสิ่ง?  เหตุใดเราจึงเคลื่อนย้ายสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดไปมาเพื่อรับใช้พวกเจ้า?  การกระทำทั้งหมดเหล่านี้คือการแสดงออกถึงความรักที่เรามีให้กับพวกเจ้า  ภูเขาและทุกสรรพสิ่งในภูเขาและแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกสรรเสริญเราและถวายเกียรติแด่เราที่ได้รับพวกเจ้า  ได้มีการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างแล้วอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ได้มีการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างอย่างถ้วนทั่วแล้ว  พวกเจ้าได้เป็นพยานที่กึกก้องต่อเรา และพวกเจ้าได้เหยียดหยามปีศาจและซาตานเพื่อเราแล้ว  ผู้คน กิจการ และสรรพสิ่งทั้งหมดนอกเรานบนอบต่อสิทธิอำนาจของเรา และเนื่องจากความครบบริบูรณ์ของแผนการบริหารจัดการของเรา ทั้งหมดติดตามประเภทของพวกเขา (ประชากรของเราเป็นของเรา และประเภทของซาตานทั้งหมดเป็นของบึงไฟ—พวกเขาตกลงสู่บาดาลลึกที่ซึ่งพวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญชั่วนิรันดร์และพินาศไปตลอดกาล)  เมื่อเราพูดถึง “การพินาศ” และ “จากเวลานั้นเป็นต้นไป การยึดจิตวิญญาณ ดวงจิต และร่างกายของพวกเขา” เรากำลังอ้างอิงถึงการยื่นพวกเขาให้ซาตานและอนุญาตให้พวกเขาถูกเหยียบย่ำได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนทั้งหมดที่ไม่ได้เป็นของบ้านของเราย่อมจะเป็นเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง และพวกเขาย่อมจะไม่มีอยู่อีกต่อไป  นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะหายไปอย่างที่ผู้คนจินตนาการ  ยังสามารถพูดได้อีกด้วยว่าทุกสิ่งทุกอย่างนอกเราไม่ได้มีอยู่ในข้อคิดเห็นของเรา และนี่คือความหมายที่แท้จริงของความพินาศ  สิ่งเหล่านี้ยังคงปรากฏว่ามีอยู่ต่อสายตาของมนุษย์ แต่ในทรรศนะของเรา พวกเขาได้กลายเป็นการไม่มีอยู่และจะพินาศไปตลอดชั่วกัลปาวสาน  (เราเน้นว่าพวกที่เราไม่ได้ปฏิบัติงานต่ออีกต่อไปนั้นเป็นพวกที่อยู่นอกเรา)  ในมนุษย์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร พวกเขาไม่สามารถขบคิดการนี้ให้ออกได้ และไม่สำคัญว่าพวกเขามองเห็นได้ดีเพียงใด พวกเขาไม่สามารถผ่านมันเข้าไปได้  ผู้คนไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนหากเราไม่ให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขา ไม่ให้ความกระจ่างแก่พวกเขา และไม่ชี้ให้พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง  ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นพร่ามัวเกี่ยวกับการนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่างเปล่ายิ่งกว่าที่เคย และรู้สึกว่าไม่มีวิถีให้เดินตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ—พวกเขาเกือบเป็นเหมือนคนตาย  ในขณะนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ (หมายถึงมนุษย์ทั้งหมดยกเว้นบรรดาบุตรหัวปี) อยู่ในสภาพเงื่อนไขนี้  เราได้ชี้สิ่งเหล่านี้ให้เห็นด้วยความชัดเจนอย่างยิ่ง กระนั้น ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และยังคงใส่ใจความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังของพวกเขา  พวกเขากินแล้วพวกเขาก็นอน พวกเขานอนแล้วพวกเขาก็กิน  พวกเขาไม่ได้ไตร่ตรองคำพูดของเรา  แม้เมื่อพวกเขาฮึกเหิม มันก็เป็นแค่ชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้น พวกเขายังคงเป็นเหมือนกับที่พวกเขาเคยเป็น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เสมือนว่าพวกเขาไม่ได้ฟังเราเลย  มนุษย์เหล่านี้คือมนุษย์แบบอย่างที่ไร้ประโยชน์ผู้ไม่มีภาระใด พวกเขาเป็นคนเอารัดเอาเปรียบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด  ในภายหลัง เราจะละทิ้งพวกเขาทีละคน จงอย่ากังวล!  เราจะส่งพวกเขากลับไปยังบาดาลลึกทีละคน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยทรงปฏิบัติพระราชกิจต่อผู้คนเช่นนั้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำไหลมาจากของขวัญที่พวกเขาเคยได้รับ  เมื่อเราพูดถึงของขวัญ เราหมายถึงว่าเหล่านี้เป็นผู้คนที่ไม่มีชีวิต ผู้เป็นคนปรนนิบัติของเรา เราไม่ต้องการพวกเขาคนใด และเราจะกำจัดพวกเขาออกไป (แต่ ณ ขณะนี้ พวกเขายังคงมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย)  เจ้าผู้เป็นคนปรนนิบัติ จงฟัง!  อย่าคิดว่าการที่เราใช้เจ้าหมายถึงว่าเราโปรดเจ้า มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น  หากเจ้าอยากให้เราโปรดเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเป็นคนบางคนที่เรารับรอง และที่เราทำให้เพียบพร้อมด้วยตัวเราเอง  นี่คือคนประเภทที่เรารัก  ต่อให้ผู้คนพูดว่าเราได้ทำผิดพลาด เราก็ไม่มีวันไม่รักษาสัญญา  เจ้ารู้การนี้หรือไม่?  พวกที่ทำการปรนนิบัติเป็นแต่เพียงวัวควายและม้า พวกเขาจะสามารถเป็นบุตรหัวปีของเราไปได้อย่างไร?  นั่นจะไม่เป็นเรื่องไร้สาระหรอกหรือ?  นั่นจะไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎของธรรมชาติหรือ?  ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตของเราและขีดความสามารถของเรา ผู้คนเหล่านั้นคือบรรดาบุตรหัวปีของเรา  นี่คือสิ่งที่มีเหตุผล ไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างสิ่งนั้นได้  มันต้องเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นแล้ว คงจะไม่มีบุคคลผู้ซึ่งสามารถมีบทบาทนี้ได้ และจะไม่มีบุคคลผู้ซึ่งสามารถแทนที่บทบาทนี้ได้  นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำไปตามความรู้สึก เพราะเราเองคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม เราเองคือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์  เราเองคือพระเจ้าผู้เปี่ยมบารมีและมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้!

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและอิสระสำหรับเรา  ไม่มีใครสามารถหยุดสิ่งนี้ได้ และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้  โลกนี้ ในความมหึมาทั้งหมดของมัน อยู่ในมือของเราโดยสิ้นเชิง นี่ยังไม่ได้พูดถึงปีศาจซาตานตัวน้อยเลย  หากไม่ใช่เพราะแผนการบริหารจัดการของเรา และหากไม่ใช่เพราะบรรดาบุตรหัวปีของเรา เราคงจะทำลายความชั่วเดิมนี้ตลอดจนยุคที่สำส่อนที่แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นของความตายนี้เสียนานแล้ว  อย่างไรก็ตาม เราปฏิบัติด้วยความถูกต้องเหมาะสม และเราไม่ได้พูดอย่างสะเพร่า  เมื่อเราพูดบางสิ่งบางอย่าง สิ่งนั้นจะสำเร็จลุล่วง ต่อให้ไม่เป็นเช่นนั้น ก็มีแง่มุมของปัญญาของเราเสมอ ซึ่งจะสำเร็จลุล่วงในทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเรา และเปิดทางเพื่อการกระทำของเรา  นี่เป็นเพราะว่าคำพูดของเราคือปัญญาของเรา คำพูดของเราคือทุกสิ่งทุกอย่าง  โดยพื้นฐานแล้ว ผู้คนล้มเหลวที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ และไม่สามารถขบคิดสิ่งเหล่านี้ให้ออกได้  เราอ้างอิงถึง “บึงไฟ” อยู่บ่อยครั้ง  นั่นหมายถึงอะไร?  คำนี้แตกต่างจากบึงไฟและกำมะถันอย่างไร?  บึงไฟและกำมะถันอ้างอิงถึงอิทธิพลของซาตาน ในขณะที่บึงไฟอ้างอิงถึงโลกทั้งโลกภายใต้อำนาจของซาตาน  ทุกคนในโลกอยู่ภายใต้การเผาในบึงไฟ (นั่นคือ พวกเขาเสื่อมทรามขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อความเสื่อมทรามของพวกเขามาถึงจุดหนึ่งๆ พวกเขาจะถูกเราทำลายทีละคน ซึ่งเราสามารถทำได้อย่างง่ายดายด้วยการเปล่งถ้อยคำๆ เดียว)  ยิ่งความโกรธเคืองของเรามากขึ้นเท่าใด เปลวเพลิงทั่วทั้งบึงไฟก็ยิ่งลุกโพลงสูงขึ้นเท่านั้น  การนี้อ้างอิงถึงว่าผู้คนกำลังชั่วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร  เวลาที่ความโกรธเคืองของเราปะทุขึ้นยังเป็นเวลาที่บึงไฟจะระเบิดด้วยเช่นกัน นั่นคือ มันจะเป็นเวลาที่สากลพิภพทั้งหมดพินาศไป  ในวันนั้น ราชอาณาจักรของเราจะได้เป็นจริงอย่างเต็มเปี่ยมบนแผ่นดินโลก และชีวิตใหม่จะเริ่มต้นขึ้น  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่จะได้รับการทำให้ลุล่วงในไม่ช้า  ทันทีที่เราพูด ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาอยู่ต่อหน้าต่อตา  นี่คือทรรศนะที่มนุษย์มีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ในทรรศนะของเรา สิ่งทั้งหลายได้รับการดำเนินการให้ครบบริบูรณ์ล่วงหน้าแล้ว เพราะสำหรับเรา ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย  เราพูด และสิ่งนั้นเสร็จสิ้น เราพูด และสิ่งนั้นได้รับการก่อตั้งขึ้น

ทุกๆ วัน พวกเจ้ากินดื่มคำพูดของเรา ชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ในวิหารของเรา ดื่มน้ำจากแม่น้ำแห่งชีวิตของเรา และเด็ดผลไม้จากต้นไม้แห่งชีวิตของเรา  เช่นนั้นแล้ว ความอุดมสมบูรณ์ในวิหารของเราคืออะไร?  น้ำในแม่น้ำแห่งชีวิตคืออะไร?  ต้นไม้แห่งชีวิตคืออะไร?  ผลไม้ของต้นไม้แห่งชีวิตคืออะไร?  แม้ว่าวลีเหล่านี้อาจได้ยินได้ฟังกันบ่อย แต่ถึงกระนั้น วลีเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะจับใจความได้สำหรับมนุษย์ทั้งหมดผู้ที่สับสนทั้งหมด  พวกเขาพูดถึงวลีเหล่านี้อย่างไร้ความรับผิดชอบ ใช้วลีเหล่านี้อย่างสะเพร่า และนำวลีเหล่านี้มาใช้อย่างไร้แบบแผน  ความอุดมสมบูรณ์ในวิหารของเราไม่ได้อ้างอิงถึงทั้งคำพูดที่เราพูดหรือพระคุณที่เราได้มอบให้แก่พวกเจ้า  เช่นนั้นแล้ว คำนี้จริงๆ แล้วหมายถึงอะไร?  ตั้งแต่โบราณกาล ไม่เคยมีผู้ใดมีวาสนาพอที่จะชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ในวิหารของเรา  ผู้คนจะสามารถมองเห็นว่าความอุดมสมบูรณ์ในวิหารของเรานี้คืออะไรในยุคสุดท้ายท่ามกลางบรรดาบุตรหัวปีของเราเท่านั้น  “วิหาร” ในวลีนี้อ้างอิงถึงสภาวะบุคคลของเรา คำนี้อ้างอิงถึงภูเขาศิโยน บ้านของเรา  หากปราศจากการอนุญาตของเรา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าวิหารนี้หรือออกจากวิหารนี้ได้  คำว่า “ความอุดมสมบูรณ์” อ้างอิงถึงอะไร?  คำนี้อ้างอิงถึงพรในการสามารถครองราชย์กับเราในกาย  กล่าวโดยทั่วไปแล้ว คำนี้อ้างอิงถึงพรของบรรดาบุตรหัวปีในการสามารถครองราชย์กับเราในกาย และสิ่งนี้ไม่ได้เข้าใจยาก  น้ำในแม่น้ำแห่งชีวิตมีสองความหมาย กล่าวคือ ในทางหนึ่ง วลีนี้อ้างอิงถึงน้ำดำรงชีวิตที่ไหลจากภายในของเรา—นั่นคือ ทุกคำพูดที่ออกจากปากของเรา  ในอีกทางหนึ่ง วลีนี้อ้างอิงถึงปัญญาและกลยุทธ์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของเรา ตลอดจนสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เรามี  คำพูดของเราประกอบด้วยความล้ำลึกอันไม่รู้จบที่ถูกซ่อนอยู่ (และมีการกล่าวถึงว่าความล้ำลึกนั้นไม่ถูกซ่อนอยู่อีกต่อไปโดยเปรียบเทียบกับในอดีต แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการเผยต่อประชาชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแล้ว ความล้ำลึกนั้นยังคงถูกซ่อนอยู่  ในที่นี้ “การถูกซ่อนอยู่” ไม่ใช่การกล่าวโดยสัมบูรณ์ แต่เป็นการกล่าวโดยสัมพัทธ์)  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ น้ำในแม่น้ำแห่งชีวิตไหลอยู่เสมอ  ในเรามีปัญญาไม่จำกัด และผู้คนไม่สามารถจับความเข้าใจถึงสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เรามีได้โดยสิ้นเชิง นั่นคือ น้ำในแม่น้ำแห่งชีวิตไหลอยู่เสมอ  ในทรรศนะของมนุษย์ มีต้นไม้แท้จริงหลายประเภท แต่ไม่มีใครเคยได้เห็นต้นไม้แห่งชีวิต  อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมองเห็นต้นไม้นั้นในวันนี้ ผู้คนก็ยังคงจำต้นไม้นี้ไม่ได้—แต่กระนั้น พวกเขาก็กล่าวถึงการกินดื่มจากต้นไม้แห่งชีวิตด้วยซ้ำ  นั่นมันไร้สาระอย่างแท้จริง!  พวกเขาคงจะกินดื่มจากต้นไม้นั้นอย่างไม่เลือกหน้า!  เหตุใดเราจึงพูดว่าวันนี้ผู้คนมองเห็นแต่จำต้นไม้นั้นไม่ได้?  เหตุใดเราถึงพูดเช่นนั้น?  เจ้าเข้าใจความหมายของคำพูดของเราหรือไม่?  พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงของวันนี้เองคือสภาวะบุคคลที่เราเป็น และพระองค์ทรงเป็นต้นไม้แห่งชีวิต  อย่าเอามโนคติที่หลงผิดของมนุษย์มาใช้วัดเรา  ที่ด้านนอก เราดูไม่เหมือนต้นไม้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่จริงแล้วเราคือต้นไม้แห่งชีวิต?  ทุกๆ การเคลื่อนไหวของเรา วาทะของเรา และท่าทางของเราคือผลของต้นไม้แห่งชีวิต และสิ่งเหล่านี้คือสภาวะบุคคลของเรา—สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่บรรดาบุตรหัวปีของเราควรกิน ดังนั้น ในท้ายที่สุด จะมีเพียงบรรดาบุตรหัวปีของเรากับเราเท่านั้นที่จะเป็นอย่างเดียวกันโดยแน่แท้  พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตตามอย่างเรา และเป็นพยานต่อเรา  (เหล่านี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราเข้าสู่โลกวิญญาณ  พวกเราสามารถเป็นอย่างเดียวกันโดยแน่แท้ได้ในกายเท่านั้น ในเนื้อหนังพวกเราสามารถเป็นอย่างเดียวกันได้เพียงคร่าวๆ แต่พวกเรายังคงมีการเลือกชอบของพวกเราเอง)

เราไม่เพียงแต่จะเผยฤทธานุภาพของเราในบรรดาบุตรหัวปีของเราเท่านั้น แต่เราจะเผยฤทธานุภาพของเราในการที่พวกเขาปกครองชนชาติทั้งมวลและกลุ่มชนทั้งหมดด้วย  นี่คือขั้นตอนหนึ่งของงานของเรา  ตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญ และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้คือจุดเปลี่ยน  เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างได้สำเร็จลุล่วงแล้ว พวกเจ้าจะมองเห็นว่ามือของเรากำลังสร้างสิ่งใด และพวกเจ้าจะมองเห็นว่าเราวางแผนอย่างไรและเราจัดการอย่างไร—อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่คลุมเครือ  เมื่อพิจารณาถึงพลังขับเคลื่อนของทุกประเทศในโลก มันก็ไม่ผิดนัก นั่นคือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนไม่สามารถจินตนาการได้ และยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้  เจ้าต้องไม่เลินเล่อหรือประมาทโดยสิ้นเชิง เพื่อให้ไม่พลาดโอกาสที่จะได้รับพรและรับรางวัล  ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของราชอาณาจักรอยู่ในสายตาแล้ว และโลกทั้งใบกำลังค่อยๆ ตกลงไปตาย  เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระเบิดออกมาจากบาดาลลึกและจากบึงไฟและกำมะถัน ทำให้ผู้คนหวาดกลัวและทำให้พวกเขารู้สึกขวัญผวาและไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวพวกเขาเอง  ใครก็ตามที่ได้รับเลือกในนามของเราและจากนั้นก็ถูกกำจัดออกไปจะลงเอยด้วยการอยู่ในบาดาลลึก  ดังนั้น ดังที่เราได้พูดแล้วหลายครั้ง เราย่อมจะโยนพวกที่ถูกเรากำจัดออกไปลงสู่บาดาลลึก  เมื่อทั้งโลกได้ถูกรื้อทำลายแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ถูกทำลายจะตกลงสู่บึงไฟและกำมะถัน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งเหล่านี้จะถูกถ่ายเทจากบึงไฟไปสู่บึงไฟและกำมะถัน  ในเวลานั้น ทุกคนจะได้รับการกำหนดแล้วว่าจะได้รับการทำลายล้างชั่วนิรันดร์ (หมายถึงผู้คนทั้งหมดที่อยู่นอกเรา) หรือจะได้รับชีวิตชั่วนิรันดร์ (หมายถึงบรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ภายในเรา)  ในเวลานั้น เราและบรรดาบุตรหัวปีของเราย่อมจะอุบัติจากราชอาณาจักรและเข้าสู่ชั่วกัลปาวสาน  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่จะได้รับการทำให้ลุล่วงในภายหลัง ต่อให้เราจะบอกพวกเจ้าในตอนนี้ พวกเจ้าก็คงจะไม่เข้าใจ  พวกเจ้าสามารถทำได้เพียงติดตามการนำของเรา เดินในความสว่างของเรา ไปพร้อมกับเราในความรักของเรา ได้รับประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีกับเราในบ้านของเรา ครองราชย์กับเราในราชอาณาจักรของเรา และปกครองกับเราเหนือชนชาติทั้งมวลและกลุ่มชนทั้งหมดภายใต้สิทธิอำนาจของเราเท่านั้น  ทั้งหมดที่เราได้พรรณนาข้างต้นประกอบรวมด้วยพรอันไม่รู้จบที่เรากำลังให้พวกเจ้า

ก่อนหน้า:  บทที่ 101

ถัดไป:  บทที่ 103

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger