หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (17)
ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่ห้า)
ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร
IX. ระบายความคิดลบ
วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมกันต่อไปถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงาน ซึ่งก็คือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น” สำหรับเรื่องการขัดขวางและการก่อกวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงปัญหาข้อที่แปด—แพร่มโนคติอันหลงผิด—และวันนี้ก็จะสามัคคีธรรมถึงข้อที่เก้า—ระบายความคิดลบ การระบายความคิดลบก็เป็นสิ่งที่มักจะได้ยินในชีวิตประจำวันเช่นกัน เมื่อเรื่องทำนองเดียวกันเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักรจึงควรควบคุมและหยุดยั้งการกระทำหรือถ้อยแถลงที่เป็นการระบายความคิดลบ เพราะการระบายความคิดลบไม่ได้ทำให้ใครเจริญใจ แต่กลับส่งผลกระทบ รบกวน และก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ผู้คน ฉะนั้นการระบายความคิดลบจึงเป็นสิ่งที่เป็นลบ มีธรรมชาติคล้ายพฤติกรรม การกระทำ และถ้อยแถลงอื่นๆ ที่ก่อกวนชีวิตคริสตจักร ซึ่งสามารถก่อกวนผู้คนและส่งผลกระทบอันไม่พึงประสงค์ด้วยเช่นกัน ไม่มีใครสามารถทำให้ผู้อื่นเจริญใจหรือนำประโยชน์มาให้ผู้อื่นด้วยการระบายความคิดลบได้ รังแต่จะนำผลที่เป็นภัยมาให้เท่านั้น ทั้งยังสามารถส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของผู้คนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เมื่อเกิดการระบายความคิดลบในคริสตจักร จึงควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้เช่นเดียวกันโดยไม่ปล่อยปละหรือส่งเสริม
ก. อะไรคือการระบายความคิดลบ
ก่อนอื่นพวกเรามาดูกันว่าควรเข้าใจและแยกแยะการระบายความคิดลบอย่างไร พวกเราควรแยกแยะการระบายความคิดลบอย่างไร? ความคิดเห็นและการสำแดงใดของผู้คนที่เป็นความคิดเห็นและการสำแดงถึงการระบายความคิดลบ? เหนืออื่นใด ความคิดลบที่ผู้คนระบายออกมานั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก เป็นสิ่งเลวร้ายที่ขัดแย้งกับความจริง และเป็นสิ่งที่เกิดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา การมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามนำไปสู่ความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้า—และสืบเนื่องจากความลำบากยากเย็นเหล่านี้ ความคิดที่เป็นลบและสิ่งที่เป็นลบอื่นๆ จึงถูกเผยให้เห็นในตัวผู้คน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในบริบทที่พวกเขาพยายามปฏิบัติความจริง นี่คือความคิดและมุมมองที่ขัดขวางและส่งผลต่อผู้คนเมื่อพวกเขาพยายามปฏิบัติความจริง และเป็นสิ่งที่เป็นลบทั้งสิ้น ไม่ว่าความคิดและมุมมองที่เป็นลบเหล่านี้จะฟังดูสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เพียงใดและสมเหตุสมผลเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้มาจากความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า และยิ่งไม่ใช่ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าเลย ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้กลับเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับความจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นความคิดเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่เป็นลบ สิ่งที่เลวร้าย เจตนาของผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมาคือการหาเหตุผลเชิงข้อเท็จจริงมากมายให้กับความล้มเหลวในการปฏิบัติความจริงของตน เพื่อให้ได้รับความเห็นใจและความเข้าใจจากผู้อื่น ถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้มีอิทธิพลและบั่นทอนความคิดริเริ่มในตัวผู้คนที่จะปฏิบัติความจริงมากน้อยแตกต่างกัน และถึงกับสามารถหยุดยั้งผู้คนมากมายจากการปฏิบัติความจริงได้ ผลสืบเนื่องและผลกระทบอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ยิ่งทำให้สมควรที่จะระบุว่าสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ต่อต้านพระเจ้า และเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริงโดยสิ้นเชิง บางคนไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของความคิดลบ และคิดว่าความคิดลบที่เกิดขึ้นอยู่เนืองนิจนั้นเป็นเรื่องปกติ และไม่ส่งผลร้ายแรงต่อการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้คน วิธีคิดเช่นนี้ผิด ในข้อเท็จจริงนั้นความคิดลบส่งผลอย่างใหญ่หลวง และหากความคิดลบของใครบางคนหนักหนาเกินกว่าที่พวกเขาจะแบกรับไหว ก็อาจนำไปสู่การทรยศได้อย่างง่ายดาย ผลสืบเนื่องอันเลวร้ายนี้เกิดขึ้นจากความคิดลบโดยแท้ ดังนั้นควรแยกแยะและเข้าใจการระบายความคิดลบนี้ว่าอย่างไร? กล่าวง่ายๆ ก็คือ การระบายความคิดลบเป็นการชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยับยั้งไม่ให้พวกเขาปฏิบัติความจริง เป็นการใช้กลวิธีที่นุ่มนวล ดูเหมือนวิธีการปกติ เพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและขัดขาพวกเขา นี่เป็นอันตรายต่อพวกเขาหรือไม่? นี่เป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายให้แก่พวกเขาอย่างลึกล้ำโดยแท้ ดังนั้นการระบายความคิดลบจึงเป็นเรื่องที่ไม่พึงประสงค์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ นี่คือการตีความที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการระบายความคิดลบ แล้วองค์ประกอบที่เป็นลบของการระบายความคิดลบคือสิ่งใดกันแน่? สิ่งใดบ้างที่เป็นลบ และหมิ่นเหม่ที่จะส่งผลกระทบอันเลวร้ายต่อผู้คน ก่อให้เกิดการก่อกวนและความเสียหายต่อชีวิตคริสตจักร? ความคิดลบครอบคลุมสิ่งบ้าง? หากผู้คนมีความเข้าใจอันถ่องแท้ในพระวจนะของพระเจ้า คำพูดที่พวกเขาใช้สามัคคีธรรมจะมีความคิดลบอยู่บ้างหรือไม่? หากผู้คนมีท่าทีที่นบนอบสภาพการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ให้แก่พวกเขาอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วความรู้ที่พวกเขามีต่อสภาพการณ์เหล่านี้จะมีความคิดลบอยู่หรือไม่? เมื่อพวกเขาแบ่งปันความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของตนกับทุกคน ความรู้นั้นจะมีความคิดลบใดๆ หรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรหรือรอบตัวพวกเขา ถ้าผู้คนสามารถยอมรับสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้า มีแนวทางที่ถูกต้อง และสามารถมีท่าทีที่แสวงหาและนบนอบ เช่นนั้นแล้ว ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่พวกเขามีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจะมีความคิดลบอยู่ด้วยหรือไม่? (ไม่) ไม่มีอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อพิจารณาในแง่มุมเหล่านี้แล้ว ความคิดลบคืออะไรกันแน่? จะเข้าใจความคิดลบได้อย่างไร? ความคิดลบประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ที่มีธรรมชาติดังนี้คือ—ความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ ความคับข้องใจ และความขุ่นเคืองของผู้คนมิใช่หรือ? ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านี้ ความคิดลบยังประกอบด้วยการไม่ยอมรับ การท้าทาย และถึงขั้นส่งเสียงประท้วงอีกด้วย การออกความเห็นที่มีสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบย่อมสามารถระบุได้ว่าเป็นการระบายความคิดลบ ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากการสำแดงเหล่านี้แล้ว เวลาที่คนคนหนึ่งระบายความคิดลบออกมา เขาจะมีการนบนอบพระเจ้าอยู่ในหัวใจหรือไม่? แน่นอนว่าไม่มี มีความเต็มใจที่จะขบถต่อเนื้อหนังและแก้ไขความคิดลบของตนหรือไม่? ไม่มี—มีแต่การไม่ยอมรับ ความเป็นกบฏ และการต่อต้านเท่านั้น หากหัวใจของผู้คนเต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้—ถ้าหัวใจของพวกเขาถูกสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ยึดครองแล้ว—ย่อมจะก่อให้เกิดการไม่ยอมรับ ความเป็นกบฏ และการท้าทายพระเจ้า และหากเป็นเช่นนี้จริง พวกเขายังจะสามารถปฏิบัติความจริงและนบนอบพระเจ้าได้หรือไม่? พวกเขาย่อมจะทำไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีแต่การที่พวกเขาจะออกห่างจากพระเจ้า และคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ อาจถึงขั้นสงสัย ปฏิเสธ และทรยศพระเจ้า นี่เป็นเรื่องอันตรายมิใช่หรือ? ใครก็ตามที่คิดลบบ่อยๆ ย่อมสามารถระบายความคิดลบออกมา และการระบายความคิดลบก็คือการต่อต้านและปฏิเสธพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนที่มักจะระบายความคิดลบออกมาจึงมีแนวโน้มที่จะทรยศพระเจ้าและผละจากพระองค์ไปทุกเมื่อหรือทุกที่
เมื่อดูความหมายของคำว่า “ความคิดลบ” แล้ว เวลาที่คนคนหนึ่งคิดลบ อารมณ์ของเขาย่อมตกอยู่ในสภาวะที่ตกต่ำมาก และเข้าสู่สภาพจิตใจที่เลวร้าย อารมณ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่เป็นลบ พวกเขาไม่มีท่าทีที่จะก้าวหน้าและพากเพียรต่อไปอย่างแข็งขัน ไร้ซึ่งการให้ความร่วมมือและการแสวงหาที่เป็นบวกและกระตือรือร้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้แสดงให้เห็นการนบนอบด้วยความเต็มใจเลย แต่กลับแสดงอารมณ์ที่ท้อแท้เป็นอย่างยิ่งแทน อารมณ์ที่ท้อแท้นั้นแสดงถึงสิ่งใด? แสดงถึงแง่มุมที่เป็นบวกของความเป็นมนุษย์บ้างหรือไม่? แสดงถึงการมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่? แสดงถึงการดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ใช้ชีวิตอยู่ในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์หรือไม่? (ไม่) ถ้าไม่ได้แสดงถึงสิ่งที่เป็นบวกเหล่านี้ แล้วแสดงถึงสิ่งใด? แสดงถึงการไร้ซึ่งความเชื่ออันแท้จริงในพระเจ้า รวมทั้งการไร้ความมุ่งมั่นและปณิธานที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและก้าวหน้าไปในเชิงรุกได้หรือไม่? แสดงถึงความไม่พอใจอย่างแรงกล้าและปัญหาในการทำความเข้าใจในสถานการณ์และความยุ่งยากของตนในปัจจุบัน และความไม่เต็มใจที่จะยอมรับข้อเท็จจริงทั้งหลายในปัจจุบันได้หรือไม่? แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่หัวใจของคนเราเต็มไปด้วยความไม่เชื่อฟัง ความอยากท้าทาย ความอยากหนีไปให้พ้นและอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในปัจจุบันได้หรือไม่? (ได้) เหล่านี้คือสภาวะที่ผู้คนแสดงออกมาเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วยความคิดลบ สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อผู้คนคิดลบ ความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อสถานการณ์ปัจจุบันและสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ก็ไม่ใช่อะไรที่เรียบง่ายเหมือนการที่พวกเขาเข้าใจผิด ไม่เข้าใจ ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ หรือไม่สามารถที่จะได้รับประสบการณ์เท่านั้น การไม่เข้าใจอาจเป็นเรื่องของขีดความสามารถหรือระยะเวลา ซึ่งเป็นการสำแดงที่ปกติของความเป็นมนุษย์ การไม่สามารถได้รับประสบการณ์อาจมีสาเหตุมาจากข้อเท็จจริงบางอย่าง แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เป็นลบและไม่พึงประสงค์ บางคนก็ไม่สามารถได้รับประสบการณ์เช่นกัน แต่พอเผชิญหน้าสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจหรือไม่รู้เท่าทัน หรือสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำความเข้าใจหรือมีประสบการณ์ได้ พวกเขาก็จะอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์ รอคอยความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระเจ้า รวมทั้งสามัคคีธรรมและแสวงหาจากผู้อื่นอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ดี บางคนกลับแตกต่างออกไป พวกเขาไม่มีเส้นทางปฏิบัติเหล่านี้ และไม่มีท่าทีดังกล่าว แทนที่จะรอคอย แสวงหา หรือหาคนมาสามัคคีธรรมด้วย พวกเขากลับเกิดความเข้าใจผิดในหัวใจ รู้สึกว่าเหตุการณ์และสภาพการณ์ที่ตนพบเจอนั้นไม่สอดคล้องกับความอยากได้อยากมี ความชอบ หรือความคิดฝันของตน เป็นเหตุให้เกิดความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ การไม่ยอมรับ คำพร่ำบ่น การท้าทาย การส่งเสียงโวยวาย และสิ่งอื่นที่ไม่พึงประสงค์ในทำนองดังกล่าว เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็ไม่คิดอะไรมาก และไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและคิดทบทวนเพื่อทำความรู้จักสภาวะและความเสื่อมทรามของตนเอง พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าหรือใช้พระวจนะของพระเจ้าในการแก้ไขปัญหา นับประสาอะไรกับการสามัคคีธรรมและแสวงหาจากผู้อื่น ตรงกันข้าม พวกเขากลับยืนกรานว่าสิ่งที่ตนเชื่อนั้นถูกต้องและเที่ยงตรงแล้ว โดยเก็บงำความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจเอาไว้ในหัวใจ ทั้งยังติดอยู่ในกับดักที่เป็นภาวะอารมณ์ที่เป็นลบอันไม่พึงประสงค์ต่อไป เมื่อติดอยู่ในกับดักของภาวะอารมณ์เหล่านี้ พวกเขาอาจจะสามารถเก็บซ่อนอารมณ์และฝืนทนต่อไปได้สักวันหรือสองวัน แต่ในระยะยาว สิ่งต่างๆ มากมายย่อมก่อกำเนิดขึ้นในจิตใจของพวกเขา รวมถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ จริยธรรมและศีลธรรมของมนุษย์ วัฒนธรรมของมนุษย์ ประเพณี ความรู้ เป็นต้น พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมิน คำนวณ และทำความเข้าใจปัญหาที่ตนเผชิญอยู่ ติดกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้โดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดสภาวะต่างๆ ที่เป็นความไม่พอใจและความไม่เชื่อฟัง สภาวะที่เสื่อมทรามเหล่านี้ก่อให้เกิดแนวคิดและมุมมองต่างๆ ในทางที่ผิด และพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมสิ่งที่เป็นลบในหัวใจของตนได้อีกต่อไป แล้วพวกเขาก็มองหาโอกาสที่จะพรั่งพรูและระบายสิ่งเหล่านี้ออกมา เมื่อหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคิดลบ พวกเขาจะกล่าวหรือไม่ว่า “ในใจฉันเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นลบ ฉันไม่ควรผลีผลามพูดจา จะได้ไม่ทำร้ายผู้อื่น ถ้าฉันรู้สึกอยากพูดและสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ ฉันก็จะพูดกับผนัง หรือคุยกับอะไรสักอย่างที่ไม่เข้าใจคำมนุษย์”? พวกเขามีเมตตามากพอที่จะทำเช่นนี้หรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นพวกเขาทำสิ่งใด? พวกเขามองหาโอกาสที่จะมีคนมารับฟังทัศนะ ความคิดเห็น และภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตน ใช้โอกาสนี้พรั่งพรูความรู้สึกที่เป็นลบต่างๆ ออกมาจากหัวใจ เช่น ความไม่พอใจ ความไม่เชื่อฟัง และความขุ่นเคือง พวกเขาเชื่อว่าระหว่างที่ใช้ชีวิตคริสตจักรคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะระบาย และเป็นโอกาสอันดีที่จะพรั่งพรูความคิดลบ ความไม่พอใจ และความไม่เชื่อฟังในตัวพวกเขาออกมา เพราะมีคนฟังมากมาย และคำพูดของตนก็สามารถมีอิทธิพลให้ผู้อื่นคิดลบได้ พาให้เกิดผลพวงอันไม่พึงประสงค์ต่องานของคริสตจักรได้ แน่นอนว่าคนที่ระบายความคิดลบออกมาย่อมไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้แม้จะอยู่หลังฉากก็ตาม พวกเขาพรั่งพรูวาจาที่เป็นลบออกมาเสมอ เวลาที่มีผู้คนจำนวนไม่มากมาฟังพวกเขาระบาย พวกเขาย่อมรู้สึกว่าไม่ชวนให้ตื่นเต้น แต่เมื่อทุกคนมาชุมนุมกันพร้อมหน้า พวกเขากลับมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ดูจากภาวะอารมณ์ สภาวะ และแง่มุมอื่นๆ ของพวกที่ระบายความคิดลบออกมาแล้ว จุดมุ่งหมายของพวกเขาไม่ใช่การช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริง รู้เท่าทันว่าสิ่งใดจริง ขจัดความเข้าใจผิดหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า รู้จักตนเองและแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของตน หรือแก้ปัญหาเรื่องความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของตนเพื่อให้ผู้คนไม่กบฏต่อพระเจ้าหรือต่อต้านพระองค์ แต่หันมานบนอบพระองค์ เป้าหมายของพวกเขาโดยพื้นฐานแล้วมีอยู่สองประการคือ ในแง่หนึ่ง พวกเขาได้ระบายความคิดลบเพื่อพรั่งพรูภาวะอารมณ์ของตนเองออกมา ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขามุ่งหมายที่จะดึงผู้คนจำนวนมากขึ้นให้เกิดความคิดลบและติดอยู่ในกับดักของการไม่ยอมรับและส่งเสียงประท้วงพระเจ้าไปพร้อมกับตน ฉะนั้นจึงแน่นอนว่าควรหยุดยั้งการกระทำที่เป็นการระบายความคิดลบในชีวิตคริสตจักรเสีย
ข. สภาวะและการสำแดงต่างๆ ของผู้คนที่ระบายความคิดลบ
1. ระบายความคิดลบเมื่อรู้สึกไม่พอใจที่ถูกปลด
ภาวะอารมณ์และการสำแดงของความคิดลบโดยพื้นฐานแล้วก็คือสิ่งที่กล่าวมานี้ หลังจากที่เราสามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนก็ควรนำไปเทียบกับตัวเองแล้วดูว่าพวกเขามีพฤติกรรม ความเห็น และวิธีการใดบ้างในชีวิตจริงที่เป็นการระบายความคิดลบ และสถานการณ์เช่นใดที่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในความคิดลบ อันเป็นเหตุให้ระบายความคิดลบออกมา จงบอกเราเถิดว่าภายใต้สภาพการณ์ปกติทั่วไป มีสถานการณ์ใดบ้างที่ทำให้ผู้คนคิดลบ? รูปแบบทั่วไปที่ทำให้คิดลบมีอะไรบ้าง? (เมื่อใครบางคนถูกปลดหรือถูกตัดแต่ง พวกเขาอาจเกิดความคิดลบบางอย่างขึ้นมาในใจ) การถูกปลดเป็นกรณีหนึ่ง การถูกตัดแต่งก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง เหตุใดการถูกปลดจึงนำไปสู่ความคิดลบ? (บางคนพอถูกปลดแล้วก็ไม่รู้จักตนเอง คิดว่าเป็นเพราะสถานะของพวกเขาที่พาให้พวกเขาตกต่ำ แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” พร้อมแสดงมุมมองบางอย่างที่เป็นลบออกมา พวกเขาไม่มีความเข้าใจในเรื่องการถูกปลดอย่างถ่องแท้ พวกเขาไม่เชื่อฟังอยู่ในหัวใจ) ในตัวพวกเขามีความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจซึ่งเป็นภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ พวกเขาพร่ำบ่นหรือไม่? (พร่ำบ่น พวกเขารู้สึกว่าตนเองได้สู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาไปแล้ว ทั้งยังทำงานหนักตลอดเวลาโดยไม่ได้อะไรดีๆ ตอบแทนเลย แต่ก็ยังคงถูกปลดอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจึงพูดว่า “การเป็นผู้นำนั้นยาก ใครได้เป็นผู้นำล้วนโชคไม่ดี สุดท้ายทุกคนก็ถูกปลด”) การเผยแพร่ความเห็นเหล่านี้ก็คือการระบายความคิดลบ ถ้าพวกเขาเพียงไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ แต่ไม่เผยแพร่มันออกมา นั่นยังไม่นับว่าเป็นการระบายความคิดลบ ถ้าค่อยๆ มีอารมณ์ของการพร่ำบ่นผุดขึ้นมาจากความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจ และพวกเขาก็ไม่ยอมรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าตนนั้นมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อยและไม่สามารถทำงานดังกล่าวได้ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มโต้เถียงด้วยตรรกะที่บิดเบี้ยวของตน สร้างถ้อยแถลง มุมมอง ข้ออ้าง เหตุผล คำอธิบาย ข้อแก้ตัว และอื่นๆ สารพัดชนิดไปพร้อมกับการโต้เถียง เมื่อนั้นการแสดงความเห็นในลักษณะต่างๆ เหล่านี้ย่อมถือว่าเป็นการระบายความคิดลบ เมื่อผู้นำเทียมเท็จบางคนถูกปลดเพราะไม่ทำงานจริง ก็เก็บงำความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจเอาไว้ในหัวใจ ไม่มีความนบนอบแต่อย่างใด พวกเขาคิดตลอดเวลาว่า “คอยดูกันว่าใครจะสามารถมาเป็นผู้นำแทนฉันได้ คนอื่นก็ไม่ได้เก่งไปกว่าฉัน ถ้าฉันทำงานนี้ไม่ได้ พวกเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน!” สิ่งใดทำให้พวกเขาไม่เชื่อฟัง? พวกเขาคิดว่าขีดความสามารถของตนไม่อ่อนด้อย และพวกเขาก็ทำงานมาแล้วมากมาย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงถูกปลด? เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จคิดอยู่ในใจ พวกเขาไม่คิดทบทวนเพื่อที่จะรู้จักตนเองและดูว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทำงานจริงบ้างหรือเปล่า พวกเขาแก้ปัญหาที่แท้จริงไปกี่อย่างแล้ว หรือเป็นความจริงหรือไม่ที่พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรเป็นอัมพาต พวกเขาแทบไม่คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เลย พวกเขาไม่คิดว่าปัญหาอยู่ตรงที่พวกเขาไม่มีความเป็นจริงความจริงและไม่สามารถมองทะลุสิ่งต่างๆ ได้ แต่กลับเชื่อว่าในเมื่อทำงานมาแล้วมากมาย พวกเขาก็ไม่ควรถูกระบุว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จ นี่คือสาเหตุสำคัญที่พวกเขาไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ พวกเขาคิดอยู่เสมอว่า “ฉันทำหน้าที่ของตัวเองมานานหลายปี ตื่นแต่เช้ามืดและอยู่จนดึกดื่นทุกวันเพื่อใคร? หลังจากเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง ทิ้งอาชีพการงาน ถึงขั้นเสี่ยงกับการถูกจับกุมคุมขังเพื่อที่จะทำหน้าที่ของตน ฉันสู้ทนความยากลำบากมามาก! แล้วตอนนี้พวกเขากลับมาบอกว่าฉันไม่เคยทำงานจริงและปลดฉันเสียดื้อๆ—ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย! ต่อให้ฉันไม่สัมฤทธิ์ผลใดๆ ฉันก็ได้สู้ทนความยากลำบาก หากไม่ใช่ความยากลำบาก ก็เป็นความเหนื่อยล้า! ด้วยขีดความสามารถและศักยภาพที่จะจ่ายราคาในงานของตัวเอง ถ้าขนาดฉันยังถูกมองว่าไม่ได้มาตรฐานและถูกปลด อย่างนั้นฉันคิดว่าแทบไม่มีผู้นำคนไหนที่ได้มาตรฐานอีกแล้ว!” พวกเขากำลังระบายความคิดลบด้วยการกล่าวคำพูดเหล่านี้มิใช่หรือ? ในคำพูดเหล่านี้มีสักประโยคหนึ่งไหมที่สื่อให้เห็นการนบนอบ? มีแม้กระทั่งวี่แววของความต้องการแสวงหาความจริงหรือไม่? มีการทบทวนตนเองบ้างหรือไม่ เช่น “พวกเขาบอกว่างานของฉันไม่ได้มาตรฐาน แล้วฉันบกพร่องตรงไหนกันแน่? งานจริงๆ ที่ฉันยังไม่ได้ทำคืองานไหน? ฉันแสดงอะไรออกไปที่เป็นการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จ?” พวกเขาเคยทบทวนตนเองในลักษณะนี้กันบ้างหรือไม่? (ไม่) ดังนั้น ถ้อยคำที่พวกเขากล่าวออกมามีธรรมชาติเป็นเช่นใด? พวกเขาพร่ำบ่นอยู่ใช่หรือไม่? พวกเขากำลังสร้างความชอบธรรมให้ตนเองใช่หรือไม่? พวกเขาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองเพื่อจุดประสงค์ใด? ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความเห็นใจและความเข้าอกเข้าใจจากผู้คนหรอกหรือ? พวกเขาอยากให้ผู้คนออกมาปกป้องพวกเขามากขึ้น และคร่ำครวญถึงความอยุติธรรมที่พวกเขาทนทุกข์มาตลอดมิใช่หรือ? (ใช่) เช่นนั้นแล้วพวกเขากำลังส่งเสียงประท้วงใครอยู่? พวกเขากำลังโต้เถียงและส่งเสียงประท้วงพระเจ้ามิใช่หรือ? (ใช่) คำพูดของพวกเขาเป็นการพร่ำบ่นพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความคับข้อง การไม่ยอมรับ และความเป็นกบฏ แต่ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยการระบายความคิดลบ พวกเขายังมุ่งหมายที่จะทำให้ผู้คนมากยิ่งขึ้นเข้าใจตน เห็นใจตน และทำให้ผู้คนคิดลบเหมือนตนมากขึ้น ทำให้ผู้คนอีกมากบ่มเพาะความคับข้องใจ การไม่ยอมรับ และการท้าทายพระเจ้า หรือส่งเสียงประท้วงพระองค์เหมือนตนไม่มีผิด พวกเขาระบายความคิดลบเพื่อสัมฤทธิ์จุดประสงค์นี้มิใช่หรือ? จุดประสงค์ของพวกเขามีเพียงการทำให้มีผู้คนรู้สิ่งที่เรียกว่าเรื่องจริงมากขึ้นและทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม สิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นถูกต้องแล้ว พวกเขาไม่ควรถูกปลด และการปลดพวกเขาเป็นความผิดพลาด พวกเขาอยากให้มีคนออกมาปกป้องพวกเขากันมากขึ้น พวกเขาหวังจะกู้หน้า สถานะ และชื่อเสียงของตนด้วยการทำเช่นนี้ ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทุกคนเมื่อถูกปลดแล้ว ก็ล้วนระบายความคิดลบเช่นนี้เพื่อให้ผู้คนเห็นใจตน ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถทบทวนและทำความรู้จักตนเอง ยอมรับความผิดพลาดของตน หรือสำนึกผิดและกลับใจได้อย่างแท้จริง ข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ทุกคนล้วนไม่รักความจริงและไม่ยอมรับความจริงแต่อย่างใด ดังนั้น หลังจากถูกเผยและกำจัดออกไปแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถรู้จักตนเองผ่านทางความจริงและพระวจนะของพระเจ้า ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาสำนึกผิดหรือรู้จักตนเองอย่างแท้จริง และไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาแสดงการกลับใจโดยแท้จริง ดูเหมือนพวกเขาไม่เคยรู้จักตนเองหรือยอมรับความผิดพลาดของตน ดูจากข้อเท็จจริงนี้แล้ว การปลดผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ล้วนเหมาะควรทั้งสิ้นและไม่ได้อยุติธรรมแต่อย่างใด จากการที่พวกเขาไม่มีการทบทวนและไม่ทำความรู้จักตนเอง ทั้งยังไร้ซึ่งการสำนึกผิดโดยสิ้นเชิง ก็ชัดเจนว่าอุปนิสัยเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ในตัวพวกเขานั้นร้ายแรง และพวกเขาก็ไม่รักความจริงแม้แต่น้อย
ผู้นำเทียมเท็จบางคนพอถูกปลดก็ไม่ยอมรับความผิดของตนแต่อย่างใด และไม่แสวงหาความจริงหรือทบทวนและทำความรู้จักตนเอง พวกเขาไม่มีหัวใจหรือท่าทีที่นบนอบแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พวกเขากลับเข้าใจพระเจ้าผิดและพร่ำบ่นว่าพระเจ้าทรงไม่ยุติธรรมกับพวกเขา พวกเขาเค้นสมองคิดหาข้ออ้างและเหตุผลต่างๆ นานามาสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและเพื่อแก้ตัว บางคนถึงกับกล่าวว่า “ฉันไม่เคยอยากเป็นผู้นำมาก่อนเพราะฉันรู้ว่านั่นเป็นงานยาก ถ้าทำดีก็ไม่มีรางวัลตอบแทน และถ้าทำไม่ดีก็จะถูกปลดและเสียชื่อเสียง ถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ และไม่เหลือหน้าตาอีกเลย หลังจากนั้นจะมีหน้าไปพบเจอใครได้อย่างไร? ตอนนี้เมื่อถูกปลดแล้ว ฉันก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน เป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญและไม่มีใครเห็นค่า!” ถ้อยแถลงที่ว่า “การเป็นผู้นำหรือคนทำงานคืองานที่ยากเย็นแสนเข็ญและไม่มีใครเห็นค่า” หมายความว่าอย่างไร? ในที่นี้มีการสื่อถึงเจตนาที่จะแสวงหาความจริงบ้างหรือไม่? นี่คือกรณีที่พวกเขาเริ่มเกลียดชังความจริงที่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าได้จัดวางให้พวกเขาเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และตอนนี้พวกเขาก็กำลังใช้ถ้อยแถลงเหล่านี้มาชักพาผู้อื่นให้หลงผิดมิใช่หรือ? (ใช่) ถ้อยแถลงนี้สามารถก่อให้เกิดผลสืบเนื่องเช่นไร? จิตใจและการคิดอ่านของผู้คนส่วนใหญ่ รวมทั้งความตระหนักรู้และความเข้าใจที่พวกเขามีในเรื่องนี้ย่อมจะได้รับอิทธิพลและถูกถ้อยคำเหล่านี้รบกวน นี่คือผลสืบเนื่องที่การระบายความคิดลบนำมาสู่ผู้คน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าไม่ใช่ผู้นำและเมื่อเจ้าได้ยินเช่นนี้ เจ้าย่อมตกตะลึงพลางคิดว่า “นั่นเป็นเรื่องจริงทีเดียว! ฉันต้องไม่ให้ตัวเองถูกเลือกเป็นผู้นำ ถ้าถูกเลือก ฉันก็จะต้องรีบหาเหตุผลและข้ออ้างสารพัดอย่างมาบอกปัด ฉันจะบอกว่าฉันไม่มีขีดความสามารถและไม่สามารถทำงานนั้นได้” บางคนที่เป็นผู้นำก็ได้รับผลจากถ้อยแถลงนี้เช่นกัน พลางคิดว่า “น่ากลัวเหลือเกิน! วันข้างหน้าฉันจะพบเจอผลลัพธ์เหมือนพวกเขาหรือเปล่า? ถ้าเรื่องราวจะลงเอยเช่นนั้น ฉันย่อมไม่ยอมเป็นผู้นำเด็ดขาด” ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ รวมทั้งถ้อยแถลงเชิงลบที่ไม่พึงประสงค์นี้รบกวนผู้คนหรือไม่? เห็นได้ชัดว่าก่อให้เกิดการรบกวน ไม่ว่าจะเป็นใคร มีขีดความสามารถดีหรืออ่อนด้อยก็ตาม เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ พวกเขาย่อมจะซึมซับเข้าไปก่อนโดยไม่รู้ตัว และคำพูดเหล่านี้ก็จะยึดครองความรู้สึกนึกคิดส่วนใหญ่ของพวกเขา และส่งผลต่อพวกเขาไม่มากก็น้อย ผลที่ตามมาของการได้รับผลกระทบย่อมเป็นเช่นไร? ผู้คนส่วนใหญ่จะไม่สามารถรับมือกับการเป็นผู้นำและการถูกปลดจากการเป็นผู้นำได้อย่างถูกต้อง พวกเขาจะไม่มีท่าทีที่นบนอบ แต่จะมีหัวใจที่เข้าใจผิดและระแวดระวังพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะเกิดภาวะอารมณ์ที่เป็นลบในเรื่องนี้ และเมื่อมีการเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาก็จะอ่อนไหวและกริ่งเกรงเป็นพิเศษ เมื่อผู้คนแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ให้เห็น พวกเขาย่อมตกอยู่ในการทดลองและการชักพาให้หลงผิดของซาตานแล้วมิใช่หรือ? ชัดเจนว่าพวกเขาถูกผู้คนที่ระบายความคิดลบชักพาให้หลงผิดและรบกวนไปแล้ว เนื่องจากสิ่งที่ระบายออกมาโดยผู้คนที่ระบายความคิดลบนี้มีต้นกำเนิดมาจากซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คน และเพราะนี่ไม่ใช่การเข้าใจความจริงหรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกจากประสบการณ์ที่ได้จากการนบนอบสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ คนที่ได้ยินได้ฟังสิ่งเหล่านี้จึงถูกรบกวนในระดับที่มากน้อยต่างกันไป ความคิดลบที่ผู้คนระบายออกมาก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์บางอย่างซึ่งทำให้ทุกคนว้าวุ่นใจ คนที่แข็งขันในการแสวงหาความจริงย่อมจะได้รับอันตรายน้อยกว่า ส่วนผู้อื่นที่ไม่มีการต้านทานแต่อย่างใด ย่อมอดไม่ได้ที่จะว้าวุ่นใจและได้รับอันตรายอย่างมาก ต่อให้พวกเขารู้ว่าคำพูดดังกล่าวผิดก็ตาม ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสว่าอย่างไร ไม่ว่าพระองค์จะสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร หรือมีพระประสงค์เช่นใด พวกเขาก็ไม่สนใจทั้งสิ้น กลับจดจำคำพูดของคนที่ระบายความคิดลบนั้นแทน เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอย่าได้คลายความระวังระไวของตน ราวกับว่าถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้คือเกราะคุ้มกันพวกเขา เป็นโล่ให้พวกเขา ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใด พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยมือจากความเข้าใจผิดและความระแวดระวังของตนได้ ผู้คนที่เข้าไม่ถึงความจริงหรือพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความเป็นจริงความจริงนี้ ย่อมไร้ซึ่งวิจารณญาณแยกแยะในถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ และไม่มีการต้านทานถ้อยแถลงเหล่านี้เลย ในที่สุดพวกเขาจึงลงเอยด้วยการถูกถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ตีกรอบและพันธนาการเอาไว้ ไม่สามารถยอมรับพระวจนะของพระเจ้าได้อีกต่อไป พวกเขาถูกเรื่องนี้ทำร้ายไปแล้วมิใช่หรือ? พวกเขาถูกทำร้ายถึงขั้นใด? พวกเขาไม่สามารถรับรู้หรือเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า แต่กลับมองว่าคำพูดที่เป็นลบ คำพูดที่แสดงความไม่พอใจ ความไม่เชื่อฟัง และคำพร่ำบ่นที่ผู้คนกล่าวออกมานั้นคือสิ่งที่เป็นบวก ถือเป็นคติส่วนตัวที่จะต้องรักษาไว้แนบใจ ใช้เป็นเครื่องชี้นำชีวิต ใช้ต่อต้านพระเจ้าและท้าทายพระวจนะของพระองค์ พวกเขาติดอยู่ในกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้เข้าให้แล้วมิใช่หรือ? (ใช่) ผู้คนเหล่านี้ติดอยู่ในกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้โดยไม่รู้ตัว และถูกซาตานจับตัวไว้ ไม่ว่าอย่างไร ถ้อยแถลงที่เป็นลบที่ผู้คนเหล่านี้กล่าวในเรื่องธรรมดาสามัญ เช่น การถูกปลดจากตำแหน่ง ก็ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างมาก เรื่องนี้มีมูลเหตุอยู่ว่า พวกที่ยอมรับถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน—และถึงขั้นมีความเข้าใจผิดและความระแวดระวังบางอย่าง—เกี่ยวกับการเป็นผู้นำอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่าความเข้าใจผิดและความระแวดระวังเหล่านี้ยังไม่ได้ก่อตัวอย่างเต็มที่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา แต่หลังจากที่ได้ฟังถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ พวกเขาก็ยิ่งปักใจเชื่อว่าความระแวดระวังและความเข้าใจผิดที่ตนมีนั้นถูกต้อง รู้สึกว่าตนมีเหตุผลมากขึ้นที่จะเชื่อว่าการเป็นผู้นำพาเอาความโชคร้ายมาให้อย่างมาก ไม่ค่อยมีเรื่องดีๆ เท่าใดนัก และพวกเขาไม่ควรเป็นผู้นำหรือคนทำงานอย่างเด็ดขาด จะได้หลีกเลี่ยงการถูกปลดและถูกปฏิเสธเพราะความผิดพลาด พวกเขาถูกชักพาให้หลงผิดและได้รับอิทธิพลจากคนที่ระบายความคิดลบโดยสมบูรณ์แล้วมิใช่หรือ? เพียงถ้อยแถลงที่เป็นลบซึ่งคนที่ถูกปลดไปแล้วกล่าวออกมา รวมทั้งความรู้สึกที่ไม่ยอมเชื่อฟังและไม่พอใจของคนเหล่านี้ ก็สามารถก่อให้เกิดผลกระทบและภัยต่อผู้คนได้อย่างมีนัยสำคัญเช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร—เป็นเรื่องร้ายแรงหรือไม่ที่ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบซึ่งผู้คนระบายออกมากลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความตาย? (เป็นเรื่องร้ายแรง) อะไรทำให้ร้ายแรงถึงเพียงนี้? เพราะมันตอบสนองความระแวดระวังและความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีต่อพระเจ้าอยู่ลึกๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังสะท้อนสภาวะที่ผู้คนสงสัยและเข้าใจพระเจ้าผิด รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อพระองค์อยู่ภายในอีกด้วย ฉะนั้น ถ้อยแถลงที่แพร่ออกไปจากคนที่ระบายความคิดลบจึงโจมตีจุดสำคัญต่างๆ ของผู้คนโดยตรง และผู้คนก็ยอมรับไว้ทุกอย่าง ติดอยู่ในกับดักที่ซาตานโยงใยเอาไว้โดยสิ้นเชิงจนไม่อาจพาตัวเองหลุดออกมาได้ เรื่องนี้ดีหรือไม่ดี? (ไม่ดี) ผลสืบเนื่องของเรื่องนี้เป็นเช่นใด? (ทำให้ผู้คนทรยศพระเจ้า) (ทำให้ผู้คนระแวดระวังและเข้าใจพระเจ้าผิด เอาใจออกหากจากพระเจ้า คิดลบต่อหน้าที่ของตน และกลัวที่จะยอมรับพระบัญชาสำคัญๆ พวกเขาพอใจที่จะทำหน้าที่ทั่วไป ดังนั้นจึงพลาดโอกาสมากมายที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม) ผู้คนเช่นนี้สามารถช่วยให้รอดได้หรือไม่? (ไม่ได้)
สองพันปีก่อน เปาโลนำเสนอมุมมองไว้มากมายและเขียนจดหมายไว้หลายฉบับ ในจดหมายเหล่านี้ เขากล่าวถึงความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเอาไว้มากมาย เนื่องจากผู้คนไร้วิจารณญาณแยกแยะ คนที่อ่านพระคัมภีร์ในช่วงสองพันปีมานี้จึงยอมรับความคิดและมุมมองของเปาโลกันเป็นส่วนใหญ่ พลางละเลยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า ไม่ยอมรับความจริงจากพระเจ้า คนที่ยอมรับความคิดและมุมมองของเปาโลจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้หรือไม่? พวกเขาจะยอมรับพระวจนะของพระองค์ได้หรือไม่? (ไม่ได้) ถ้าพวกเขายอมรับพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ แล้วจะปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าได้หรือไม่? (ไม่ได้) เมื่อพระเจ้าเสด็จมาถึงและทรงยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะดูออกหรือไม่ว่าเป็นพระเจ้า? พวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่ว่าพระองค์คือพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา? (ไม่ได้) เหตุใดจึงไม่ได้? หัวใจของผู้คนเต็มไปด้วยความคิดและมุมมองที่คลาดเคลื่อนของเปาโล กลายเป็นทฤษฎีและคำกล่าวสารพัดชนิด เมื่อผู้คนใช้สิ่งเหล่านี้มาประเมินพระเจ้า พระราชกิจ พระวจนะ พระอุปนิสัย และท่าทีที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน พวกเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ที่เสื่อมทรามชนิดธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว แต่กลับต่อต้านพระเจ้า พินิจพิจารณาและวิเคราะห์พระองค์ กลายเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด? (ไม่ได้) ถ้าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกเขาจะยังคงมีโอกาสได้รับความรอดหรือไม่? การลิขิตล่วงหน้าและการคัดเลือกของพระเจ้าได้มอบโอกาสแก่ผู้คนแล้ว แต่หลังจากที่พระเจ้าทรงลิขิตล่วงหน้าและคัดเลือกแล้ว ถ้าเส้นทางที่ผู้คนเลือกเป็นเส้นทางที่เดินตามเปาโล โอกาสแห่งความรอดนี้จะยังคงมีอยู่หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ฉันได้รับการเลือกสรรและลิขิตไว้ล่วงหน้าจากพระเจ้า ฉันจึงอยู่ในเขตปลอดภัยแล้ว ฉันย่อมจะได้รับการช่วยให้รอดเป็นแน่” คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่? ที่ว่าได้รับการเลือกสรรและลิขิตไว้ล่วงหน้าจากพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าได้กลายเป็นตัวเลือกที่จะได้รับความรอด แต่เจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าไล่ตามเสาะหาได้ดีเพียงใด และเจ้าเลือกเส้นทางที่ถูกต้องหรือยัง ทุกตัวเลือกจะได้รับเลือกและช่วยให้รอดในท้ายที่สุดหรือไม่? ไม่ ในทำนองเดียวกัน ถ้าผู้คนยอมรับความรู้สึกต่างๆ เช่น ความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และความคับข้องใจ หรือความเห็น ความคิด และมุมมองซึ่งคนที่ระบายความคิดลบพูดออกมา และหัวใจของพวกเขาก็มีสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้เต็มไปหมด นี่ไม่ได้บ่งชี้ว่าพวกเขาเพียงเห็นด้วยบ้างเท่านั้น—นี่หมายความว่าพวกเขายอมรับสิ่งเหล่านี้ไว้หมดและอยากใช้ชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ เมื่อผู้คนใช้ชีวิตตามสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ สัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้าย่อมกลายเป็นเช่นไร? กลายเป็นสัมพันธภาพของอริ ไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม และแน่นอนว่าไม่ใช่สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับคนที่ได้รับความรอด แต่กลายเป็นสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับซาตาน ระหว่างพระเจ้ากับศัตรูของพระองค์ ดังนั้นการที่ผู้คนจะสามารถได้รับความรอดหรือไม่จึงกลายเป็นเครื่องหมายคำถาม เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ ถ้อยแถลงที่เป็นลบซึ่งกล่าวโดยผู้คนที่ถูกปลดไปแล้วนั้นเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น ความเข้าใจผิด เหตุอันชอบธรรม และคำแก้ตัว พวกเขาถึงกับพูดบางสิ่งที่ชักพาให้ผู้คนหลงผิดและดึงผู้คนเข้าเป็นพวก พอได้ฟังถ้อยแถลงเหล่านี้แล้ว ผู้คนก็เกิดความเข้าใจผิดและนึกระแวดระวังพระเจ้า ถึงกับพาตัวออกห่างและปฏิเสธพระองค์อยู่ในหัวใจ ด้วยเหตุนี้ เมื่อผู้คนดังกล่าวระบายความคิดลบออกมา จึงควรควบคุมและหยุดยั้งพวกเขาทันที การที่พวกเขาไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ที่ตนมีประสบการณ์ด้วยจากพระเจ้า แสวงหาความจริง และนบนอบพระเจ้า ย่อมเป็นปัญหาของพวกเขาเอง ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาส่งผลกระทบต่อผู้อื่น ถ้าพวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ ก็ปล่อยให้พวกเขาค่อยๆ ย่อยและแก้ไขสถานการณ์ไป แต่ถ้าพวกเขาระบายความคิดลบ ส่งผลกระทบ และรบกวนการเข้าสู่ตามปกติของผู้อื่น ก็ต้องหยุดยั้งและควบคุมพวกเขาเอาไว้ให้ทันกาล ถ้าควบคุมไม่ได้ และพวกเขายังคงระบายความคิดลบต่อไปเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและดึงคนมาเข้าข้างตน เช่นนั้นแล้วก็ควรเอาตัวพวกเขาออกไปทันที ไม่ควรปล่อยให้พวกเขารบกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป
2. ระบายความคิดลบ พลางไม่ยอมรับการตัดแต่ง
มีสถานการณ์อีกอย่างหนึ่งที่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะระบายความคิดลบออกมาคือ เมื่อพวกเขาเผชิญกับการถูกตัดแต่งและไม่สามารถยอมรับคำพูดบางคำที่ใช้ตัดแต่งได้ พวกเขาจะเก็บงำความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และความคับข้องใจเอาไว้ในหัวใจ บางครั้งถึงกับรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกเขาเชื่อว่ามีความอยุติธรรมอยู่ “ทำไมไม่เปิดโอกาสให้ฉันอธิบายหรือชี้แจงตัวเองบ้างเลย? ทำไมฉันถึงถูกตัดแต่งอย่างต่อเนื่อง?” ผู้คนเหล่านี้มักจะระบายความคิดลบแบบใดออกมา? พวกเขายังหาเหตุผลมาสร้างความชอบธรรมและปกป้องตัวเองด้วย แทนที่จะชำแหละ แก้ไข หรือชดเชยความผิดพลาดของตน พวกเขากลับหาเหตุผลมารองรับข้อโต้แย้งของตน โดยกล่าวถึงเรื่องต่างๆ เช่น ทำไมพวกเขาจึงทำบางสิ่งได้ไม่ดี สาเหตุเบื้องหลังเรื่องนี้ ปัจจัยและเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจริงมีอะไรบ้าง และพวกเขาไม่ได้เจตนาที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาใช้ข้ออ้างเหล่านี้มาสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและปกป้องตัวเอง เพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนที่จะไม่ยอมรับการตัดแต่ง ผู้คนเหล่านี้ไม่ยอมรับว่าการตัดแต่งนั้นถูกต้อง ทั้งยังนำการตัดแต่งที่เกิดขึ้นไปวิเคราะห์ร่วมกับผู้อื่นอีกมากมายหลายคน พยายามอธิบายเรื่องราวให้กระจ่างต่อหน้าทุกคน พวกเขาถึงกับเผยแพร่แนวคิดต่างๆ เช่น “การตัดแต่งแบบนี้จะทำให้ผู้คนหมดกำลังใจที่จะทำหน้าที่ของตน จะไม่มีใครเต็มใจทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป ผู้คนจะไม่รู้ว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไรและจะไม่มีเส้นทางปฏิบัติ” มีแม้กระทั่งบางคนที่ดูภายนอกก็สามัคคีธรรมว่าตนยอมรับการตัดแต่งอย่างไร แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังใช้การสามัคคีธรรมมาสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองและปกป้องตัวเอง ทำให้มีผู้คนอีกมากเชื่อว่าพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนด้วยวิธีที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขาเลย แม้แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลให้ถูกตัดแต่งได้ คนที่มักจะระบายความคิดลบย่อมไม่เคยทบทวนตนเอง แม้ในยามที่เผชิญกับการถูกตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่คิดทบทวนว่าความผิดพลาดของตนมีธรรมชาติเช่นไรหรือสาเหตุของความผิดพลาดเหล่านั้นคืออะไร พวกเขาไม่ชำแหละปัญหาเหล่านี้ แต่กลับโต้เถียง สร้างความชอบธรรมให้ตนเอง และปกป้องตัวเองอยู่เสมอ บางคนถึงกับกล่าวว่า “ก่อนที่ฉันจะถูกตัดแต่ง ฉันรู้สึกว่ามีเส้นทางให้เดิน แต่พอถูกตัดแต่งแล้ว ฉันกลับสับสน ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปหรือจะเชื่อในพระเจ้าอย่างไร ไม่สามารถมองเห็นหนทางข้างหน้าได้” พวกเขายังบอกคนอื่นด้วยว่า “พวกคุณต้องระมัดระวังให้มาก อย่าให้ถูกตัดแต่ง มันเจ็บปวดมาก เหมือนกับการถลกหนัง อย่าเดินตามเส้นทางเดิมของฉัน ดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันหลังจากที่ถูกตัดแต่ง ฉันติดอยู่กับที่ ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้ ทำอะไรไปก็ไม่ถูกสักอย่าง!” คำพูดเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่? มีปัญหาอะไรหรือไม่? (มี พวกเขากำลังโต้เถียงและสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง โดยบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด) ด้วยการอ้างเหตุผลอันชอบธรรมและการโต้เถียงเช่นนี้ พวกเขากำลังสื่อสารว่าอย่างไร? (พวกเขากำลังบอกว่าพระนิเวศของพระเจ้าผิดที่ตัดแต่งผู้คน) บางคนกล่าวว่า “ก่อนที่จะถูกตัดแต่ง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีเส้นทางให้เดิน แต่หลังจากถูกตัดแต่ง ฉันกลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร” เหตุใดพวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรหลังจากที่ถูกตัดแต่งแล้ว? อะไรคือสาเหตุของเรื่องนี้? (เวลาเผชิญกับการตัดแต่ง พวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือพยายามทำความรู้จักตัวเอง กลับเก็บงำมโนคติอันหลงผิดบางอย่างเอาไว้และไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไข นั่นทำให้พวกเขาไม่เหลือเส้นทาง แทนที่จะค้นหาสาเหตุภายในตัวเอง พวกเขากลับกล่าวอ้างในทางตรงกันข้ามว่าการถูกตัดแต่งเป็นสาเหตุทำให้พวกเขาหลงทาง) นี่คือการกล่าวหากลับมิใช่หรือ? เหมือนกับการบอกว่า “สิ่งที่ฉันทำไปนั้นสอดคล้องกับหลักธรรม แต่การที่คุณตัดแต่งฉันทำให้เห็นได้ชัดว่าคุณไม่ปล่อยให้ฉันจัดการสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม แล้วฉันควรปฏิบัติอย่างไรในอนาคต?” นี่คือสิ่งที่ผู้คนที่กล่าวเช่นนี้หมายจะสื่อ พวกเขายอมรับการถูกตัดแต่งหรือไม่? ยอมรับข้อเท็จจริงหรือไม่ว่าพวกเขาผิดพลาด? (ไม่) แท้จริงแล้วถ้อยแถลงนี้หมายความว่าพวกเขารู้ดีว่าอะไรคือการทำกระทำผิดโดยไม่ยั้งคิด แต่พอถูกตัดแต่งและขอให้กระทำการตามหลักธรรม พวกเขากลับสับสนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรมิใช่หรือ? (ใช่) แล้วก่อนหน้านี้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ อย่างไร? เมื่อใครสักคนเผชิญกับการถูกตัดแต่ง นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่กระทำการตามหลักธรรมมิใช่หรือ? (ใช่) พวกเขาทำผิดโดยไม่ยั้งคิด ไม่แสวงหาความจริง และไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมหรือกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้า ดังนั้นจึงได้รับการตัดแต่ง จุดประสงค์ที่ตัดแต่งก็เพื่อทำให้ผู้คนสามารถแสวงหาความจริงและกระทำการตามหลักธรรมได้ ป้องกันไม่ให้พวกเขาผลีผลามทำเรื่องผิดๆ กันอีก อย่างไรก็ดี พอเผชิญกับการถูกตัดแต่ง ผู้คนเหล่านี้ก็บอกว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะกระทำการอย่างไรหรือปฏิบัติอย่างไรต่อไป—คำพูดเหล่านี้มีส่วนใดที่เป็นการรู้จักตนเองบ้างหรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะทำความรู้จักตนเองหรือแสวงหาความจริง แต่กลับแฝงนัยว่า “ฉันเคยทำหน้าที่ของตนได้ดีมาก แต่ตั้งแต่คุณตัดแต่งฉัน คุณทำให้ความคิดของฉันยุ่งเหยิงและทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของฉันสับสนวุ่นวายไปหมด ตอนนี้การคิดอ่านของฉันไม่เป็นปกติ และฉันไม่เด็ดขาดหรือไม่กล้าอย่างเคย ไม่ห้าวหาญอย่างเดิม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะถูกตัดแต่ง ตั้งแต่ถูกตัดแต่ง หัวใจของฉันก็มีบาดแผลลึก ดังนั้น ฉันต้องบอกคนอื่นให้ระวังตัวให้มากเวลาทำหน้าที่ของตน พวกเขาต้องไม่เผยข้อเสียหรือพลั้งพลาด ถ้าพลาดขึ้นมา พวกเขาจะถูกตัดแต่ง จากนั้นก็จะกลายเป็นคนขลาดกลัว สูญเสียแรงผลักดันที่เคยมี จิตวิญญาณที่กล้าแกร่งของพวกเขาจะถูกบั่นทอนลงอย่างมาก ความกล้าหาญและแรงปรารถนาที่จะทุ่มเทเต็มที่ในยามหนุ่มสาวก็จะจางหายไป เหลือไว้เพียงความขลาดเขลาอ่อนแอ หวาดกลัวเงาของตนเอง และรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปนั้นไม่มีอะไรถูกต้องเลย พวกเขาจะไม่รู้สึกว่ามีพระเจ้าสถิตอยู่ในหัวใจอีกต่อไป และจะรู้สึกห่างเหินจากพระองค์ไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งการอธิษฐานและการเรียกหาพระเจ้าก็ดูจะไม่มีการตอบรับ พวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีกำลังวังชา ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ควรค่าที่จะได้รับความรักเหมือนเคย และจะถึงกับเริ่มดูถูกตัวเอง” คำพูดเหล่านี้คือคำสามัคคีธรรมจากหัวใจของคนที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วหรือไม่? ถ้อยคำเหล่านี้จริงแท้หรือไม่? เป็นที่เจริญใจหรือมีประโยชน์ต่อผู้คนหรือไม่? นี่มีแต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงเท่านั้นมิใช่หรือ? (ใช่ คำพูดเหล่านี้ไร้สาระมาก) พวกเขาบอกว่า “อย่าเดินตามรอยเท้าของฉันหรือใช้เส้นทางเดิมของฉัน! ตอนนี้พวกคุณเห็นฉันประพฤติตัวดีมาก แต่อันที่จริง หลังการตัดแต่งครั้งนั้น ฉันก็มีแต่ความกลัว ไม่ได้เป็นอิสระและเสรีอย่างที่เคยเป็น” คำพูดเหล่านี้มีผลกระทบต่อคนฟังอย่างไร? (ทำให้ผู้คนยิ่งระแวดระวังพระเจ้า เป็นเหตุให้พวกเขากระทำการอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะถูกตัดแต่ง) คำพูดเหล่านี้มีผลกระทบในทางลบแบบนี้ หลังจากที่ได้ฟังดังนี้ ผู้คนก็จะคิดว่า “ฉันก็ว่าอย่างนั้น! พลั้งเผลอเล็กน้อยครั้งเดียวก็ลงท้ายด้วยการถูกตัดแต่ง—ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจป้องกันได้! ทำไมการทำหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้าถึงได้ยากเย็นขนาดนี้? เอาแต่พูดเรื่องหลักธรรมความจริงกันตลอดเวลา—เข้มงวดจริงๆ! แค่ใช้ชีวิตให้เรียบง่ายและมั่นคงก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? นั่นไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่สูงส่งหรือความหวังที่ฟุ้งเฟ้อ แต่ทำไมถึงสัมฤทธิ์ได้ยากเย็นนัก? ฉันย่อมหวังให้ตัวเองไม่ถูกตัดแต่งแน่นอน ฉันเป็นคนตาขาวมาก ปกติแล้วเวลาผู้คนถลึงตาและพูดเสียงดังใส่ฉัน หัวใจของฉันก็เริ่มเต้นแรง ถ้าฉันเผชิญกับการตัดแต่งเข้าจริงๆ และคำพูดก็เข้มงวดขนาดนั้น ชำแหละข้อเท็จจริงกันแบบนั้น ฉันจะรับไหวได้อย่างไร? นั่นจะไม่ทำให้ฉันฝันร้ายหรอกหรือ? ทุกคนบอกว่าการตัดแต่งเป็นเรื่องดี แต่ฉันกลับมองไม่เห็นว่าดีอย่างไร คนคนนั้นกลัวการตัดแต่งไม่ใช่หรือ? ถ้าฉันถูกตัดแต่ง ก็คงจะกลัวเหมือนกัน” นี่คือผลกระทบที่เกิดจากคำพูดของคนที่ระบายความคิดลบมิใช่หรือ? ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้เกื้อหนุนและเป็นบวกหรือว่าเป็นลบและไม่พึงประสงค์? (เป็นลบและไม่พึงประสงค์) ถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงแก่คนที่เต็มใจไล่ตามเสาะหาความจริง! ดังนั้น จงบอกเราเถิดว่าคนที่ระบายความคิดลบและเผยแพร่ความตายอยู่เนืองๆ ใช่ข้ารับใช้ของซาตานหรือไม่? ใช่ผู้คนที่ก่อกวนงานของคริสตจักรหรือไม่? (ใช่)
บางคนกระทำการตามแนวคิดของตนเองและขัดต่อหลักธรรม หลังจากถูกตัดแต่ง พวกเขารู้สึกว่าทั้งที่ทำงานอย่างหนักและจ่ายราคา พวกเขาก็ยังถูกตัดแต่ง ดังนั้นหัวใจของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อฟัง และไม่ยอมรับการเปิดโปงหรือการชำแหละ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมและพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ยุติธรรมกับตน เพราะคนมากความสามารถและมีประโยชน์อย่างพวกเขา เป็นคนที่สู้ทนความทุกข์มากมายและจ่ายราคาสูงลิ่ว กลับไม่ได้รับคำสรรเสริญจากพระนิเวศของพระเจ้าและถึงกับถูกตัดแต่ง จากความไม่เชื่อฟังของพวกเขาก็ก่อเกิดความคับข้องใจขึ้นมา และพวกเขาก็จะระบายความคิดลบของตนว่า “ตามความเห็นของฉัน ไม่มีอะไรยากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าอีกแล้ว ยากจริงๆ ที่จะได้รับพรบางอย่างและได้ชื่นชมพระคุณบ้าง ฉันจ่ายราคาไปสูงขนาดนั้น แต่กลับถูกตัดแต่งเพราะทำเรื่องไม่ดีเรื่องเดียว ถ้าคนอย่างฉันยังทำงานนั้นไม่ได้ แล้วคนอื่นจะทำได้อย่างไร? พระเจ้าทรงชอบธรรมไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถตระหนักรู้ความชอบธรรมของพระองค์ได้เล่า? เพราะอะไรความชอบธรรมของพระเจ้าถึงไม่สอดคล้องกับมโนคติของผู้คนเช่นนี้?” พวกเขาไม่ชำแหละว่าตนทำสิ่งใดที่ขัดกับหลักธรรมลงไปหรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดออกมา พวกเขาไม่เพียงไม่มีความสำนึกผิดหรือความนบนอบแม้แต่น้อยเท่านั้น—แต่ยังตัดสินและต้านทานอย่างเปิดเผยอีกด้วย หลังจากได้ฟังพวกเขากล่าวถ้อยแถลงดังกล่าวแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็เริ่มเห็นใจพวกเขาขึ้นมาบ้างและหวั่นไหวไปตามพวกเขาว่า “ก็จริงไม่ใช่หรือ? พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามายี่สิบปีแล้ว แต่ยังคงเผชิญกับการตัดแต่งแบบนั้น ถ้าคนที่เชื่อมายี่สิบปียังอาจจะไม่ได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นคนอย่างพวกเราก็ยิ่งมีหวังน้อยลงไปอีก” พวกเขาถูกพิษเข้าแล้วมิใช่หรือ? เมื่อมีการระบายความคิดลบ พิษก็ถูกโปรยออกไป เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านลงไปในหัวใจของผู้คน หยั่งราก ผลิต้นอ่อน ออกดอก และออกผลอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา กว่าผู้คนจะทันรู้ตัว ก็ถูกพิษไปแล้ว เกิดการไม่ยอมรับและคำพร่ำบ่นพระเจ้าในตัวพวกเขา เมื่อผู้คนเหล่านั้นถูกตัดแต่ง พวกเขาจึงไม่เชื่อฟังพระเจ้าและไม่พอใจวิธีที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้จัดการพวกเขา แทนที่จะใช้ท่าทีที่กลับใจและสารภาพผิด พวกเขากลับโต้เถียง อ้างเหตุผลอันชอบธรรม และแก้ตัว ป่าวประกาศไปทั่วว่าตนสู้ทนความยากลำบากมามากเท่าใด ทำงานอะไรไปบ้าง ทำหน้าที่อะไรบ้างตลอดหลายปีที่มีความเชื่อ และตอนนี้แทนที่จะได้รับรางวัล พวกเขากลับเผชิญการตัดแต่ง พวกเขาไม่เพียงไม่สามารถตระหนักถึงความเสื่อมทรามของตนเองและความผิดพลาดที่ทำลงไปจากการถูกตัดแต่งเท่านั้น แต่ยังเผยแพร่แนวคิดที่ว่าวิธีการที่พระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อพวกเขานั้นไม่ยุติธรรมและไม่มีเหตุผล พวกเขาไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น และถ้าได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น พระเจ้าย่อมไม่ชอบธรรม สาเหตุที่พวกเขาระบายความคิดลบเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับการตัดแต่งหรือข้อเท็จจริงที่ว่าตนทำผิดพลาด และยิ่งไม่ยอมรับหรือรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าตนสร้างความเสียหายต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงและงานของคริสตจักร พวกเขาเชื่อว่าตนกระทำการถูกต้องแล้ว และพระนิเวศของพระเจ้าผิดเองที่ตัดแต่งพวกเขา ด้วยการระบายความคิดลบ พวกเขาหมายที่จะบอกผู้คนว่าพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรม กล่าวคือ เมื่อใครบางคนผิดพลาด พระนิเวศของพระเจ้าก็จะใช้เรื่องนี้เล่นงานพวกเขา หยิบฉวยเรื่องนี้มาตัดแต่งพวกเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถึงขนาดที่พวกเขากลายเป็นคนว่าง่ายและนึกว่าตนเองไม่เคยทำคุณงามความดีอันใดมาก่อน ไม่มีใครหลงใหลได้ปลื้มในตัวพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาก็ไม่เห็นว่าตนมีคุณค่า และไม่กล้าขอรางวัลจากพระเจ้าอีกแล้ว—เมื่อนั้นเท่านั้นพระนิเวศของพระเจ้าจึงจะบรรลุจุดประสงค์ของตน จุดมุ่งหมายที่พวกเขาระบายความคิดลบเช่นนี้ก็เพื่อที่จะทำให้มีผู้คนมาปกป้องพวกเขามากขึ้น ทำให้ผู้คนอีกมากเข้าใจ “ความจริงของเรื่อง” และมองเห็นว่าพวกเขาสู้ทนความทุกข์มามากเพียงใดในช่วงหลายปีที่เชื่อในพระเจ้า คุณความดีที่พวกเขาทำไว้นั้นสำคัญอย่างไร พวกเขามีคุณสมบัติอย่างไร และเป็นผู้เชื่อที่เจนประสบการณ์อย่างไร พวกเขาต้องการใช้เรื่องนี้มาทำให้ผู้อื่นยืนอยู่ในฝั่งพวกเขา ร่วมกันต่อต้านกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระเจ้าและการตัดแต่งที่พระนิเวศของพระเจ้านำมาใช้กับพวกเขา นี่เป็นธรรมชาติของการดึงคนมาเข้าพวกมิใช่หรือ? (ใช่) เป้าหมายที่พวกเขาระบายความคิดลบในลักษณะนี้ก็เพื่อดึงคนมาเข้าข้างตนและชักพาคนเหล่านั้นให้หลงผิด พวกเขาก่อกวนงานของคริสตจักรเพื่อระบายความขุ่นเคืองของตน เมื่อพวกเขาระบายความคิดลบของตนออกมาแล้ว ไม่ว่าจะมีผลเช่นใดต่อผู้คนในท้ายที่สุด ผลพวงและสิ่งที่ตามมาก็คือผู้คนย่อมถูกชักพาให้หลงผิด ถูกรบกวน ทั้งยังถูกทำร้าย นี่ไม่ชวนให้เจริญใจ แต่เป็นผลลบ
โดยทั่วไปแล้ว ที่กล่าวมานี้คือความคิดลบชนิดต่างๆ ที่ผู้คนระบายออกมาเมื่อเผชิญการตัดแต่ง พวกเขาไม่สามารถยอมรับการถูกตัดแต่ง มีความไม่พอใจและไม่เชื่อฟังอยู่ในหัวใจ ไม่สามารถน้อมรับการตัดแต่งจากพระเจ้า ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกของพวกเขาไม่ใช่การแสวงหาความจริงในเรื่องของการตัดแต่ง ไม่ใช่การทบทวน ทำความรู้จัก และชำแหละตัวเอง เพื่อดูว่าแท้จริงแล้วตนทำสิ่งใดผิดไป การกระทำของตนสอดคล้องกับหลักธรรมหรือไม่ เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงตัดแต่งตน และการที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นเพราะความขุ่นเคืองส่วนตัวหรือว่ายุติธรรมและมีเหตุผลแล้ว ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างแรกของพวกเขาไม่ใช่การแสวงหาสิ่งเหล่านี้—สิ่งแรกที่พวกเขาทำกลับเป็นการพึ่งพาคุณสมบัติของตน ความยากลำบากที่เคยสู้ทนมา และการเสียสละ เพื่อที่จะต่อต้านการตัดแต่ง เมื่อทำดังนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขาจึงไม่แคล้วเป็นลบและเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ไม่มีสิ่งใดที่เกื้อหนุนหรือเป็นบวกเลย ดังนั้นเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมถึงความรู้สึกและความเข้าใจของตนหลังการถูกตัดแต่ง ก็แน่นอนว่าพวกเขาย่อมระบายความคิดลบและเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด ควรหยุดยั้งและควบคุมการระบายความคิดลบและการเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดทันที ไม่ปล่อยปละและเพิกเฉย สิ่งที่เป็นลบเหล่านี้จะขัดขวาง รบกวน และสร้างความเสียหายให้แก่การเข้าสู่ชีวิตของแต่ละคน ไม่อาจมีบทบาทในทางที่เกื้อหนุนและเป็นบวกได้ และยิ่งไม่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี ฉะนั้น เมื่อผู้คนดังกล่าวระบายความคิดลบ พวกเขาย่อมกำลังก่อกวนชีวิตคริสตจักรและควรถูกห้ามปราม
3. ระบายความคิดลบเมื่อความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ของตนมีภัย
นอกจากระบายความคิดลบหลังจากถูกปลดหรือถูกตัดแต่งแล้ว ผู้คนยังระบายความคิดลบในสถานการณ์อื่นใดอีก? (เมื่อผลประโยชน์ของผู้คนได้รับความเสียหายและพวกเขารู้สึกว่าทนทุกข์กับความสูญเสีย) (บางคนทำหน้าที่ของพวกเขามานานหลายปี แต่พอล้มป่วยหรือเกิดความวิบัติขึ้นกับครอบครัวของตน พวกเขาก็กล่าวว่า “แล้วฉันได้อะไรจากการเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีอย่างนี้?”) “วลีติดปาก” เหมือนๆ กันของคนที่มีความคิดในแง่ลบก็คือ “แล้วฉันได้อะไร?” มีสถานการณ์อื่นใดอีกบ้าง? (บางคนไม่เพียงไม่อาจสัมฤทธิ์ผลใดๆ ในหน้าที่ของตนเท่านั้น แต่ยังทำผิดบ่อยครั้งด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงถามว่า “ทำไมพระเจ้าประทานความรู้แจ้งแก่คนอื่น แต่ไม่ประทานให้ฉัน? ทำไมพระเจ้าประทานขีดความสามารถที่ดีขนาดนั้นให้พวกเขา แต่ขีดความสามารถของฉันกลับอ่อนด้อยอย่างนี้?” แทนที่จะคิดทบทวนปัญหาของตนเอง พวกเขากลับโยนความรับผิดชอบไปให้พระเจ้า บอกว่าพระเจ้าไม่ประทานความรู้แจ้งหรือไม่ทรงชี้นำตน จากนั้นพวกเขาก็พร่ำบ่นพระเจ้าไปเรื่อยๆ) พวกเขาอ้างว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม พลางถามว่าเหตุใดพระองค์จึงประทานความรู้แจ้งและพระคุณแก่ผู้อื่น แต่ไม่ประทานแก่พวกเขา บ่นพึมพำว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่สัมฤทธิ์ผลในหน้าที่ของตน—พวกเขากำลังพร่ำบ่น ตัวอย่างที่พวกเจ้ายกมานั้นดีแล้ว มีอีกหรือไม่? (บางคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อมีการมอบหมายหน้าที่ให้พวกเขาใหม่ พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมพวกเขาถูกโยกย้าย และระแวงว่าผู้นำและคนทำงานกำลังเพ่งเล็งพวกเขา กำลังทำให้พวกเขาลำบาก) พวกเขารู้สึกว่าพระนิเวศของพระเจ้าดูแคลนตนใช่หรือไม่? (ใช่) บางคนที่ไม่ได้ทำงานจริงย่อมถูกปลดและกำจัดออกไป พวกเขารู้สึกว่าความมีหน้ามีตาและสถานะของตนถูกทำลายลง เพื่อพรั่งพรูความไม่พอใจออกมา พวกเขาจึงบ่นลับหลังอยู่เสมอว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน ความสามารถในการทำความเข้าใจของฉันก็ไม่ดี ฉันมีขีดความสามารถที่อ่อนด้อย ฉันเทียบคนอื่นไม่ติด ถ้าพวกเขาบอกว่าฉันไม่มีความสามารถ ฉันก็ต้องไม่สามารถ!” ดูจากภายนอกเหมือนพวกเขากำลังยอมรับข้อบกพร่องของตน แต่อันที่จริงพวกเขากำลังพยายามเอาผลประโยชน์ที่สูญเสียไปกลับคืนมา บ่นไม่หยุดปาก และพูดสิ่งต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเห็นใจและรู้สึกว่าพระนิเวศของพระเจ้าไม่ยุติธรรม ทันทีที่ผลประโยชน์ของพวกเขาถูกทำลาย พวกเขาก็เริ่มไม่เต็มใจและหวังอยู่เสมอว่าจะได้สิ่งที่ตนสูญเสียไปคืนมาและได้รับการชดเชย ถ้าไม่ได้ พวกเขาก็จะสูญเสียความเชื่อในพระเจ้าและไม่รู้ว่าจะเชื่อในพระองค์ต่อไปได้อย่างไร พลางกล่าวอะไรทำนองที่ว่า “ฉันเคยคิดว่าการเชื่อในพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ การทำหน้าที่เป็นผู้นำหรือคนทำงานในคริสตจักรย่อมจะนำพรอันยิ่งใหญ่มาให้อย่างแน่นอน ฉันไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกปลด ถูกกำจัด และถูกคนอื่นปฏิเสธ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในพระนิเวศของพระเจ้าได้! ไม่จำเป็นว่าทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าจะต้องเป็นคนดี และไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าทำจะเป็นตัวแทนของพระเจ้าหรือความยุติธรรม” คำกล่าวเช่นนี้มีธรรมชาติเช่นไร? วาจาของพวกเขาทั้งที่ชัดเจนและโดยนัยสื่อถึงการเล่นงาน สื่อถึงการตัดสินและการไม่ยอมรับ ดูภายนอกเหมือนพวกเขาเพ่งเล็งผู้นำบางคนหรือคริสตจักร แต่แท้จริงแล้วในหัวใจ พวกเขามุ่งเป้าที่จะใช้วาจาเหล่านี้กับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ รวมทั้งกฎการปกครองและกฎเกณฑ์ในพระนิเวศของพระองค์ พวกเขากำลังระบายความขุ่นเคืองของตนโดยแท้ เหตุใดพวกเขาจึงระบายความขุ่นเคืองของตนออกมา? พวกเขารู้สึกว่าตนทนทุกข์กับความสูญเสีย พวกเขารู้สึกถึงความอยุติธรรมและความไม่พอใจอยู่ในหัวใจ และอยากร้องขอสิ่งต่างๆ อยากได้รับการชดเชย แม้ความคิดลบที่ผู้คนเช่นนี้ระบายออกมาจะไม่ได้คุกคามคนส่วนใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ แต่วาจาหยาบช้าพวกนี้ก็เหมือนแมลงวันหรือตัวเรือดน่ารำคาญที่ก่อให้เกิดการรบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนพอสมควร ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกสะอิดสะเอียนและรังเกียจเมื่อได้ยินวาจาเหล่านี้ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนจำพวกเดียวกับผู้คนดังกล่าว คนที่มีอุปนิสัย แก่นแท้ และความชอบเหมือนกัน เป็นปลาข้องเดียวกันกับคนเหล่านั้น ถูกรบกวนและทำให้หวั่นไหวด้วยวาจาเหล่านี้ นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น บางคนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะย่อมถูกความเห็นที่เป็นลบเหล่านี้ก่อกวน และความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าก็อาจได้รับอิทธิพลไปด้วย ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วจะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่อสิ่งใด พวกเขาไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงเรื่องนิมิต ความสามารถของพวกเขาที่จะเข้าใจความจริงก็อ่อนด้อยเช่นกัน เมื่อพวกเขาได้ฟังถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ พวกเขาก็มีแนวโน้มอย่างมากที่จะซึมซับเอาไว้โดยไม่ตั้งใจ และทนทุกข์จากอิทธิพลของถ้อยคำเหล่านี้ วาจาเหล่านี้คือพิษ ยาพิษเหล่านี้สามารถฝังลงในหัวใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย เมื่อใครบางคนยอมรับความเห็นที่เป็นลบเหล่านี้แล้ว พอพระนิเวศของพระเจ้าขอให้พวกเขาทำหน้าที่หนึ่งๆ พวกเขาย่อมตอบสนองด้วยความไม่แยแส เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าขอความร่วมมือจากพวกเขาในกิจบางอย่าง พวกเขาก็ไม่ยินดียินร้าย พวกเขาจะหยิบงานขึ้นมาทำก็ต่อเมื่อรู้สึกอยากทำ หาไม่แล้วพวกเขาก็จะไม่ทำ โดยมีเหตุผลและข้ออ้างสารพัดอย่างเสมอ ก่อนที่พวกเขาจะได้ฟังความเห็นที่เป็นลบเหล่านั้น พวกเขาพอจะมีความจริงใจในการเชื่อในพระเจ้าอยู่บ้าง มีบางสิ่งที่เป็นบวกและท่าทีเชิงรุกเวลาทำหน้าที่ของตน แต่หลังจากที่ได้ฟังความเห็นที่เป็นลบเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็เริ่มไม่แยแส และพลอยเย็นชากับพี่น้องชายหญิงของตนอีกด้วย พวกเขาคอยระแวดระวังพี่น้องชายหญิง เมื่อคริสตจักรจัดแจงให้พวกเขาทำหน้าที่ พวกเขาก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยๆ และผลักไสครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงให้เห็นว่านิ่งดูดายอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเข้าชุมนุมตรงเวลา แต่หลังจากที่ได้ฟังความเห็นเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง—พวกเขามาเมื่ออารมณ์ดี แต่พออารมณ์ไม่ดีก็ไม่มา ถ้าทางบ้านเกิดเรื่องไม่ดี พวกเขาก็กังวลว่าอาจจะเกิดความวิบัติบางอย่าง ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าชุมนุมมากขึ้นและอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น หากพวกเขารู้สึกตื่นเต้น มีความสุข และตื้นตันหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะถึงกับถวายเงินบางส่วน แต่เมื่อเรื่องราวในบ้านสงบลง พวกเขาก็เลิกเข้าร่วมชุมนุมอีกครั้ง พอพี่น้องชายหญิงพยายามสามัคคีธรรมกับพวกเขาโดยหวังจะให้ความเกื้อหนุน พวกเขากลับหาข้ออ้างมาปฏิเสธ และพอพี่น้องชายหญิงไปที่บ้านของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมเปิดประตูให้แม้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยู่บ้านก็ตาม นี่เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาได้รับอิทธิพลจากความคิดเห็นที่เป็นลบเหล่านั้น—พวกเขาได้รับพิษร้ายและเชื่อว่าผู้เชื่อในพระเจ้าล้วนพึ่งพาไม่ได้ ตอนแรกพวกเขาเชื่อใจผู้คนเหล่านี้มากทีเดียว และเมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็คิดว่า “นี่คือพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้คือพี่น้องชายหญิงของฉัน นี่คือพระนิเวศของพระเจ้า—ช่างวิเศษแท้!” แต่หลังจากได้ฟังความเห็นที่เป็นลบที่บางคนเผยแพร่ พวกเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขาได้รับอิทธิพลเข้าแล้วมิใช่หรือ? การเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาได้รับความเสียหายแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) ใครมีอิทธิพลต่อพวกเขา? ผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมา คนที่ออกความเห็นเหล่านั้น หากใครยังไม่ได้วางรากฐานบนหนทางที่แท้จริงอย่างมั่นคงหรือยังไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจนถึงขั้นเข้าใจความจริง พวกเขาก็อาจได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เป็นลบได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ไม่มีความสามารถในการเข้าใจความจริง กลับเอาแต่จับจ้องกระแสนิยม เฝ้าสังเกตสถานการณ์ และคอยดูปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ฉาบฉวย—คนเหล่านี้ยิ่งหวั่นไหวตามคำพูดที่เป็นลบง่ายขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ยินผู้คนกล่าวถึงตรรกะวิบัติ เช่น “พระนิเวศของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องยุติธรรม และไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าทำนั้นจะเป็นบวก” พวกเขาก็ยิ่งระแวดระวังมากขึ้น ถ้อยแถลงที่สอดคล้องกับความจริงไม่ได้เป็นที่ยอมรับทันทีเสมอไป แต่ถ้อยแถลงที่เป็นลบ ถ้อยแถลงที่ไร้สาระ ถ้อยแถลงที่สวนทางกับความจริง—กลับสามารถหยั่งรากลงไปในหัวใจของผู้คนได้ง่ายเหลือเกิน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาออกไป เป็นเรื่องยากมากที่ผู้คนจะยอมรับความจริง แต่กลับง่ายเหลือเกินที่พวกเขาจะยอมรับตรรกะวิบัติ!
บางคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่เลวร้ายย่อมให้ความสำคัญกับเกียรติยศ ชื่อเสียง ความสุขสำราญทางเนื้อหนัง รวมทั้งทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสียความมีหน้ามีตา สถานะ และผลประโยชน์ทางตรงของตน พวกเขาก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้า หรือยอมรับสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดวางให้ พวกเขาไม่สามารถปล่อยมือจากสิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถละความสนใจจากผลได้ผลเสียส่วนตน กลับใช้โอกาสต่างๆ ระบายความไม่พอใจและความไม่เชื่อฟังออกมา ระบายภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของตน ส่งผลให้บางคนพลอยทนทุกข์อย่างมากไปด้วย ฉะนั้น เมื่อผู้คนดังกล่าวระบายความคิดลบออกมา ก่อนอื่นผู้นำคริสตจักรต้องตระหนักรู้สถานการณ์ให้ทันท่วงที หยุดยั้งและควบคุมผู้คนเหล่านั้นให้ทันกาล แน่นอนว่าผู้นำคริสตจักรควรเปิดโปงผู้คนเหล่านั้นในเชิงรุก และสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงว่าจะใช้วิจารณญาณแยกแยะคนเหล่านั้นอย่างไร เหตุใดคนเหล่านั้นจึงกล่าวสิ่งที่เป็นลบและไร้สาระเหล่านี้ออกมา รวมทั้งจะรับมือและแยกแยะถ้อยคำเหล่านี้อย่างไรจึงจะป้องกันไม่ให้ตนเองถูกถ้อยคำเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและทำร้ายอย่างสาหัสได้ การสามารถแยกแยะและชำแหละผู้คนดังกล่าวได้เป็นเรื่องจำเป็น ทำให้หลีกเลี่ยงและปฏิเสธพวกเขาได้ และไม่ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดอีกต่อไป นี่คืองานที่ผู้นำคริสตจักรควรทำ แน่นอนว่าถ้าพี่น้องชายหญิงทั่วไปพบเห็นผู้คนดังกล่าวและแยกแยะแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์ของพวกเขาได้ พี่น้องชายหญิงก็ควรอยู่ห่างจากพวกเขาเช่นกัน ถ้าเจ้าไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะต้านทาน หรือไม่มีวุฒิภาวะที่จะเกื้อหนุน ช่วยเหลือ และเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ และเจ้ารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทนฟังความคิดเห็นที่เป็นลบและวาจาที่แสดงความไม่พอใจและความไม่เชื่อฟังของพวกเขาได้ แนวทางที่ดีที่สุดก็คืออยู่ห่างๆ พวกเขา หากเจ้ารู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก มีวุฒิภาวะอยู่บ้าง สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะ และยังคงไม่ได้รับผลกระทบไม่ว่าใครจะพูดอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะระบายความคิดลบที่ร้ายแรงเพียงใด ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า เจ้าสามารถแยกแยะผู้คนดังกล่าวได้ สามารถเปิดโปงและหยุดยั้งพวกเขาเวลาที่พวกเขาระบายความคิดลบได้อีกด้วย—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงหรือระแวดระวังผู้คนดังกล่าว แต่ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีวุฒิภาวะเช่นนั้น หนทางและหลักธรรมในการรับมือผู้คนดังกล่าวย่อมเป็นการอยู่ให้ห่างจากพวกเขา เรื่องนี้ทำง่ายหรือไม่? (ง่าย) บางคนกล่าวว่า “ฉันอดกลั้น อดทน และอภัยให้พวกเขาได้ไหม?” นั่นก็ทำได้เช่นกัน ไม่ผิด แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดหรือการปฏิบัติที่ดีที่สุด สมมุติว่าเจ้าอดทน อดกลั้น ปล่อยให้พวกเขาทำตามใจชอบ และท้ายที่สุดเจ้าก็ถูกพวกเขาชักพาให้หลงผิดและดึงตัวไปเป็นพวก และสมมุติว่าไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะจัดเตรียมและเกื้อหนุนเจ้าอย่างไร เจ้าก็ไม่รู้สึกรู้สา หรือว่าพอเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็มักจะหวั่นไหวตามความคิดและความเห็นของพวกเขา และทันทีที่เจ้านึกถึงบางสิ่งที่พวกเขาพูดเอาไว้ ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าก็พลอยได้รับผลกระทบ และเจ้าไม่สามารถอ่านต่อได้ แล้วพอพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่พวกเขามีต่อความจริง—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาสามัคคีธรรมเรื่องการใช้วิจารณญาณแยกแยะความเห็นของผู้คนดังกล่าว—เจ้าก็หวั่นไหวและได้รับผลกระทบจากคำพูดของพวกเขาอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าระส่ำระสาย ถ้าเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ควรอยู่ให้ห่างจากผู้คนดังกล่าว ความอดทนอดกลั้นของเจ้าย่อมจะไร้ประสิทธิผล และไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันผู้คนเช่นนั้น สมมุติว่าความอดทนอดกลั้นของเจ้าไม่ใช่พฤติกรรมภายนอกที่เป็นการอำพราง แต่จริงๆ แล้วเจ้ามีวุฒิภาวะมากพอที่จะเผชิญหน้าผู้คนดังกล่าว ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร ต่อให้เจ้าไม่เอ่ยปาก เจ้าก็ยังสามารถแยกแยะพวกเขาอยู่ในหัวใจ เจ้าสามารถใช้ความอดกลั้นและไม่สนใจพวกเขาได้ วาจาที่เป็นลบอันไม่พึงประสงค์หรือคำพูดที่แสดงความเข้าใจผิดและพร่ำบ่นพระเจ้าที่พวกเขากล่าวออกมาจะไม่ส่งผลต่อความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้าแม้แต่น้อย และไม่ส่งผลต่อความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของเจ้า หรือความนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้า ในกรณีเช่นนั้น เจ้าก็อาจอดทนและอดกลั้นให้พวกเขาได้ หลักธรรมของการปฏิบัติโดยใช้ความอดทนและอดกลั้นมีว่าอย่างไร? อย่าให้ได้รับอันตราย จงเพิกเฉยต่อพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาพูดตามที่อยากพูด—ถึงอย่างไร ผู้คนเช่นนี้ก็เป็นตัวก่อปัญหาที่ไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว และเป็นคนดื้อรั้นที่ไม่มีความละอายแก่ใจ ไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ยอมรับความจริง คนเหล่านี้จัดว่าเป็นพวกมารและเหล่าซาตาน ไร้ประโยชน์ที่จะสามัคคีธรรมกับพวกเขา ฉะนั้น ก่อนที่พระนิเวศของพระเจ้าจะจัดการและเอาตัวพวกเขาออกไป ถ้าเจ้ามีวุฒิภาวะที่จะอดทนและอดกลั้นกับพวกเขาได้โดยไม่ได้รับอันตราย นั่นย่อมดีที่สุด พวกเจ้ามักจะใช้หลักธรรมเรื่องความอดทนอดกลั้นนี้ใช่หรือไม่? พวกเจ้าอดทนกับผู้คนสารพัดชนิด แต่บางครั้งพวกเจ้าก็ไม่ระมัดระวังและถูกชักพาให้หลงผิดไปบ้าง จากนั้นพวกเจ้าจึงรู้ตัว รู้สึกติดค้างพระเจ้า อธิษฐานอยู่สองวัน พวกเจ้าก็กลับสู่สภาวะที่ถูกต้อง และใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น โดยมากแล้วพวกเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนดังกล่าวไม่มีอะไรดี และจัดว่าเป็นพวกมาร แม้เจ้าจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาได้ตามปกติ แต่ในใจเจ้ากลับห่างเหินและรังเกียจพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะกล่าวสิ่งใดหรือออกความเห็นและกล่าวทัศนะที่เป็นลบอันใด เจ้าก็ทำเป็นไม่ได้ยิน เพิกเฉย และคิดว่า “คุณอยากพูดอะไรก็พูดไปเถิด ฉันสามารถดูคุณออก ฉันก็แค่ไม่คบค้ากับคนอย่างคุณ” เวลารับมือเรื่องทำนองนี้ โดยมากแล้วนี่คือหลักธรรมที่พวกเจ้าใช้ปฏิบัติกันใช่หรือไม่? การสัมฤทธิ์เรื่องนี้ได้ก็ไม่เลวเช่นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเข้าใจความจริงบางอย่างและมีวุฒิภาวะในระดับหนึ่ง ถ้าเจ้าไม่มีแม้แต่วุฒิภาวะระดับนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถตั้งมั่นและทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดี
4. ระบายความคิดลบเมื่อความอยากได้พรของตนถูกทำลาย
การระบายความคิดลบมีการสำแดงอีกอย่างหนึ่ง บางคนกล่าวว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี แล้วฉันได้อะไร?” เมื่อผู้คนเช่นนี้ระบายความคิดลบออกมา เรื่องหลักๆ ที่พวกเขาพูดก็คือ “แล้วฉันได้อะไร?”—หมายความว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรเลย พวกเขาเชื่อว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะได้ประโยชน์หรือพรบางอย่างจากพระนิเวศของพระเจ้าหรือจากพระเจ้าในขณะที่เชื่อในพระองค์ และผู้คนต้องถวายความรักมากมายมหาศาลและมีความอดทนอย่างยิ่ง ไม่กระตือรือร้นที่จะเห็นผลโดยเร็ว ส่วนพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงผู้คน ตัดแต่งผู้คน ถลุงผู้คน และชำระผู้คนให้บริสุทธิ์จากความเสื่อมทรามนั้น พวกเขากลับเชื่อว่านี่เป็นเพียงการใช้วาจาที่ตื้นเขินให้ฟังดูสูงส่งและไม่อาจเชื่อใจได้เป็นอันขาด พวกเขาคิดว่าหากปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็จะทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่จริงๆ พวกเขาคิดว่าการได้ประโยชน์และความได้เปรียบ และการทำให้ความใฝ่ฝันและความปรารถนาของตนเป็นจริงคือเรื่องที่สำคัญที่สุดเสมอ ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขาปฏิบัติความจริงหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลย—พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่พวกเขาไม่ทำความชั่ว นั่นก็เพียงพอแล้ว และพวกเขาจะไม่ถูกคริสตจักรกำจัดออกไป ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังถ้อยคำที่เป็นลบเหล่านี้? พวกเขาเห็นชอบและเห็นด้วยกับถ้อยคำเหล่านี้อยู่ในใจ หรือพวกเขารู้สึกเหยียดหยามถ้อยคำเหล่านี้และคิดว่าผู้คนเหล่านี้เห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่น เลวร้าย โสมม และพวกเขาสามารถแยกแยะ เปิดโปง และจำกัดผู้คนเหล่านี้เอาไว้ได้ หยุดยั้งไม่ให้พวกเขาแพร่ความคิดลบและความตายต่อไป? ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกสะอิดสะเอียนและกล่าวโทษวาจาที่เป็นลบแบบนี้ หรือว่าสามารถถูกวาจาเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและคิดลบได้? บางคนหลังจากที่ได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้และเห็นว่าตนไม่ได้อะไรไว้ในมือ จึงคิดว่า “จริงทีเดียว! ฉันไม่เคยได้อะไรไว้เช่นกัน ในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันได้แค่อาหารวันละสามมื้อเท่านั้น ยุ่งอยู่ตลอดเวลา และไม่ได้รับอะไรอื่นเลยจริงๆ” พวกเจ้ามีความคิดดังกล่าวหรือไม่? พวกเจ้ารู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่? คนที่เข้าใจความจริงย่อมจะกล่าวว่า “ที่ว่าคุณไม่ได้รับอะไรเลยนั้นหมายความว่าอย่างไร? พวกเราได้รับจากพระเจ้ามากมายนัก! พวกเราเข้าใจความจริงกันมากมายขนาดนี้!” แต่บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับพวกเขา โดยกล่าวว่า “การบอกว่าพวกเราได้รับ ‘มากมายนัก’ ฟังดูไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงสักเท่าไร พวกเราแค่ได้รับพระคุณนิดหน่อย ได้โอกาสในการทำหน้าที่ของตนบ้าง เข้าใจคำสอนบางอย่างว่าควรประพฤติปฏิบัติตนอย่างไร ได้พบและรู้จักพี่น้องชายหญิงมากมายจากที่ต่างๆ และเปิดโลกทัศน์ของพวกเราให้กว้างขึ้นมาก นี่นับว่าได้รับมานิดหน่อยเท่านั้น” พวกเจ้าจัดอยู่ในจำพวกใด? มีผู้คนอยู่ในทุกจำพวกตามที่กล่าวมานี้ ถูกต้องหรือไม่? (ถูกต้อง) พวกเราจะเสวนาเรื่องนี้จากสองแง่มุม แง่มุมแรก พวกเรามาคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพระคุณอยู่เสมอ—พวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาการได้รับความจริง เพื่อให้บรรลุความรอดใช่หรือไม่? (ไม่ใช่ พวกเขาเชื่อเพื่อให้ได้รับพร) ถ้าเช่นนั้นพระเจ้าได้ประทานพระคุณ การคุ้มครอง ความเมตตา ความรู้แจ้ง และความกระจ่างแก่พวกเขาน้อยนักหรือ? (พระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่พวกเขาไปมากมายแล้ว) กล่าวได้ว่าทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้า การคุ้มครองจากพระเจ้าเป็นรูปธรรมหรือไม่? มีตัวอย่างของเรื่องนี้ในชีวิตจริงบ้างหรือไม่? ผู้คนได้รับการคุ้มครองแบบใดบ้าง? (แบบที่มองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนก็คือหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า พวกเราก็ไม่ถูกกระแสนิยมชั่วของโลกครอบงำอีกต่อไป พวกเราไม่ตกอยู่ในความเสื่อมหรือไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเลวร้าย เช่น การไปเที่ยวสถานเริงรมย์ยามค่ำคืน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และอื่นๆ อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพระองค์ก็เชื่อว่าพวกเราได้รับการคุ้มครองอย่างมากทีเดียวในแง่นี้) นี่คือแง่มุมที่เป็นรูปธรรมยิ่งซึ่งผู้คนสามารถมองเห็นและมีประสบการณ์ได้ด้วยตนเอง การไม่ได้รับอิทธิพลและไม่ถูกกระแสนิยมชั่วของโลกชักพาให้หลงผิด การใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ และใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นมนุษย์ที่ปกติในสภาพเสมือนมนุษย์—นี่เป็นตัวอย่างและหลักฐานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับการคุ้มครองจากพระเจ้า มีอีกหรือไม่? (การไม่ถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวนและสามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระเจ้า) นี่ก็เป็นตัวอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นกัน ผู้คนส่วนใหญ่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้หรือไม่? พวกเจ้าสามารถเข้าใจความหมายของเรื่องนี้หรือไม่? บางคนกล่าวว่า “ผู้ไม่มีความเชื่อก็ไม่ถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวนเหมือนกัน มีผู้ไม่มีความเชื่อสักกี่คนที่ถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวน?” คำกล่าวนี้ถูกต้องหรือไม่? พวกเจ้ารู้สึกว่าคำกล่าวนี้ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่? (เพื่อนร่วมชั้นเรียนของข้าพระองค์หลายคนถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวน บางคนมีอาการถูกผีอำ และบ้างก็ได้ยินเสียงต่างๆ พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเสาะหาหนทางรักษาไปทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวและพรั่นพรึง น่าทุกข์ทรมานมาก อย่างไรก็ดี เป็นเพราะข้าพระองค์เชื่อในพระเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เลยไม่เคยถูกรบกวนหรือทนทุกข์ในลักษณะนี้ โดยมากแล้วหัวใจของข้าพระองค์รู้สึกค่อนข้างมั่นคงและสงบสุข) ผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงย่อมไม่มีความกังวลนี้ พวกเราไม่กังวลว่าจะมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทเพราะปัญหาทางจิตใจ หรือถูกพวกวิญญาณชั่วรบกวนหรือครอบงำ พวกเราไม่กลัวเพราะพวกเรามีพระเจ้า นอกจากนี้ในชีวิตจริง ผู้ไม่มีความเชื่อก็คุยกันอยู่เสมอถึงเรื่องการดูโหงวเฮ้ง ดูฮวงจุ้ย และดูดวง—ในโลกตะวันตกก็มีแม้กระทั่งวิชาโหราศาสตร์ บางคนบูชาพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียง พวกวิญญาณชั่ว และรูปเคารพ บ้างก็ไม่ทำ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือไม่ทำ ก็ล้วนได้รับอิทธิพลและถูกสิ่งเหล่านี้ควบคุมเอาไว้ระดับหนึ่ง ยกตัวอย่างก่อนที่จะออกจากบ้าน พวกเขาต้องเสี่ยงทายนิดหน่อยเพื่อดูว่าทิศไหนเป็นมงคลและทิศไหนไม่เป็นมงคล เวลาเปิดร้าน พวกเขาก็พิจารณาว่าตำแหน่งไหนวางเคาน์เตอร์แล้วเรียกเงินเข้ามาและตำแหน่งไหนไม่เรียกเงิน ควรวางสิ่งใดไว้ในร้านบ้าง ควรบูชารูปเคารพใดบ้างเพื่อดึงดูดความมั่งคั่ง และควรวางสิ่งของบางอย่างไว้ตรงไหนจึงจะไม่ขัดขวางฮวงจุ้ย เวลาย้ายบ้าน พวกเขาก็ต้องกำหนดฤกษ์ยามที่เป็นมงคลในการย้ายบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าครอบครัวจะมีอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและไม่เกิดเหตุร้าย ทั้งยังกำหนดด้วยว่าเวลาใดบ้างที่ไม่เป็นมงคล แม้แต่นักเรียนก็ยังได้รับอิทธิพลจากความเชื่อเหล่านี้ในยามสอบเข้าเรียนต่อ พวกเขาหลีกเลี่ยงการพูดคำที่แฝงนัยถึงความล้มเหลวในวันสอบ และต้องพูดคำพูดในทำนองที่ว่า “ดีเลิศ” และ “สำเร็จ” แทน เป็นต้น ทุกแง่มุมของชีวิต—ตั้งแต่ลูกๆ เข้าโรงเรียนไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ปกครอง หาเงิน ย้ายบ้าน หางาน รวมทั้งจัดงานแต่งงานให้ลูกๆ และอื่นๆ—ล้วนได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เรียกว่าฮวงจุ้ย โชคลาภ และแนวคิดอื่นๆ ดังนั้นเมื่อผู้คนได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะถูกสิ่งใดจำกัดเอาไว้? พวกเขาย่อมถูกจำกัดโดยพวกวิญญาณชั่ว เรื่องทั้งหมดนี้ถูกวิญญาณชั่วควบคุม แล้วเหตุใดผู้คนจึงเคารพบูชาวิญญาณชั่วเหล่านั้น? เหตุใดพวกเขาจึงได้รับอิทธิพลจากสิ่งเหล่านี้? สำหรับเรื่องธรรมดาๆ เช่น การย้ายบ้าน เหตุใดผู้คนต้องครุ่นคิดอยู่เสมอว่าเวลาใดย้ายแล้วเป็นมงคลและเวลาใดไม่เป็น ควรย้ายสิ่งใดก่อนจึงจะเป็นมงคล และสิ่งใดไม่ย้ายจึงจะเป็นมงคล? เหตุใดพวกเขาจึงต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ตลอดเวลา? พวกเขาต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ก็เพราะหากไม่คิด พวกวิญญาณชั่วก็จะลงมือระรานและทรมานพวกเขา พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดจากเรื่องเหล่านี้? มวลมนุษย์ทั้งปวงใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกชั่วร้าย ใครคือพวกชั่วร้าย? พวกชั่วร้ายที่ใหญ่มากก็คือซาตานและหมู่มาร ส่วนพวกชั่วร้ายที่รองลงไปก็คือพวกวิญญาณชั่วในที่ต่างๆ พวกที่ควบคุมผู้คนเผ่าพันธุ์ต่างๆ ชีวิตมนุษย์ถูกวิญญาณชั่วพวกนี้จำกัดและควบคุมเอาไว้ทุกแง่มุม แม้เวลาสร้างบ้านสักหนึ่งหลัง ระหว่างวางคานหลัก ผู้คนก็ยังแขวนผ้าแดงและจุดประทัดเพื่อให้มีความโชคดี ส่วนคนงานก่อสร้างต่างก็สวมเสื้อผ้าสีแดงเพื่อให้เกิดความรุ่งเรืองทางการเงิน และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ มีข้อกำหนดและคำกล่าวบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้โดยเฉพาะ รวมถึงข้อห้าม และพวกเขาก็ต้องหลีกเลี่ยงข้อห้ามและทำตามคำกล่าวเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น บางคนมักจะเผชิญกับความยากลำบากและสิ่งต่างๆ ก็ไม่ราบรื่นสำหรับพวกเขา—พวกเขาสูญเสียงาน ภรรยาก็ตีจาก และไม่มีสิ่งใดหลงเหลือในบ้าน พวกเขาไม่สามารถชำระหนี้ที่นำบ้านไปจำนองเอาไว้เสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนไม่มีสิ่งใดเป็นไปด้วยดีเลยสักอย่าง พวกเขาไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดี แล้วเหตุใดจึงเกิดเรื่องเหล่านี้กับพวกเขา? เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาก็หันไปบูชาพระเจ้าเทียมเท็จและวิญญาณชั่วทั้งหลาย หรือรีบหาคนมาตรวจดูฮวงจุ้ยของตนโดยด่วนเพื่อเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของตน และหลังจากทำดังนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ก็ค่อยๆ เริ่มดีขึ้นสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่เคยเชื่อสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขากลับบูชาพระเจ้าเทียมเท็จและวิญญาณชั่วด้วยใจจริง และก่อนที่พวกเขาจะทำสิ่งใด พวกเขาก็ต้องปรึกษาหมอดูและพึ่งพาการเสี่ยงทาย การใช้ชีวิตเช่นนี้เหน็ดเหนื่อยหรือไม่? (เหน็ดเหนื่อย) น่าเหนื่อยหน่ายเป็นที่สุด! พวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระและสบายใจ หรือหนีจากการตีกรอบของคำกล่าวและกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ แม้จะอยากทำเช่นนั้นก็ตาม หากพวกเขาฝ่าฝืนกฎเกณฑ์เหล่านี้ พวกวิญญาณชั่วก็จะลงมือก่อกวนพวกเขา และพวกเขาจะถูกวิญญาณชั่วเหล่านั้นกำราบอย่างรุนแรง และต้องบูชาวิญญาณชั่วเหล่านั้นทุกวันเพื่อให้ชีวิตของตนราบรื่น อย่างไรก็ดี คนที่เชื่อในพระเจ้าย่อมไม่ถูกการเชื่อถือโชคลางจากยุคกลางหรือการทำงานของพวกวิญญาณชั่วจำกัดเอาไว้ พวกเขาสามารถย้ายบ้านหรือไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องหลีกเลี่ยงข้อห้ามอันใด ในจีนแผ่นดินใหญ่ พรรคคอมมิวนิสต์กดขี่และข่มเหงความเชื่อทางศาสนาอยู่เสมอ หากผู้เชื่อไม่สามารถดำรงชีวิตในสถานที่หนึ่งๆ ได้อีกต่อไป พวกเขาก็ต้องรีบย้าย—พวกเขาจำเป็นต้องเลือกวันหรือเวลาที่เป็นมงคลหรือบูชาสิ่งใดหรือไม่? ไม่ พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ทรงคุ้มครองพวกเขา ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—พวกเขาไม่ถูกสิ่งเหล่านี้พันธนาการเอาไว้ เมื่อใดที่พวกเขาต้องการกินอะไรบางอย่างหรือออกนอกบ้าน พวกเขาจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตรวจดูปฏิทินหรือดูว่าการทำเช่นนั้นละเมิดข้อห้ามหรือเปล่า? ไม่ พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้า และทุกสิ่งก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองและอธิปไตยของพระเจ้า พร้อมด้วยการคุ้มครองและการทรงนำจากพระเจ้า พวกวิญญาณชั่วและปีศาจโสมมทั้งใหญ่เล็กย่อมถูกกันไว้นอกทาง พวกมันไม่กล้าลงมือกับคนที่เชื่อในพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ย่อมได้รับการคุ้มครองไม่ใช่หรือ? พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างอิสระและสบายใจไม่ใช่หรือ? (ใช่) พระคุณนี้ยิ่งใหญ่หรือไม่? (ยิ่งใหญ่) ไม่ว่าเจ้าจะได้รับความจริงแล้วหรือยัง ตราบใดที่เจ้าเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง เจ้าก็คือคนที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้าและทรงคัดเลือกเอาไว้แล้ว และเมื่อเจ้ามาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ย่อมทรงคุ้มครองเจ้าเช่นนี้ เปิดโอกาสให้เจ้าได้ชื่นชมพระคุณดังกล่าว นี่ช่างเป็นพระคุณอันไพศาล! ความปลอดภัยส่วนตนของเจ้าและการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเจ้าย่อมได้รับการปกปักรักษาให้ปลอดภัยและมั่นคง พระเจ้าทรงรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้และคุ้มครองเอาไว้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกังวล โดยมากแล้วผู้คนไม่แต่จะอธิษฐานหรือคิดในใจด้วยความตั้งใจว่า “ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้า และขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน ฉันหวังให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีและไม่มีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น” เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิษฐานด้วยซ้ำ ตราบใดที่เจ้ามีความเชื่อมั่นอย่างเรียบง่ายในหัวใจว่า “ฉันเชื่อในพระเจ้า ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” พระเจ้าก็จะทรงลงมือ ผู้คนได้ชื่นชมพระคุณอันไพศาลเช่นนี้จากพระเจ้า—นี่คือการได้รับเพียงเล็กน้อยหรือ? (นี่เป็นการได้รับที่มากทีเดียว) พระเจ้าคือองค์อธิปัตย์เพียงหนึ่งเดียวในโลก ชีวิตของเจ้าและทุกสิ่งที่เจ้ามีล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ในพระหัตถ์ขององค์อธิปัตย์นี้ หัวใจของเจ้าย่อมรู้สึกถึงสันติสุข สงบ มั่นคง และเจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลในเรื่องใด ไม่ว่าเจ้าจะรู้จักพระเจ้ามากเท่าใดหรือเข้าใจความจริงกี่ข้อ เจ้าก็สามารถมั่นใจในเรื่องนี้อยู่ในหัวใจได้อย่างแน่นอน ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า หากผู้เชื่อในพระเจ้ามีที่ทางสำหรับพระองค์อยู่ในหัวใจของตนและเข้าใจความจริง พวกวิญญาณชั่วย่อมไม่กล้ารบกวน สร้างความเสียหาย หรือเข้าใกล้พวกเขา ด้วยเหตุนี้ ผู้เชื่อจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ไม่จำเป็นเหล่านั้นเลย นี่คือพระคุณอันไพศาลดังกล่าว—แล้วเจ้ายังจะกล่าวได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเลย? เจ้าไม่มีมโนธรรมมิใช่หรือ? หากไม่มองสิ่งอื่น การกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับอะไรเพียงอย่างเดียวก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนเราไร้มโนธรรมอย่างสิ้นเชิง และพิสูจน์ว่ามโนธรรมของคนเรานั้นเลวร้ายอย่างที่สุด ส่วนที่เหลือจึงยิ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึง
พระเจ้าประทานความจริงและชีวิตแก่ผู้คนโดยไม่มีขีดจำกัด ประทานพระวจนะของพระองค์แก่ผู้คนโดยไม่ทรงขอสิ่งใดตอบแทน แม้ผู้คนอาจจะรู้สึกว่าวุฒิภาวะของตนยังไม่เติบโตเต็มที่ ตนยังไม่เข้าใจความจริงมากนัก และไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตนเข้าใจเพียงน้อยนิดนั้นออกมาได้อย่างชัดเจน แต่สิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา ความเอ็นดูและความรักนี้—ช่างเป็นพระคุณอันไพศาลนัก! พระเจ้าได้ประทานสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดแก่ผู้คน ผู้คนก็ได้รับสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในโลกจากพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกถึงเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม พระเจ้าก็ได้ประทานสิ่งเหล่านี้แก่มนุษย์แล้ว ผู้คนยังมีอะไรให้พร่ำบ่นกันอีก? พวกเขาคู่ควรที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้หรือไม่? คนที่พระเจ้าทรงคัดเลือกแล้วคือผู้คนที่มีความสุขที่สุดในโลก เจ้าได้รับการคัดเลือกและเลือกสรรจากพระเจ้า เจ้าเป็นหนึ่งในผู้คนที่มีความสุขที่สุดและโชคดีที่สุดในโลก เจ้าพูดได้อย่างไรว่าเจ้ายังไม่ได้รับอะไรเลย? เจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในผู้คนที่มีความสุขที่สุดและโชคดีที่สุดเพราะพระเจ้าทรงคัดเลือกและเลือกสรรเจ้าไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้พวกวิญญาณชั่วและปีศาจโสมมจึงไม่กล้าเข้าใกล้เจ้า บางคนถามว่า “นั่นหมายความว่าสถานะและอัตลักษณ์ของฉันกลายเป็นสิ่งที่มีเกียรติขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่?” กล่าวเช่นนี้ได้หรือไม่? ไม่ได้ เพราะทั้งหมดนี้เกิดจากความรักของพระเจ้าและการกระทำของพระเจ้า ผู้คนได้รับไปแล้วมากมายนัก! แค่ในชีวิตนี้เพียงชีวิตเดียว ผู้คนก็ได้รับไปมากมายเหลือเกิน แล้วผู้คนมีคุณสมบัติที่จะได้รับทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? บางคนที่เชื่อในพระเจ้ากลับไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแต่อย่างใดและยังคงเอาแต่ถามว่า “ฉันได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีบ้าง?” เจ้าคิดคำนวณด้วยตัวเองไม่ได้หรือ? เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่ กระทำชั่วน้อยลงเพียงใดแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าได้ชื่นชมพระคุณไปมากเท่าใดแล้ว หากเจ้าเข้าใจประเด็นเหล่านี้ชัดเจนอยู่ในหัวใจ เจ้าย่อมจะไม่กล่าวสิ่งที่ไร้มโนธรรมเช่นนั้น บางคนกล่าวด้วยว่า “พระนิเวศของพระเจ้าจัดเตรียมอาหาร เสื้อผ้า และที่พักให้ฉันด้วย” นี่เล็กน้อยมากมิใช่หรือเมื่อเทียบกับพระคุณและการคุ้มครองจากพระเจ้า? เรื่องนี้ไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงด้วยซ้ำไปใช่หรือไม่? อย่างไรก็ดี คนที่มีมโนธรรมย่อมรู้สึกว่าแม้จะไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของพระคุณจากพระเจ้า พระคุณของพระเจ้ามิอาจประมาณได้ พระเจ้าได้ประทานให้กับผู้คนมากมายยิ่ง! ส่วนวัตถุสิ่งของทั้งหลาย ตามมุมมองของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงนับสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ
สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ แง่หนึ่งก็คือการคุ้มครองผู้คน อีกแง่หนึ่งคือการนำพวกเขาไปบนเส้นทางแห่งความรอดเพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอด ผู้คนได้ชื่นชมความเอ็นดูจากพระเจ้าและความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา พระเจ้าได้ประทานพระคุณอันอุดมแก่พวกเขา! นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด นั่นคือ ความจริงที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน ซึ่งก็คือพระวจนะที่ไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ไม่ว่าในยุคใด เคยได้ฟังหรือได้รับ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมากี่ครั้งแล้วก็ตาม พระองค์ก็ไม่เคยทรงพระราชกิจนี้หรือตรัสพระวจนะเหล่านี้ ความล้ำลึกทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ สิ่งที่ผู้คนสามารถแบกรับ ตระหนักรู้ และเข้าใจ—พระเจ้าได้ตรัสบอกพวกเจ้าไปหมดแล้ว ความล้ำลึกเหล่านี้ ความจริงเหล่านี้สามารถวัดปริมาณได้หรือไม่ว่ามีจำนวนเท่าใด? ไม่สามารถวัดได้ ผู้คนไม่สามารถชื่นชมพระวจนะได้หมดแม้ตลอดหลายชั่วอายุคน เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้? เพราะพระวจนะทั้งหลายจากพระเจ้าคือรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของผู้คน และสามารถคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แท้จริงแล้วหากเจ้าโชคดีพอที่จะอยู่รอดและมีชีวิตนิรันดร์ พระวจนะและความจริงทั้งหลายจากพระเจ้าย่อมสามารถเลี้ยงดูเจ้าได้ชั่วนิรันดร์ ชั่วนิรันดร์หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าไม่มีการจำกัดเวลา หมายความว่าไม่มีขอบเขต หากพวกเราตีความตามตัวอักษร ก็หมายความว่าไม่มีที่สิ้นสุด—มีชีวิตไปชั่วนิรันดร์เช่นเดียวกับพระเจ้าพระองค์เอง พระวจนะและความจริงจากพระเจ้าเหล่านี้สามารถดำรงอยู่จนถึงเวลานั้น “เวลานั้น” คือแนวคิดและคำจำกัดความของกาลเวลาที่แสดงออกมาเป็นภาษามนุษย์ แต่แท้จริงแล้วหมายถึงไม่มีกำหนด จงบอกเราเถิดว่าคุณค่าของพระวจนะจากพระเจ้านี้ยิ่งใหญ่หรือไม่? ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ! หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาพระวจนะจากพระเจ้า เช่นนั้นก็เป็นความสูญเสียของเจ้า เจ้าเขลาเอง แต่หากเจ้าไล่ตามเสาะหา พระวจนะเหล่านี้จะมีคุณค่าสำหรับเจ้ายาวนานกว่าชีวิตนี้ไปอีกไกลทีเดียว ยืนยาวไปชั่วนิรันดร์ พระวจนะเหล่านี้จะมีประสิทธิผลและเป็นประโยชน์แก่เจ้าตลอดไป จะมีคุณค่าและความหมายตลอดกาล เลี้ยงดูเจ้านิรันดร หากเจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านี้ รับเอาไว้ และใช้ชีวิตตามพระวจนะ เจ้าก็จะสามารถดำรงชีวิตชั่วนิรันดร์ กล่าวให้ง่ายขึ้นก็คือ เจ้าจะมีชีวิตตลอดไปโดยไม่ต้องลิ้มรสความตาย นี่คือสิ่งที่ผู้คนฝันถึงมิใช่หรือ? ยุคสมัยจะผ่านพ้นไปนับไม่ถ้วน ผู้คนจะตายไปนับไม่ถ้วน แต่เจ้าจะยังคงมีชีวิตอยู่ เจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ด้วยพระวจนะของพระเจ้า ด้วยความจริง เจ้าย่อมจะมีคุณสมบัติที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นนี้ เจ้าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่ต่อเนื่องเช่นนี้? เจ้ามีพระบัญชาจากพระเจ้า มีการนำจากพระเจ้า และเจ้าก็มีภารกิจอีกด้วย ภารกิจของเจ้าคืออะไร? เพราะเจ้าใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าจึงทรงต้องการให้เจ้าถวายพระสิริและเป็นคำพยานให้พระองค์ นี่คือคุณค่าแห่งพระวจนะของพระเจ้า คุณค่าและนัยสำคัญของความจริงและพระวจนะที่ผู้คนได้ฟัง ได้สัมผัส และมีประสบการณ์ในยุคนี้ ย่อมจะดำรงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ เหตุใดจึงจะดำรงอยู่ไปชั่วนิรันดร์? พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าไม่ใช่ศาสนศาสตร์ ทฤษฎี คำขวัญ หรือความรู้ประเภทหนึ่ง แต่เป็นพระวจนะแห่งชีวิต ตราบใดที่เจ้ารับพระวจนะเหล่านี้เอาไว้ ใช้ชีวิตตามพระวจนะ และอยู่รอดด้วยพระวจนะ พระเจ้าก็จะทรงอนุญาตให้เจ้ามีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ และไม่ทรงให้เจ้าตาย กล่าวคือ พระองค์จะไม่ทรงทำลายเจ้าหรือเอาชีวิตของเจ้าไป—พระองค์จะทรงปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไปเรื่อยๆ นี่คือพรอันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ? (ใช่ เป็นพรอันยิ่งใหญ่) พระเจ้าทรงต้องการให้เจ้าได้ชิมลางพรนี้ผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ในชีวิตนี้ไปก่อน แล้วจึงได้รับพรในโลกที่จะมาถึง นี่คือสัญญาจากพระเจ้า เมื่อคำนึงว่าพระเจ้าได้ประทานสัญญาอันยิ่งใหญ่ไพศาลนี้แก่มวลมนุษย์ ผู้คนย่อมได้รับไปมากมายแล้วใช่หรือไม่? (ใช่) พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับมวลมนุษย์อย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทรงทำให้เป็นที่รู้กันทั่ว พระองค์ตรัสบอกเรื่องนี้แก่เจ้า ทรงเปิดโอกาสให้เจ้ามารับได้โดยเสรี เจ้าไม่จำเป็นต้องพลีอุทิศชีวิตหรือส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่เจ้ามี เจ้าเพียงต้องฟังพระวจนะของพระเจ้า กระทำการตามข้อกำหนดและพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น แล้วเจ้าก็จะสามารถได้รับสัญญาข้อนี้จากพระเจ้า พระเจ้าได้ประทานแก่มวลมนุษย์ไปมากแล้วมิใช่หรือ? ในเวลานี้เจ้าอยู่บนเส้นทางของการได้รับสัญญาข้อนี้ แม้เจ้าจะยังไม่ได้รับโดยสมบูรณ์ แต่เจ้าก็ได้รับไว้บ้างแล้วใช่หรือไม่? เมื่อพิจารณาสัญญาที่พระเจ้าได้ประทานแก่มวลมนุษย์ ผู้คนได้รับไปมากทีเดียว พวกเขามีความได้เปรียบอย่างมหาศาล ไม่ได้เสียเปรียบหรือทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ เลย พวกเขาเพียงแต่ทุ่มเทเวลาบ้าง และเนื้อหนังของพวกเขาอาจสู้ทนงานที่ตรากตรำไปบ้าง พวกเขาอาจพลีอุทิศความผาสุกส่วนตัวบางอย่างในครอบครัว ความชอบและความอยากได้อยากมีของเนื้อหนังส่วนตน ทิ้งความใฝ่ฝัน ผลประโยชน์ และความปรารถนาบางอย่างของตนเอง และอื่นๆ ไปบ้าง อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับการเข้าใจความจริง การได้รับความรอด และการได้รับสัญญาจากพระเจ้าแล้ว ความสำเร็จในอนาคต จุดหมาย และความใฝ่ฝันส่วนตัวทั้งหมดนั้นกลับไม่คู่ควรแก่การเอ่ยถึง เพราะทั้งหมดนั้นได้แต่นำเจ้าลงนรกเท่านั้น และพระเจ้าจะไม่ทรงสัญญาสิ่งเหล่านั้นแก่เจ้า ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้คนทุ่มเทช่วงเวลาที่จำกัด ซึ่งเป็นราคาที่เต็มใจจ่ายและสามารถจ่ายได้ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาย่อมเข้าใจความจริง และตระหนักรู้ความล้ำลึกบางอย่าง หลักธรรมของการประพฤติปฏิบัติตน แก่นแท้และมูลเหตุบางอย่างของเหตุการณ์และเรื่องราวทั้งปวง และอื่นๆ ที่มวลมนุษย์ไม่เคยเข้าใจนับแต่พระเจ้าทรงสร้างโลก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือพวกเขาได้รับความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้าและสามารถยำเกรงพระองค์ การได้รับทั้งหมดนี้ย่อมคู่ควรแก่การจ่ายราคาเช่นนี้แล้วมิใช่หรือ? แล้วผู้คนมีความคับข้องใจอันใด? เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเลย? มโนธรรมของพวกเขาผุพังไปหมดแล้วหรือไร? เจ้าได้รับไปมากมายนัก และเจ้าก็ยังคงไม่พอใจ เจ้าต้องการสิ่งใดอีก? หากให้เจ้าได้เป็นประธานาธิบดีหรือมหาเศรษฐีพันล้าน เจ้าจึงจะพอใจใช่หรือไม่? หากพระเจ้าประทานสิ่งเหล่านั้นให้แก่เจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พระเจ้าไม่ทรงต้องการที่จะได้รับผู้คนเช่นนี้
ผู้คนกล่าวเสมอว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีมโนธรรม ไร้ซึ่งความสามารถที่จะเข้าใจความจริง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และมีลักษณะนิสัยที่ต่ำต้อยเป็นพิเศษ ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความเข้าใจอันถ่องแท้ในสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คน สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่ผู้คน เป็นต้น ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจเพียงเล็กน้อย ความโมโหที่พวกเขาเก็บกดไว้มากมายจึงระเบิดออกมาทันใดว่า “ฉันได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้า? เนื้อหนังของฉันทนทุกข์มาแล้วมากมาย ไม่ว่าคริสตจักรจะมอบหมายหน้าที่ใดให้ ฉันก็ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะหนักหรือเหน็ดเหนื่อยอย่างไร ฉันก็ไม่เคยบ่น ไม่ว่าจะลำบากยากเย็นขนาดไหน ฉันก็ไม่เคยพูดอะไรเลย ฉันไม่เคยเรียกร้องจากพระนิเวศของพระเจ้า แล้วฉันได้รับอะไรจากความรักที่ยิ่งใหญ่และความจงรักภักดีที่ฉันมีอยู่มากมาย? ถ้าขนาดฉันยังไม่ได้รับอะไรเลย คนอื่นย่อมมีความหวังที่จะได้รับน้อยลงไปอีก!” ความนัยก็คือ “พวกคุณไม่เคยถวายมากเท่าฉัน ไม่เคยจ่ายราคาอย่างที่ฉันจ่าย ถ้าขนาดฉันยังไม่ได้รับอะไรเลย แล้วพวกคุณจะสามารถได้รับอะไรบ้าง? พวกคุณทุกคนต้องระวังให้ดี อย่าโง่ไปหน่อยเลย!” ผู้คนแบบนี้ไร้มโนธรรมมิใช่หรือ? คนที่ไม่มีมโนธรรมย่อมกล่าวคำที่โง่เขลาและดื้อรั้นอยู่เสมอ พวกเขาไม่สามารถเข้าใจความจริงที่พระเจ้าตรัสเอาไว้มากมาย หรือถ้อยแถลงและสิ่งที่บริสุทธิ์และเป็นบวกทั้งปวงที่มีมากมายนั้นได้แม้แต่อย่างเดียว แต่กลับยึดมั่นในมุมมองของตนเองอย่างดื้อรั้นว่า “ฉันสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าก็ต้องให้พรฉัน และต้องยอมให้ฉันได้รับมากกว่าคนอื่น ไม่เช่นนั้นฉันจะระบาย ฉันจะระเบิด ฉันจะสบถออกมาดังๆ! ไม่ว่าฉันจะต้องการสิ่งใด พระเจ้าก็ต้องประทานให้ฉัน และถ้าฉันไม่ได้ เช่นนั้นพระเจ้าก็ไม่ชอบธรรม และฉันจะพูดว่าฉันไม่เคยได้รับอะไรเลย—นี่คือการพูดความจริงที่ชัดเจน!” พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์เลยมิใช่หรือ? คำพูดของคนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ย่อมไม่อาจตั้งมั่นได้อย่างแน่นอน นับประสาอะไรที่จะสอดคล้องกับความจริงได้ เรื่องหลังนี้ออกจะมากเกินไปที่จะขอจากพวกเขา คำพูดที่คนเราพูดออกมาต้องเป็นคำขอที่เป็นไปโดยชอบ ถ้อยแถลงที่เป็นไปโดยชอบ ไม่ใช่ข้อโต้แย้งที่บิดเบี้ยว ต้องตั้งมั่นได้ไม่ว่าคนฟังหรือคนประเมินคำพูดเหล่านั้นจะเป็นใครก็ตาม อย่างไรก็ดี คำพูดและการกระทำของผู้คนที่ด้อยความเป็นมนุษย์ต่ำย่อมไม่สามารถตั้งมั่น เมื่อพวกเขาตีโพยตีพายและระบายความคับข้องใจออกมา บางคนย่อมคิดว่า “ทำไมพวกเขาถึงบอกว่าไม่เคยได้รับอะไรเลย? เป็นไปได้หรือที่พระนิเวศของพระเจ้าไม่เป็นธรรมกับพวกเขา? หรือพระนิเวศของพระเจ้ามีการกระทำบางอย่างที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมและไม่สามารถเปิดเผยได้? คนคนนั้นดูเหมือนจะสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้ค่อนข้างมากเป็นปกติ แต่วันนี้พวกเขากลับระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างรุนแรงขนาดนั้น บอกว่าตัวเองไม่เคยได้รับอะไรเลย ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยได้รับอะไรเลยจริงๆ นี่เป็นการยั่วคนที่ประพฤติดีให้โมโหไม่ใช่หรือ? จากนี้ไปฉันควรระวังเอาไว้ ไม่ควรสู้ทนต่อความยากลำบากขนาดนั้นหรือจ่ายราคาแบบที่เคยจ่ายเวลาทำหน้าที่ของตน!” นี่คือวิธีที่คนที่เลอะเลือนและไร้วิจารณญาณแยกแยะบางคนได้รับอิทธิพล
สำหรับผู้คนที่มักจะระบายความคิดลบออกมา หากพวกเขามีมุมมองหรือแนวคิดที่อยากจะแสดงออกจริง ก็ปล่อยให้พวกเขาพูดและเปิดโปงทัศนะของตนออกมาก่อน หลังจากที่พวกเขาทำดังนั้นแล้ว ทุกคนก็จะเข้าใจว่า “พวกเขารู้สึกว่าราคาที่ตนจ่ายไปนั้นไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนได้รับ พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลยและทนทุกข์กับการสูญเสีย ดังนั้นจึงรู้สึกไม่เต็มใจมากขึ้นเรื่อยๆ พร่ำบ่นพระเจ้า หวังที่จะต่อรองกับพระเจ้า เรียกร้องพระคุณและผลประโยชน์!” เมื่อได้ฟังพวกเขาพูด คนทั่วไปจะสามารถแยกแยะคนเช่นนี้ได้หรือไม่? เมื่อทุกคนสามารถแยกแยะพวกเขาได้ จงกล่าวกับคนคนนั้นว่า “คุณพูดจบหรือยัง? ถ้าคุณไม่มีอะไรจะพูดอีก อย่างนั้นก็หุบปากเสีย ไม่เช่นนั้นคุณก็จะทำให้ตัวเองเป็นตัวตลก ถ้าธรรมชาติอันเลวร้ายของคุณถูกเปิดโปงต่อหน้าทุกคนและยั้งไว้ไม่ทัน ก็จะยั่วยุให้คนส่วนใหญ่โกรธแค้นได้ เมื่อทุกคนเปิดโปงและปฏิเสธคุณ ย่อมสายเกินไปที่จะเสียใจ” จงตักเตือนพวกเขาเช่นนี้ และด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าย่อมจะควบคุมพวกเขาเอาไว้แล้ว หรือเจ้าอาจกล่าวได้เช่นกันว่า “ถ้าคุณรู้สึกว่าพลาดท่าเสียที คุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อในพระเจ้า คุณรู้สึกว่าตัวคุณไม่ได้รับอะไรเลย แล้วคุณอยากได้อะไรกันแน่? ถ้าอยากมีโชคลาภ กลายเป็นคนมั่งคั่ง หรือดำรงตำแหน่งสูงๆ อย่างนั้นก็เสียใจด้วย แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนเราจะสามารถได้มาเพียงเพราะอยากได้เท่านั้น นี่เป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ การทรงปรากฏของพระเจ้าและพระราชกิจช่วยมนุษย์ให้รอดของพระองค์ไม่ใช่การประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้คน ไปที่ที่คุณสามารถได้สิ่งเหล่านี้เถิด พระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่โลกภายนอก ไม่สามารถตอบสนองหมู่มารและเหล่าซาตานได้ คุณไม่ควรเรียกร้องสิ่งเหล่านั้นจากพระนิเวศของพระเจ้า หรือจากพี่น้องชายหญิง ถ้าคุณกล้าขอสิ่งเหล่านี้จากพระเจ้า เช่นนั้นคุณย่อมจะก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระองค์และยั่วยุให้พระองค์กริ้ว นี่เป็นเพราะพระเจ้าประทานพระคุณแก่ผู้คนอย่างล้นเหลือ และพระองค์ประทานความจริงแก่ผู้คนมากยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้เป็นชีวิตของพวกเขา การที่คุณไม่มองว่าการได้รับความจริงนี้ล้ำค่าย่อมเป็นความโง่เขลาและไม่รู้ความของคุณเอง” ทุกคนติเตียนและตัดแต่งพวกเขากันเช่นนี้ พวกเจ้าคิดอย่างไรกับการปฏิบัติเช่นนี้? หรือเจ้าอาจกล่าวได้ว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรคุณเลย สิ่งที่คุณสละเพื่อพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ของคุณล้วนเป็นความสมัครใจทั้งสิ้น คุณรู้หรือไม่ว่าคุณได้ชื่นชมพระคุณจากพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้วนับตั้งแต่คุณเริ่มเชื่อในพระองค์และเริ่มทำหน้าที่? ถ้าคุณพอจะมีมโนธรรมอยู่บ้าง คุณก็ไม่ควรบอกพระเจ้าว่าคุณไม่เคยได้รับอะไร คุณควรมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตระหนักรู้ปัญหาของคุณเอง ถ้าคุณเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าคือความจริง ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำคือความจริง และพระวจนะของพระองค์ก็คือความจริง คุณก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น คุณไม่ควรพร่ำบ่น ท่าทีของคุณในตอนนี้ไม่ใช่ท่าทีซึ่งคนที่เชื่อในพระเจ้าควรมี และไม่ใช่ท่าทีซึ่งคนที่กำลังแสวงหาความจริงควรมี คุณกำลังพยายามก่อกบฏ พยายามรื้อฟื้นปัญหาเดิมๆ ที่คุณมีต่อพระเจ้าขึ้นมา! คุณกำลังพยายามแยกตัวจากพระเจ้า สะสางบัญชีเป็นครั้งสุดท้าย! แต่พระเจ้าไม่ได้ติดค้างคุณ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่ได้ติดค้างคุณเช่นกัน ถ้าคุณจะสะสางบัญชีกับพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นก็รีบออกจากพระนิเวศของพระองค์ไปเถิด อย่ามารังควานพระนิเวศของพระเจ้า ไม่เช่นนั้นคุณจะยั่วยุให้พระองค์พิโรธ และพระองค์ก็จะทรงซัดโทษใส่คุณ นั่นย่อมจะไม่ใช่ผลดีเท่าใดนัก ถ้าคุณมีมโนธรรมหรือสำนึกอยู่บ้าง คุณก็ควรสงบใจมาอธิษฐานและแสวงหา ดูว่ามุมมองเบื้องหลังการไล่ตามเสาะหาในการเชื่อในพระเจ้าของคุณนั้นมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ และเส้นทางที่คุณเดินอยู่คือเส้นทางที่พระเจ้าทรงกำหนดให้คุณเดินหรือไม่ คุณมีข้อเรียกร้องที่ไร้สำนึกต่อพระเจ้ามากมายเหลือเกิน มีความขุ่นเคืองอย่างยิ่ง นี่ย่อมบ่งชี้ว่าการไล่ตามเสาะหาของคุณมีบางสิ่งผิดพลาด ความขุ่นเคืองลึกๆ ในตัวคุณนี้ไม่ได้ก่อตัวขึ้นมาในเวลาเพียงวันหรือสองวัน แต่ก่อตัวมานานแล้ว หรือบางทีคุณอาจจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยมุมมองผิดๆ อยู่ในใจตั้งแต่คุณเริ่มเชื่อในพระองค์แล้ว และไม่ว่าพระองค์จะตรัสอะไร คุณก็ด้านชามาตลอด ผลก็คือคุณไม่สำนึกผิดหรือรู้สึกว่าติดค้างเลย บางทีนั่นอาจจะนำไปสู่สิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ คุณควรรีบสารภาพและกลับใจเสีย ยังมีเวลาให้กลับใจ ถ้าคุณไม่กลับใจ ทั้งยังทำความชั่วและระบายความคิดลบต่อไปเรื่อยๆ คุณย่อมจะกลายเป็นมาร เป็นศัตรูของพระคริสต์ เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าเอาตัวคุณออกไป คุณจะไม่มีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดอีกแล้ว—สิ่งที่ถูกพระนิเวศของพระเจ้ากล่าวโทษย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษเช่นกัน พวกเราเตือนคุณเช่นนี้เพราะคำนึงว่าคุณสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคามาตลอดระยะเวลาหลายปีที่คุณเชื่อในพระเจ้า พวกเรากำลังให้โอกาสคุณ ถ้าคุณยืนกรานที่จะไปตามทางของคุณเอง ไม่ยอมฟังคำแนะนำ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ตัดสินใจเอาตัวคุณออกไป คุณก็จะไม่ใช่พี่น้องชายหญิงอีกต่อไป ความหวังที่คุณจะได้รับการช่วยให้รอดย่อมเป็นศูนย์ ถึงเวลานั้นคุณจะไม่ได้รับอะไรเลยอย่างแท้จริง ถึงเวลานั้นอย่าเสียใจก็แล้วกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณในตอนนี้คือการเปลี่ยนความคิด มุมมอง และทิศทางการไล่ตามเสาะหาของคุณให้ถูกต้อง อย่าเอาแต่เสาะหาที่จะได้รับสิ่งใดอีกต่อไป ฟังพระวจนะของพระเจ้า ดูว่าคุณสามารถคิดทบทวนและทำความรู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดโปงเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของผู้คนในตัวคุณเองได้มากเพียงใด คุณได้แก้ไขปัญหาที่คุณสามารถระบุและมองเห็นอย่างชัดเจนในตัวคุณเองแล้วหรือยัง? คุณตระหนักรู้หรือยังว่าคุณกบฏต่อพระเจ้า? คุณแก้ไขเรื่องนี้แล้วหรือยัง? ปัญหาใหญ่ที่สุดที่คุณเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คือการต้องการสะสางบัญชีกับพระเจ้าอยู่เสมอ—ปัญหานี้เป็นเช่นไร? นี่คือปัญหาที่จำเป็นต้องแก้ไขไม่ใช่หรือ? คุณเชื่อในพระเจ้าโดยมีเจตนาบางอย่างอยู่เสมอ มีธุรกรรมแลกเปลี่ยนอยู่ในใจ คุณกระตือรือร้นตลอดเวลาที่จะได้รับพร หวังจะเอาความพยายาม การสละ และความทุกข์ทางเนื้อหนังมาแลกกับพรจากราชอาณาจักรสวรรค์—นี่เป็นตรรกะของโจรไม่ใช่หรือ? ทำไมคุณไม่ดูว่าพระเจ้าประทานพรแก่ผู้คนประเภทใดบ้าง พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดต่อผู้คนว่าอย่างไร พระเจ้าตรัสแก่ผู้คนไว้ว่าอย่างไร และผู้คนจำเป็นต้องสัมฤทธิ์สิ่งใดเพื่อให้ได้รับสัญญาจากพระเจ้า? ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้าจริงและต้องการได้รับการช่วยให้รอดจริง เช่นนั้นก็อย่าพยายามที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากพระเจ้าอยู่เสมอ คุณจำเป็นต้องดูว่าตัวคุณปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้มากเท่าใดแล้ว คุณเป็นคนที่ทำตามพระวจนะของพระเจ้าหรือเปล่า การทำตามพระวจนะของพระเจ้าก็คือการปฏิบัติและดำรงชีวิตตามข้อกำหนดของพระเจ้าและตามหลักธรรมความจริง ไม่ใช่แค่ทนทุกข์ทางกายนิดหน่อยและจ่ายราคาเล็กน้อยเท่านั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของคุณยังไม่ได้รับการแก้ไข ทุกราคาที่คุณจ่ายไปและทุกความยากลำบากที่คุณก้าวผ่านล้วนมีเจตนาแฝงอยู่ พระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบในเรื่องนี้ พระองค์ไม่ทรงต้องการราคาแบบนี้ ถ้าคุณยืนกรานที่จะสะสางบัญชีกับพระเจ้า ถ้าคุณดึงดันที่จะโต้เถียงและขับเคี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นคุณก็กำลังก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระองค์จะทรงปล่อยคุณไปตามทางของคุณ ให้ลงนรกไปรับโทษ นี่คือโทษทัณฑ์ของการทำชั่ว คุณได้ชื่นชมพรและพระคุณจากพระเจ้าไปมากมาย พระองค์ได้ทรงดูแลคุณทางด้านวัตถุบางอย่างเป็นพิเศษ คุณได้รับสิ่งที่คุณควรมีไปแล้ว—คุณอยากได้อะไรจากพระเจ้าอีก?” หากเจ้าสามัคคีธรรมตามคำพูดเหล่านี้ อารมณ์พร่ำบ่นของคนที่พอจะมีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้างย่อมจะลดลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังมิใช่หรือ? นี่คือถ้อยคำที่มาจากความเข้าใจอันถ่องแท้และสอดคล้องกับความจริงใช่หรือไม่? (ใช่) หากคนคนหนึ่งมีความเป็นมนุษย์และสำนึก พวกเขาย่อมจะเข้าใจและยอมรับถ้อยคำเหล่านี้ได้ เฉพาะคนที่ไร้ความเป็นมนุษย์ คนที่ไร้มโนธรรมและสำนึกเท่านั้นที่จะคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้กำลังพยายามล่อให้ตนหลงกล เป็นวาทกรรมที่ฟังดูสูงส่ง ไม่มีค่าควรเชื่อ และไม่มีประโยชน์ที่จับต้องได้อย่างพระคุณที่มองเห็นได้หรือพรทางวัตถุ ดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะมองเห็นผลประโยชน์ที่จับต้องได้เหล่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะกล่าวสิ่งใดก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาจะไม่ยอมรับ พวกเขาอาจจะไม่คัดค้านต่อหน้าเจ้า แต่เมื่อลับหลังเจ้า พวกเขาจะยังคงต้านทานอยู่ในหัวใจ ระบายความคิดลบเป็นครั้งคราว อวดคุณความดีของตนเอง คอยนับความยากลำบากที่ตนสู้ทนมา รวมทั้งเล่าว่าพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อตนอย่างไร พวกเขาอดทนกับพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร—พวกเขาเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้ในหัวใจตลอดเวลา ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดกับพวกเขาก็ตาม ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่อยากได้อยากมี ความป่าเถื่อนของพวกเขาย่อมปะทุออกมา พวกเขาย่อมระเบิดความโกรธเกรี้ยว เปิดโปงพฤติกรรมเสื่อมเสียของตน และระบายความคิดลบ เจ้าควรที่จะพยายามโน้มน้าวคนเช่นนี้ต่อไปหรือไม่? หลังจากที่กำชับอย่างเรียบง่ายไปครั้งหนึ่ง หากพวกเขายังคงแสดงลักษณะนิสัยเช่นเดิมออกมา ปัญหาเดิมๆ ของพวกเขาหวนกลับมาอีก และความเป็นมารของพวกเขาก็กำเริบขึ้นมาอีก ควรจะทำอย่างไร? เมื่อนั้นก็ถึงเวลาใช้ข้อบังคับ จงอย่าให้โอกาสกลับใจแก่พวกเขา พวกเขาก็เหมือนไม้ผุ เป็นคนชั่วร้ายที่ดื้อรั้นและโง่เขลา พวกเขาเป็น “คนชั่วร้ายที่ดื้อรั้นและโง่เขลา” ในแง่ใด? ในแง่ที่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับหนทางอันบริสุทธิ์และไม่ยอมรับสิ่งที่เป็นบวก แต่กลับโอบรับข้อถกเถียงที่บิดเบี้ยว ความเห็นนอกรีต และความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ยึดถือมุมมองของตนเองที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่จับต้องได้ เอารัดเอาเปรียบ และไม่ยอมทนทุกข์กับการสูญเสีย ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร พวกเขากลับพูดเสมอว่า “ทั้งหมดนั้นเป็นถ้อยคำที่ฟังดูดี มีใครบ้างที่พูดสิ่งดีๆไม่ได้บ้าง? ถ้าคุณเป็นฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำ คุณก็จะไม่พูดแบบนั้น” พวกเขายึดถือทัศนะเช่นนั้นอย่างดื้อรั้น และเมื่อเกิดเรื่องที่ไม่น่ายินดีหรือพวกเขาเกิดสูญเสียขึ้นมา พวกเขาย่อมรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเลย แล้วพวกเขาก็จะระบายความคิดลบออกมาอีก ควรให้โอกาสพวกเขาอีกหรือไม่? ไม่มีโอกาสอีกแล้ว หากพวกเขาทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดี แต่กลับไปรบกวนผู้อื่น จงหยุดและจำกัดพวกเขาในทันที อย่าปล่อยให้พวกเขาพูดจาโดยเสรี หากพวกเขายังคงแพร่ความคิดลบและก่อกวนผู้อื่นไปเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องมีมารยาทกับพวกเขาอีกต่อไป เร่งมือชำระพวกเขาออกไปเสีย นี่ใช่การไม่เปี่ยมรักหรือไม่? (ไม่ใช่) มีการป้อนความจริงให้กับพวกเขาในการสามัคคีธรรมมาโดยตลอด แต่ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้ได้—นี่บ่งชี้สิ่งใด? ดูภายนอกเหมือนคนคนนี้เป็นผู้ไม่เชื่อ แต่โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือมาร พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าเพื่อขอพระคุณและพรจากพระเจ้า เพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ และพวกเขาจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะได้รับสิ่งเหล่านั้น หลังจากที่เชื่อมาระยะหนึ่ง หากพวกเขาไม่ได้รับประโยชน์อันใดไป อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเขาย่อมจะปะทุขึ้นมา พวกเขาจะพรั่งพรูความไม่พอใจที่มีต่อพระเจ้าออกมา กระทำชั่ว และก่อให้เกิดการรบกวน นี่คือมารตนหนึ่ง ความทุกข์และการสละอันน้อยนิดที่พวกเขาทำไปนั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่การปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า เป็นการเจรจาต่อรองเท่านั้น เพื่อให้ตนได้รับประโยชน์และพร เมื่อเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นกับคนที่ต้องการจะได้รับบางสิ่งบางอย่างจากการเชื่อในพระเจ้าอยู่เสมอ พวกเขาย่อมจะคิดลบและอ่อนแอ พวกเขามักจะพูดตลอดเวลาว่า “ฉันไม่ได้รับอะไรจากการเชื่อในพระเจ้าเลย” จากนั้นพวกเขาก็ยอมแพ้และเริ่มกระทำการอย่างประมาท เสาะหาการตอบโต้ และมักจะระบายความคิดลบเพื่อพรั่งพรูภาวะอารมณ์ที่ไม่พอใจของตนออกมา พวกเราสามัคคีธรรมกันไปแล้วว่าควรปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้อย่างไร พวกเราควรจัดการพวกเขาตามหลักธรรม หากพวกเขาสามารถยอมรับความจริงและรับรองได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดการรบกวนอีกในภายหน้า ก็สามารถให้โอกาสพวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อไปได้อีกครั้ง หากพวกเขามุ่งก่อกวนและทำลายงานและชีวิตภายในคริสตจักรอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วจงชำระพวกเขาออกไป นี่คือการปกป้องงานของคริสตจักรเพื่อให้แน่ใจว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะสามารถดำรงชีวิตคริสตจักรได้โดยไม่ถูกรบกวน การตัดสินใจเช่นนี้และการใช้วิธีการนี้ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมนี้ ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว
ในชีวิตคริสตจักรมีใครอีกบ้างที่โน้มเอียงไปในทางที่จะระบายความคิดลบ? บางคนทำหน้าที่ของตนอย่างไร้ผล พลั้งพลาดอยู่เสมอ พวกเขาไม่ทบทวนตนเอง แต่กลับรู้สึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมหรือเป็นธรรม พระเจ้าทรงใช้พระคุณกับผู้อื่นที่ไม่ใช่พวกเขา พระเจ้าทรงดูแคลนพวกเขา และไม่เคยประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขา นั่นคือสาเหตุที่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาไม่เคยเกิดผล และพวกเขาก็ไม่เคยสามารถบรรลุจุดหมายของตนที่จะโดดเด่นขึ้นมาและเป็นที่ยอมรับนับถือได้เลย พวกเขาเริ่มเก็บงำคำพร่ำบ่นพระเจ้าอยู่ในหัวใจ และระหว่างพร่ำบ่น พวกเขาก็เกิดความอิจฉา ขยะแขยง และความเกลียดชังต่อคนที่ทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี ผู้คนแบบนี้มีความเป็นมนุษย์เช่นใด? พวกเขาใจแคบมิใช่หรือ? นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่เข้าใจมิใช่หรือว่าควรไล่ตามเสาะหาความจริงกันอย่างไรในความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า? พวกเขาไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร นึกว่าการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ก็เหมือนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียน ต้องคอยเทียบคะแนนและอันดับอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก นั่นคือสภาวะของพวกเขามิใช่หรือ? ก่อนอื่น จากมุมมองของการเข้าใจความจริง ผู้คนเช่นนี้มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณหรือไม่? พวกเขาไม่มี และพวกเขาไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร ด้านหนึ่งพวกเขาให้ความสำคัญกับอันดับของตนในหมู่ผู้อื่น อีกด้านหนึ่งพวกเขาใช้วิธีการให้คะแนนมาประเมินอยู่เสมอว่าผู้อื่นทำหน้าที่ของตนได้ดีเพียงใดและพวกเขาเองทำได้ดีเพียงใด ประหนึ่งว่าพวกเขากำลังประเมินนักเรียนในโรงเรียนนั่นเอง ประเมินการเชื่อในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนด้วยวิธีนี้ เรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติมิใช่หรือ? นอกจากนี้ วิธีที่เต็มไปด้วยความอุตสาหะที่พวกเขาใช้ทำหน้าที่ของตนก็ผิดด้วยมิใช่หรือ? พวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยความอุตสาหะเหมือนการศึกษาเล่าเรียนและการทำข้อสอบไม่ใช่หรือ? (ใช่) เหตุใดพวกเราจึงกล่าวเช่นนี้? ผู้คนเช่นนี้เข้าใจหรือไม่ว่าควรแสวงหาหลักธรรมอย่างไรในการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ของตน? พวกเขาสามารถแสวงหาหลักธรรมหรือไม่? ในแง่หนึ่งพวกเขาไม่รู้วิธีแสวงหาหลักธรรม เรื่องที่ว่าผู้คนควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร ควรสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร และควรทำหน้าที่ของตนอย่างไรจึงจะถูกควร—พวกเขาไม่เข้าใจและไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ พวกเขารู้แต่ว่าตนต้องค้นหาหลักธรรมและกระทำการตามหลักธรรมเหล่านั้น แต่สิ่งที่หลักธรรมเหล่านั้นกำหนดคืออะไร พระเจ้าทรงเรียกร้องสิ่งใด หรือผู้อื่นกระทำการตามหลักธรรมอย่างไร พวกเขาไม่มีความเข้าใจ พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยจริงๆ และในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาสามารถประเมินการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานที่พระเจ้าทรงใช้วัดการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนว่าได้มาตรฐาน และตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงกำหนดให้ผู้คนใช้ในการทำหน้าที่ของตนได้หรือไม่? พวกเขาสามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้จากพระวจนะของพระเจ้าและจากสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิงหรือไม่? ก่อนอื่นพวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และไม่เข้าใจเรื่องของการทำหน้าที่ หลังจากที่พวกเขาเริ่มเชื่อในพระเจ้าและเริ่มทำหน้าที่ พวกเขาก็ตรึกตรองว่า “ตอนที่ฉันเรียนหนังสือในโรงเรียน ฉันค้นพบกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งคือ ตราบใดที่เต็มใจทุ่มเทและขยันเรียนให้มากขึ้น ก็จะสามารถทำคะแนนสูงๆ ได้ ดังนั้นเมื่อมาเชื่อในพระเจ้า ฉันก็จะทำเช่นเดียวกัน ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและอธิษฐานให้มากขึ้น เวลาที่คนอื่นกินหรือคุยเล่นกัน ฉันก็จะเรียนรู้บทเพลงนมัสการและท่องจำพระวจนะของพระเจ้า ด้วยความอุตสาหะเช่นนี้ พระเจ้าย่อมจะให้พรฉันเป็นแน่ เพราะฉันทำงานหนัก ขยัน และหมั่นเพียร และการปฏิบัติหน้าที่ของฉันจะออกดอกออกผลแน่นอน ฉันแน่ใจว่าจะได้คะแนนสูงกว่าคนอื่น จะมีคนเห็นคุณค่าและเลื่อนตำแหน่งให้ฉัน” แต่แม้จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ความปรารถนาของตนได้อยู่ดี “ทำไมฉันถึงทำหน้าที่อย่างประสิทธิผลน้อยกว่าคนอื่น? แล้วฉันจะมีทางได้เลื่อนตำแหน่งหรือถูกใช้ให้ทำงานสำคัญๆ ได้อย่างไร? แบบนี้หมายความว่าไม่มีหวังแล้วไม่ใช่หรือ? ฉันเกิดมาเพื่อแข่งขัน ไม่ยินดีที่จะรั้งท้ายคนอื่น ในโรงเรียน ฉันเป็นอย่างนี้ และในการเชื่อในพระเจ้า ฉันก็ยังคงเป็นอย่างนี้ ใครก็ตามที่แซงหน้าฉันไป ฉันย่อมมุ่งมั่นที่จะเก่งกว่าพวกเขาให้ได้ ฉันจะไม่หยุดจนกว่าจะทำได้!” พวกเขาเชื่อว่าด้วยวิธีการและแนวทางที่ถูกต้องคือ—เพียงนำความอุตสาหะในการขยันเรียนมาใช้กับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและเรียนรู้บทเพลงนมัสการให้มากขึ้น ไม่มัวคุยเล่นเรื่อยเปื่อย ไม่มุ่งเน้นเรื่องแต่งตัว นอนให้น้อยลงและสุขสำราญน้อยลง กำราบร่างกายของตน และไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง—เช่นนั้นพวกเขาย่อมจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้า และพวกเขาก็แน่ใจว่าจะสัมฤทธิ์ผลในการทำหน้าที่ของตน อย่างไรก็ดี สิ่งต่างๆ กลับแตกต่างจากที่พวกเขาคาดหวังอยู่เสมอ “ทำไมฉันยังคงผิดพลาดในการทำหน้าที่ของตนอยู่เรื่อยๆ และทำไมฉันถึงยังทำหน้าที่ไม่ได้ดีเท่าคนอื่น? คนอื่นทำสิ่งต่างๆ ได้ดีและรวดเร็ว ผู้นำมักจะชมเชยและยกย่องพวกเขาอยู่เสมอ ฉันสู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมามากมายนัก ทำไมฉันยังไม่สัมฤทธิ์ผลเสียที?” ขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็ค้นพบสิ่งสำคัญในที่สุดว่า “กลายเป็นว่าพระเจ้าไม่ชอบธรรม ฉันเชื่อในพระเจ้ามานานเหลือเกิน และเพิ่งมองเห็นเอาตอนนี้เอง! พระเจ้าประทานพระคุณให้กับคนที่พระองค์อยากให้ แล้วทำไมพระองค์ถึงไม่อยากประทานพระคุณให้ฉัน? เป็นเพราะฉันโง่ เพราะการประจบสอพลอและการใช้คารมคมคายเป็นเรื่องเกินความสามารถของฉัน เพราะฉันไม่ใช่คนหัวไวใช่ไหม? หรือเพราะฉันดูธรรมดาเกินไป และมีการศึกษาไม่ค่อยสูง? นี่พระเจ้ากำลังเผยเรื่องของฉันอยู่ใช่หรือไม่? ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย—แล้วทำไมพระเจ้าถึงไม่ประทานพระคุณให้ฉัน แต่กลับเผยตัวฉันแทน” ขณะที่พวกเขาครุ่นคิดเรื่องนี้ พวกเขาก็คิดลบว่า “ฉันไม่อยากทำหน้าที่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่เคยได้รับพรจากพระเจ้าเวลาทำหน้าที่ และฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นแล้วด้วย แต่พระองค์กลับไม่ให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า พระเจ้าประทานพระคุณให้กับคนที่พระองค์อยากให้ และกรุณาต่อคนที่พระเจ้าจะกรุณาด้วย ฉันไม่ใช่คนที่พระเจ้าจะกรุณาหรือประทานพระคุณ แล้วฉันควรทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ไปเพื่ออะไร?” ยิ่งคิดมากพวกเขาก็ยิ่งคิดลบ และยิ่งรู้สึกว่าตนไม่มีหนทางไปข้างหน้า พวกเขารู้สึกอึดอัดเพราะความคับข้องใจ และไม่ต้องการทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป เวลาทำหน้าที่ พวกเขาก็แค่ทำไปตามขั้นตอนเท่านั้น ไม่ว่าผู้อื่นจะสามัคคีธรรมเรื่องหลักธรรมอย่างไร ก็ไม่ทำให้พวกเขาเข้าใจได้เลย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ในตัวพวกเขา เมื่อพวกเขาอยู่ในภาวะเช่นนี้ พวกเขาจะมีการเข้าสู่ชีวิตบ้างหรือไม่? พวกเขามีความจงรักภักดีในการทำหน้าที่ของตนบ้างหรือไม่? ไม่มีอีกต่อไป ความอุตสาหะและความขยันที่พวกเขาเคยมีอยู่เล็กน้อยก็หมดไปเช่นกัน แล้วพวกเขายังคงมีสิ่งใดอยู่หัวใจของพวกเขา? “ฉันจะไม่วางแผนล่วงหน้า และรับมือกับสิ่งต่างๆ ตามที่เกิดขึ้น ตอนนี้พระเจ้าอาจเผยและกำจัดฉันออกไปวันไหนก็ได้ ทิ้งฉันได้ทุกเมื่อ ถึงวันที่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ของตนเมื่อใด ฉันก็จะเลิกทำ ฉันรู้ว่าฉันไม่ดีพอ พระเจ้าอาจจะยังไม่กำจัดฉันออกไป แต่ฉันก็รู้ว่าพระองค์ไม่ชอบฉัน นี่ก็แค่รอเวลาจนกว่าฉันจะถูกกำจัดออกไปเท่านั้น” ความคิดและทัศนะเหล่านี้เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา และเมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ความเห็นดังกล่าวก็หลุดออกจากปากเป็นครั้งคราวว่า “พวกคุณทุกคนตั้งใจเชื่อต่อไปเถิด ความเชื่อและการปฏิบัติหน้าที่ของพวกคุณจะได้รับพรจากพระเจ้าแน่นอน ฉันหมดหวัง สุดทางของฉันแล้ว ไม่ว่าจะขยันหรือทำงานหนักอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าพระเจ้าไม่ชอบใคร ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ ฉันทำหน้าที่ด้วยความอุตสาหะเท่าที่ตัวเองจะทำได้ ถ้าความพยายามของฉันไม่มีที่ให้ทุ่มเท ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก พระเจ้าบังคับให้ผู้คนทำอะไรเกินตัวได้หรือ? พระเจ้าบังคับให้ปลาใช้ชีวิตบนบกไม่ได้!” สิ่งที่พูดถึงในที่นี้หมายถึงอะไร? ความหมายก็คือ “ฉันเป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าพระเจ้าจะทำกับฉันอย่างไร ท่าทีของฉันก็จะเป็นอย่างนี้” จงบอกเราเถิดว่า เหตุใดคนบางคนที่มีท่าทีและเจตนาเช่นนี้ยังคงต้องการที่จะได้รับพรจากพระเจ้า? สภาวะและท่าทีที่พวกเขามีนี้สามารถมีอิทธิพลต่อผู้อื่นได้หรือไม่? พวกเขาสามารถมีอิทธิพลที่เป็นลบและเป็นผลเสียได้อย่างง่ายดาย พาให้ผู้อื่นพลอยคิดลบและอ่อนแอไปด้วย นี่เป็นการชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดและทำร้ายคนเหล่านั้นมิใช่หรือ? ผู้คนที่มีความคิดลบถึงขั้นนั้นคือพวกมารมิใช่หรือ? พวกมารไม่เคยรักความจริง
บางคนไม่ระบายความคิดลบในการเสวนาอย่างยืดยาว พวกเขาเพียงเอ่ยวลีไม่กี่วลีว่า “พวกคุณล้วนเก่งกว่าฉัน ได้รับพรอันยิ่งใหญ่กันทุกคน ฉันหมดหวังแล้ว ไม่ว่าจะพยายามมากขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์ ฉันไม่มีหวังที่จะได้รับพรจากพระเจ้า” แม้จะเป็นคำพูดง่ายๆ และดูเหมือนจะไม่มีปัญหา ฟังดูราวกับว่าพวกเขากำลังตรวจสอบตนเอง ชำแหละตนเอง และยอมรับข้อเท็จจริงอย่างขีดความสามารถอันอ่อนด้อยและข้อบกพร่องของตน แต่ในความเป็นจริง พวกเขากำลังระบายความคิดลบอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็น มีการเหน็บแนมและเย้ยหยันอยู่ในถ้อยคำเหล่านี้ รวมทั้งการไม่ยอมรับ และยิ่งไปกว่านั้น ย่อมมีความไม่พอใจในพระเจ้า ตลอดจนอารมณ์ที่เป็นลบและเศร้าหมองด้วยอย่างแน่นอน คำพูดที่เป็นลบเหล่านี้อาจมีเพียงไม่กี่คำ แต่อารมณ์เช่นนี้ก็เป็นเหมือนโรคติดต่อ สามารถส่งผลต่อผู้อื่นได้ แม้พวกเขาจะไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดแจ้งว่า “ฉันไม่อยากทำหน้าที่ของตนเองอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด และพวกคุณทุกคนก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน” แต่พวกเขาก็ส่งสัญญาณที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหากคนคนนี้ไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดแม้พยายามถึงขนาดนั้น เช่นนั้นแล้วคนที่ไม่พยายามก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะหมดหวังเข้าไปใหญ่ ด้วยการส่งสัญญาณเช่นนี้ พวกเขากำลังบอกกับทุกคนว่า “ความหวังเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าพระเจ้าไม่ประทานความหวังแก่คุณ ถ้าพระเจ้าไม่ให้พรคุณ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าคุณจะใช้ความพยายามมากเท่าไร ก็ล้วนสูญเปล่า” หลังจากผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับสัญญาณนี้ ความเชื่อในพระเจ้าที่พวกเขามีอยู่ลึกๆ ในใจย่อมลดน้อยลงอย่างช่วยไม่ได้ ความจงรักภักดีและความจริงใจที่พวกเขาควรแสดงให้เห็นเวลาทำหน้าที่ของตนก็ลดระดับลงไปมาก แม้พวกเขาจะระบายความคิดลบเช่นนี้ออกมาโดยไม่ได้มีเจตนาที่ชัดเจนในการชักพาให้ผู้คนหลงผิดหรือดึงคนมาเป็นพวก แต่อารมณ์ที่เป็นลบเช่นนี้ย่อมส่งผลต่อผู้อื่นอย่างรวดเร็ว ทำให้พวกเขารู้สึกถึงวิกฤติ รู้สึกว่าความพยายามของตนสูญเปล่าได้ง่าย จึงทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในความรู้สึกของตน ใช้ความรู้สึกมาคาดเดาพระเจ้า วิเคราะห์และพินิจพิจารณาท่าทีและความจริงใจที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ตามสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก เมื่อส่งต่ออารมณ์ที่เป็นลบเช่นนี้ไปให้ผู้อื่น ผู้อื่นก็อดไม่ได้ที่จะพาตัวออกห่างจากพระเจ้า เข้าใจผิดและสงสัยสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ ไม่เชื่อในพระวจนะของพระองค์อีกต่อไป พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ไม่มีความจริงใจกับหน้าที่ของตนอีกต่อไป ไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา และไม่เต็มใจที่จะมีความจงรักภักดีใดๆ นี่คือผลกระทบซึ่งความเห็นที่เป็นลบเหล่านี้มีต่อผู้คน ผลพวงของผลกระทบนี้เป็นอย่างไร? หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้ว ผู้คนย่อมไม่ได้รับความเจริญใจ และยิ่งไม่อาจสัมฤทธิ์การรู้จักตนเอง ค้นพบข้อบกพร่องของตน หรือสามารถปฏิบัติความจริงและทำหน้าที่ของตนอย่างสอดคล้องกับหลักธรรม—พวกเขาไม่ได้รับผลลัพธ์ที่เป็นบวกเหล่านี้เลย แต่ผลกระทบนี้กลับทำให้ผู้คนคิดลบ คิดที่จะเลิกไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่มีความแน่วแน่ในการทำหน้าที่ของตนอีกต่อไป เหตุใดพวกเขาจึงสูญเสียความเชื่อ? (พวกเขารู้สึกว่าตนไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด) ถูกต้อง เจ้าได้ยอมรับข้อความนี้และรู้สึกว่าเจ้าไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด ดังนั้นเจ้าจึงไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทความพยายามในการทำหน้าที่ของตน พฤติกรรมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงใจ แต่มักจะตัดสินอยู่เสมอว่าพระเจ้าพอพระทัยในตัวเจ้าหรือไม่ เจ้ามีหวังที่จะได้รับความรอดหรือไม่ และพระเจ้าทรงเห็นชอบที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตนตามความรู้สึก อารมณ์ และการคาดคะเนหรือไม่ เมื่อผู้คนตัดสินสิ่งเหล่านี้ตามการคาดคะเน พวกเขาย่อมไม่มีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติความจริงมากนัก เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เวลาผู้คนตัดสินพระเจ้าตามการคาดคะเน พวกเขาสามารถตัดสินพระองค์ได้อย่างถูกต้องหรือไม่? ผู้คนสามารถคาดเดาพระดำริและแนวคิดทุกอย่างของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องหรือไม่? (ไม่ได้) ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนเต็มไปด้วยความหลอกลวง ธุรกรรมแลกเปลี่ยน ปรัชญาการดำเนินชีวิตทางโลก ตรรกะของซาตาน และอื่นๆ ผลพวงจากการที่ผู้คนคาดคะเนเกี่ยวกับพระเจ้าไปตามสิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นเช่นใด? พาให้สงสัยพระเจ้า ตีตัวออกหากจากพระเจ้า และถึงกับสูญเสียความเชื่อในพระเจ้าไปโดยสิ้นเชิง เมื่อคนคนหนึ่งสูญเสียความเชื่อในพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ในหัวใจของพวกเขาว่าพระเจ้าดำรงอยู่จริงหรือไม่ ถึงตอนนั้น เวลาของพวกเขาในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้าย่อมจะสิ้นสุดลง—พวกเขาถูกทำลายโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ ถูกต้องหรือไม่ที่ผู้คนจะคาดเดาเกี่ยวกับพระเจ้า? นี่คือท่าทีที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมีต่อพระผู้สร้างหรือไม่? ชัดเจนว่าไม่ใช่ ผู้คนไม่ควรคาดเดาเกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ควรคาดเดาว่าพระเจ้าทรงดำริสิ่งใดหรือมีพระดำริเกี่ยวกับมนุษย์อย่างไร ทั้งหมดนี้ผิดในตัวมันเองเพราะผู้คนมีมุมมองและจุดยืนที่ไม่ถูกต้อง
ผู้คนไม่ควรปฏิบัติต่อพระเจ้าด้วยการอนุมาน คาดเดา สงสัย หรือระแวง และไม่ควรตัดสินพระองค์ตามความคิดและทัศนคติของมนุษย์ ตามปรัชญาการดำเนินชีวิตทางโลก หรือความรู้ทางวิชาการ แล้วผู้คนควรปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร? ผู้คนควรเชื่อเสียก่อนว่าพระเจ้าคือความจริง ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ผู้คน เจตนารมณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา ความรักและความเกลียดชังที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คน การจัดเตรียม พระดำริ แนวคิดที่พระองค์ทรงมีต่อผู้คนหลากหลายประเภท และอื่นๆ ไม่ต้องให้เจ้ามาคาดเดา เรื่องเหล่านี้มีคำอธิบายและมีความหมายที่ชัดเจนอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เจ้าเพียงต้องเชื่อ แสวงหา แล้วจากนั้นก็ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น—เรียบง่ายเช่นนั้นเอง พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าตัดสินสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำกับเจ้าหรือพระองค์ทรงมองเจ้าอย่างไรตามความรู้สึกของเจ้า ดังนั้นเจ้าคิดว่าตนเองไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด—นี่คือความรู้สึกหรือข้อเท็จจริง? พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้เช่นนั้นหรือไม่? (ไม่) แล้วพระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่าอย่างไร? พระเจ้าตรัสบอกผู้คนว่าควรแสวงหาความจริงอย่างไรเพื่อหาทางแก้ไข และควรหาเส้นทางปฏิบัติความจริงอย่างไรเมื่อพวกเขาเผชิญปัญหาหรือเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมา นี่เป็นการยืนยันสิ่งหนึ่งว่า เป็นความจริงที่พระเจ้าต้องประสงค์ที่จะช่วยผู้คนให้รอดและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา พระเจ้าไม่ได้ทรงหลอกลวงเจ้า และนี่ก็ไม่ใช่การพูดจาที่เลื่อนลอย เจ้านึกว่าเจ้าไม่มีหวังในความรอด แต่นั่นเป็นเพียงอารมณ์ชั่วแล่น เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายใต้สภาพแวดล้อมบางอย่างเท่านั้น ความรู้สึกของเจ้าไม่ได้เป็นตัวแทนพระประสงค์หรือเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยิ่งไม่ได้เป็นตัวแทนพระดำริของพระองค์ อีกทั้งไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริงเช่นกัน ฉะนั้น หากเจ้าใช้ชีวิตตามความรู้สึกเช่นนี้ หากเจ้าคาดคะเนเรื่องของพระเจ้าตามความรู้สึกนี้ ใช้ความรู้สึกของเจ้าแทนพระประสงค์ของพระเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ทำผิดอย่างใหญ่หลวงและตกอยู่ในกับดักของซาตานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้คนเราควรทำอย่างไร? จงอย่าพึ่งพาความรู้สึก บางคนกล่าวว่า “ถ้าพวกเราไม่ควรพึ่งพาความรู้สึก แล้วพวกเราควรพึ่งพาสิ่งใด?” การพึ่งพาสิ่งใดก็ตามที่เป็นของเจ้าย่อมไร้ประโยชน์ ความรู้สึกของมนุษย์ไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริง ใครจะรู้ว่าความรู้สึกของเจ้าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แท้จริงแล้วมาจากไหน—หากเกิดจากการถูกซาตานชักพาให้หลงผิด เช่นนั้นย่อมเป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าความรู้สึกจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนของความจริง ยิ่งใครสักคนมีความรู้สึกและการหยั่งรู้ที่รุนแรงมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งจำเป็นต้องแสวงหาความจริง ยิ่งต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตนเอง ความรู้สึกของมนุษย์ กับข้อเท็จจริงและความจริงนั้นเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน ความรู้สึกให้ความจริงแก่เจ้าได้หรือไม่? สามารถนำเส้นทางปฏิบัติมาให้เจ้าได้หรือไม่? ทำไม่ได้ มีเพียงพระวจนะของพระเจ้า มีเพียงความจริงเท่านั้นที่สามารถให้เส้นทางปฏิบัติแก่เจ้า สามารถทำให้เจ้ากลับตัว และพบทางออก ฉะนั้น สิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติจึงไม่ใช่การเสาะหาความรู้สึกของตนเอง—ความรู้สึกของเจ้าไม่สำคัญ สิ่งที่เจ้าควรทำคือการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ยิ่งเจ้าพึ่งพาความรู้สึก เมื่อนั้นเจ้าก็จะยิ่งพบว่าตนเองไม่มีหนทางข้างหน้า เจ้าจะยิ่งถลำลึกในความคิดลบ และยิ่งเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงเป็นธรรม พระเจ้าไม่เคยประทานพรแก่เจ้า ในทางกลับกัน หากเจ้าวางความรู้สึกเหล่านี้เพื่อแสวงหาหลักธรรมความจริง เพื่อดูว่าในขั้นตอนการทำหน้าที่ของเจ้านั้น การกระทำใดบ้างที่ละเมิดหลักธรรมความจริง การกระทำใดบ้างที่เจ้าทำไปตามเจตจำนงของเจ้าและไม่เชื่อมโยงกับหลักธรรมความจริงโดยสิ้นเชิง แล้วในขั้นตอนของการแสวงหา เจ้าก็จะค้นพบว่าเจ้ามีเจตจำนงของตนเองมากเกินไป มีความคิดฝันมากเกินไป เพียงใช้ความตั้งใจจริงเล็กน้อย เจ้าก็จะค้นพบปัญหามากมายว่า “ฉันเป็นกบฏมากเกินไป เอาแต่ใจตนเกินไป โอหังเกินไป! ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด แต่ความรู้สึกของฉันไม่ถูกต้องต่างหาก เป็นเพราะฉันไม่ใส่ใจจริงจังกับพระวจนะของพระเจ้า และฉันไม่ได้ปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง ฉันบ่นอยู่เสมอว่าพระเจ้าไม่ประทานพรให้ฉัน ไม่ทรงนำฉัน และลำเอียง แต่แท้จริงแล้วฉันไม่ตระหนักเลยว่าตัวเองสุกเอาเผากิน เอาแต่ใจ และวู่วามในการปฏิบัติหน้าที่ของตน—นี่เป็นความผิดของฉัน ตอนนี้ฉันได้ตระหนักแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง เวลาที่ผู้คนไม่แสวงหาความจริงหรือไม่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การที่พระเจ้าไม่ทรงเพิกถอนคุณสมบัติในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ก็ทรงใจดีกับพวกเขาแล้ว ในแง่นี้พระเจ้าทรงปรานีมากแล้ว แต่ฉันก็ยังคงรู้สึกว่ามีความคับข้องใจเต็มไปหมด ถึงกับโต้เถียงและขับเคี่ยวกับพระเจ้า เมื่อก่อนฉันเคยนึกว่าตัวเองค่อนข้างดีทีเดียว แต่ตอนนี้ฉันกลับเห็นว่านั่นไม่จริงเลยสักนิด สิ่งที่ฉันทำไม่ได้อิงกับหลักธรรมเลย การที่พระเจ้าไม่ได้ทรงบ่มวินัยฉันย่อมเป็นพระคุณของพระองค์—พระองค์ทรงตระหนักว่าฉันด้อยวุฒิภาวะ!” ด้วยการแสวงหาเช่นนี้ เจ้าจะเข้าใจความจริงบางอย่างและสามารถริเริ่มที่จะปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงอย่างแข็งขัน เจ้าจะรู้สึกไปทีละน้อยว่าเจ้ามีหลักธรรมบางอย่างในการประพฤติปฏิบัติตนและในการทำหน้าที่ของตน ในเวลานี้เจ้าจะไม่รู้สึกว่ามีความสงบสุขในมโนธรรมของเจ้ามากขึ้นหรอกหรือ? “ก่อนหน้านี้ ฉันเคยรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังในการได้รับความรอด แต่ตอนนี้ทำไมความรู้สึกนี้ สิ่งที่เคยตระหนักรู้เช่นนี้ถึงจางไปเรื่อยๆ? สภาวะนี้เปลี่ยนไปได้อย่างไร? เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าตัวเองไม่มีหวัง นั่นเป็นเพียงความคิดลบ การไม่ยอมรับ และการต่อสู้กับพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ฉันมีความเป็นกบฏมากเกินไป!” หลังจากนบนอบโดยไม่รู้ตัวขณะทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็จะเริ่มเข้าใจหลักธรรมบางประการ และเจ้าจะไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นอีกต่อไป เจ้าจะมุ่งเน้นเพียงว่าทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงความสุกเอาเผากินและทำอย่างไรจึงจะทำหน้าที่ของเจ้าได้ตามหลักธรรม และโดยไม่รู้ตัว เจ้าจะไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าเจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด และเจ้าจะไม่ติดอยู่ในกับดักของสภาวะที่เป็นลบอีกต่อไป เจ้าจะทำหน้าที่ของเจ้าอย่างสอดคล้องกับหลักธรรม และรู้สึกว่าความสัมพันธ์เจ้ามีต่อพระเจ้าได้กลายเป็นปกติแล้ว เมื่อเจ้ามีความรู้สึกเช่นนี้ เจ้าย่อมจะคิดว่า “พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งฉัน ฉันรู้สึกได้ถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า เวลาที่ฉันแสวงหาพระเจ้าขณะที่ทำหน้าที่ของตน ฉันก็รู้สึกได้ถึงการทรงนำและพรจากพระเจ้า ในที่สุดฉันก็รู้สึกว่าพระเจ้าทรงอวยพรคนอื่นและทรงอวยพรฉันด้วย พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง ดูเหมือนว่าฉันยังคงมีหวังที่จะได้รับความรอด กลับกลายเป็นว่าเส้นทางที่ฉันเดินอยู่ก่อนหน้านี้นั้นผิด เวลาทำหน้าที่ ฉันเอาแต่ทำอย่างขอไปทีและกระทำผิดด้วยความประมาทอยู่เสมอ ถึงขนาดคิดว่าตนทำดีแล้ว ใช้ชีวิตอยู่โลกใบเล็กๆ ของตนเองและเลื่อมใสตัวเอง ตอนนี้ฉันมองเห็นแล้วว่าการทำเช่นนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง! เมื่อใช้ชีวิตอยู่แต่ในสภาวะที่ส่งเสียงต่อต้านและไม่ยอมรับพระเจ้า—ไม่แปลกใจเลยที่ฉันไม่ได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้า ฉันจะได้รับความรู้แจ้งจากพระเจ้าได้อย่างไรถ้าฉันไม่กระทำการตามหลักธรรม?” เจ้าดูเถิด หนทางปฏิบัติสองสายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วิธีจัดการกับแนวคิดของตนเองสองวิธีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ท้ายที่สุดย่อมจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
ผู้คนไม่สามารถใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนในการเชื่อในพระเจ้า ความรู้สึกของผู้คนเป็นเพียงอารมณ์ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น—มีอะไรเกี่ยวข้องกับจุดจบของพวกเขาหรือไม่? มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงหรือไม่? (ไม่มี) เมื่อผู้คนห่างไกลจากพระเจ้า เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในสภาพจิตใจที่เข้าใจพระเจ้าผิด หรือไม่ยอมรับ ส่งเสียงประท้วง และต่อสู้กับพระเจ้า เมื่อนั้นพวกเขาก็ผละจากการดูแลและคุ้มครองของพระเจ้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นนี้ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตตามความรู้สึกของตนเอง ความคิดเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างสามารถทำให้พวกเขาว้าวุ่นจนกินไม่ได้หรือนอนไม่หลับ ความเห็นที่ไม่ระมัดระวังจากปากใครบางคนสามารถกดให้พวกเขาจมอยู่กับการคาดเดาและความฉงนฉงายได้ แม้แต่ฝันร้ายเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้พวกเขาคิดลบและเป็นเหตุให้พวกเขาเข้าใจพระเจ้าผิดได้ เมื่อวงจรอุบาทว์เช่นนี้ก่อตัวขึ้นมา ผู้คนย่อมลงความเห็นว่าตนจบสิ้นแล้ว สูญสิ้นความหวังทั้งปวงที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกเขาถูกพระเจ้าทอดทิ้ง และพระเจ้าก็จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด ยิ่งพวกเขาคิดเช่นนี้ และยิ่งพวกเขามีความรู้สึกแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งจมลงไปในถูกผลักลงสู่ความคิดลบ สาเหตุที่แท้จริงที่ผู้คนมีความรู้สึกเหล่านี้ก็เพราะพวกเขาไม่แสวงหาความจริงหรือปฏิบัติตามหลักธรรมความจริง เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา ผู้คนก็ไม่แสวงหาความจริง ไม่ปฏิบัติความจริง และทำตามวิถีทางของตนอยู่เสมอ ใช้ชีวิตอยู่กับความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง แต่ละวันพวกเขาหมดเวลาไปกับการเอาตัวเองไปเปรียบเทียบและแข่งกับคนอื่น อิจฉาและเกลียดชังคนที่พวกเขานึกว่าเก่งกว่าตน โห่ฮาและเยาะหยันคนที่พวกเขาคิดว่าด้อยกว่าตน ดำรงชีวิตตามอุปนิสัยของซาตาน ไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง และไม่ยอมรับคำแนะนำของใคร ท้ายที่สุดแล้ว นี่จึงทำให้พวกเขาเกิดความหลงผิด การคาดเดา และการตัดสินสารพัดรูปแบบ และพวกเขาก็ทำให้ตัวเองร้อนใจอยู่ร่ำไป พวกเขาสมควรเป็นเช่นนี้แล้วมิใช่หรือ? มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถแบกรับผลลัพธ์อันขมขื่นเช่นนี้ได้—และพวกเขาก็สมควรได้รับผลเช่นนี้จริงๆ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอะไร? เพราะผู้คนไม่แสวงหาความจริง โอหังและคิดว่าตนเองถูกต้องจนเกินไป พวกเขาทำตามแนวคิดของตนเองอย่างต่อเนื่อง อวดตัวและเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นเสมอ พยายามทำให้ตัวเองโดดเด่นอยู่ตลอดเวลา เรียกร้องจากพระเจ้าอย่างไม่สมเหตุสมผลเสมอ เป็นต้น—ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนออกห่างจากพระเจ้าไปทีละนิด ไม่ยอมรับพระเจ้าและละเมิดความจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็จมดิ่งลงไปในความมืดและความคิดลบ และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว ผู้คนย่อมไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับการกบฏและการต่อต้านของตนเอง และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง แต่กลับพร่ำบ่นพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด และคาดเดาเรื่องของพระองค์ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ผู้คนก็ตระหนักในที่สุดว่าความเสื่อมทรามของตนนั้นลึกล้ำมาก และพวกเขาสร้างปัญหามากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงพิจารณาตนเองว่าเป็นพวกต่อต้านพระเจ้า และอดไม่ได้ที่จะจมดิ่งอยู่กับการคิดลบ ไม่สามารถดึงตัวเองออกมาได้ สิ่งที่พวกเขาเชื่อก็คือ “ฉันเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้า พระเจ้าไม่ต้องการฉัน ฉันเป็นกบฏเกินไปก็สมควรแล้ว พระเจ้าจะไม่ช่วยฉันให้รอดอีกต่อไปแน่แล้ว” พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อเท็จจริง พวกเขาลงความเห็นว่าสิ่งที่ตนคาดเดาอยู่ในใจนี้คือข้อเท็จจริง ไม่ว่าใครจะสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาก็ไม่เกิดประโยชน์ พวกเขาไม่ยอมรับ พวกเขาคิดว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพรฉัน พระองค์จะไม่ทรงช่วยฉันให้รอด ดังนั้นจะเชื่อในพระเจ้าไปเพื่ออะไร?” เมื่อเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขามาถึงจุดนี้ ผู้คนยังสามารถที่จะเชื่ออยู่อีกหรือไม่? ไม่ เหตุใดพวกเขาจึงเชื่อต่อไปไม่ได้? ข้อเท็จจริงอยู่ตรงนี้ เมื่อผู้คนคิดลบจนถึงจุดหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยการต่อต้านและคำพร่ำบ่น และพวกเขาก็อยากสะบั้นสัมพันธภาพที่ตนมีกับพระเจ้าทิ้งไปให้หมด เมื่อนั้นก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างการที่พวกเขาไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่นบนอบพระเจ้า ไม่รักความจริง และไม่ยอมรับความจริงอีกต่อไป แล้วกลายเป็นสิ่งใด? ในหัวใจ พวกเขาเลือกอย่างกระตือรือร้นที่จะเลิกเชื่อในพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการรอคอยอยู่เฉยๆ ให้ถูกกำจัดออกไปนั้นน่าอาย และการเลือกที่จะเลิกไปเองย่อมมีศักดิ์ศรีกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเป็นฝ่ายทิ้งโอกาสก่อน ยุติสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง พวกเขากล่าวโทษความเชื่อในพระเจ้าว่าเป็นสิ่งไม่ดี กล่าวโทษความจริงว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ และกล่าวโทษพระเจ้าว่าไม่ชอบธรรม พร่ำบ่นที่พระองค์ไม่ช่วยพวกเขาให้รอดว่า “ฉันขยันมาก ทนทุกข์กับความยากลำบากยิ่งกว่าคนอื่นมากนัก และจ่ายราคาสูงกว่าทุกคนเป็นอันมาก ฉันทำหน้าที่ด้วยใจจริง แต่พระเจ้าก็ไม่เคยอวยพรฉัน ตอนนี้ฉันมองเห็นชัดเจนแล้วว่าพระเจ้าไม่ชอบฉัน พระเจ้าปฏิบัติต่อผู้คนไม่เท่าเทียมกัน” พวกเขากล้าที่จะเปลี่ยนข้อสงสัยที่ตนมีในพระเจ้าให้กลายเป็นการกล่าวโทษพระเจ้าและหมิ่นประมาทพระองค์ เมื่อเรื่องนี้ก่อตัวขึ้นมา พวกเขาจะยังสามารถเดินต่อไปบนเส้นทางที่เป็นความเชื่อในพระเจ้าได้หรือ? เนื่องจากพวกเขากบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระเจ้า ไม่ยอมรับความจริงหรือทบทวนตนเองแต่อย่างใด พวกเขาจึงย่อยยับ คนที่ทอดทิ้งพระเจ้าด้วยความคิดริเริ่มของตนเอง แล้วพร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ประทานพรหรือไม่ทรงแสดงพระคุณแก่พวกเขา ย่อมเป็นคนที่ไร้สำนึกมิใช่หรือ? ทุกคนเลือกเส้นทางของตนเองและเดินไปบนเส้นทางนั้นด้วยตัวเอง ไม่มีใครทำแทนพวกเขาได้ เป็นเจ้าที่เลือกทางตันเอง เป็นเจ้าที่ทอดทิ้งพระเจ้าและปฏิเสธพระองค์ ตั้งแต่ต้นจนจบพระเจ้าไม่เคยตรัสว่าพระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้า หรือทรงทิ้งเจ้าแล้ว หรือไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอด เป็นเจ้าที่ตีกรอบพระเจ้าตามการคาดเดาของตน หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าจริง และจะยังคงเชื่อในพระเจ้าแม้พระองค์ไม่ทรงต้องการเจ้าก็ตาม เจ้าจะยังคงเชื่อในพระเจ้า อ่านพระวจนะของพระองค์ต่อไป ยังคงยอมรับความจริง รวมทั้งทำหน้าที่ของเจ้าตามปกติ ต่อให้พระองค์ทรงชิงชังเจ้าก็ตาม เช่นนั้นแล้วใครจะจำกัดหรือหยุดยั้งเจ้าได้? ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่เจ้าเลือกและไล่ตามไขว่คว้าทั้งสิ้นมิใช่หรือ? ตัวเจ้าเองไร้ซึ่งความเชื่อ แต่ก็หันกลับมาพร่ำบ่นพระเจ้า การทำเช่นนี้ย่อมไร้สำนึก เจ้าไม่รักษาสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้า และยืนกรานที่จะทำลายมันเสีย เมื่อเกิดรอยร้าวขึ้นแล้ว จะสมานให้คืนสภาพเดิมได้หรือ? กระจกที่แตกแล้วยากจะประกอบให้กลับคืนดังเดิม และต่อให้ประกอบกลับมาได้ รอยร้าวก็จะยังคงอยู่ตรงนั้น เวลานี้สัมพันธภาพได้ถูกสะบั้นลงแล้ว ไม่มีวันคืนสู่สภาพเดิมได้ ดังนั้นในครรลองของการเชื่อในพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญสภาพแวดล้อมเช่นใด ผู้คนก็ควรเรียนรู้ที่จะนบนอบและควรแสวงหาความจริง—เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถตั้งมั่นได้ หากเจ้าต้องการติดตามพระเจ้าไปจนสุดทาง ก็สำคัญยิ่งที่จะต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าที่ของเจ้าหรือทำสิ่งอื่นก็ตาม สิ่งสำคัญก็คือการเข้าใจหลักธรรมความจริง ปฏิบัติและนำหลักธรรมความจริงไปใช้ เพราะกระบวนการทำความเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริงตามหลักธรรมความจริงนี่เอง เจ้าจึงมารู้จักพระเจ้า เข้าใจพระเจ้า และตระหนักรู้เรื่องของพระองค์ เจ้าจะเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความเข้ากันได้กับพระองค์ ได้รับความเข้าใจและการยอมรับแก่นแท้ของพระเจ้า หากเจ้าไม่นำหลักธรรมความจริงไปปฏิบัติ เอาแต่กระทำการหรือทำหน้าที่ของเจ้าตามเจตจำนงของตนเอง เจ้าจะไม่มีวันได้สัมผัสความจริง การไม่มีวันได้สัมผัสความจริงนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าจะไม่มีวันได้สัมผัสท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกสิ่ง พระประสงค์ หรือพระดำริของพระองค์ และยิ่งไม่มีแนวโน้มที่เจ้าจะได้สัมผัสพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่เผยให้เห็นในพระราชกิจของพระองค์ หากเจ้าไม่สามารถสัมผัสข้อเท็จจริงเหล่านี้ในพระราชกิจของพระเจ้า ความเข้าใจที่เจ้ามีในพระเจ้าก็จะถูกจำกัดอยู่แต่ในความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ตลอดกาล จะอยู่ในโลกของความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดต่อไป จะไม่มีวันสอดคล้องกับแก่นแท้และพระอุปนิสัยอันแท้จริงของพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะไม่สามารถสัมฤทธิ์การเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริงได้
ในระหว่างที่ทำหน้าที่ของตน ผู้คนมักจะมีประสบการณ์กับสภาวะที่เป็นลบและเป็นกบฏ หากพวกเขาสามารถแสวงหาความจริงและใช้หลักธรรมความจริงเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ภาวะอารมณ์ที่เป็นลบของพวกเขาจะไม่กลายเป็นคำพร่ำบ่น การไม่ยอมรับ การแข็งขืน การส่งเสียงประท้วง หรือแม้กระทั่งการหมิ่นประมาท อย่างไรก็ดี หากผู้คนจัดการกับสิ่งเหล่านี้ด้วยการพึ่งพาแต่ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง พึ่งการยับยั้งชั่งใจของมนุษย์ ความอุตสาหะของมนุษย์ ความขยัน การบ่มวินัยร่างกายของตน และแนวทางอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว ความคิดฝัน การตัดสิน และการคาดคะเนของมนุษย์เหล่านี้ก็จะกลายเป็นคำพร่ำบ่น การแข็งขืน การไม่ยอมรับ การส่งเสียงประท้วง และแม้กระทั่งการหมิ่นประมาทพระเจ้า เมื่อผู้คนติดกับอยู่ในภาวะอารมณ์ที่เป็นลบดังกล่าว พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะเกิดความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และการพร่ำบ่นพระเจ้า รวมทั้งความรู้สึกหรือความคิดอื่นๆ ในทำนองนั้นขึ้นมา เมื่อความคิดเหล่านี้สะสมอยู่ในใจผู้คนนานเข้า และพวกเขาก็ยังคงไม่แสวงหาความจริงหรือใช้ความจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ความไม่เชื่อฟัง ความไม่พอใจ และคำพร่ำบ่นของพวกเขาก็จะกลายเป็นการแข็งขืน พวกเขาจะมีพฤติกรรมที่เป็นกบฏ เช่น ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากินหรือจงใจก่อกวนและบ่อนทำลายงานของคริสตจักร ตลอดจนพฤติกรรมที่เป็นลบอื่นๆ เพื่อแสดงความไม่เชื่อฟังและความไม่พอใจของตนออกมา อันเป็นการสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของตนในการแข็งขืนต่อพระเจ้า บางคนทำลายและก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อื่น ความหมายเบื้องหลังการกระทำของพวกเขาก็คือ “ถ้าฉันทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ หรือถ้าพระเจ้าไม่อวยพรฉันในหน้าที่ของฉัน แน่นอนว่าฉันจะทำให้พวกคุณทุกคนไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี!” แล้วพวกเขาก็เริ่มก่อกวน บางคนทำเช่นนี้ด้วยวาจา ขณะที่บางคนใช้การกระทำบางอย่าง คนที่ก่อกวนผู้อื่นด้วยการกระทำของตนอาจจะทำสิ่งใด? ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะจงใจลบไฟล์ในคอมพิวเตอร์ของใครสักคนเพื่อให้ส่งผลต่อการทำหน้าที่ของคนเหล่านั้น หรืออาจจะจงใจก่อกวนการชุมนุมทางออนไลน์ นี่คือหมู่มารและเหล่าซาตานที่คอยก่อกวนผู้คน ผู้คนไม่เข้าใจว่า “คนที่มีอายุขนาดนี้ทำเรื่องเลวทรามเช่นนี้ได้อย่างไร? ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ยังคงเล่นคะนองอย่างนี้ได้อย่างไร?” อันที่จริง ผู้คนในวัยสามสิบ สี่สิบ ห้าสิบ หรือหกสิบปีก็สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้เช่นกัน พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ นี่ไม่ใช่การกระทำของคนที่มีมโนธรรมและสำนึก แต่เป็นการกระทำของหมู่มารและเหล่าซาตาน เมื่อเห็นว่าผู้อื่นไม่ได้รับผลกระทบและตนเองก็ไม่สัมฤทธิ์เป้าหมาย เมื่อนั้นคนเช่นนี้ย่อมจะระบายความคิดลบและก่อให้เกิดการรบกวนในช่วงเวลาที่มีผู้คนอยู่ด้วยมากมายหรือขณะชุมนุม เมื่อพวกเขาเริ่มพรั่งพรูความไม่พอใจของตนออกมาทางการกระทำต่างๆ ก็กลายเป็นเรื่องยากแล้วที่จะควบคุมสถานการณ์ และยากมากที่จะดึงรั้งพวกเขาเอาไว้ หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป ก็มีแต่จะบานปลาย มีธรรมชาติที่ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่เพียงใช้การกระทำของตนมาก่อให้เกิดการรบกวนเท่านั้น แต่ยังใช้ลู่ทางและวิธีการต่างๆ อีกด้วย ใช้ภาษาที่ก้าวร้าวและด่วนตัดสินมาก่อกวนผู้อื่นในขณะที่ฝ่ายหลังทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าพวกเขาจะสัมฤทธิ์เป้าหมายของตนหรือไม่ก็ตาม พวกเขาย่อมไม่ยอมรับพระเจ้าอยู่ในหัวใจ พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือเรียนรู้บทเพลงนมัสการ และพวกเขาก็ไม่ยอมอ่านหนังสือใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง เวลาอยู่บ้าน พวกเขาทำสิ่งใด? พวกเขาอ่านนิยาย ดูละครโทรทัศน์ เรียนรู้วิธีปรุงอาหาร ศึกษาวิธีแต่งหน้าและทำผม… เวลาชุมนุมพวกเขาก็ไม่สามัคคีธรรมถึงความเข้าใจที่ตนมีในพระวจนะของพระเจ้า และไม่สามัคคีธรรมว่าควรแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและการเผยความเสื่อมทรามออกมาอย่างไร เมื่อคนอื่นสามัคคีธรรม พวกเขาก็จงใจแย่งบทสนทนา ตัดบทคนที่กำลังพูดอยู่ เจตนาเปลี่ยนเรื่องพูด และอื่นๆ กล่าวสิ่งที่บ่อนทำลายและรบกวนอยู่เสมอ เหตุใดพวกเขาจึงกระทำเช่นนี้? สาเหตุอยู่ที่ความเชื่อของพวกเขาที่ว่าตนไม่มีหวังในความรอด ซึ่งทำให้พวกเขายอมแพ้และเริ่มกระทำการด้วยความวู่วาม พวกเขามองหาเพื่อนร่วมทางสักสองสามคนก่อนที่ตนเองจะถูกเอาตัวออกไปหรือขับไล่ออกจากคริสตจักร—หากพวกเขาไม่สามารถได้รับพร ก็แน่นอนว่าพวกเขาจะทำให้ผู้อื่นไม่สามารถได้รับพรเช่นกัน เหตุใดพวกเขาจึงคิดแบบนี้? พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าที่พวกเขามีความเชื่ออยู่นั้นไม่เหมือนพระเจ้าที่พวกเขาจินตนาการไว้ในตอนแรก พระองค์ไม่รักผู้คนมากเท่าที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ และไม่ทรงชอบธรรมอีกด้วย แน่นอนว่าพระองค์ไม่ทรงรักใคร่เอ็นดูผู้คนอย่างจริงใจอย่างที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ พระเจ้าทรงรักผู้อื่น แต่ไม่ทรงรักพวกเขา พระเจ้าทรงช่วยผู้อื่นให้รอด แต่ไม่ทรงช่วยพวกเขา ในเมื่อตอนนี้พวกเขามองไม่เห็นว่าตนมีความหวัง และรู้สึกว่าตนไม่สามารถได้รับความรอด พวกเขาจึงยอมแพ้และเริ่มกระทำการด้วยความประมาท แต่ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังต้องการให้ผู้อื่นมองเห็นด้วยว่าในเมื่อพวกเขาไม่มีความหวัง คนอื่นก็ไม่มีความหวังเช่นกัน และพวกเขาจะพอใจก็ต่อเมื่อพวกเขาทำให้ทุกคนเลิกเชื่อในพระเจ้าและถอนตัวจากความเชื่อของตน เป้าหมายของพวกเขาในการทำเช่นนี้ก็คือ “ถ้าฉันไม่ได้รับพรจากราชอาณาจักรสวรรค์ พวกคุณก็ไม่ควรแม้แต่จะฝันว่าจะได้รับพรเช่นกัน!” คนเยี่ยงนี้เป็นคนชั่วร้ายจำพวกใด? พวกเขาเป็นมารมิใช่หรือ? พวกเขาก็คือมาร ที่มุ่งหน้าสู่นรก เป็นมารที่ห้ามผู้อื่นเชื่อในพระเจ้าและห้ามเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์อีกด้วย พวกเขากำลังเดินตรงไปหาทางตัน! คนที่พอจะมีมโนธรรมและหัวใจที่กลัวเกรงพระเจ้าอยู่บ้างไม่ควรกระทำการเช่นนี้ หากคนเหล่านี้กระทำชั่วอย่างใหญ่หลวงและถูกเผยออกมาจริงๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองไม่มีหวังอีกต่อไป คนเหล่านี้จะยังคงมุ่งหมายที่จะช่วยผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จ ให้ผู้อื่นเชื่อในพระเจ้าด้วยความตั้งใจจริงและไม่เอาพวกตนเป็นเยี่ยงอย่าง พวกเขาอาจจะกล่าวว่า “ฉันอ่อนแอเกินไป มีความอยากได้อยากมีทางเนื้อหนังที่รุนแรง และหลงใหลเรื่องทางโลกมากเหลือเกิน นี่เป็นความผิดของฉันเอง สมควรแล้วที่ฉันจะเป็นเช่นนี้! พวกคุณเป็นผู้เชื่อที่จริงใจต่อไปเถิด อย่าให้ได้รับอิทธิพลจากฉันเลย ระหว่างชุมนุม ฉันจะคอยเฝ้าระวังให้ ถ้าตำรวจของพญานาคใหญ่สีแดงเข้ามาในหมู่บ้าน ฉันจะบอกให้พวกคุณรู้ตัว” คนที่มีความเป็นมนุษย์สักนิดควรทำให้ได้ประมาณนี้เป็นอย่างน้อย และไม่ควรรบกวนการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้อื่น แต่คนที่ไม่มีความเป็นมนุษย์ พอไม่ได้ดังใจ หรือเมื่อเห็นว่าพี่น้องชายหญิงดูแคลนและตีตัวออกหากจากตน รู้สึกว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยและกำจัดพวกเขาออกไปแล้ว พวกเขาไม่มีหวังที่จะได้รับความรอดแล้ว เมื่อพวกเขามีแนวคิดและความคิดอ่านทำนองนี้ พวกเขาก็วางมือและเริ่มกระทำการวู่วาม ระบายความคิดลบและก่อกวนชีวิตคริสตจักรโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ผู้คนเช่นใดที่ทำแบบนี้? พวกเขาเป็นมารมิใช่หรือ? (ใช่) ควรมีมารยาทกับผู้คนที่เป็นมารหรือไม่? (ไม่) แล้วควรจัดการเรื่องนี้อย่างไร? เจ้าจงกล่าวว่า “คุณมาชุมนุม แต่กลับไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและไม่ยอมรับความจริง แล้วคุณจะอยู่ตรงนี้ทำไม? เพื่อก่อกวนใช่ไหม? คุณนึกว่าตัวเองไม่มีหวังในความรอด แท้จริงแล้วพวกเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีหวังมากนักเช่นกัน แต่พวกเราก็พากเพียร พวกเราเชื่อว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง สามารถเชื่อถือพระองค์ได้ พระทัยของพระองค์มีความจริงใจที่จะช่วยผู้คนให้รอด และพระทัยของพระองค์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ตราบใดที่มีความหวังสักนิด พวกเราก็จะไม่ล้มเลิก พวกเราจะไม่คิดลบและจะไม่เข้าใจพระเจ้าผิดตลอดเวลาอย่างคุณ ถ้าคุณคิดว่าสามารถก่อกวนหรือฉุดรั้งพวกเราได้ คุณก็ฝันไปแล้ว! ถ้าคุณยังดึงดันด้วยความดื้อรั้น ยังเชื่อเช่นนี้ต่อไป และต้องการก่อกวนพวกเราด้วยความมุ่งร้ายต่อไป เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าพวกเราหยาบคายกับคุณ คุณถูกเอาตัวออกไปนับแต่วันนี้ ไม่มีที่ให้คุณในคริสตจักรแห่งนี้อีกแล้ว ไปได้แล้ว!” เมื่อทำดังนี้ก็เป็นการจัดการปัญหาแล้วใช่หรือไม่? เรื่องนี้ง่าย เพียงคำพูดไม่กี่คำก็ชำระพวกเขาออกไปได้แล้ว เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมาก! เหตุใดจึงจัดการด้วยวิธีนี้? เพราะแก่นแท้ธรรมชาติของผู้คนเช่นนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาจะไม่ยอมรับความจริง พวกเขาคิดว่าตนไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด พระเจ้าไม่เคยตรัสเช่นนี้ และพี่น้องชายหญิงก็ไม่เคยพูด แต่พวกเขากลับกระทำชั่วและก่อกวนในลักษณะนี้ หากวันหนึ่งพวกเขาถูกขับไล่เพราะกระทำชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรจริงๆ หรือหากพระเจ้าทรงบ่มวินัยพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขาจะทำอย่างไร? พวกเขาอาจกลายเป็นศัตรูของพระเจ้า อาจจะเสาะหาทางแก้แค้นหรือไม่? เป็นไปได้มาก! ดีแล้วที่ผู้คนเช่นนี้ถูกเผยออกมาก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำความผิดหรือกระทำชั่วครั้งใหญ่ได้สำเร็จ นี่คือการทรงทำของพระเจ้า พระเจ้าทรงเผยพวกเขาออกมา คราวนี้การชำระพวกเขาออกไปย่อมถูกต้องโดยแท้ และยังไม่มีใครทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ การจัดการเช่นนี้ย่อมทันกาลและเหมาะสม ทุกคนได้รับวิจารณญาณแยกแยะ และคนชั่วก็ถูกจัดการ บทบาทของพวกเขาในฐานะตัวประกอบเสริมความเด่นก็ลุล่วงอย่างเหมาะสมแล้ว
โดยพื้นฐานแล้ว เหล่านี้คือสภาวะและการสำแดงต่างๆ ของผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมา เมื่อความอยากไล่ตามไขว่คว้าสถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ของพวกเขายังไม่ลุล่วง เมื่อพระเจ้าทรงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขา ตรงข้ามกับสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของพวกเขา พวกเขาย่อมติดบ่วงที่เป็นความรู้สึกที่ไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ และเมื่อพวกเขามีความรู้สึกเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาก็เริ่มมีข้ออ้าง ข้อแก้ตัว เหตุผลอันชอบธรรม การแก้ต่าง และความคิดอื่นๆ ที่เป็นการพร่ำบ่น ถึงตอนนี้พวกเขาย่อมไม่สรรเสริญพระเจ้าหรือนบนอบพระองค์ และยิ่งไม่แสวงหาความจริงเพื่อทำความรู้จักตนเอง พวกเขากลับต่อสู้กับพระเจ้าโดยใช้มโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน ความคิดอ่านและมุมมอง หรือความหุนหันพลันแล่นของตน แล้วพวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าอย่างไร? พวกเขาแพร่กระจายความรู้สึกที่ไม่เชื่อฟังและไม่พอใจของตน ใช้การนี้มาทำให้ความคิดและมุมมองของตนเป็นที่ชัดเจนแก่พระเจ้า พยายามทำให้พระเจ้ากระทำการตามเจตจำนงและข้อเรียกร้องของตนเพื่อที่จะสนองความปรารถนาของตน เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขารู้สึกเบาลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อพิพากษาและตีสอนผู้คน เพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อช่วยผู้คนให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน และใครจะไปรู้ว่าความฝันที่จะได้รับพรของผู้คนถูกความจริงเหล่านี้บั่นทอนไปมากเท่าใดแล้ว พังทลายความคิดเพ้อฝันว่าจะถูกรับขึ้นไปยังราชอาณาจักรสวรรค์ที่พวกเขามุ่งหวังทั้งวันทั้งคืน พวกเขาต้องการทำทุกสิ่งที่ตนสามารถทำได้เพื่อปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ไปในทางตรงกันข้าม—แต่พวกเขาก็ไม่มีพลังอำนาจ พวกเขาทำได้เพียงจมดิ่งอยู่ในความวิบัติพร้อมกับความเป็นลบและความขุ่นเคืองเท่านั้น พวกเขาไม่เชื่อฟังสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้ เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นขัดแย้งกับมโนคติอันหลงผิด ผลประโยชน์ และการคิดของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคริสตจักรทำงานแห่งการชำระให้สะอาดและกำจัดผู้คนมากมายออกไป ผู้คนเหล่านี้ก็คิดว่าพระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด พวกตนกลายเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระองค์ ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้นพวกเขาย่อมจะรวมตัวกันท้าทายพระเจ้า ปฏิเสธว่าพระเจ้าไม่ใช่ความจริง ปฏิเสธอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า และปฏิเสธพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า แน่นอนว่าพวกเขาย่อมจะปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือสรรพสิ่งอีกด้วย และพวกเขาปฏิเสธทั้งหมดนี้ด้วยวิธีการเช่นใด? ด้วยการท้าทายและไม่ยอมรับ ความหมายโดยนัยก็คือ “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ลงรอยกับมโนคติอันหลงผิดของข้าพระองค์ ดังนั้นข้าพระองค์จึงไม่นบนอบ ไม่เชื่อว่าพระองค์คือความจริง และจะส่งเสียงประท้วงพระองค์ แพร่สิ่งเหล่านี้ในคริสตจักรและในหมู่คน! ข้าพระองค์จะพูดทุกสิ่งที่อยากพูด และไม่ใส่ใจว่าผลสืบเนื่องจะเป็นเช่นไร ข้าพระองค์มีเสรีภาพที่จะพูด พระองค์จะปิดปากข้าพระองค์ไม่ได้—ข้าพระองค์อยากพูดอะไรก็จะพูด แล้วพระองค์จะทำอะไรได้?” เมื่อผู้คนเหล่านี้ยืนกรานที่จะพูดความคิดและมุมมองที่ผิดของตนออกมา พวกเขากำลังพูดเรื่องความเข้าใจของตนเองอยู่หรือไม่? พวกเขากำลังสามัคคีธรรมความจริงอยู่หรือไม่? ไม่ใช่เป็นแน่ พวกเขากำลังแพร่ความคิดลบ กำลังเผยแพร่ความคิดนอกรีตและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ไม่ได้พยายามทำความรู้จักความเสื่อมทรามของตนเองหรือเปิดโปงมันออกมา พวกเขาไม่ยอมเปิดโปงสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำลงไปซึ่งไม่ลงรอยกับความจริง และไม่ยอมเปิดโปงความผิดที่ตนทำ กลับพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะใช้เหตุผลมาอธิบายความผิดของตนและแก้ต่างให้กับความผิดเหล่านั้นเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาถูก พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ยังมีข้อสรุปที่ไร้สาระ กล่าวมุมมองที่บิดเบี้ยวและเป็นโทษ รวมทั้งข้อโต้แย้งและความคิดนอกรีตที่บิดเบี้ยวอีกด้วย ผลที่เกิดแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรก็คือการชักพาให้พวกเขาหลงผิดและก่อกวน ถึงกับสามารถทำให้บางคนจมดิ่งอยู่กับสภาวะที่คิดลบและสับสนได้ ทั้งหมดนี้คือผลอันไม่พึงประสงค์และเป็นการก่อกวนซึ่งมีสาเหตุมาจากผู้คนที่ระบายความคิดลบออกมาทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงควรจำกัดคนที่ระบายความคิดลบเอาไว้ รวมทั้งวาจาและพฤติกรรมของพวกเขาด้วย—ไม่ควรอนุญาตให้ทำอะไรตามอำเภอใจ คริสตจักรควรมีวิธีการและหลักธรรมที่เหมาะสมในการจัดการกับผู้คนเหล่านี้ ด้านหนึ่งพี่น้องชายหญิงควรแยกแยะผู้คนเหล่านี้และความเห็นที่เป็นลบของพวกเขา อีกด้านหนึ่งเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีวิจารณญาณแยกแยะ คริสตจักรก็ควรขับไล่หรือเอาตัวคนเหล่านี้ออกไปตามหลักธรรมความจริงทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนอีกมากพลอยถูกครอบงำและรบกวน ขอจบการสามัคคีธรรมเรื่องการระบายความคิดลบในแง่มุมต่างๆ ไว้เพียงเท่านี้
ค. หลักธรรมและเส้นทางแก้ไขความคิดลบ
ผู้คนมีธรรมชาติเยี่ยงซาตาน เมื่อใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ย่อมยากที่จะหลีกเลี่ยงสภาวะที่เป็นลบได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนเราไม่เข้าใจความจริง การคิดลบย่อมเกิดขึ้นเป็นประจำ ทุกคนมีช่วงเวลาที่คิดลบ บางคนเกิดบ่อยครั้ง บางคนเกิดไม่บ่อยนัก บางคนนาน และบางคนไม่นาน วุฒิภาวะของผู้คนนั้นแตกต่างกัน สภาวะความเป็นลบของพวกเขาจึงต่างกันด้วย คนที่มีวุฒิภาวะมากกว่าจะคิดลบบ้างก็เมื่อเผชิญบททดสอบเท่านั้น ส่วนคนที่มีวุฒิภาวะน้อยกว่าและยังไม่เข้าใจความจริง ย่อมไม่สามารถแยกแยะไดเมื่อผู้อื่นเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดบางอย่างหรือพูดเรื่องไร้สาระ พวกเขาจึงอาจถูกรบกวน ครอบงำ และคิดลบได้ ปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นก็อาจพาให้พวกเขาคิดลบได้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็ตาม แล้วควรแก้ปัญหาเรื่องการคิดลบบ่อยๆ เช่นนี้อย่างไร? หากเป็นคนที่ไม่รู้วิธีแสวงหาความจริง ไม่รู้ว่าควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรืออธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างไร เช่นนั้นก็ย่อมเป็นปัญหาอย่างมาก พวกเขาได้แต่พึ่งพาการเกื้อหนุนและช่วยเหลือจากพี่น้องชายหญิงเท่านั้น หากไม่มีใครช่วยได้ หรือหากพวกเขาไม่ยอมรับความช่วยเหลือ พวกเขาก็อาจจะคิดลบต่อไปจนไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้และอาจถึงกับเลิกเชื่อไปเลย จงดูเถิด การที่ใครสักคนมีมโนคติอันหลงผิดอยู่เสมอและคิดลบได้ง่ายนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงแก่ผู้คนเช่นนี้อย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ยืนกรานอยู่เสมอว่ามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนนั้นถูกต้องแล้ว พวกเขาเป็นคนที่สร้างความเดือดร้อนอย่างยิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะคิดลบอย่างไร ในหัวใจเจ้าก็ควรเข้าใจว่าการมีมโนคติอันหลงผิดไม่ได้หมายความว่ามโนคติเหล่านั้นสอดคล้องกับความจริง แต่หมายความว่าความเข้าใจของเจ้ามีปัญหา หากเจ้ามีสำนึกอยู่บ้าง เจ้าก็ไม่ควรเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่เล็กน้อยที่สุดที่ผู้คนควรค้ำชู หากเจ้ามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าสักนิดและยอมรับได้ว่าเจ้าคือผู้ติดตามพระเจ้า เจ้าก็ควรแสวงหาความจริงมาแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของตนเอง นบนอบความจริง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการขัดขวางและการก่อกวน หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้และยืนกรานที่จะเผยแพร่มโนคติอันหลงผิด เช่นนั้นเจ้าก็สูญเสียสำนึกไปแล้ว เจ้าผิดปกติทางจิตใจ ถูกพวกปีศาจครอบงำ และไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เมื่อถูกพวกปีศาจครอบงำ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าย่อมเอ่ยปากและเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดเหล่านี้—เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ นี่คืองานของพวกวิญญาณชั่ว หากเจ้ามีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้าง เจ้าก็ควรทำได้ดังนี้คือ ไม่เผยแพร่มโนคติอันหลงผิด และไม่รบกวนพี่น้องชายหญิง ต่อให้เจ้าคิดลบ เจ้าก็ไม่ควรทำสิ่งที่เป็นภัยต่อพี่น้องชายหญิง เจ้าเพียงควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ทำสิ่งที่เจ้าควรทำอย่างถูกควร และทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดให้ต้องตำหนิตนเอง—นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำของการประพฤติปฏิบัติตน ต่อให้เจ้าคิดลบเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้ทำสิ่งใดที่เกินขอบเขต พระเจ้าย่อมจะไม่ทรงถือสาความคิดลบของเจ้า ตราบใดที่เจ้ามีมโนธรรมและสำนึก สามารถอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า สามารถแสวงหาความจริง เจ้าย่อมจะมาเข้าใจความจริงและกลับตัวได้ในที่สุด หากเจ้าเผชิญเหตุการณ์สำคัญ เช่น ถูกปลดและกำจัดออกไปเพราะไม่ทำงานจริงในฐานะผู้นำ รู้สึกไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด แล้วเจ้าก็คิดลบ—คิดลบมากเกินไปจนเจ้าไม่อาจฟื้นฟูจิตใจได้ รู้สึกเหมือนตนเองถูกกล่าวโทษและสาปแช่งไปแล้ว เจ้าเกิดความเข้าใจผิดและคำพร่ำบ่นพระเจ้า—เจ้าควรทำเช่นไร? เรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก จงหาใครบางคนที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมและแสวงหาด้วย เปิดใจพูดจากับผู้คนเหล่านี้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จงมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานด้วยความสัตย์จริงเกี่ยวกับความคิดลบและความอ่อนแอของเจ้า รวมทั้งบางสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจและไม่อาจก้าวข้ามได้ไปทีละเรื่อง—สามัคคีธรรมกับพระเจ้า อย่าปิดบังสิ่งใด หากมีเรื่องที่เจ้าไม่สามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ ก็ยิ่งสำคัญมากที่เจ้าจะต้องมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า บางคนถามว่า “การพูดเรื่องนั้นกับพระเจ้าจะไม่ทำให้ถูกกล่าวโทษหรอกหรือ?” เจ้าได้ทำเรื่องมากมายที่ต่อต้านพระเจ้าและสมควรให้พระองค์กล่าวโทษไปแล้วมิใช่หรือ? จะกังวลทำไมกับเรื่องที่เพิ่มขึ้นมาอีกแค่เรื่องเดียวนี้? เจ้าคิดหรือว่าหากเจ้าไม่เอ่ยปาก พระเจ้าจะไม่ทรงรู้? พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งที่เจ้าคิด เจ้าควรสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างเปิดเผย พูดออกมาจากหัวใจ นำเสนอปัญหาและสภาวะของเจ้าต่อพระองค์ไปตามความสัตย์จริง ความอ่อนแอ ความเป็นกบฏ และแม้กระทั่งคำพร่ำบ่นของเจ้าล้วนกล่าวกับพระเจ้าได้หมด ต่อให้เจ้าต้องการระบาย นั่นก็ไม่เป็นไร—พระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้ เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงกล่าวโทษเรื่องนี้? พระเจ้าทรงรู้ถึงวุฒิภาวะของมนุษย์ ต่อให้เจ้าไม่พูดกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงรู้วุฒิภาวะของเจ้าอยู่ดี ด้วยการพูดกับพระเจ้า ในแง่หนึ่งนี่เป็นโอกาสที่เจ้าจะนำตัวเองมาเปิดเผยและเปิดใจต่อพระเจ้าอย่างหมดเปลือก ในอีกแง่หนึ่งนี่ยังเป็นการแสดงให้เห็นท่าทีของการนบนอบที่เจ้ามีต่อพระเจ้าอีกด้วย อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ทำให้พระเจ้ามองเห็นว่าเจ้าไม่ได้ปิดกั้นหัวใจจากพระองค์ เจ้าเพียงแต่อ่อนแอ ไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะเอาชนะเรื่องนี้เท่านั้นเอง เจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะแข็งขืน ท่าทีของเจ้าคือการนบนอบ เพียงแต่วุฒิภาวะของเจ้ายังน้อยเกินไป และไม่สามารถแบกรับเรื่องนี้ได้ เมื่อเจ้าเปิดใจกับพระเจ้าอย่างเต็มที่และสามารถแบ่งปันความคิดที่ลึกที่สุดของเจ้าต่อพระองค์ แม้สิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาจะมีความอ่อนแอและคำพร่ำบ่น—โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีสิ่งที่เป็นลบอยู่มากมาย—แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกต้องในเรื่องนี้คือ เจ้ายอมรับว่าเจ้ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เจ้ายอมรับว่าเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าไม่ปฏิเสธอัตลักษณ์ของพระเจ้าว่าทรงเป็นพระผู้สร้าง และเจ้าก็ไม่ปฏิเสธว่าสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าเป็นสัมพันธภาพของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างกับพระผู้สร้าง เจ้ามอบสิ่งที่เจ้าพบว่าเอาชนะได้ยากที่สุด สิ่งที่ทำให้เจ้าอ่อนแอที่สุดไว้กับพระเจ้า และเจ้าก็เล่าความรู้สึกในส่วนลึกที่สุดให้พระเจ้าฟังทั้งหมด—นี่แสดงถึงท่าทีของเจ้า บางคนกล่าวว่า “ฉันเคยอธิษฐานถึงพระเจ้าครั้งหนึ่ง และนั่นก็ไม่ได้แก้ไขการคิดลบของฉันเลย ฉันยังคงเอาชนะมันไม่ได้” เรื่องนั้นไม่สำคัญ เจ้าเพียงต้องแสวงหาความจริงอย่างจริงจัง ไม่ว่าเจ้าเข้าใจมากน้อยเพียงใด พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้าเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่อ่อนแออย่างที่เคยเป็นในตอนแรกอีกต่อไป ไม่ว่าเจ้าจะมีความอ่อนแอและความคิดลบมากเท่าใด หรือมีคำพร่ำบ่นและภาวะอารมณ์ที่เป็นลบมากเพียงใด ก็จงพูดกับพระเจ้า อย่าปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนทรงเป็นคนนอก เจ้าอาจซ่อนเร้นสิ่งต่างๆ จากใครก็ได้ แต่อย่าซ่อนเร้นสิ่งใดจากพระเจ้า เพราะพระเจ้าคือที่พึ่งพาเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าและทรงเป็นความรอดเพียงหนึ่งเดียวของเจ้าอีกด้วย ปัญหาเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้ก็ด้วยการมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้น การพึ่งพาผู้คนย่อมไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเผชิญความคิดลบและความอ่อนแอ คนที่มาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและพึ่งพาพระองค์จึงเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดที่สุด เวลาเผชิญเหตุการณ์สำคัญและวิกฤติ และจำเป็นต้องพรั่งพรูความในใจต่อพระเจ้า มีแต่คนเบาปัญญาและดื้อรั้นเท่านั้นที่ขยับออกห่างจากพระเจ้าและหลีกเลี่ยงพระเจ้ามากยิ่งขึ้น คอยวางแผนอยู่ในใจ ผลของการวางแผนทั้งหมดนี้เป็นเช่นใด? ความคิดลบและคำพร่ำบ่นของพวกเขากลายเป็นการแข็งขืน แล้วการแข็งขืนก็กลายเป็นการไม่ยอมรับและส่งเสียงประท้วงพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้กลายเป็นคนที่ไม่อาจเข้ากันกับพระเจ้าได้เลย และสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าก็พังทลายไปโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ดี เมื่อเจ้าเผชิญกับความคิดลบและความอ่อนแอเช่นนี้ หากเจ้ายังสามารถเลือกที่จะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริง เลือกที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดเตรียมของพระเจ้า และเจ้าก็มีท่าทีที่นบนอบอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเมื่อทรงเห็นว่าเจ้ายังคงต้องการนบนอบพระองค์ด้วยใจจริงแม้ในยามที่เจ้าคิดลบและอ่อนแอ พระเจ้าย่อมทรงรู้ว่าจะทรงนำเจ้าอย่างไร โดยทรงนำเจ้าออกจากความคิดลบและความอ่อนแอของเจ้า หลังจากที่มีประสบการณ์เหล่านี้แล้ว เจ้าย่อมจะเกิดความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเผชิญความยุ่งยากใด ตราบใดที่เจ้าแสวงหาพระเจ้าและรอคอยพระองค์ พระองค์ย่อมจะทรงจัดเตรียมทางออกให้เจ้าโดยที่เจ้าไม่รู้ เปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยที่เจ้าไม่ทันรับรู้เสียด้วยซ้ำ ทำให้เจ้าไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่กลับเข้มแข็ง และเพิ่มพูนความเชื่อที่เจ้ามีในพระเจ้า เมื่อเจ้าคิดทบทวนเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าก็จะรู้สึกว่าความอ่อนแอของเจ้าในเวลานั้นเหมือนเด็กเสียเหลือเกิน ที่จริงแล้วผู้คนก็เป็นเหมือนเด็กเช่นนี้เอง และหากไม่มีการเกื้อหนุนจากพระเจ้า พวกเขาก็จะไม่มีวันเติบโตจากความเป็นเด็กไม่รู้ความของตน เฉพาะเมื่อยอมรับและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระหว่างมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ เผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงเหล่านี้อย่างแข็งขันและเป็นบวก แสวงหาหลักธรรม แสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า ไม่หลีกเลี่ยงหรือพาตัวออกห่างจากพระเจ้าอีกต่อไป และไม่เป็นกบฏต่อพระเจ้า แต่นบนอบมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นกบฏน้อยลงทุกที ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นทุกที และสามารถนบนอบพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ—ด้วยประสบการณ์เช่นนี้เท่านั้น ชีวิตของคนเราจึงจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างค่อยเป็นค่อยไป มีวุฒิภาวะของผู้ใหญ่อย่างเต็มที่
คนเราควรรับมือและแก้ไขสภาวะที่เป็นลบอย่างไร? ความคิดลบไม่ใช่สิ่งที่พึงกลัว กุญแจสำคัญอยู่ที่การมีสำนึก เวลาที่คนเราคิดลบอยู่เสมอ ย่อมง่ายที่จะกระทำการอย่างโง่เขลามิใช่หรือ? เวลาที่คิดลบ คนเราย่อมเอาแต่พร่ำบ่นหรือไม่ก็หมดหวังในตนเอง พูดจาและกระทำการอย่างไร้สำนึก—นี่ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขามิใช่หรือ? หากคนเรายอมจำนนต่อความสิ้นหวังและคิดลบได้จนไม่ยอมทำงาน นี่ก็คือการทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ? การคิดลบอย่างรุนแรงก็เหมือนการเป็นโรคทางจิตเวช ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการถูกพวกปีศาจครอบงำ ซึ่งก็คือการไม่มีสำนึก การไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาทางออกจึงเป็นอันตรายโดยแท้ เมื่อผู้คนคิดลบ หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง พวกเขาย่อมจะสูญเสียสำนึกได้โดยง่าย และจะเผยแพร่ความคิดลบ ความไม่พอใจ และมโนคติอันหลงผิดของตนไปทั่ว นี่คือการต่อต้านพระเจ้าโดยเจตนา ซึ่งสามารถขัดขวางและก่อกวนงานของคริสตจักรได้ง่ายเหลือเกิน ส่วนผลสืบเนื่องก็น่ากลัวเกินกว่าจะนึกถึง และพวกเขาก็อาจจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของพระเจ้าได้ง่ายมาก อย่างไรก็ดี หากคนที่มีความคิดลบสามารถแสวงหาความจริง ดำรงไว้ซึ่งหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไม่พูดจาในทางลบ ไม่เผยแพร่ความคิดลบและมโนคติอันหลงผิดของตนเอง คงไว้ซึ่งความเชื่อที่ตนมีในพระเจ้า รวมทั้งท่าทีที่นบนอบพระองค์เอาไว้ คนเช่นนี้ย่อมจะหลุดพ้นจากการคิดลบได้ง่าย ทุกคนมีช่วงเวลาที่คิดลบกันทั้งสิ้น เพียงแต่แตกต่างกันในเรื่องของความเข้มข้น ระยะเวลา และสำนึก บางคนปกติแล้วไม่ค่อยคิดลบ แต่กลับเป็นเช่นนั้นเมื่อเผชิญความล้มเหลวหรือสะดุดอะไรบางอย่างเข้า ส่วนคนอื่นกลับสามารถคิดลบในเรื่องเล็กน้อย ต่อให้เป็นเพียงสิ่งที่ใครบางคนพูดออกมาแล้วทำร้ายความภาคภูมิใจของพวกเขาก็ตาม บางคนคิดลบเมื่อพบเจอรูปการณ์ที่ไม่ค่อยเป็นใจ ผู้คนเช่นนี้เข้าใจวิธีใช้ชีวิตหรือไม่? พวกเขามีความเข้าใจเชิงลึกหรือไม่? มีจิตใจที่กว้างขวางและเผื่อแผ่ของคนที่ปกติหรือไม่? ไม่มี ไม่ว่ารูปการณ์จะเป็นเช่นใด ตราบใดที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ในอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน พวกเขาก็จะตกอยู่ในสภาวะที่เป็นลบอยู่บ่อยครั้ง แน่นอนว่าหากคนคนหนึ่งเข้าใจความจริงและสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง สภาวะที่เป็นลบของพวกเขาก็จะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อวุฒิภาวะของพวกเขาเติบโตขึ้น ความคิดลบของพวกเขาก็จะค่อยๆ หายไป และหมดไปโดยสิ้นเชิงในที่สุด คนที่ไม่รักความจริง ไม่ยอมรับความจริงเลย ย่อมจะมีภาวะอารมณ์ที่เป็นลบ สภาวะที่เป็นลบ ความคิดลบและท่าทีที่เป็นลบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยิ่งสะสมก็จะยิ่งร้ายแรง และเมื่อสิ่งเหล่านี้ท่วมท้น พวกเขาก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ฉะนั้นการแก้ไขความคิดลบทันทีจึงสำคัญยิ่ง การที่จะแก้ไขความคิดลบนี้ คนเราต้องแสวงหาความจริงในเชิงรุก อ่านและใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าพลางดำรงสภาวะอันสงบเงียบในการสถิตของพระองค์ จะนำไปสู่ความรู้แจ้งและความกระจ่าง เปิดโอกาสให้คนเราเข้าใจความจริงและมองทะลุถึงแก่นแท้ของความคิดลบ ด้วยเหตุนี้จึงแก้ปัญหาเรื่องความคิดลบได้ หากเจ้ายังคงยึดมั่นในมโนคติอันหลงผิดและสำนึกของตนเอง เช่นนั้นเจ้าก็โง่เขลายิ่งนัก และจะตายเพราะความโง่เขลาและไม่รู้ความของตนเอง ไม่ว่าอย่างไร ควรแก้ไขความคิดลบนี้ในเชิงรุก ไม่ใช่นิ่งเฉย บางคนคิดว่าเมื่อเกิดความคิดลบขึ้นมา พวกเขาควรเพิกเฉยก็พอ เมื่อรู้สึกเป็นสุขอีกครั้ง ความคิดลบของพวกเขาจะกลายเป็นความเบิกบานไปเอง นี่เป็นเรื่องเพ้อฝัน หากไม่แสวงหาหรือยอมรับความจริง ความคิดลบย่อมจะไม่หมดไปเองโดยอัตโนมัติ ต่อให้เจ้าลืมมันไปและไม่รู้สึกอะไรในหัวใจ ก็ไม่ได้หมายความว่ามูลเหตุของการคิดลบนั้นได้รับการแก้ไขแล้ว เมื่อเกิดรูปการณ์ที่เหมาะสม ความคิดลบก็จะปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ หากคนเราฉลาดหลักแหลมและมีสำนึก ก็ควรแสวงหาความจริงทันทีที่เกิดความคิดลบ และใช้วิธีการยอมรับความจริงมาแก้ไข อันเป็นการแก้ปัญหาเรื่องความคิดลบที่มูลเหตุ ทุกคนที่คิดลบอยู่บ่อยๆ ล้วนเป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริง หากเจ้าไม่ยอมรับความจริง การคิดลบก็จะเกาะติดตัวเจ้าเหมือนมารตนหนึ่ง ทำให้เจ้าคิดลบอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นเหตุให้เจ้าเกิดความรู้สึกไม่เชื่อฟัง ไม่พอใจ และคับข้องใจต่อพระเจ้า จนกระทั่งเจ้าพบว่าตนไม่ยอมรับ ต่อสู้ และส่งเสียงคัดค้านพระเจ้า—ถึงเวลานั้นเจ้าย่อมจะเดินไปสุดทางแล้ว ใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเจ้าก็จะถูกเปิดโปงออกมา ผู้คนเริ่มเปิดโปงเจ้า ชำแหละเจ้า และระบุลักษณะนิสัยของเจ้า และเจ้าก็เริ่มมีน้ำตาเมื่อเผชิญความเป็นจริงอันน่าเศร้าในตอนนี้เท่านั้น นี่คือเวลาที่เจ้าล้มทรุดลงและเริ่มทุบอกด้วยความสิ้นหวัง—เจ้าจงรอรับการลงโทษจากพระเจ้าไปเถิด! ความคิดลบไม่เพียงทำให้ผู้คนอ่อนแอเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้พวกเขาพร่ำบ่นพระเจ้า ตัดสินพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า ถึงขั้นส่งเสียงประท้วงและต่อสู้กับพระเจ้าโดยตรงอีกด้วย ฉะนั้น หากการแก้ไขความคิดลบของใครบางคนล่าช้า เมื่อพวกเขาล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและเผยวาจาที่หมิ่นประมาทออกมา ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงมาก หากเจ้าตกอยู่ในความคิดลบและเก็บงำคำพร่ำบ่นเพราะเหตุการณ์ วลี ความคิด หรือมุมมองเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจที่เจ้ามีในเรื่องดังกล่าวนั้นบิดเบี้ยว เจ้ามีความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดในเรื่องนั้น ทัศนะของเจ้าในเรื่องนั้นไม่สอดคล้องกับความจริงอย่างแน่นอน ถึงจุดนี้เจ้าจำเป็นต้องแสวงหาและเผชิญหน้ากับความจริงอย่างถูกต้อง เพียรพยายามที่จะแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและแนวคิดที่ผิดๆ เหล่านี้ให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองถูกมโนคติอันหลงผิดเหล่านี้พันธนาการและชักนำผิดๆ เข้าสู่สภาวะที่ไม่เชื่อฟัง ไม่พอใจ และคับข้องใจกับพระเจ้า การแก้ไขความคิดลบอย่างทันท่วงทีมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการแก้ไขให้หมดสิ้นไปก็สำคัญมากเช่นกัน แน่นอนว่าวิธีแก้ไขความคิดลบที่ดีที่สุดก็คือการแสวงหาความจริง อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น และมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความรู้แจ้งจากพระองค์ บางครั้งเจ้าอาจจะไม่สามารถแก้ไขความคิดและมุมมองของตนเองให้กลับมาถูกต้องได้เป็นการชั่วคราว แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ควรรู้ตัวว่าเจ้าผิด และความคิดเหล่านี้ของเจ้าก็บิดเบี้ยว เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลลัพธ์ขั้นต่ำที่สุดย่อมจะเป็นว่าความคิดและมุมมองที่ผิดพลาดเหล่านี้จะไม่ส่งผลต่อความจงรักภักดีที่เจ้ามีในการทำหน้าที่ของตน จะไม่ส่งผลต่อสัมพันธภาพที่เจ้ามีกับพระเจ้า และจะไม่ส่งผลต่อการที่เจ้าจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อเปิดใจและอธิษฐาน—อย่างน้อยที่สุด นี่คือผลลัพธ์ที่ต้องสัมฤทธิ์ให้ได้ เมื่อเจ้าถูกความคิดลบครอบงำ ไม่เชื่อฟังและไม่พอใจ เก็บงำคำพร่ำบ่นพระเจ้า แต่ก็ไม่อยากแสวงหาความจริงเพื่อหาทางแก้ไข โดยคิดว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นเป็นปกติ ทั้งที่ในความจริงหัวใจของเจ้าห่างไกลจากพระเจ้า และเจ้าก็ไม่อยากอ่านพระวจนะของพระองค์หรืออธิษฐานอีกต่อไป ปัญหาย่อมกลายเป็นร้ายแรงแล้วมิใช่หรือ? เจ้าบอกว่า “ไม่ว่าฉันจะคิดลบอย่างไร การปฏิบัติหน้าที่ของฉันก็ไม่เคยมีอุปสรรคและฉันก็ไม่ได้ทิ้งงานของตัวเอง ฉันจงรักภักดี!” คำพูดเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่? หากเจ้าคิดลบเป็นประจำย่อมไม่ใช่เรื่องของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแล้ว มีปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ เจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เข้าใจพระองค์ผิด และสร้างกำแพงขวางระหว่างเจ้ากับพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาความจริงมาแก้ไขเรื่องนี้ นั่นย่อมอันตรายมาก หากคนเรามักจะคิดลบ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกเขาทำหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดีไปจนถึงปลายทางโดยไม่สุกเอาเผากิน? หากไม่ได้รับการแก้ไข ความคิดลบก็จะจากไปหรือหายไปเองได้หรือ? หากคนเราไม่แสวงหาความจริงเพื่อหาทางออกให้ทันกาล ความคิดลบก็จะพัฒนาต่อไปและมีแต่จะแย่ลง ผลสืบเนื่องที่มันก่อให้เกิดขึ้นมีแต่จะสร้างความเสียหายมากขึ้น จะไม่ดำเนินไปในทิศทางที่เป็นบวกอย่างแน่นอน แต่จะเติบโตไปในทิศทางที่เป็นลบเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อเกิดความคิดลบขึ้นมา เจ้าต้องรีบแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะแน่ใจได้ว่าเจ้าสามารถทำหน้าที่ของตนได้ดี การแก้ไขการคิดลบมีความสำคัญยิ่ง และไม่อาจล่าช้าได้!
26 มิถุนายน ค.ศ. 2021