หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (18)

ประการที่สิบสอง: ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น (ภาคที่หก)

ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร

X. แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล

ในการชุมนุมครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่สิบสองของผู้นำและคนทำงานซึ่งก็คือ “ระบุผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรอย่างทันท่วงทีและถูกต้องแม่นยำ  หยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ พร้อมทั้งแก้ไขให้ดีขึ้น  นอกจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงเพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเกิดวิจารณญาณแยกแยะผ่านสิ่งทั้งหลายดังกล่าวและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น”  ในเรื่องของผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ที่ขัดขวางและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้าและระเบียบปกติของคริสตจักรซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร พวกเราได้แบ่งออกเป็นสิบเอ็ดประเด็น  จงอ่านให้ฟังอีกครั้งเถิด  (ข้อแรก มักจะพูดนอกเรื่องเวลาสามัคคีธรรมความจริง ข้อสอง กล่าววาจาและคำสอนเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดและยอมรับนับถือตน ข้อสาม พูดพร่ำเรื่องในบ้าน สร้างเครือข่ายส่วนตัว และจัดการกิจธุระส่วนตน ข้อสี่ สร้างพลพรรค ข้อห้า แก่งแย่งสถานะ ข้อหก มีสัมพันธภาพที่ไม่ถูกควร ข้อเจ็ด ลงมือเล่นงานและต่อล้อต่อเถียงกัน ข้อแปด แพร่มโนคติอันหลงผิด ข้อเก้า ระบายความคิดลบ ข้อสิบ แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล และข้อสิบเอ็ด ครอบงำและขัดขวางการลงคะแนนคัดเลือก)  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมถึงข้อที่เก้า  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมข้อที่สิบกัน—แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล

ก. สิ่งที่สำแดงถึงการแพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล

ในคริสตจักรได้เกิดการแพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลมาโดยตลอด  บางคนไม่รักความจริงและไม่มุ่งเน้นการปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับหลักธรรมความจริงหรือการไล่ตามเสาะหาส่วนตน พวกเขาก็ไม่มุ่งแสวงหาความจริง—ความสนใจเหล่านี้ไม่มีอยู่ในหัวใจของพวกเขาเลย  ในการเชื่อในพระเจ้า พวกเขากลับชอบไถ่ถามแต่เรื่องซุบซิบนินทาและข้อมูลส่วนตัว เอาแต่รวบรวมเรื่องแปลกประหลาดและผิดปกติ  แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากระตือรือร้นยิ่งกว่าก็คือการสอดรู้สอดเห็นเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้า รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนผู้นำและคนทำงานของคริสตจักร  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ชอบแพร่กระจายเรื่องซุบซิบนินทาที่ไม่มีมูล เผยแพร่เรื่องต่างๆ ที่ตนได้ยินได้ฟังหรือจินตนาการขึ้นมาซึ่งไม่เป็นจริงแต่อย่างใด  ผู้คนเช่นนี้ไม่ชอบอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ค่อยอธิษฐาน และในระหว่างการชุมนุม พวกเขาก็แทบจะไม่สามัคคีธรรมความจริง ไม่ค่อยพูดถึงสภาวะของตนเอง การไล่ตามเสาะหาและการเข้าสู่ของตน หรือความเข้าใจที่พวกเขามีในพระราชกิจของพระเจ้า เป็นต้น  แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจคนที่สามัคคีธรรมความจริงหรือสามัคคีธรรมถึงคำพยานจากประสบการณ์ของตน และไม่สนใจเรื่องเหล่านี้  อย่างไรก็ดี ทันทีที่พวกเขาได้ยินใครบางคนเล่าว่าพระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว หรือเห็นเนื้อหาในพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับความวิบัติ บั้นปลายของผู้คน การที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงรูปสัณฐานของพระองค์ และอื่นๆ ดวงตาของพวกเขาก็ทอประกายขึ้นมาทันที และพวกเขาก็จะจดจ่อเป็นพิเศษ  เมื่อพวกเขาอ่านหรือได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที  จากการสำแดงของผู้คนเหล่านี้ ย่อมชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง หรือเพื่อทำหน้าที่ของตนและติดตามพระเจ้า และแน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อนบนอบและนมัสการพระเจ้า  พวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าและไม่คิดที่จะทำหน้าที่ใดๆ  พวกเขาเพียงต้องการสอดรู้สอดเห็นและรวบรวมเรื่องซุบซิบนินทาหรือแพร่กระจายข่าวลือบางอย่างเท่านั้น  พวกเขาเพลิดเพลินกับกิจกรรมเหล่านี้และไม่สนใจคำพยานจากประสบการณ์ บทเพลงนมัสการ หรือภาพยนตร์ของพระนิเวศของพระเจ้าแต่อย่างใด  พวกเขาชอบแต่จะท่องอินเทอร์เน็ตเพื่อรวบรวมถ้อยแถลงและคำประเมินต่างๆ ที่กองกำลังศัตรูของพระคริสต์ในโลกศาสนาประดิษฐ์ขึ้นมาเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้า งานของคริสตจักร และพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  ต่อให้พวกเขาดูวีดิทัศน์จากพระนิเวศของพระเจ้าเป็นครั้งคราว ก็ไม่ใช่เพราะถวิลหาอยู่ในหัวใจที่จะแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาของตนเอง  แล้วพวกเขาดูอะไร?  พวกเขาดูความคิดเห็นต่างๆ ใต้วีดิทัศน์นั้นๆ และเลือกว่าตนจะอ่านอะไร  พวกเขาข้ามความคิดเห็นที่มาจากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร แต่กลับสนใจความคิดเห็นที่มาจากโลกศาสนาและผู้ไม่มีความเชื่อเป็นพิเศษ  ถึงกับเจาะจงดูความคิดเห็นและถ้อยแถลงของพญานาคใหญ่สีแดง พยายามค้นหาบางสิ่งบางอย่างจากสิ่งเหล่านั้น  เมื่อเห็นโฆษณาชวนเชื่อ ถ้อยแถลง และข่าวลือที่เป็นลบซึ่งกุกันขึ้นมาเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงและไม่ใช้วิจารณญาณแยกแยะสิ่งเหล่านั้น แต่กลับยอมรับบางความเห็นและบางถ้อยแถลงที่เป็นลบเหล่านี้ และมองว่าเป็นข้อเท็จจริงเสียด้วยซ้ำ  ไม่ว่าจะมีความคิดเห็นที่เป็นบวกมากเท่าใด พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะอ่านและไม่เชื่อว่านั่นเป็นเรื่องจริง มีแต่ความคิดเห็นที่เป็นลบหรือข่าวลือเท่านั้นที่ดึงดูดความสนใจและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา  ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นความคิดเห็นที่เป็นลบเหล่านี้ พวกเขารู้สึกชูใจและหรรษาอยู่ภายในเป็นอย่างมาก  พวกเขามีความสนใจเป็นพิเศษในข่าวลือและคำตัดสินที่ไม่จริงทั้งสิ้น แม้กระทั่งการโจมตีและให้ร้ายพระเจ้า ซึ่งแพร่สะพัดอยู่ในโลก รวมทั้งในโลกศาสนาหรือทางออนไลน์ พวกเขาศึกษาและเก็บรวบรวมเรื่องเหล่านี้อย่างขะมักเขม้นเสมอ  ในทางตรงกันข้าม พวกเขากลับไม่สนใจพระวจนะของพระเจ้า คำเทศนาและสามัคคีธรรม คำพยานจากประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิง และสิ่งอื่นในทำนองดังกล่าวเลย  ดังนั้นเมื่อผู้อื่นอ่านพระวจนะของพระเจ้า สามัคคีธรรมความจริง และแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ในระหว่างการชุมนุม พวกเขาจึงรู้สึกรังเกียจ และเห็นว่าสิ่งเหล่านี้น่ารำคาญและมากเกินความจำเป็น  หัวใจของพวกเขารังเกียจการสามัคคีธรรมความจริงและการพูดคุยถึงการทำความรู้จักตนเองเป็นพิเศษ  แล้วพวกเขาอยากฟังสิ่งใด?  พวกเขาอยากฟังแต่เรื่องแปลกประหลาดและพิสดาร ไม่ว่าจะเป็นความล้ำลึกจากโลกวิญญาณหรือข่าวลือและเรื่องซุบซิบนินทาที่แพร่สะพัดในโลกศาสนา—พวกเขาเต็มใจฟังแต่เรื่องเหล่านี้เท่านั้น  หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นลบและถูกสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ยึดครอง ไม่มีใครสามารถเอาสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้ไปจากพวกเขาหรือขจัดสิ่งที่เป็นลบพวกนี้ออกจากตัวพวกเขาได้  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เพราะพวกเขาสนใจและชอบสิ่งเหล่านี้เหลือเกิน!  ฉะนั้นเวลาอยู่ท่ามกลางพี่น้องชายหญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชุมนุม พวกเขาจึงชอบพูดถึงเรื่องซุบซิบนินทาที่ไม่มีมูล และถึงกับแพร่กระจายความคิดเห็นที่เป็นลบบางอย่างเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรตามที่พวกเขาพบเห็นทางออนไลน์อีกด้วย  ผู้คนเหล่านี้สนใจข่าวลือพวกนี้เป็นอย่างยิ่ง  แม้พวกเขาจะรู้ชัดว่าการเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้และยืนยันที่จะเผยแพร่เรื่องเหล่านี้  ต่อให้พวกเขาจำเป็นต้องมองหาโอกาสที่จะแพร่กระจายข่าวลือและโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบเหล่านี้ หรือจำเป็นต้องใช้เวลารวบรวมสิ่งเหล่านี้ หรือใช้ความรู้สึกนึกคิดของตนแต่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา พวกเขาก็ยังคงกระตือรือร้นกับเรื่องนี้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  ในคริสตจักรหนึ่งๆ ถ้าผู้นำคริสตจักรมีขีดความสามารถอ่อนด้อยและไม่สามารถทำงานจริงหรือแยกแยะผู้คนได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อมีคนแพร่กระจายข่าวลือและตรรกะวิบัติ ก็จะรบกวนและส่งผลต่อชีวิตคริสตจักร และบางคนก็จะถึงกับถูกคนเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้  เหตุใดผู้คนมากมายจึงมักจะถูกผู้อื่นรบกวนและชักพาให้หลงผิดได้บ่อยครั้ง?  สาเหตุหนึ่งคือพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะข่าวลือที่ให้ร้ายพระนิเวศของพระเจ้า  อีกสาเหตุหนึ่งก็คือพี่น้องชายหญิงบางคนที่เพิ่งเชื่อมาเป็นเวลาสั้นๆ ยังไม่มีวุฒิภาวะที่เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาไม่เข้าใจความจริงเรื่องนิมิต และคลุมเครือในเรื่องการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด พวกเขาไม่สามารถมองเห็นเรื่องเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และไม่แน่ใจว่าพระราชกิจระยะนี้คือการทรงปรากฏของพระเจ้าและพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่  ผลที่ตามมาคือพวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนจะสามารถติดตามพระเจ้าไปได้นานเท่าใด  จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะถูกคนที่แพร่กระจายข่าวลือชักพาให้หลงผิด สั่นคลอน และควบคุมได้อย่างง่ายดาย

ข. แก่นแท้ของการแพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลคือการกระทำเยี่ยงข้ารับใช้ของซาตาน

ผู้คนที่แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลเหล่านี้ไม่เพียงไม่เชื่อในความจริงและพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้อีกด้วย  พวกเขาสงสัยสิ่งที่เป็นบวกอยู่เสมอ เชื่อข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารโดยง่าย  ผู้คนเหล่านี้อ้างว่าตนเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า แต่ก็ยังคงแพร่กระจายข่าวลือที่ให้ร้ายพระเจ้าและคริสตจักร ทั้งยังแพร่กระจายข่าวลือต่างๆ ที่ตนรวบรวมมาให้พี่น้องชายหญิงฟัง ถึงขั้นเผยแพร่ข่าวลือเหล่านี้และป่าวประกาศไปทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างเมามันซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จากเรื่องนี้จึงเห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเหล่านี้ไม่รักความจริงและเชื่อแต่คำพูดเยี่ยงมารของผู้ไม่มีความเชื่อเท่านั้น  กล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาไม่ใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแต่อย่างใด และไม่ใช่สมาชิกในพระนิเวศของพระเจ้า  แล้วพวกเขาเป็นใคร?  กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นข้ารับใช้ของซาตาน  บางคนถามว่า “ข้ารับใช้ของซาตานคือสายลับที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนส่งมาใช่หรือไม่?  พวกเขาเป็นสายสืบที่แฝงตัวเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าหรือเปล่า?”  ไม่จำเป็น  สายสืบและสายลับเหล่านั้นแยกแยะได้ง่าย แต่ผู้คนที่แพร่กระจายข่าวลือเหล่านี้ดูภายนอกก็เหมือนผู้เชื่อที่แท้จริง  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง มักจะทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้กับซาตาน เผยแพร่คำพูดให้ร้ายและโจมตีพระเจ้าแทนซาตาน แพร่กระจายข่าวลือที่ซาตานกุขึ้นมาเกี่ยวกับคริสตจักรและพระนิเวศของพระเจ้า  จากเรื่องนี้ ไม่ว่าใครจะส่งพวกเขามา ผู้คนเหล่านี้ก็เป็นข้ารับใช้ของซาตานมิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่าพวกเขาจะกระตือรือร้นรวบรวมข่าวลือเหล่านี้เองหรือได้ยินมาเฉยๆ ก็ตาม ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่คิดที่จะแสวงหาความจริงและใช้วิจารณญาณแยกแยะในการฟังข่าวลือ แต่กลับเชื่อว่าข่าวลือเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริง  พวกเขาถึงขั้นสามารถเผยแพร่และกระจายข่าวลือในหมู่ผู้คนได้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมและไร้การยับยั้งชั่งใจ และไม่ได้ทำเพียงที่เดียวหรือโอกาสเดียวเท่านั้น  จุดประสงค์ที่พวกเขาแพร่ข่าวลือเหล่านี้ก็เพื่อทำให้ผู้คนอีกมากรับรู้เรื่องเหล่านี้ ทำให้คนที่อ่อนแอยิ่งอ่อนแอลงไปอีก และทำให้คนที่เข้มแข็งและมีความเชื่อในพระเจ้าเหล่านั้นสงสัยพระองค์และพระราชกิจของพระองค์เพราะข่าวลือดังกล่าว—ทำให้ทุกคนเลิกสนใจความจริง เลิกสนใจพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และการได้รับความรอด รวมทั้งทำให้ทุกคนหันไปสนใจข่าวลือและโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบต่างๆ แทน เหมือนกับที่คนเหล่านี้เป็นอยู่ เพื่อที่ว่าเมื่อใดที่ผู้คนชุมนุมกัน พวกเขาก็จะพูดถึงสิ่งที่เป็นลบเหล่านี้  ผู้คนที่ปกติและผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์และเหตุผลจะทำเรื่องเช่นนี้หรือไม่?  เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ได้ยินข่าวลือหรือโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบต่างๆ ต่อให้พวกเขาไม่รู้ว่าข่าวลือเหล่านั้นจริงหรือเท็จ แต่เพราะพวกเขามีความเชื่อในพระเจ้าและมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอยู่บ้าง พวกเขาย่อมจะมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานและแสวงหาความจริง  ต่อให้พวกเขาได้รับอิทธิพลจากข่าวลือ รู้สึกอ่อนแอและสงสัยอยู่บ้าง แต่นั่นก็จะไม่ส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือการติดตามพระเจ้าของพวกเขา  พวกเขาจะเตือนตัวเองด้วยซ้ำไปว่าให้ระวังปากและหลีกเลี่ยงการทำสิ่งที่ต้านทานหรือล่วงเกินพระเจ้า  แนวทางเช่นนี้เป็นสิ่งที่พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่สามารถสัมฤทธิ์ได้  ตราบใดที่ผู้คนมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง มีความเชื่อที่แท้จริงสักนิด และมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าสักหน่อย พวกเขาย่อมสัมฤทธิ์ในเรื่องนี้ได้  เมื่อผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ พวกเขาก็ควรเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง  เมื่อเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ผู้คนก็ไม่ควรประเมินแต่อย่างใด  พวกเขาควรมั่นใจว่า “ไม่ว่าภายนอกคริสตจักรจะมีข่าวลืออะไร ฉันก็ไม่อาจเชื่อ และไม่อาจเผยแพร่อย่างแน่นอน  ต่อให้หัวใจของฉันรู้สึกอ่อนแอและหวั่นไหวอยู่บ้าง ฉันก็ต้องไม่ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า!”  หากคนเราเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ก็ควรเชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง หากพวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาก็ควรมีหัวใจที่หวาดกลัวและยำเกรงพระเจ้า—เรื่องนี้ถูกต้องแน่นอน  ด้วยเหตุที่พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไม่ว่าได้ยินข่าวลืออะไรมา พวกเขาก็จะระวังปาก ไม่กลายเป็นพวกแพร่กระจายข่าวลือ ไม่ตกเป็นเหยื่อเล่ห์กลของซาตาน และไม่หลงกลอุบายของซาตาน  นี่คือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ?  (ใช่)  เจ้ามีการคิดอ่านและเหตุผลที่ปกติ ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวลือ การที่เจ้าจะแพร่กระจายข่าวลือต่อจากนั้นหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น  มีใครอื่นควบคุมเจ้าอยู่หรือไม่?  (ไม่มี)  ดังนั้น หลังจากที่ได้ยินข่าวลือเหล่านี้ ผู้คนก็ควรที่จะชัดเจนมิใช่หรือว่าพวกเขาควรจัดการกับข่าวลืออย่างไร ควรรับมือและปฏิบัติอย่างไรจึงจะสอดคล้องกับหลักธรรม สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์และเหตุผล?  ทุกคนควรมีการวินิจฉัยในส่วนนี้อยู่บ้าง ควรเข้าใจวิธีการและเส้นทางปฏิบัตินี้โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาสอนพวกเขา  แม้แต่เด็กๆ ยังรู้จักที่จะไม่เผยแพร่เรื่องซุบซิบนินทา รู้ว่านั่นเป็นการเสียมารยาท ไร้ศีลธรรม ก่อให้เกิดความร้าวฉาน และคนเราไม่ควรเป็นคนแบบนี้ นี่คือความคิดและพฤติกรรมซึ่งผู้คนที่มีเหตุผลปกติพึงมี  อย่างไรก็ดี มีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่มีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ดังที่กล่าวมาอีกด้วย  นี่ทำให้พวกเขาต้องการแพร่กระจายข่าวลือและคำโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบแก่คนใกล้ตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้หลังจากที่ได้ยินสิ่งเหล่านี้มา ทุกคนจะได้สามารถวิเคราะห์ ตัดสิน และแต่งเติมเรื่องราวด้วยกัน จากนั้นก็แพร่กระจายข่าวลือพวกนี้ไปสู่ผู้ฟังในวงกว้าง  พวกเขาคิดว่า “เยี่ยมเลยไม่ใช่หรือ?  แบบนี้มีชีวิตชีวาไม่ใช่หรือ?  ถ้าชีวิตคริสตจักรเต็มไปด้วยเนื้อหาแบบนี้ ก็คงจะสมบูรณ์มากทีเดียว!  ผู้คนจะได้รับความรู้มากมาย!”  นี่เป็นความคิดและมุมมองแบบใด?  เป็นความคิดและมุมมองของคนไม่ดีมิใช่หรือ?  นี่เป็นตรรกะประเภทใด?  พวกเขาเป็นคนที่กระหายความโกลาหลมิใช่หรือ?  พวกเขาทนเห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุขไม่ได้มิใช่หรือ?  พวกเขาถึงกับเยาะหยันพี่น้องชายหญิงอยู่ในหัวใจว่า “พวกคุณน่ะโง่ นอกคริสตจักรมีข่าวลือกำลังแพร่สะพัดไปทั่ว มีการประเมินผลที่เป็นลบ เรื่องโจมตี และเรื่องให้ร้ายพระนิเวศของพระเจ้า โดยเฉพาะพระคริสต์และพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง  ตามคริสตจักรต่างๆ ของโลกศาสนาก็มีการปิดประกาศโฆษณาชวนที่เป็นเชิงลบสารพัดอย่าง  ทันทีที่ผู้คนที่นั่นได้ยินคำว่า ‘ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก’ พวกเขาก็เริ่มกล่าวโทษและตีตัวออกหาก  ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวโทษพวกคุณอยู่ แต่คนโง่อย่างพวกคุณกลับยังคงอยู่ตรงนี้ เชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง!”  การเห็นผู้คนเหล่านี้ติดตามพระเจ้าด้วยความเชื่อที่มั่นคงเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดและยังสะอิดสะเอียนมากอีกด้วย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเห็นว่าการสามัคคีธรรมความจริงของใครบางคนแสดงถึงความเข้าใจที่แท้จริงและการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย รวมทั้งได้รับความเลื่อมใสจากทุกคน พวกเขาก็นึกเกลียดคนคนนั้น  ถ้าพวกเขาเห็นใครบางคนยึดมั่นในหลักธรรม ทำแล้วเกิดผลลัพธ์ และแสดงความจงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็จะโมโหและกล่าวว่า “ทำไมคุณไม่ฟังข่าวลือหรือคำโฆษณาชวนเชื่อข้างนอกคริสตจักรบ้างเลย?  ทำไมคุณถึงโง่เขลาและจริงใจอย่างนี้?  ดูสิว่าฉันฉลาดหลักแหลมขนาดไหน—ฉันอยู่ทั้งสองฝ่าย  มีส่วนร่วมในชีวิตคริสตจักรในพระนิเวศของพระเจ้าและไม่พูดว่าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำหน้าที่ ฉันจะไม่ยินยอม แต่ฉันก็ตามข่าวภายนอกคริสตจักรด้วยเช่นกัน  ฉันยังคงสนใจคำโฆษณาชวนเชื่อและความคิดเห็นที่เป็นลบจากโลกศาสนา โลกที่ไม่มีความเชื่อ และอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง”  พวกเขามีมุมมองที่ไม่ถูกควรอยู่เสมอ  การเห็นพี่น้องชายหญิงไล่ตามเสาะหาความจริงและทำหน้าที่ของตนทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจอยู่ภายใน  พวกเขาอยากชักพาผู้คนเหล่านั้นให้หลงผิดและดึงตัวไปเป็นพวกสักคนหรือสองคนอยู่เสมอ ถึงกับอยากก่อกวนและชักจูงคนบางคนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  นอกจากนี้พวกเขายังปรารถนาที่จะปลุกบางคนให้ “ตื่นรู้” ด้วยการแพร่กระจายข่าวลือตลอดเวลา เพื่อให้คนเหล่านั้นเชื่อข่าวลือและถูกชักพาให้หลงผิด  บอกเราเถิดว่าคนคนนี้เป็นคนประเภทใดกันแน่?  เหมาะสมหรือไม่ที่จะมองว่าผู้คนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและเป็นพี่น้องชายหญิง?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ววิธีที่เหมาะสมที่สุดในการมองพวกเขาคืออะไร?  วิธีที่เหมาะสมที่สุดคือมองว่าพวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นข้ารับใช้ของซาตาน  นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษอย่างไม่มีมูลหรือการใส่ร้ายพวกเขา แต่นี่เป็นข้อเท็จจริง

สิ่งที่น่าชิงชังในตัวผู้คนที่แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลเหล่านี้มีอะไรบ้าง?  ไม่ว่าพวกเขาจะได้ยินคำโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบมาจากช่องทางใด แม้ในยามที่พวกเขารู้ชัดว่านั่นเป็นข่าวลือและวาจาเยี่ยงมารที่ไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ พวกเขาก็ยังคงแพร่กระจายแก่ผู้อื่นด้วยความกระตือรือร้นที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  การนี้มีธรรมชาติเป็นเช่นใด?  คนที่มีหัวใจยำเกรงพระเจ้าย่อมจะรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อได้ยินข่าวลือ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นถ้อยคำที่โจมตีและดูหมิ่นพระเจ้า พวกเขาจะไม่กล่าวถึงถ้อยคำเหล่านั้นเลยเพื่อไม่ให้ปากของตนแปดเปื้อน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  พวกเขากล่าวว่า “การที่คนอื่นตัดสินและให้ร้ายพระเจ้า โจมตีและป้ายสีคริสตจักร ย่อมเป็นเรื่องของพวกเขา  ฉันไม่ควรเข้าไปมีส่วนในบาปของพวกเขา  การที่พวกเขาให้ร้ายพระเจ้าเป็นการกบฏที่อุกอาจและเป็นบาปที่เลวร้ายมากอยู่แล้ว—ฉันไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำพวกนี้ด้วยปากตนเอง  ฉันต้องไม่พูดเหมือนพวกเขา  ฉันจะไม่ทำเช่นนี้เด็ดขาด!”  อย่างไรก็ดี คนที่เป็นข้ารับใช้ของซาตานกลับสามารถท่องคำโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบและข่าวลือที่ตนได้ยินได้ฟังมาแบบคำต่อคำ พวกเขาทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีความเคลือบแคลงใดๆ และถึงกับแพร่กระจายข่าวลือไปทั่ว  ผู้คนเหล่านี้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้สักนิดหรือไม่?  พวกเขากลัวพระเจ้าหรือไม่?  ไม่ พวกเขาไม่กลัวเลย  ดูภายนอกก็เหมือนพวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าเช่นกัน แต่การเชื่อนี้กลับไม่ใช่การยอมรับว่าพระเจ้าคือพระผู้สร้างผู้ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  ซาตานก็เชื่อเช่นกันว่ามีพระเจ้าในโลก ในจักรวาล และท่ามกลางสรรพสิ่ง แต่มันปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรเวลาพระองค์ตรัสกับมัน?  มันสนทนากับพระเจ้าอย่างไร?  มันมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าหรือไม่?  มันปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่?  ไม่  มันใช้วิธีการใดในการสนทนากับพระเจ้า?  มันทดสอบ หลอกลวง และเยาะเย้ยพระองค์เหมือนกำลังหยอกเย้าไปเรื่อย  เมื่อพระเจ้าตรัสถามว่า “เจ้ามาจากไหน?” ซาตานตอบว่าอย่างไร?  (“จากไปๆ มาๆ และจากเดินไปเรื่อยๆ” (โยบ 1:7))  นี่ใช่วาจาของมนุษย์หรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วคำพูดเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?  เหตุใดซาตานจึงพูดเช่นนี้?  ท่าทีเช่นใดที่ก่อให้เกิดคำพูดดังกล่าว?  นี่เป็นท่าทีของการเยาะเย้ยมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วคำว่าเยาะเย้ยหมายความว่าอย่างไร?  เป็นการก่อกวนใครสักคนใช่หรือไม่?  “ฉันจะไม่บอกคุณหรอกว่าฉันมาจากไหน  แล้วคุณจะทำอะไรได้?”  แม้คำพูดเหล่านี้จะพูดกับเจ้า แต่ไม่ได้เจตนาให้เจ้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น—คนพูดไม่ยอมบอกเรื่องนั้นกับเจ้า เพียงแต่กวนใจเจ้าเท่านั้น  นี่คือการเยาะเย้ย  ท่าทีเช่นนี้แสดงให้เห็นสำนึกที่จะปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้าหรือไม่?  มีสำนึกของการเคารพหรือยำเกรงพระเจ้าอยู่ในท่าทีเช่นนี้บ้างหรือไม่?  ไม่มีเลย—นี่คือโฉมหน้าของซาตาน  คนที่แพร่กระจายข่าวลือสามารถเผยแพร่ข่าวเหล่านี้ไปในหมู่พี่น้องชายหญิงได้อย่างง่ายดาย  พวกเขารู้ดีแก่ใจว่าข่าวลือเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่ก็ยังแพร่กระจายข่าวกันเต็มที่ มองหาโอกาสและช่องทางทุกรูปแบบที่จะทำเช่นนั้น  นี่คือพฤติกรรมและแนวทางของซาตานมิใช่หรือ?  ซาตานกระทำการเช่นนี้  มันยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าและรู้ว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง แต่มันไม่มีความยำเกรงพระองค์แม้แต่น้อย  นี่คือโฉมหน้าของซาตาน นี่คือแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน  พี่น้องชายหญิงบางคนอาจกล่าวว่า “แม้คนคนนี้จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่เขาก็เชื่อในพระเจ้าด้วยใจจริง  เวลาที่เขาได้ยินว่าคริสตจักรจะแยกเดี่ยวหรือเอาตัวเขาออกไป เขาก็ร้อนใจจนร้องไห้และวิตกกังวลมาก ถึงกับมีแผลพุพองขึ้นในปาก!  เขาไม่เต็มใจที่จะไปจากพระนิเวศของพระเจ้า เขาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไร พวกเราก็ควรปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่น้องชายคนหนึ่ง แสดงความรักและความอดกลั้นต่อเขา และแม้ในยามที่เขาแพร่กระจายข่าวลือ พวกเราก็ควรปฏิบัติต่อเขาด้วยความรักอยู่ดีเพื่อช่วยเหลือและเกื้อหนุนเขา”  ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  เป็นความจริงหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าตรัสพระวจนะเอาไว้มากมาย แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ยังคงไม่เชื่อพระวจนะเหล่านั้นอยู่ดี  ทว่าไม่ว่ามารและซาตานทั้งหลายจะปล่อยข่าวลือออกมามากมายแค่ไหน ผู้คนเหล่านี้ก็เชื่อไปหมด ถึงกับแพร่กระจายข่าวลือเหล่านี้เพื่อโจมตีและให้ร้ายพระเจ้าอย่างไร้ศีลธรรม  เพียงเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่สมควรถูกเรียกว่าพี่น้องชายหญิงแล้ว  ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ด้วยเหตุที่พวกเขาสามารถแพร่กระจายข่าวลือ ให้ร้ายพระเจ้า โจมตีพระเจ้า ให้ร้ายพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรได้โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม พวกเราจึงมีเหตุผลอันควรที่จะมองพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน เป็นเหล่าซาตาน  พวกเขาคือศัตรูของพระเจ้าและเป็นศัตรูของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  ดังนั้นพวกเราควรปฏิบัติต่อศัตรูของพวกเราเช่นไร?  (ปฏิเสธพวกเขา)  ถูกต้อง พวกเราควรปฏิเสธพวกเขา

บางคนไม่รักความจริง  หลังจากได้ยินข่าวลือ แม้พวกเขาจะไม่แพร่กระจายข่าวลือในคริสตจักรอย่างเปิดเผย แต่ก็เผยแพร่ข่าวลือลับหลังแก่คนที่ใกล้ชิดพวกเขา  พอได้ยินข่าวลือพวกนี้ บางคนที่ไร้วิจารณญาณแยกแยะก็คิดลบและอ่อนแอ บางคนเลิกเข้าร่วมชุมนุม และบางคนก็ถอนตัวจากคริสตจักร—แต่คนที่แพร่กระจายข่าวลือกลับไม่ยอมรับว่าการแพร่กระจายข่าวลือของตนเป็นสาเหตุของเรื่องนี้  แม้จะได้รับการว่ากล่าวตักเตือนและสามัคคีธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พอพบเจอเรื่องดังกล่าว พวกเขาก็ยังคงทำเช่นนี้ต่อไป เพียงแต่จะละเว้นจากการแพร่กระจายข่าวลืออย่างเปิดเผยและไร้ยางอายในการชุมนุมหรือในที่สาธารณะเพราะกลัวว่าจะเป็นการเปิดโปงตนเอง ถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ หรือถูกคริสตจักรเอาตัวออกไป จึงเลือกที่จะลอบแพร่กระจายข่าวลือด้วยการส่งข้อความให้ผู้อื่นหรือการไปมาหาสู่ผู้คนแทน  เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนเหล่านี้ย่อมเป็นคนชั่วมิใช่หรือ?  แท้จริงแล้วพวกเขายิ่งยอกย้อนมากขึ้น  ไม่ว่าพวกเขาจะลอบกระทำการอย่างไร แรงจูงใจและธรรมชาติในการกระทำของพวกเขาก็เหมือนกับบรรดาข้ารับใช้ของซาตาน  จุดประสงค์ที่พวกเขาแพร่กระจายข่าวลือก็เพื่อก่อกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คน ทำให้ผู้คนคิดลบและอ่อนแอ ทำให้ผู้คนปฏิเสธพระเจ้า พาตัวออกห่างจากพระเจ้า และละทิ้งหน้าที่ของตน  มีใครเคยพูดบ้างหรือไม่ว่า “จุดประสงค์ที่ฉันแพร่กระจายข่าวลือไม่ใช่เพื่อรบกวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้คนหรือบ่อนทำลายความคิดริเริ่มของพวกเขา แต่เป็นการช่วยให้พวกเขาเกิดวิจารณญาณแยกแยะและมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น เพื่อให้เวลาที่พวกเขาได้ยินข่าวลือ พวกเขาจะได้มีภูมิคุ้มกันต่อข่าวลือเหล่านั้น ไม่เชื่อข่าวลือ สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้อย่างถูกควร และสามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสงบสุข”?  มีใครเคยแพร่กระจายข่าวลือด้วยเจตนาเช่นนี้หรือไม่?  (ไม่)  คำกล่าวอ้างนี้ฟังขึ้นหรือไม่?  แท้จริงแล้วฟังไม่ขึ้นเลย  ตราบใดที่พวกเขาสามารถแพร่กระจายข่าวลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่โจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระเจ้า—พูดสิ่งเหล่านี้ตามสบายทุกครั้งที่เปิดปากและแพร่กระจายข่าวเหล่านี้ไปทุกหนทุกแห่งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ—ไม่ว่าพวกเขาจะแพร่ข่าวลือมากมายแค่ไหน จะแพร่ข่าวลืออย่างเปิดเผยหรือเผยแพร่อยู่หลังฉาก และไม่ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อผู้คนก็ตาม สรุปแล้ว จุดประสงค์ที่พวกเขาแพร่กระจายข่าวลือย่อมไม่ใช่การช่วยให้ผู้คนเข้าใจความจริงและเกิดวิจารณญาณแยะแยะ แต่เป็นการก่อกวนและชักพาให้ผู้คนหลงผิด ทำให้พวกเขาสงสัยและพาตัวออกห่างจากพระเจ้า—สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ก็คือการก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักร  จากมุมมองนี้ ไม่ว่าจะแพร่กระจายข่าวลือด้วยเหตุผลหรือในบริบทใด แก่นแท้ของผู้คนที่แพร่กระจายข่าวลือย่อมเป็นแก่นแท้ในตัวข้ารับใช้ของซาตานอย่างไม่ต้องสงสัย  ใครก็ตามที่ปล่อยข่าวลือซึ่งเป็นการให้ร้าย โจมตี และหมิ่นประมาทพระเจ้า ย่อมไม่ยอมรับพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  แม้เจ้าจะไม่ใช่ต้นตอของข่าวลือ แต่การที่เจ้าสามารถแพร่ข่าวลือย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้าเชื่อว่าข่าวลือดังกล่าวเป็นเรื่องจริง หรือในใจเจ้าก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะเชื่อข่าวลือเหล่านี้  “ถ้าเพียงแต่ข่าวลือเหล่านี้เป็นจริง เช่นนั้นฉันก็คงจะไม่ต้องเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าก็จะไม่ใช่พระเจ้า และข้อเท็จจริงเรื่องการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็จะไม่มีอยู่จริง  พระองค์ก็จะเป็นแค่คนคนหนึ่ง และฉันก็จะสามารถสร้างข่าวลือ ป้ายสี เล่นงาน และให้ร้ายพระองค์ได้อย่างอิสระ”  นั่นคือเป้าหมายมิใช่หรือ?  ถ้าเจ้าเชื่อในพระเจ้า แต่กลับต้องการพูดและกระทำการตามอำเภอใจอยู่เสมอ นี่ก็คือการต้องการต่อต้านพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  บางคนถามว่า “นี่คือการกบฏต่อพระเจ้าใช่หรือไม่?  นี่คือการไม่มีความเชื่อในพระเจ้าใช่หรือไม่?”  ธรรมชาติของเรื่องนี้ร้ายแรงกว่านั้นมาก  นี่คือการไม่ยอมรับพระเจ้าและต่อต้านพระเจ้า  มีแต่ศัตรูของพระเจ้าเท่านั้นที่ไม่ยอมรับและต่อต้านพระเจ้าในลักษณะนี้  เนื่องจากมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตาน ขาดความเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้า พวกเขาจึงสามารถกบฏต่อพระเจ้าได้  อย่างไรก็ดี สิ่งที่ซาตานทำมีมากกว่าการกบฏต่อพระเจ้า มันทรยศพระเจ้า ไม่ยอมรับพระเจ้า และต่อต้านพระเจ้า  นั่นทำให้มันเป็นศัตรูของพระเจ้า  ความสัมพันธ์ระหว่างศัตรูของพระเจ้ากับพระเจ้าก็คือความสัมพันธ์แบบการต่อต้าน  การต่อต้านหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าไม่อาจประนีประนอมกันได้  ไม่ว่าสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมจะเป็นเช่นใด การต่อต้านพระเจ้าของซาตานจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาหรือภูมิศาสตร์  แก่นแท้ของซาตานคือการต่อต้านพระเจ้า และจะไม่เปลี่ยนแปลง ซาตานคือศัตรูของพระเจ้าโดยแท้  การที่ซาตานไม่ยอมรับพระเจ้าและไม่อาจประนีประนอมกับพระองค์ได้นั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นวันเดียวหรือเพียงไม่กี่ปีหรือไม่กี่สิบปี มันเริ่มต่อต้านพระเจ้าตั้งแต่ตอนที่มันทรยศพระองค์แล้ว  แล้วการต่อต้านนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด?  ซาตานจะมีวันได้รับการดลใจและทำให้กลับใจโดยพระเจ้าหรือไม่?  การต่อต้านพระเจ้าของมันจะค่อยๆ ลดน้อยลงตามกาลเวลาหรือไม่?  ไม่  มันจะต่อต้านพระเจ้าต่อไป  การต่อต้านนี้จะยุติลงเมื่อใด?  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้น และซาตานได้ทำงานรับใช้จนเสร็จสมบูรณ์และไม่มีประโยชน์อันใดอีกต่อไป และพระเจ้าทรงทำลายมันไปแล้ว—ถึงตอนนั้นการต่อต้านก็จะยุติลง  แล้วพวกที่เป็นข้ารับใช้ของซาตานจะเป็นอย่างไร?  ตราบใดที่พวกเขายังอยู่ในคริสตจักร พวกเขาก็จะต่อต้านคริสตจักร พระนิเวศของพระเจ้า และพระเจ้าต่อไป  บางคนกล่าวว่า “พวกเขาเชื่อในพระเจ้า บางครั้งก็ถวายสิ่งของ ให้ทาน และเป็นแม้กระทั่งเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิง  พวกเขาจะต่อต้านพระเจ้าได้อย่างไร?  พวกเขาไม่ได้ต่อต้านพระองค์ พวกเขายังทำความดีอยู่บ้างด้วยซ้ำ”  ถ้อยคำเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่?  การเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงและมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ แก่พี่น้องชายหญิงที่ยากไร้ สามารถหักลบกับเรื่องที่พวกเขาต่อต้านพระเจ้าได้หรือ?  นั่นพิสูจน์ได้หรือไม่ว่าพวกเขาเข้ากันได้กับพระเจ้าได้?  (ไม่ได้)  แล้วการต่อต้านนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  (การต่อต้านมีแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาเป็นตัวกำหนด)  ถูกต้อง แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาคือการต้านทานและเป็นปรปักษ์กับพระเจ้า  สำหรับผู้คนเช่นนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะพวกเขาตามพระวจนะของพระเจ้าคือ ดูว่าใครบ้างชอบรวบรวมคำโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบหรือข่าวลือที่โจมตีและให้ร้ายพระนิเวศของพระเจ้าและคริสตจักรจากช่องทางต่างๆ และใครสนใจเรื่องที่เป็นลบพวกนี้และเต็มใจที่จะเชื่อข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารเหล่านี้  นี่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้ไม่เชื่อเหล่านี้  ปกติแล้วผู้คนเหล่านี้ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่กระตือรือร้นเมื่อฟังพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมความจริง และไม่ยินดียินร้ายที่จะทำหน้าที่ของตน  พวกเขารู้สึกอยู่เสมอว่าการเชื่อในพระเจ้าไม่น่าสนใจ  เวลาดูวีดิทัศน์และรายการต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขามุ่งสนใจสิ่งใด?  เมื่อพวกเขาเห็นความคิดเห็นที่เป็นบวกซึ่งผู้คนในศาสนาให้ไว้ พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดและข้ามความคิดเห็นเหล่านั้นไป  แต่เมื่อเห็นผู้คนในศาสนาและผู้ไม่มีความเชื่อที่อยู่ฝ่ายเดียวกับพญานาคใหญ่สีแดง ดูหมิ่นคริสตจักร ปรามาสพระนิเวศของพระเจ้า และสบประมาทพี่น้องชายหญิงด้วยวาจาเยี่ยงมาร พวกเขากลับรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นเป็นพิเศษ  เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ฟังคำโฆษณาชวนเชื่อและข่าวลือที่เป็นลบเหล่านี้ พวกเขาก็ตื่นเต้นราวกับได้รับการฉีดอะดรีนาลีน เดินอย่างกระปรี้กระเปร่า และถึงกับตื่นนอนด้วยความเบิกบาน  แบบนี้ไม่เลวร้ายหรอกหรือ?  จงเฝ้าสังเกตผู้คนรอบตัวเจ้าเพื่อดูว่าใครบ้างที่จัดว่าเป็นคนจำพวกนี้ ดูว่าพวกเขามีอุปนิสัยที่เกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้าหรือไม่  หากเจ้าพบเจอคนเช่นนี้เข้าจริงๆ เจ้าก็ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษและแยกแยะพวกเขา เฝ้าสังเกตถ้อยคำ การกระทำ และท่าทางของพวกเขา  เมื่อเจ้ายืนยันได้ว่าพวกเขาเป็นคนชั่ว เป็นข้ารับใช้ของซาตาน เจ้าก็ควรปฏิเสธพวกเขาและไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นพี่น้องชายหญิง  ผู้คนเช่นนี้ควรถูกเอาตัวออกจากคริสตจักรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  บางคนกล่าวว่า “ทำไมพวกเราถึงควรจะเอาตัวคนเหล่านี้ออกไป?  ในพระนิเวศของพระเจ้า การมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนหมายถึงการมีเรี่ยวแรงไว้ทำงานอีกหนึ่งคน การมีคนอีกหนึ่งคนก็ทำให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกนิดด้วย  พวกเขาเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้ว แม้จะไม่รักหรือปฏิบัติความจริง แต่พวกเขาก็เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้ามาตั้งแต่เด็ก เชื่อในชายชราบนฟ้าสวรรค์  พวกเขาเชื่อด้วยว่าเหนือหัวตนขึ้นไปสามฟุตมีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังเชื่ออีกด้วยว่าดีชั่วย่อมได้รับผลตอบแทน  โดยทั่วไปแล้วพวกเขาไม่กล้าทำเรื่องที่ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด และเต็มใจช่วยเหลือผู้อื่น  เพียงแต่พวกเขามีงานอดิเรกเล็กๆ น้อยๆ นี้ เพลิดเพลินกับการแพร่กระจายข่าวลือและเรื่องซุบซิบนินทา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาแพร่กระจายข่าวลือที่มาจากพญานาคใหญ่สีแดงซึ่งเป็นการปรักปรำพระเจ้า เล่าเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆ ซากๆ โดยไม่ไตร่ตรองเลยด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ความและไม่มีความรู้”  ดูภายนอกเหมือนพวกเขาไม่ใช่คนชั่วและไม่เคยขัดขวางหรือก่อกวนงานของคริสตจักร แต่พวกเขากลับแข็งขันเป็นพิเศษในการแพร่กระจายข่าวลือและอยากเป็นคนแรกที่ปล่อยข่าวพวกนั้นเสมอ  ผู้คนควรระมัดระวังคนเช่นนี้มิใช่หรือ?  คนเหล่านี้เป็นข้ารับใช้ของซาตานไม่ใช่หรือ?  แก่นแท้ของผู้คนเยี่ยงนี้ล้วนเห็นได้ชัดเจนเหลือเกิน!  พวกเขาไม่เคยสนใจพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง และไม่เคยแสวงหาหลักธรรมความจริงเวลาทำหน้าที่ของตน  ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใด ก็ไม่มีความตั้งใจจริงให้เห็น ไม่ใช้หัวใจ และไม่เต็มใจสู้ทนความยากลำบาก  พวกเขาเอาแต่กระทำการอย่างสุกเอาเผากินและทำอย่างขอไปทีเท่านั้น ล้อเล่นหยอกเย้าตลอดเวลา  พวกเขาไม่ล่วงเกินใครทั้งทางคำพูดและการกระทำ สามารถเข้ากันได้กับทุกคน ดูเป็นมิตรกับผู้อื่น—เพียงแต่พวกเขาชอบรวบรวมและแพร่กระจายข่าวลือ  จากการกระทำเหล่านี้ พวกเราสามารถระบุได้ไหมว่าผู้คนเหล่านี้เป็นข้ารับใช้ของซาตาน?  (ได้)  เหตุใดจึงระบุเช่นนั้นได้?  นี่เป็นการทำให้เรื่องราวใหญ่โตเกินกว่าเหตุใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  พวกเขาไม่มีความสนใจใดๆ ในการไล่ตามเสาะหาความจริง  ทันทีที่ฟังคำเทศนา พวกเขาก็ง่วงงุน ทันทีที่มีการสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนและนั่งไม่ติด ลุกไปดื่มน้ำหรือไปเข้าห้องน้ำตลอดเวลา รู้สึกอึดอัดใจอยู่ตลอดเวลา—สำหรับพวกเขาแล้ว การฟังสามัคคีธรรมดูเหมือนจะยากเย็นเหลือเชื่อราวกับถูกทรมาน  อย่างไรก็ดี ทันทีที่พวกเขาได้ยินข่าวลือจากซาตานหรือคำพูดเยี่ยงมารจากผู้ไม่มีความเชื่อ ความสนใจของพวกเขาก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา พวกเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เริ่มแพร่กระจายข่าวลือและคำพูดเยี่ยงมารเหล่านี้ด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก  ผู้คนเช่นนี้คือพี่น้องชายหญิงหรือไม่?  ไม่ใช่  พวกเขารังเกียจความจริงและชิงชังความจริงเข้ากระดูกดำ  ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์นั้น ไม่ว่าจะเป็นอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า สถานะของพระเจ้า พระเกียรติของพระเจ้า หรือเนื้อหนังที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ พวกเขาก็นึกเหยียดหยามอยู่ในหัวใจ  พวกเขาไร้หัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ดังนั้น พวกเขาจึงเก็บงำมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เอาไว้เสมอ  พวกเขาสามารถพูดซ้ำๆ ถึงข่าวลือและวาจาเยี่ยงมารของซาตานได้ทุกรูปแบบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของพวกเขาที่จะแพร่สิ่งเหล่านี้ออกไปโดยไม่มีความรู้สึกเจ็บแปลบในมโนธรรมแม้แต่น้อย  นี่เป็นคนเลวจำพวกใด?  พวกเขาคือผู้เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  การกระทำเหล่านี้คือการกระทำของคนที่ยอมรับพระเจ้าทางวาจาและกล่าวอ้างว่าติดตามพระเจ้า เชื่อว่ามีชายชราอยู่บนฟ้าสวรรค์ เชื่อว่าเหนือหัวตนขึ้นไปสามฟุตมีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง และเชื่อว่าดีชั่วย่อมได้รับผลตอบแทน  นี่คือท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า  หากใครบางคนปรามาสพ่อแม่ของพวกเขาหรือกุข่าวลือเกี่ยวกับพ่อแม่ของพวกเขาลับหลัง พวกเขาย่อมจะสู้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย  อย่างไรก็ดี เมื่อใครบางคนดูหมิ่นพระเจ้า โจมตีพระเจ้า หรือให้ร้ายพระเจ้า พวกเขาไม่เพียงไม่ขุ่นใจ แต่ยังสามารถเอามาเล่าต่อประหนึ่งเรื่องตลกและถึงกับแพร่เรื่องนี้ไปทั่วทุกที่  นี่ใช่สิ่งที่ผู้ติดตามพระเจ้าควรทำหรือไม่?  (ไม่ใช่)  แล้วเหมาะสมหรือไม่ที่ผู้คนมากมายจะปฏิบัติต่อผู้ไม่เชื่อเหล่านี้เหมือนเป็นพี่น้องชายหญิง?  (ไม่)  ฉะนั้น เมื่อสงสัยว่าผู้คนดังกล่าวเป็นข้ารับใช้ของซาตาน คนอื่นก็ควรตื่นตัวเอาไว้  ผู้นำและคนทำงานต้องแจ้งให้พี่น้องชายหญิงเฝ้าระวังผู้คนเหล่านี้ทันที เพื่อให้ทุกคนสามารถแยกแยะพวกเขา  เมื่อยืนยันแล้วว่าพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตาน เป็นหมู่มาร ทุกคนก็ควรร่วมกันปฏิเสธพวกเขาและเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  นี่เป็นไปตามหลักธรรมใช่หรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วนี่คือสิ่งที่ควรทำ

ค. ควรรับมือข่าวลือที่ไม่มีมูลของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนและโลกศาสนาที่ให้ร้ายและโจมตีพระเจ้าอย่างไร

รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนและโลกศาสนาสร้างข่าวลือที่ไม่มีมูลมากมายเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้า กล่าวอ้างความเท็จว่าพี่น้องชายหญิงบีบบังคับให้ผู้คนยอมรับข่าวประเสริฐและอื่นๆ  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากที่ได้ยินข่าวลือเหล่านี้?  (โมโห ขุ่นเคือง)  นี่เป็นข่าวลือเกี่ยวกับพวกเจ้า และพวกเจ้าก็รู้สึกขุ่นเคือง  ขุ่นเคืองขนาดไหน?  พวกเจ้าต้องการหาตัวคนที่กุข่าวลือและโต้เถียงกับพวกเขา กระทั่งอยากสั่งสอนให้พวกเขาได้รับบทเรียนด้วยใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดูเผินๆ ข่าวลือเหล่านี้มีเป้าหมายอยู่ที่คริสตจักร แต่ที่จริงแล้ว ข่าวลือเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสมาชิกทุกคนในคริสตจักร รวมทั้งชื่อเสียงและความสุจริตใจของสมาชิกแต่ละคน  หลังจากได้ยินข่าวลือ พวกเจ้าก็รู้สึกขุ่นเคืองพร้อมกล่าวว่า “พวกเราไม่ได้ทำอย่างนั้น!  พวกเราประกาศข่าวประเสริฐตามหลักธรรมความจริง  ไม่เคยบังคับคนที่ไม่อยากเชื่อในพระเจ้า  ความเชื่อเป็นเรื่องของความสมัครใจ  พวกเราไม่เคยขู่เข็ญใคร และยิ่งไม่เคยทำร้ายหรือแก้แค้นผู้คน  ตรงกันข้าม พวกเราที่ประกาศข่าวประเสริฐกลับถูกผู้คนในศาสนาทุบตีอย่างป่าเถื่อน แจ้งตำรวจ ทั้งยังส่งตัวให้พญานาคใหญ่สีแดงทรมาน พวกเรามากมายหลายคนถูกขังคุก และมีไม่น้อยที่ถึงกับถูกกักขังตามคุกเอกชนที่ผู้คนในศาสนาจัดตั้งขึ้นมา  พวกเราต่างหากที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม!”  หลังจากได้ยินข่าวลือเหล่านี้ พวกเจ้ารู้สึกขุ่นเคืองและอยากโต้เถียงกับพวกเขาตลอดเวลา  พวกเจ้ามีปฏิกิริยาเช่นนี้เพราะข่าวลือเหล่านี้โจมตีและป้ายสีคริสตจักร รวมทั้งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรโดยตรง  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินข่าวลือที่เป็นการป้ายสีและตัดสินพระเจ้า?  ข่าวลือเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความสุจริตใจและศักดิ์ศรีของพวกเจ้า นี่เป็นข่าวลือเกี่ยวกับพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนตอนที่เจ้าเชื่อในพระเยซู บางคนก็บอกว่าพระเยซูประสูติจากหญิงพรหมจารีและไม่มีพระบิดา  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ฟังเช่นนั้น?  เจ้านึกอยากโต้เถียงกับพวกเขาหรือไม่?  “พวกเราเชื่อในพระเจ้า!”  จากนั้นเจ้าก็ตรึกตรองว่า “นางมารีย์เป็นหญิงพรหมจารี และพระเยซูประสูติจากหญิงพรหมจารี ทรงปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  นี่คือข้อเท็จจริง แต่ผู้ไม่มีความเชื่อกลับพูดเรื่องนี้กันอย่างหยาบคาย และฉันไม่ชอบฟังอะไรแบบนั้นเลย!”  อย่างมากที่สุดเจ้าก็อาจจะมีความรู้สึกเช่นนั้น แต่ในหัวใจ เจ้ายังคงรู้สึกว่าการปฏิสนธิโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ขัดกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์อย่างแรง  เจ้าไม่อาจเชื่อในเรื่องนี้ได้เพราะเจ้าเชื่อในวิทยาศาสตร์ เจ้าไม่ได้เชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้าจากหัวใจของเจ้า และไม่เชื่อว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำคือความจริง ดังนั้นเจ้าก็จะไม่ออกไปโต้แย้งคำพูดเยี่ยงมารของผู้ไม่เชื่อ  เป็นเพราะเจ้าไม่มีความจริงและไม่เข้าใจความจริง อย่างมากที่สุดเจ้าก็เห็นว่าข่าวลือที่ผู้คนพูดกันนั้นไม่น่าฟัง และคิดว่าผู้คนไม่ควรพูดจาเช่นนั้นเพราะข่าวลือเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความมีหน้ามีตาของเจ้า เจ้าคิดว่า “ผู้ไม่มีความเชื่อช่างน่าขยะแขยงและชั่วช้านัก!  บังอาจใช้วาจาสกปรก พวกเขาเป็นผู้ไม่เชื่ออย่างแท้จริง!  เป็นมารจริงๆ!”  ก็เท่านั้น และนั่นคืออย่างมากที่สุดที่เจ้าทำได้  หลังจากได้ยินพวกเขาปล่อยข่าวลือพวกนี้ เหตุใดเจ้าจึงรู้สึกเดือดดาลและเห็นว่าผู้ไม่มีความเชื่อนั้นชั่วช้าและน่าขยะแขยง?  เพราะข่าวลือเหล่านี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของเจ้า ข่าวลือเหล่านี้กระทบหัวใจของเจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกขายหน้า นั่นจึงกระตุ้นโทสะของเจ้า และเจ้าก็ลุกขึ้นมากล่าวคำพูดที่เป็นบวกบางอย่างเพื่อหักล้าง  การหักล้างเช่นนี้คือการยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่?  เป็นการปกป้องคำพยานให้พระเจ้าหรือไม่?  ไม่ นี่เป็นไปเพื่อปกป้องหน้าตาและศักดิ์ศรีของเจ้าเองทั้งสิ้น  เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้?  เพราะเจ้าไม่เคยมองทะลุถึงแก่นแท้ของปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือสิ่งที่พระเจ้าต้องประสงค์จากเจ้า  สิ่งที่เจ้าเข้าใจและรู้สึกกลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า เป็นเพียงความหุนหันพลันแล่นและพฤติกรรมที่ดีงามของมนุษย์เท่านั้น  พฤติกรรมอันดีงามของมนุษย์ไม่ได้แสดงถึงการเป็นคำพยานให้พระเจ้าของเจ้า  เจ้าไม่เคยตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า เอาแต่ปกป้องหน้าตาและศักดิ์ศรีของตนเท่านั้น เจ้าหักล้างข่าวลือก็เพื่อให้มโนธรรมในใจเจ้าได้ผ่อนคลายลงบ้าง—เจ้าไม่ได้ยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้าเพื่อพูดแทนพระองค์ และเจ้าก็ไม่ได้ใช้ความจริงหรือข้อเท็จจริงมาหักล้างข่าวลือและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า  เจ้าไม่ได้เอ่ยปากพูดเพื่อพระเจ้า และแน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าพูดไม่สอดคล้องกับความจริง แต่สอดคล้องกับผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของเจ้าเท่านั้น—เพียงเพื่อให้หัวใจของเจ้ารู้สึกหงุดหงิดน้อยลง และเพื่อให้เจ้าไม่รู้สึกว่าการเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเป็นเรื่องน่าอับอาย  ก็เท่านั้นเอง  ฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าได้ยินใครบางคนโจมตีและกล่าวโทษพระเจ้า ใส่ความและตัดสินคริสตจักรของพระเจ้า หรือกระทั่งกล่าวโทษพวกเจ้า พวกเจ้าจึงรู้สึกขุ่นเคืองเป็นพิเศษ ต้องการโต้แย้งและถกเถียงกับพวกเขา เพื่อกอบกู้ความมีหน้ามีตาของตนและชี้แจงเรื่องเหล่านี้  แต่นี่หมายความว่าเจ้าได้ตั้งมั่นในคำพยานของตนแล้วหรือ?  ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น เมื่อไม่เข้าใจความจริงก็ไม่มีคำพยาน!

เวลาพวกเจ้าได้ยินข่าวลือที่แพร่กระจายอยู่ในโลกภายนอก ซึ่งให้ร้ายและโจมตีพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีพระเจ้าบนฟ้าสวรรค์หรือพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลก พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  พวกเจ้าไม่สนใจ หรือรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง?  พวกเจ้าทนไม่ได้และไม่อาจยอมรับได้ หรืออับจนหนทาง?  พอได้ยินข่าวลือเหล่านี้ บางคนก็คิดว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ พระเจ้าไม่ได้ทรงทำสิ่งเหล่านี้  ทำไมโลกและโลกศาสนาจึงโจมตีและให้ร้ายพระองค์อย่างนี้?  พวกเราต้องหมั่นสละตน ทำหน้าที่ของตนเอง และปกป้องพระนามของพระเจ้า  เมื่อพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง ความจริงเกี่ยวกับสรรพสิ่งก็จะปรากฏ และกลุ่มชนทั้งหมดในโลกก็จะมองเห็นว่าพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ที่พวกเราเชื่อคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว เป็นพระเจ้าบนฟ้าสวรรค์ และไม่ผิดไปจากนี้เลย!”  บางคนคิดว่า “พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายเหลือเกิน และคนชั่วที่ไม่มีความเชื่อกับมารพวกนี้ก็รู้ดีว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่ยังคงให้ร้ายและโจมตีพระเจ้า  พระเจ้าต้องทรงทนทุกข์ไปอีกนานเท่าใด?”  กระนั้นกลับมีบางคนกล่าวว่า “ผู้คนอยากพูดอะไรก็พูดได้ พวกเราไม่สนใจพวกเขาหรอก  พระเจ้าไม่เคยหักล้างข่าวลือที่ให้ร้ายพระองค์ พระองค์ไม่ทรงตอบโต้ข่าวลือเหล่านี้  เช่นนั้นแล้วพวกเราที่เป็นมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียวจะทำอะไรได้?  พระเจ้าถูกมนุษย์เข้าใจผิด โจมตี หมิ่นประมาท และปฏิเสธอย่างนี้เสมอมาไม่ใช่หรือ?  พระเจ้าไม่ทรงพร่ำบ่นใดๆ และยังทรงช่วยผู้คนให้รอด  จงปล่อยให้กาลเวลาเผยทุกสิ่งออกมาเถิด พระเจ้าจะทรงเป็นคำพยานให้พระองค์เอง!”  พวกเจ้ามีมุมมองอย่างไร?  เมื่อครู่นี้เราเพิ่งเอ่ยถึงการไม่ยอมจำนน รู้สึกขุ่นเคือง ไม่อาจยอมรับ อับจนหนทาง—พวกเจ้ารู้สึกแบบไหน?  ความรู้สึกใดถูกต้องที่สุด?  ควรรับมือเรื่องเหล่านี้ตามหลักธรรมความจริงอย่างไร?  เวลาได้ยินข่าวลือเหล่านี้ พวกเจ้ารู้สึกอย่างไร?  (ขุ่นเคือง)  ขุ่นเคือง แล้วพวกเจ้าก็ต้องการเขียนคำกล่าวโทษเพื่อประท้วงพวกที่สร้างข่าวลือ พวกฉ้อฉลในศาสนาและคนชั่วในศาสนาเหล่านี้  พวกเจ้ามีความคิดเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าจะรู้สึกว่าแค่กำหมัดด้วยความโมโหยังไม่เพียงพอใช่หรือไม่?  เจ้ารู้สึกอยากทำบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีหรือไม่?  หรือเป็นเพียงความขุ่นเคืองที่ว่างเปล่าเท่านั้น?  (มีความเกลียดชังและการปฏิเสธด้วย)  ความขุ่นเคือง ความเกลียดชัง การปฏิเสธ—นี่คือภาวะอารมณ์ที่เกิดจากกิจกรรมทางความรู้สึกนึกคิด ไม่มีคำพูด พฤติกรรม หรือการกระทำที่เจาะจงลงไป เป็นเพียงภาวะอารมณ์เท่านั้น และแน่นอนว่าภาวะอารมณ์เหล่านี้แสดงถึงท่าทีบางอย่างเช่นกัน  (นอกจากรู้สึกขุ่นเคืองแล้ว บางครั้งพวกเราก็เขียนบทความหรือทำรายการต่างๆ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและเปิดโปงว่าแก่นแท้ของการกระทำของพวกเขานั้นคือความเกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นข้อเท็จจริงที่แท้จริงเหล่านี้)  ผู้คนเหล่านั้นจะยอมรับหลังจากที่มองเห็นข้อเท็จจริงที่แท้จริงหรือไม่?  ต่อให้พวกเขายอมรับว่าสิ่งที่พวกเจ้าพูดมานั้นถูกต้อง แล้วให้ความเห็นอย่างเป็นธรรมว่า “การเชื่อของพวกคุณนั้นถูกต้องแล้ว เชื่อต่อไปเถิด พวกเราสนับสนุน!” ส่วนพวกฉ้อฉลในศาสนาก็รู้สึกละอายแก่ใจและกล่าวว่า “ขอโทษ พวกเราผิดไปแล้ว สิ่งที่พวกเราพูดไปไม่ใช่ข้อเท็จจริง จากนี้ไปพวกคุณเชื่อตามวิถีทางของพวกคุณเถิด และพวกเราก็จะเชื่อตามวิถีทางของพวกเรา” นั่นจะทำให้พวกเจ้ารู้สึกสบายใจหรือไม่?  เป้าหมายที่พวกเจ้าตั้งไว้มีเท่านี้เองหรือ?  (พวกเราต้องการเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าด้วยเพื่อให้พวกที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงและกระหายความจริงสามารถแยกแยะถูกผิดได้อย่างชัดเจนและยอมรับหนทางที่แท้จริง)  นี่เป็นเส้นทางหนึ่ง นี่คือวิธีปฏิบัติที่เป็นบวกวิธีหนึ่ง  การเอาแต่โมโหและเกลียดชังมีประโยชน์หรือไม่?  สาเหตุที่พวกเจ้าโมโหและเกลียดชังคืออะไร?  เหตุใดจึงโมโหและเกลียดชัง?  (พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นเนื้อหนังเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว แต่พวกเขากลับแพร่กระจายข่าวลือเพื่อตัดสินและใส่ร้ายพระเจ้า  พวกเราจึงรู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง พลางคิดว่าพวกเขากำลังกลับผิดให้เป็นถูกและพูดจาเหลวไหลจริงๆ)  พวกเจ้าคิดว่าการที่มวลมนุษย์และโลกปฏิเสธพระเจ้า รวมทั้งมีท่าทีต่อพระเจ้าเช่นนี้เฉพาะในช่วงเวลาที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งนี้เท่านั้นหรือ?  ท่าทีที่มวลมนุษย์และโลกมีต่อพระเจ้าเป็นเหมือนกันมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวโทษ ให้ร้าย โจมตี และหมิ่นประมาทพระเจ้าอยู่เสมอ  ตั้งแต่พระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจของพระองค์มาจนบัดนี้ ท่าทีที่มวลมนุษย์มีต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และต่อพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  มวลมนุษย์ไม่ได้เริ่มโจมตีและหมิ่นประมาทพระเจ้า กุข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์หลังจากที่พระเจ้าประสูติเป็นมนุษย์ครั้งแรกเท่านั้น—ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่พระเจ้าเริ่มทรงพระราชกิจและตั้งแต่มวลมนุษย์ได้สัมผัสพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เป็นครั้งแรก และยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน  ส่วนคนที่ติดตามพระเจ้าก็จำต้องสู้ทนการถูกป้ายสี โจมตี ตัดสิน หมิ่นประมาท รวมทั้งข่าวลือต่างๆ และอื่นๆ จากระบอบของซาตานและกองกำลังทางศาสนาที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ซึ่งคอยต่อต้านพระเจ้าและคริสตจักรอยู่เสมอ  เป็นไปได้หรือว่าผู้ที่ติดตามพระเจ้าจำเป็นต้องสู้ทนกับสิ่งเหล่านี้?  บางคนกล่าวว่า “พวกเราขยะแขยงข่าวลือเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันบิดเบือนข้อเท็จจริงและกลับถูกให้เป็นผิดโดยสิ้นเชิง  ทันทีที่ได้ยิน พวกเราก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และลึกลงไปในหัวใจ พวกเราก็นึกเกลียดพวกที่เสกสรรปั้นแต่งและแพร่กระจายข่าวลือ  ไม่ว่าข่าวลือเหล่านี้จะมาจากโลกศาสนาหรือรัฐบาลมารของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พวกเราก็มีท่าทีเพียงอย่างเดียว นั่นคือท่าทีของความเกลียดชังและความโกรธ แล้วพวกเราก็ต้องการหักล้างข่าวลือและชี้แจงทุกอย่าง”  บางคนถึงกับกล่าวว่า “พวกเราต้องการถกเถียงกับพวกมารและศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ จะได้ทำให้ซาตานอับอายและดูหมิ่นเหยียดหยามมันได้!”  ผู้คนส่วนใหญ่มีมุมมองเช่นนี้ใช่หรือไม่?  มุมมองเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  ถ้ามองจากมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่ก็มีเหตุผล  ผู้คนควรมีความเที่ยงตรงอยู่บ้างและมีภาวะอารมณ์ทุกอย่างตามปกติ พวกเขาควรรักและเกลียดอย่างชัดเจน รักสิ่งที่ควรรักและเกลียดสิ่งที่ควรเกลียด  ผู้คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมีคุณสมบัติเหล่านี้  แต่การมองตามมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้นเพียงพอที่จะสอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่?  กล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ แนวทางนี้ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่?  หรือแท้จริงแล้ว นี่คือท่าทีและแนวทางที่พระเจ้าพอพระทัยหรือไม่?  เวลาที่เรากล่าวเช่นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะเข้าใจบางสิ่งและคิดว่า “พระองค์ตรัสว่านี่เป็นเพียงการมองสิ่งต่างๆ จากมุมมองของความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้น  ดูจากความนัยของสิ่งที่พระองค์ตรัส เห็นได้ชัดว่าแนวทางนี้เป็นแนวทางของความหุนหันพลันแล่น ไม่ตรงตามหลักธรรมความจริง และไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า”  ที่ว่าไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าพระเจ้าไม่มีพระประสงค์ให้ผู้คนกระทำการเช่นนี้ พระประสงค์และมาตรฐานที่พระเจ้าทรงต้องการจากผู้คนไม่ใช่เช่นนี้  หากเจ้ากระทำการเช่นนี้ แม้พระเจ้าไม่ทรงกล่าวโทษ แต่จากมุมมองของพระองค์แล้ว นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้ากำลังทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และพระองค์ก็ไม่ทรงยอมรับเรื่องนี้  ดูจากภายนอกเหมือนเจ้ากำลังกระทำการด้วยเหตุผลเวลาทำสิ่งเหล่านี้ มีทั้งความเกลียดชังและความรัก ต้องการชี้แจงข้อเท็จจริงเหล่านี้เพื่อพระเจ้า เพื่อให้โลกทั้งโลกรู้ว่าพระเจ้าคือพระเจ้า ทรงเป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนควรนมัสการพระเจ้าและยอมรับความรอดจากพระเจ้า  จากภายนอก ดูเหมือนว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นี้ไร้ที่ติ มีเหตุผล และเป็นไปตามกฎ มีความเป็นมนุษย์ มีศีลธรรม และยิ่งไปกว่านั้นยังตรงกับความนิยมชมชอบของผู้คนทั้งปวง  แต่เจ้าเคยถามเรื่องนี้กับพระเจ้าหรือไม่?  เจ้าได้แสวงหาพระเจ้าหรือยัง?  เจ้าได้พบหลักธรรมในการปฏิบัติตนที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่ผู้คนในพระวจนะของพระองค์หรือยัง?  แท้จริงแล้วเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร?  บางคนกล่าวว่า “พระวจนะของพระเจ้ามีมากมายนัก ไม่ง่ายเลยที่จะหาข้อกำหนดจำเพาะที่พระเจ้าทรงมีต่อผู้คนพบในทุกๆ เรื่อง”  ในเมื่อเจ้ายังไม่พบพระวจนะที่แน่ชัดของพระเจ้า แต่เจ้าก็สามารถมองหาเบาะแสจากท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อข่าวลือจำพวกนี้  จากนั้นเจ้าย่อมระบุได้มิใช่หรือว่าท่าทีที่ผู้คนควรมีในเรื่องนี้เป็นเช่นใด และพวกเขาควรปฏิบัติตามหลักธรรมข้อใดโดยอ้างอิงจากท่าทีที่พระเจ้าทรงมีในเรื่องนี้?  (ใช่)  ดังนั้นพวกเราก็มาดูกันเถิดว่าท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อเรื่องนี้แท้จริงแล้วเป็นเช่นใด

นับตั้งแต่มวลมนุษย์เริ่มประสบกับพระราชกิจของพระเจ้า ผู้คนก็พร่ำบ่นและไม่พอใจพระเจ้ามาโดยตลอด ถึงกับแอบเอ่ยวาจาที่น่าสะอิดสะเอียนมากมายซึ่งแสดงถึงความระแวง ความสงสัย การปฏิเสธ และอื่นๆ ต่อพระเจ้า  นอกจากนี้ยังมีข่าวลือต่างๆ นานาจากพรรครัฐบาลและโลกศาสนาซึ่งแน่นอนว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและไม่สอดคล้องกับความจริง  สำหรับพระเจ้าแล้ว ถ้อยคำเหล่านี้คืออะไร?  ไม่ว่าจะเป็นความระแวง ความเข้าใจผิด หรือคำพร่ำบ่น ถ้อยคำเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยการโจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระเจ้า โดยไม่ได้สะท้อนให้เห็นหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว  ในคริสตจักรย่อมมีบางคนที่ไม่รักความจริงอยู่ด้วยเสมอ  คนเหล่านี้คือผู้ไม่เชื่อที่สงสัยพระวจนะของพระเจ้าและความจริง คอยแสดงท่าทีเช่นนี้ต่อพระเจ้า  ส่วนผู้ไม่มีความเชื่อและบรรดาพรรครัฐบาลที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าก็ยิ่งแล้วใหญ่ คนพวกนั้นรังเกียจความจริง—ท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย พวกเขาโจมตีและตัดสินอย่างไร้ยางอาย อยากพูดอะไรก็พูด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฟาริสีในโลกศาสนายิ่งฉวยโอกาสตัดสินและกล่าวโทษอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ  ความคิดเห็นทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก และแน่นอนว่าไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงและไม่ถูกต้อง  เช่นนั้นแล้วความคิดเห็นเหล่านี้มีแก่นแท้เป็นเช่นใด?  สำหรับพระเจ้าแล้ว ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ใช่เพียงถ้อยแถลงหรือมุมมองเท่านั้น แต่ยังเป็นการดูหมิ่น โจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระองค์อีกด้วย  เหตุใดเราจึงกล่าวว่า “สำหรับพระเจ้าแล้ว”?  เพราะพระเจ้าทรงประเมินทั้งหมดนี้ได้อย่างแม่นยำที่สุด พวกเราจึงทำได้เพียงเติมวลีนี้เข้าไปข้างหน้า  ในประวัติศาสตร์ ท่าทีที่มวลมนุษย์มีต่อพระเจ้าเป็นเช่นนี้ตลอดมา วาจาของผู้คนที่โจมตีและจาบจ้วงพระเจ้าก็มีมากมายเหลือคณา ไม่มีสักคำที่มีเจตนาดี  กระทั่งทุกวันนี้สิ่งที่หูของพวกเจ้าได้ยินและตาของพวกเจ้ามองเห็นก็ยังเหมือนเดิม  ตั้งแต่เริ่มต้น ท่าทีทั้งหมดที่มวลมนุษย์มีต่อพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  แล้วพระเจ้าทรงจัดการกับเรื่องเหล่านี้อย่างไร?  พระเจ้าทรงมีเงื่อนไขหรือความสามารถในการจัดประชุมศาสนาระดับโลกเพื่อปกป้องพระองค์เอง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงของพระราชกิจของพระองค์ตามจริง และอธิบายเหตุอันชอบธรรมของพระองค์แก่มวลมนุษย์ได้หรือไม่?  พระเจ้าทรงเคยทำเช่นนี้หรือไม่?  ไม่ พระเจ้ายังทรงเงียบ พระองค์ไม่ทรงชี้แจงสถานการณ์ทั้งหมดนี้ และไม่ทรงปกป้องหรืออธิบายเหตุอันชอบธรรมของพระองค์เองเลย  อย่างไรก็ดี สำหรับคนที่โจมตีพระเจ้าในลักษณะที่ชั่วช้าเป็นพิเศษ พระเจ้าได้ทรงจัดสรรการลงโทษบางอย่างเอาไว้แล้ว ทรงปล่อยให้ข้อเท็จจริงบางอย่างบังเกิดแก่พวกเขา  ส่วนการโจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทโดยสาธารณชนนั้น พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใด?  พระเจ้าทรงจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงเฉยเสีย ทรงทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และทรงทำในหนทางที่ควรทำ ทรงเลือกคนที่พระองค์พึงเลือก ทรงนำผู้ที่พระองค์ควรนำ  โลกทั้งโลกเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์ไม่เคยขัดขวางหรือเปลี่ยนแปลงแผนการของพระองค์เองตามการโจมตี ให้ร้าย หรือหมิ่นประมาทของมนุษย์  เมื่อกองกำลังชั่วของซาตานปราบปรามและจับกุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่ว่าจะบ้าคลั่งเพียงใด พระเจ้าก็ไม่เคยทรงเปลี่ยนแปลงแผนการของพระองค์หรือเปลี่ยนพระทัย  พระดำริและแนวพระดำริทั้งปวงของพระองค์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์เพียงทรงพระราชกิจต่อไปเช่นที่เคยมาตามที่ตั้งพระทัยไว้ว่าจะทำ และบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระองค์เท่านั้น  สำหรับพระเจ้าแล้ว การโจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทเหล่านี้ไม่เคยก่อให้เกิดการแทรกแซงใดๆ พระเจ้าจึงไม่สนพระทัยสิ่งเหล่านี้  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ปกป้องพระองค์เองหรือชี้แจงว่าทรงชอบด้วยเหตุผล?  สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปกติ  ความเป็นมนุษย์ก็คือความเป็นมนุษย์ และซาตานย่อมเป็นซาตาน  เป็นเรื่องปกติมากที่มนุษย์ซึ่งไม่เข้าใจความจริงหรือข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงจะทำเรื่องเช่นนี้  แล้วนี่ส่งผลต่อขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่?  ไม่  พระเจ้าทรงครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทรงมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  สรรพสิ่งและทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดำเนินไปอย่างมีแบบแผนตามพระวจนะของพระเจ้า ตามพระดำริของพระเจ้า และภายใต้อธิปไตยของพระองค์ ไม่ว่ามวลมนุษย์จะพูดหรือทำสิ่งใด ก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อพระราชกิจของพระเจ้าได้ไม่ว่าในหนทางใด—นี่คือสิ่งที่พระเจ้าผู้มีแก่นแท้เป็นพระเจ้าทรงทำได้  พระเจ้าทรงลงมือเมื่อถึงเวลา ทรงทำแผนการของพระองค์ให้ลุล่วงโดยไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ความเห็นของมนุษย์และการโจมตีหรือการให้ร้ายพระเจ้าใดๆ ของมนุษย์ ไม่ว่าจะพยายามขัดขวางและทำลายพระราชกิจของพระเจ้าโดยเจตนา หรือเป็นการก่อกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้าโดยไม่เจตนาก็ตาม พวกเขาก็ไม่เคยบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้  เพราะเหตุใด?  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า เป็นการยืนยันว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีเอกลักษณ์ ไม่มีกำลังบังคับใดสามารถแทนที่ได้ และไม่มีกำลังบังคับใดเหนือกว่า  นี่คือข้อเท็จจริง  พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพนี้ พระเจ้าทรงมีอัตลักษณ์แท้จริงของพระองค์ และไม่มีกำลังบังคับใดสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ แล้วพระเจ้าควรสนพระทัยการโจมตีและให้ร้ายเล็กๆ น้อยๆ ของผู้คนด้วยเหตุใดเล่า?  สำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะมีบุคคลสำคัญมากมายหรืออำนาจที่ยิ่งใหญ่เพียงใดในหมู่มวลมนุษย์จะพยายามแทรกแซง ให้ร้าย โจมตี หรือหมิ่นประมาทพระองค์ ย่อมไม่สามารถรบกวนพระราชกิจของพระเจ้าได้แม้แต่น้อย  ในทางกลับกัน การกระทำเหล่านี้มีแต่จะเน้นให้เห็นถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและมหิทธานุภาพของพระเจ้าเท่านั้น  การก่อกวนโดยกองกำลังชั่วของซาตานเป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์  สิ่งที่สามารถมีอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์ทั้งปวง มีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง และเปลี่ยนแปลงมวลมนุษย์ทั้งปวงได้ก็คือพระราชกิจของพระเจ้า แผนการของพระเจ้า ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริง  ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าจำเป็นต้องใส่พระทัยการดูหมิ่น โจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระองค์ของผู้คนหรือไม่?  ไม่  เพราะพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ สำหรับพระเจ้าแล้ว ถ้อยแถลงของพระองค์ที่ว่า “เราหมายความตามที่เรากล่าว สิ่งที่เรากล่าว เราจะทำ และสิ่งที่เราทำจะยืนยงตลอดกาล” ย่อมจะเป็นจริงเสมอ ซึ่งก็กำลังกลายเป็นจริงและกำลังจะลุล่วงในทุกวัน  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้า  บางคนถามว่า “นี่คือความมั่นใจของพระเจ้า คือความเชื่อของพระองค์หรือ?”  เจ้าเข้าใจผิดแล้ว!  มนุษย์มีความมั่นใจ มนุษย์จำเป็นต้องมีความเชื่อ แต่ไม่ใช่พระเจ้า  เพราะเหตุใด?  เพราะพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ ไม่ว่ามวลมนุษย์จะให้ร้ายหรือกล่าวโทษพระองค์อย่างไร ไม่ว่ากองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ของซาตานจะก่อกวนและบ่อนทำลายอย่างไร ก็จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องกำจัดกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ในหมู่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ซึ่งโจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระองค์เสียก่อน แล้วค่อยทรงพระราชกิจของพระองค์  แล้วพระเจ้าทรงพระราชกิจภายใต้สภาพการณ์เช่นใด?  พระองค์ทรงได้ชัยชนะภายใต้สภาพการณ์เช่นใด?  พระองค์ทรงพระราชกิจสำเร็จลุล่วงภายใต้สภาพการณ์เช่นใด?  พระองค์ทรงพระราชกิจท่ามกลางเสียงอื้ออึงของการโจมตี ให้ร้าย และหมิ่นประมาทของมวลมนุษย์ทั้งปวงและกองกำลังที่เป็นปฏิปักษ์ทั้งหมด พระองค์ทรงพระราชกิจสำเร็จลุล่วงในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศเช่นนี้  นี่แสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามิใช่หรือ?  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ใครเล่าจะปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้?  เจ้ากล้าไม่ยอมรับหรือว่านี่คือข้อเท็จจริง?

ในประวัติศาสตร์ มวลมนุษย์ได้ให้ร้ายและหมิ่นประมาทพระเจ้ามาโดยตลอด และในยุคสุดท้าย กองกำลังต่างๆ ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหมดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ส่งเสียงให้ร้ายและกล่าวโทษพระเจ้ากันมากขึ้น  มวลมนุษย์ใช้วิธีการต่างๆ ทั้งทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต และสื่ออื่นๆ มาให้ร้ายและโจมตีพระเจ้า  แต่พวกเราเคยชำแหละข่าวลือเหล่านี้ในการชุมนุมทุกครั้งของพวกเราหรือไม่?  (ไม่)  เพราะเหตุใด?  บางคนถามว่า “เพราะถึงอย่างไรคนบริสุทธิ์ย่อมเป็นคนบริสุทธิ์ และข่าวลือจะยุติเมื่อถึงหูผู้มีปัญญาใช่หรือไม่?”  เพราะเหตุนั้นหรือไม่?  (โดยพื้นฐานแล้ว ข่าวลือเหล่านี้ไม่สามารถส่งผลต่อพระราชกิจของพระเจ้า  ไม่ว่าซาตานจะก่อกวนอย่างไร ก็ไม่สามารถทำลายหรือขัดขวางความก้าวหน้าของพระราชกิจและแผนการของพระเจ้าได้)  ซาตานก็เป็นเช่นนั้นเอง ตราบใดที่พระเจ้าทรงกระทำการ ตราบใดที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ มันก็มาก่อกวน  มันมีบทบาทเช่นนี้จริงๆ  เจ้าหยุดมันไม่ให้ทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  เจ้าต้องให้มันมีพื้นที่มากพอ มีเวทีมากพอ และมีโอกาสมากพอในการแสดงออก  เมื่อมันแสดงออกมากพอแล้ว เหน็ดเหนื่อยจากความวุ่นวายของตัวมันเอง และทำความชั่วไปมากพอแล้ว วันเวลาของมันย่อมสิ้นสุดลง  พวกเราไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอันมีค่าไปชำแหละและวิเคราะห์ข่าวลือต่างๆ และการทำชั่วของมัน เพื่อที่จะลบล้างข่าวลือเหล่านี้ การทำเช่นนั้นย่อมเปล่าประโยชน์และไม่คุ้มค่า  การชำแหละสิ่งเหล่านั้นจะมีประโยชน์อันใด?  แสดงให้เห็นได้หรือไม่ว่าผู้คนเข้าใจความจริง?  มีความจริงมากมายเหลือเกินที่ผู้คนควรเข้าใจ พวกเขารับฟังความจริงทั้งหมดนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะหักล้างข่าวลือเหล่านี้ได้  ผู้คนมีเวลาเหลือเฟือเช่นนั้นเลยหรือ?  กล่าวตามตรง แท้จริงแล้วเราไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น และไม่เต็มใจที่จะเอ่ยถึงหรือให้ความสนใจ  บางคนถามว่า “หลายปีมานี้ พระองค์ไม่กล้าเสด็จไปที่ใดเลยใช่หรือไม่?  มีข่าวลือมากมายกระจายไปทั่วว่า พระองค์ทรงวิตกกังวลและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเสด็จไปที่ใดใช่หรือไม่?”  เราตอบว่าเราไม่รู้สึกอะไรเลย  บางคนถามว่า “พระองค์ไม่ประสงค์จะปกป้องพระองค์เองในเรื่องที่พระองค์ไม่ได้ทำหรอกหรือ?”  มีอะไรให้ปกป้อง?  เราทำงานที่ถูกที่ควรของเราเองไม่ทันด้วยซ้ำไป!  เราสนทนากับผู้คน กับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ไม่ใช่กับหมู่มาร  บางคนถามว่า “การได้ยินข่าวลือเหล่านี้ไม่ทำให้พระองค์กริ้วหรอกหรือ?”  เราตอบว่าเราไม่รู้สึกอะไร ข่าวเหล่านี้ไม่ทำให้เรารู้สึกอะไร เราไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้  บางคนถามว่า “พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมหรอกหรือ?”  เราตอบว่าเราไม่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มีอะไรให้รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม?  เราทำสิ่งที่เราทำได้ ทำสิ่งที่เราควรทำ ทำสิ่งที่เราทำได้และสิ่งที่ควรทำนั้นให้ดี ลุล่วงความรับผิดชอบของเรา—นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด นั่นจึงมีความหมาย  เราจะไม่ว่อกแว่กหรือใช้เวลาไปกับสิ่งที่ไร้ความหมายและไร้ค่าเหล่านั้น  เราไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องเหล่านั้น  บางคนถามว่า “แล้วเมื่อพระองค์ทรงมีเวลาว่างเล่า พระองค์จะสนพระทัยเรื่องเหล่านั้นหรือไม่?”  ไม่ แม้ในยามที่มีเวลาว่างเราก็ไม่สนใจ  เราคุยกับสุนัขของเรายังดีกว่าไปสนทนากับหมู่มาร  หากเจ้ารู้ชัดว่าเป็นมารที่เที่ยวพล่ามวาจาเยี่ยงมารของมัน แล้วจะไปสนใจทำไม?  เจ้าไม่ควรสนใจแม้แต่น้อย การปล่อยให้มารอับอายโดยสิ้นเชิงคือเรื่องถูกต้องที่ควรทำ  สรุปแล้ว ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อข่าวลือเหล่านี้เป็นดังนี้ ในการทำสิ่งใดหรือตรัสแต่ละประโยค พระเจ้าไม่ทรงแสดงความชอบธรรมของพระองค์ ไม่ทรงพิสูจน์พระองค์ต่อมวลมนุษย์ และแน่นอนว่าไม่ทรงชี้แจงพระองค์เองต่อซาตานที่เป็นศัตรูของพระองค์ว่าพระองค์บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำความผิด และไม่มีความผิด  ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเป็นไปเพื่อการบริหารจัดการของพระองค์ เพื่อช่วยมนุษย์ที่พระองค์ตั้งพระทัยจะช่วยให้รอด  พระองค์ทรงทำตามแผนบริหารจัดการของพระองค์ทีละขั้นทีละตอน พระองค์ไม่ได้ทรงทำเช่นนั้นเพื่อแสดงให้ใครดู และไม่ใช่เพื่อยืนยันอัตลักษณ์ของพระองค์  หากกล่าวในแง่ของมนุษย์ ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำล้วนทำตามสัญชาตญาณ ปราศจากความไม่จริงใจหรือนิ่งดูดาย  การที่พระเจ้าทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ตามสัญชาตญาณ ย่อมยืนยันอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์  มวลมนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแผนการของพระเจ้า และไม่สามารถอยู่เหนือสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า นี่คือข้อเท็จจริง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่สนพระทัยข่าวลือและวาจาเยี่ยงมารที่โจมตีและให้ร้ายพระองค์ไม่ว่าจากฝ่ายใดในหมู่มวลมนุษย์  จงบอกเราเถิดว่า การที่พระเจ้าจะตรัสพระวจนะสักบทหนึ่งหรือทรงอักษรกล่าวโทษเพื่อทักท้วงการโจมตีและไม่ยอมรับพระเจ้าของโลกศาสนาและพรรครัฐบาลทั้งหลายในโลกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ย่อมจะเป็นเรื่องง่ายมากไม่ใช่หรือ?  แต่พระเจ้าจะไม่ทรงทำเช่นนี้กับซาตาน  พระเจ้าทรงดำเนินการตามหลักธรรม ส่วนเรื่องที่พระเจ้าจะทรงทำลายกองกำลังชั่วของซาตานนั้น พระองค์ทรงมีกำหนดเวลาของพระองค์เอง  สำหรับพระเจ้าแล้ว การลงมือทำย่อมง่ายดายเหลือเกิน  พระเจ้าทรงสามารถกระทำการอัศจรรย์บางอย่างในฟ้าสวรรค์ก็เป็นได้ และทันใดนั้นฟ้าสวรรค์ก็จะแยกออกพร้อมกับมีสุรเสียงดังขึ้นว่า “เราคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวที่พวกเจ้าให้ร้าย โจมตี และหมิ่นประมาท เราคือองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่พวกเจ้าให้ร้ายและหมิ่นประมาทกันอยู่ในตอนนี้!”  เมื่อได้ยินดังนี้ มวลมนุษย์ย่อมจะตกตะลึงทันทีและทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หมอบกราบลงกับพื้น ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตนเองเท่านั้น  ประโยคเดียวนี้จะแก้ไขทุกสิ่ง พิสูจน์ทุกอย่าง เมื่อนั้นจะมีใครกล้าดูหมิ่นพระเจ้าหรือไม่?  หมู่มารในโลกศาสนาพวกนั้นย่อมจะหวาดกลัวจนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมิใช่หรือ?  ซาตานกุข่าวลือเกี่ยวกับพระเจ้า มันให้ร้ายและโจมตีพระเจ้า ทำให้คนที่เชื่อในพระเจ้าโมโหและเกลียดชัง กินไม่ได้หรือนอนไม่หลับ อยากเขียนบทความและผลิตรายการมาหักล้างมัน ในขณะที่พระเจ้าทรงกระทำการอย่างเรียบง่าย—พระองค์สามารถตรัสเพียงไม่กี่ประโยคแล้วมวลมนุษย์ทั้งปวงก็ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง ไม่กล้าโจมตีหรือหมิ่นประมาทพระองค์อีกต่อไป  เปาโลถูกทำให้เชื่อฟังได้อย่างไร?  (พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขาบนถนนสู่ดามัสกัส)  พระเจ้าทรงปรากฏแก่เขา  ที่จริงแล้วเขามองไม่เห็นสิ่งใดเลย มีเพียงความสว่างเท่านั้นที่ทำให้เปาโลตกใจกลัวมากจนล้มลงไปหมอบอยู่ที่พื้น และไม่กล้าข่มเหงพระเยซูอีกต่อไป  การจัดการกับซาตานง่ายดายเช่นนั้นเอง แท้จริงแล้วถือว่าง่ายเกินไปสำหรับพระเจ้า  พระเจ้าทรงสะสางได้ด้วยพระวจนะเพียงคำเดียว  การทำเช่นนี้ย่อมจะง่ายกว่าการใช้เวลาหลายทศวรรษมาตรัสให้พวกเจ้าฟังและทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับพวกเจ้ามากนัก แต่พระเจ้าก็ทรงทำเช่นนี้  เพราะเหตุใด?  มีความลับที่เราต้องบอกพวกเจ้าก็คือ มนุษย์คือผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด ซึ่งก็คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ส่วนคนที่เหลือซึ่งพระเจ้าไม่ได้ทรงเลือกนั้นไม่ถือว่าเป็นมนุษย์ แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นหมู่มาร ซึ่งไม่คู่ควรที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรที่จะรู้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้า  ฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงกระทำการในหนทางนี้  อัตลักษณ์ของพระเจ้านั้นทรงเกียรติ ไม่ใช่ว่าใครนึกอยากมองเห็นพระองค์ก็จะทำเช่นนั้นได้ และพระองค์จะไม่ทรงปรากฏแก่ใครบางคนเพราะพวกเขาตั้งใจและกระตือรือร้นที่จะแหงนหน้ามองที่ใดที่หนึ่งบนท้องฟ้าด้วยหัวใจทั้งดวงอยู่เสมอ  เจ้านึกหรือว่าใครอยากมองเห็นพระเจ้าก็เห็นได้?  พระเจ้าทรงมีพระเกียรติ พระเจ้าทรงปรากฏแก่ผู้ที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว พระองค์ทรงปรากฏตามสถานที่อันบริสุทธิ์และทรงซ่อนเร้นจากสถานที่อันโสมม  ไม่จำเป็นต้องเสวนาว่ามวลมนุษย์ทั้งปวงโสมมหรือบริสุทธิ์  มวลมนุษย์ทั้งหมดนี้ไม่สมควรได้เห็นพระเจ้า พวกเขาไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะทรงปรากฏแก่พวกเขาด้วยเหตุใด?  พวกเขาไม่คู่ควร!  พระเจ้าทรงทำสิ่งต่างๆ ได้ แต่ไม่ทรงทำสิ่งเหล่านั้น นี่ยืนยันว่าพระเจ้าถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น และอัตลักษณ์ของพระองค์นั้นทรงเกียรติ  จงบอกเราเถิด หากซาตานสามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ วันหนึ่งๆ มันจะทำสิ่งเหล่านั้นสักกี่ครั้ง มันจะอวดตัวมากขนาดไหน?  เมื่อมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามได้ดำรงตำแหน่งเล็กๆ และพอมีอำนาจอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะอวดอ้างอำนาจกันขนาดไหน—ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซาตานที่ย่อมจะใช้อำนาจในทางที่ผิดและอวดเบ่งอำนาจเล็กน้อยที่มันมีด้วยวิธีที่ไม่อาจจะจินตนาการได้  พระเจ้าไม่ทรงกระทำการเช่นนี้ จงอย่าเอาตรรกะของซาตานมาประเมินพระเจ้า เพราะนั่นจะเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์  สำหรับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำได้นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับพระเจ้าว่าพระองค์ทรงประสงค์จะทำหรือไม่ หากพระเจ้าต้องประสงค์ ย่อมเกิดขึ้นได้ทันที และหากพระองค์ไม่ต้องประสงค์ ก็ไม่มีใครสามารถบังคับพระองค์ได้  ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อข่าวลือมีเพียงเท่านี้—คือทรงเพิกเฉย  พระเจ้ายังทรงทำสิ่งที่พระองค์พึงทำ สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ ไม่มีใคร ไม่มีกำลังบังคับใดสามารถล้มหรือเปลี่ยนแปลงแผนการของพระองค์ได้  ข่าวลือที่โจมตี ให้ร้าย และลบหลู่พระเจ้าเหล่านี้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้  ถึงอย่างไรข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้นและจะไม่มีวันกลายเป็นข้อเท็จจริงไปได้  ต่อให้ข่าวลือเหล่านั้นสอดคล้องกับปรัชญา วิทยาศาสตร์ ศีลธรรม ทฤษฎีของมนุษย์ และอื่นๆ ต่อให้มนุษย์ทั้งมวลลุกฮือขึ้นมาโจมตีพระเจ้า ความจริงก็จะไม่ยืนอยู่ข้างมวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ก็จะไม่กลายเป็นผู้มีความจริง  พระเจ้าย่อมเป็นพระเจ้าตลอดกาล อัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าซาตานจะก่อกวนอย่างไร พระราชกิจของพระเจ้าก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างมีระเบียบแบบแผน เพราะนี่คือพระราชกิจของพระเจ้า  หากเป็นงานของมนุษย์ ระบอบของซาตานที่คอยก่อกวนดังกล่าวและกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในสังคมที่ลงมือโจมตีและให้ร้ายเช่นนั้นย่อมจะทำให้งานนั้นพังทลายและจบสิ้นไปแล้ว  เฉพาะเมื่อพระเจ้าตรัสและทรงพระราชกิจ เฉพาะเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจเท่านั้น คริสตจักรจึงจะเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือข้อเท็จจริงมิใช่หรือ?  พวกเจ้าได้เห็นข้อเท็จจริงนี้แล้วหรือยัง?  (เห็นแล้ว)  พวกเจ้าได้เห็นสิ่งใดบ้าง?  (ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรเผยแผ่ไปหลายสิบประเทศแล้ว และข่าวลือที่ซาตานกุขึ้นและกระจายออกไปนั้นก็ไม่ได้หยุดยั้งคนที่รักความจริงจากการหันมาหาพระเจ้าเลย)  นี่คือการกระทำของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้าย่อมสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้ พระวจนะของพระเจ้าย่อมสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้—นี่อยู่เหนือความคาดหมายของซาตาน  พระวจนะของพระเจ้ามีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ข่าวประเสริฐกำลังเผยแผ่ไปในทิศทางที่ดี และทุกสิ่งก็ดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบตามแผนการของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดคลาดเคลื่อน  พระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้ากำลังเผยแผ่ไปในหมู่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรดังที่มีการลิขิตล่วงหน้าเอาไว้นานแล้ว  จำนวนผู้คนที่ได้จากการประกาศข่าวประเสริฐและจำนวนผู้คนที่สืบค้นหนทางที่แท้จริงก็เพิ่มขึ้นทุกเดือน  นี่แสดงให้เห็นมิใช่หรือว่างานข่าวประเสริฐได้เผยแผ่ไปอย่างไร?  หากไม่ใช่พระราชกิจของพระเจ้า ไม่ว่าจะมีคนมากมายต้องจ่ายราคาไปมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลเช่นนี้ได้  นี่คือฤทธานุภาพของพระเจ้า เป็นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากฤทธานุภาพแห่งพระวจนะของพระเจ้า

พวกเรากลับมาคุยเรื่องที่ว่าผู้คนรับมือข่าวลือต่างๆ อย่างไรกันเถิด  ผู้คนไม่อาจมีท่าทีต่อข่าวลือต่างๆ เหมือนพระเจ้าได้  พวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และเมื่อได้ฟังข่าวลือ พวกเขาก็รู้สึกอยู่เสมอว่า “ถ้าฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็จะกลายเป็นว่าฉันไม่ฟังมโนธรรมของตนเอง  ถ้าผู้คนที่สร้างข่าวลือเป็นฝ่ายชนะ ฉันจะรู้สึกอึดอัด ไม่พอใจ และขุ่นเคือง รู้สึกว่าไม่สมดุล ดังนั้นฉันต้องหักล้างพวกเขา  ฉันต้องทำวิดีโอ หรือเขียนบทความมาชี้แจงข่าวลือ”  การคิดทบทวนว่าการทำสิ่งต่างๆ ภายใต้กรอบความคิดเช่นนี้ตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือไม่ สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่ เป็นเรื่องคู่ควร  ถ้าจุดประสงค์และแรงจูงใจของเจ้าในการทำหน้าที่ของตนและงานของคริสตจักรมีเพียงเพื่อชี้แจงข่าวลือและอธิบายให้ชัดเจนเท่านั้นว่าพวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง และทุกสิ่งที่พวกเจ้าทุกคนทำไปเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้านั้นเที่ยงธรรมตลอดมา—และเป็นเพราะชาวโลกไม่รู้หรือเข้าใจความจริงซึ่งก็คือข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้นั่นเอง พวกเขาจึงกล่าวหาพวกเจ้าอย่างไม่มีมูลว่าก่ออาชญากรรมมากมาย—ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงหวังว่าเมื่อชี้แจงทุกสิ่งแล้ว โลกก็จะตระหนักว่าพวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทุกฝ่ายในโลกจะยอมรับรู้โดยทั่วกันว่า “พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ พวกเจ้าเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้พวกเจ้าทำล้วนถูกต้องและเป็นเหตุอันควรทั้งสิ้น” แล้วอย่างไรต่อ?  จากนั้นพวกเจ้าก็จะรู้สึกสบายใจและรู้สึกว่าการเชื่อของตนมีเหตุผลอันชอบธรรมกระนั้นหรือ?  พวกเจ้าย่อมจะออกเดินไปในครรลองที่ถูกต้องของการเชื่อในพระเจ้าแล้วกระนั้นหรือ?  พวกเจ้าย่อมจะออกเดินไปบนเส้นทางแห่งความรอดโดยไม่มีการแทรกแซงจากภายนอกแล้วกระนั้นหรือ?  พวกเจ้าย่อมจะเกิดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่?  ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าหรือไม่?  ถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่)  เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้คนจะไม่เข้าใจเจ้าผิด มีแต่จะสรรเสริญและเคารพเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าก็จะสามารถเชื่อในพระเจ้าได้ด้วยมโนธรรมที่ชัดเจน?  แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้!  แน่นอนว่าผู้คนไม่อาจมีท่าทีต่อข่าวลือเช่นเดียวกับพระเจ้าได้ แต่คนเราก็ควรมีทัศนคติที่ถูกต้อง มีท่าทีและจุดยืนที่ถูกต้อง พลางกล่าวว่า “ข่าวลือพวกนี้น่าชังและน่าขยะแขยงจริงๆ  เห็นได้จากข่าวลือพวกนี้ว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้เป็นศัตรูกับพระเจ้าโดยแท้ นี่ถูกต้องแน่นอน!  ฉันต้องไม่ตัดสินว่าพระราชกิจของพระเจ้าถูกหรือผิดตามข่าวลือของซาตาน  ด้วยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและด้วยประสบการณ์ในการทำหน้าที่ของตน ฉันยืนยันได้ว่าพระวจนะทุกคำของพระเจ้าคือความจริง และทุกสิ่งที่พระองค์ทำก็ทำให้ผู้คนสามารถได้รับความรอด  เมื่อมาเบื้องหน้าพระเจ้าในวันนี้เพื่อน้อมรับความรอดจากพระองค์แล้ว ฉันก็ควรทำหน้าที่ของฉัน ลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบที่จะเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้า ป่าวประกาศพระนามของพระองค์ และเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้าและเจตนารมณ์ของพระองค์ เพื่อให้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกลับคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และได้รับเสบียงที่เป็นพระวจนะและชีวิตจากพระองค์ได้โดยไวและเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้  นี่คือภาระผูกพันของฉัน เป็นความรับผิดชอบของฉัน  ฉันกำลังให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า แต่ไม่ใช่เพื่อที่จะสร้างเหตุอันชอบธรรมว่าเส้นทางที่ฉันเดินอยู่นี้เป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือว่าฉันลงมือทำสิ่งที่เป็นเหตุอันควร—ไม่ใช่เพื่อสิ่งเหล่านี้  ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเพื่อตอบโต้การโจมตีและให้ร้ายที่ซาตานทำต่อพระเจ้า  แต่ฉันกำลังลุล่วงภาระผูกพันและความรับผิดชอบของตนเองและแน่นอนว่าลุล่วงความจงรักภักดีของฉันเอง เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า ยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้า และให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า”  นี่ใช่ทัศนคติที่ถูกต้องหรือไม่?  นี่ใช่ทัศนคติที่ผู้คนควรมีหรือไม่?  (ใช่)  เมื่อมองตามมุมนี้ เวลาผลิตรายการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงนมัสการ เต้นรำ ทำภาพยนตร์ หรือสร้างละครเวทีเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์ก็ตาม จุดยืนของผู้คน มุมมองที่พวกเขายืนดูอยู่ และถ้อยแถลงจำเพาะบางอย่างที่พวกเขามี ก็ควรก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างมิใช่หรือ?  (ใช่)  อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่ขณะปฏิบัติงานทั้งหมดนี้ กลับทำงานด้วยความมุทะลุและเกลียดชัง มีภาวะอารมณ์ของมนุษย์มาปะปน  ฉะนั้น พวกเขาจึงเปิดโปงการกระทำและพฤติกรรมของผู้ไม่มีความเชื่อ พรรครัฐบาล และโลกศาสนามากเกินไป ถ้อยคำของพวกเขาเกรี้ยวกราดเกินไป ส่งผลที่ค่อนข้างเป็นลบต่อผู้อื่นหลังจากที่ผู้อื่นรับชมรายการดังกล่าว  สาเหตุก็ธรรมดา กล่าวคือ ผู้คนทำกิจกรรมทั้งหมดนี้ด้วยภาวะอารมณ์บางอย่างจากมุมมองที่ไม่ค่อยถูกต้อง  และผู้คนก็ยังคงรู้สึกว่านี่ยุติธรรมทีเดียว พลางกล่าวว่า “พวกเขาโจมตี ป้ายสี และสร้างข่าวลือเรื่องของพวกเรา การเปิดโปงพวกเขามีอะไรผิด?  นี่เป็นการป้องกันตัวโดยชอบ!  การปกป้องตัวเองโดยชอบย่อมไม่ผิดกฎหมาย และพวกเราก็ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา พวกเราทุกคนกำลังชำแหละเรื่องราวตามข้อเท็จจริง  พวกเขากุข่าวลือเรื่องพวกเราขึ้นมาด้วยการปั้นน้ำเป็นตัว ผิดหรือที่พวกเราจะเปิดโปงและชำแหละพวกเขาบ้าง?  พวกเราตอบโต้ไม่ได้หรือไร?”  ตอบโต้แล้วได้ประโยชน์อะไร?  พวกมารเต็มไปด้วยเรื่องโกหกและไม่เคยมีถ้อยแถลงที่เป็นความสัตย์จริงสักคำ การชำแหละเรื่องโกหกของพวกเขาตลอดเวลาเพื่อทำให้พวกเขาตระหนักว่าสิ่งที่พวกเขาพูดออกมานั้นเป็นเรื่องโกหก และหลังจากที่พวกเขายอมรับว่าโกหก พวกเขาจะได้ไม่มีวันโกหกอีก—นั่นมีคุณค่าอันใดหรือไม่?  พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  วิธีนั้นจึงเบาปัญญาและไม่รู้ความมิใช่หรือ?  เราพูดมานานแล้วว่างานหลักของพวกเราคือการเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้า ผลสัมฤทธิ์โดยพระราชกิจของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ และผลที่พระวจนะของพระองค์มีต่อผู้คน ส่วนเรื่องที่พรรครัฐบาลปราบปรามและข่มเหง เรื่องที่โลกศาสนาไม่ยอมรับและกล่าวโทษนั้น เพียงกล่าวถึงความเป็นมาบางอย่างที่เกี่ยวข้องก็พอแล้ว  แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไร ผู้คนก็ไม่อาจเข้าใจได้  พวกเขาจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยความมุทะลุและอยากเถียงอยู่เสมอ  แล้วผลเป็นเช่นไร?  ไม่ได้ให้ผลอะไรเลย เพราะกองกำลังอันชั่วของซาตานนั้นเหลือวิสัยที่จะใช้เหตุผลด้วย  นี่จึงเป็นความเบาปัญญาและไม่รู้ความของผู้คนมิใช่หรือ?

บางคนประกาศข่าวประเสริฐ เรียนรู้สายงานด้านเทคนิคบางอย่าง หรือทำหน้าที่บางอย่าง โดยมีแรงจูงใจเพียงอย่างเดียวคือเพื่อชี้แจงข่าวลือและอธิบายเรื่องจริงแก่ผู้คน ประกาศสงครามกับโลกมืดและคนชั่วที่ไม่ยอมรับพระเจ้า  การทำเช่นนี้ใช่ความยุติธรรมหรือไม่?  ไม่ว่าเจ้าจะถูกหรือผิดที่ทำเช่นนี้ เจ้าก็จำต้องทำความเข้าใจว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงช่วยคนเลวที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ให้รอด?  การที่เจ้าทำดังนี้มีคุณค่าอันใดหรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจว่าพระเจ้าทรงช่วยมนุษย์แบบใดให้รอด เจ้าคอยแสดงมุมมองบางอย่างอยู่เสมอที่ดูเหมือนถูกต้อง แต่แท้จริงแล้วผิด นี่ย่อมกีดขวางความรอดของเจ้าเองมิใช่หรือ?  บางคนทำหน้าที่ของตนเพียงเพื่อที่จะต่อสู้กับกองกำลังอันชั่วที่ไม่ยอมรับพระเจ้าและเพื่อต่อต้านกระแสนิยมทางโลก  “พวกเขาบอกว่าพวกเราละเลยครอบครัวและไม่ดำรงชีวิตตามปกติ ฉันก็เลยอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำหน้าที่ของตนให้ดี  ในอนาคตเมื่อฉันไปสวรรค์ เข้าสู่ราชอาณาจักร และพวกเขาก็ถูกพิพากษา พวกเขาจะได้มองเห็นว่าฉันเป็นฝ่ายถูก!”  การพิสูจน์ตนเองเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด?  ต่อให้เจ้าพิสูจน์ตนเองไปแล้ว นั่นจะทำประโยชน์อะไรได้?  นั่นแสดงให้เห็นสิ่งใด?  มีคุณค่าอะไรในนั้น?  ถ้าการทำเช่นนั้นเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าสู่ราชอาณาจักรและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าได้จริง เช่นนั้นก็ย่อมจะคุ้มค่า และเส้นทางของเจ้าก็ย่อมจะถูกต้อง  แต่น่าเสียดายที่เส้นทางนั้นไม่อาจใช้การได้  นั่นไม่ใช่เส้นทางที่พระเจ้าทรงลิขิตล่วงหน้าให้ผู้คน และพระเจ้าก็ไม่ได้ทรงกำหนดให้ผู้คนกระทำการเช่นนั้น  ผู้คนเบาปัญญาอยู่เสมอ คิดไปว่าเพราะพวกเขายืนอยู่ข้างความจริงและมีความจริง พวกเขาจึงต้องทำสิ่งต่างๆ ตามเหตุอันควร ประกาศสงครามกับโลกชั่วนี้และทุกคนที่กุข่าวลือขึ้นมา โดยกล่าวว่า “พวกเราเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า พวกเราทำหน้าที่ของตน—พวกเราจะแสดงให้พวกคุณดูว่าใครกันแน่ที่อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง!”  นี่ไม่ใช่ความมุทะลุหรอกหรือ?  มีประโยชน์อะไรที่จะโต้เถียงในเรื่องเหล่านี้?  ไม่มีคุณค่าอะไรเลย  ถ้าเจ้ามีเวลาและมีพลังงานจริง ไปเรียนรู้สายงานเพิ่มเติม ศึกษาหาความรู้และเรื่องทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับสายงานสักอย่างเพิ่มเติมจะดีกว่า  นี่ย่อมเป็นประโยชน์และเกื้อหนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงขับเคี่ยวกับกองกำลังอันชั่วของโลกอยู่เสมอ?  เหตุใดจึงขับเคี่ยวกับข่าวลืออยู่ตลอดเวลา?  นี่คือการทุ่มเทความพยายามให้กับเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นมิใช่หรือ?  ไม่ว่าคนอื่นจะโจมตีเจ้าอย่างไร ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสนใจพวกเขา  พวกเขามีธรรมชาติเยี่ยงมาร และเป็นสัตว์ร้าย เป็นเพียงอะไรทำนองนั้นเท่านั้น พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงพวกเขา และไม่ตรัสแก่พวกเขา  พระเจ้าทรงเพิกเฉย แล้วเจ้าต้องสนใจพวกเขาหรือไม่?  ถ้าผู้คนยืนกรานที่จะดื้อรั้นทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ทำ นี่ย่อมเขลาและไร้ซึ่งปัญญาอยู่บ้างมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ไม่มีหัวใจที่นบนอบพระเจ้า และไม่รักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก หรือเกลียดสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด  เจ้าไม่ดูว่าพระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นใดต่อสิ่งเหล่านี้—พระเจ้าไม่สนพระทัย เจ้าไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น  ในพระราชกิจสามระยะของพระเจ้า พระเจ้าย่อมตรัสพระวจนะมากมายในแต่ละระยะ  มีบทสนทนาระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์อยู่มากนัก และจากบทสนทนาเหล่านี้ คนเราก็สามารถมองเห็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระอุปนิสัย และแก่นแท้ของพระเจ้าได้  อย่างไรก็ดี พระเจ้าไม่เคยตรัสเล่าว่าพระองค์สนทนากับซาตานอย่างไรในเรื่องจำเพาะบางอย่าง ซึ่งจะเป็นการเปิดโปงซาตาน เปิดโอกาสให้มวลมนุษย์มองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของซาตานอย่างชัดแจ้ง และมองเห็นชัดเจนว่าซาตานปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไร  มีเรื่องราวเช่นนั้นมากมายนัก แต่พระเจ้าก็ไม่ตรัสถึง  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ตรัสถึงเรื่องเหล่านั้น?  เพราะการตรัสถึงเรื่องเหล่านั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า  สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าที่สุดก็คือพระวจนะเรื่องพระชนม์ชีพของพระเจ้า พระวจนะที่ทำให้เจ้าสามารถมาเบื้องหน้าพระเจ้าและกลายเป็นคนที่นบนอบพระเจ้า ยำเกรงพระเจ้า และหลบเลี่ยงความชั่วได้นี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเจ้าที่สุด  พระเจ้าตรัสบอกเจ้าว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร ควรพูดจาอย่างไร ควรใช้วิจารณญาณดูผู้คนและเรื่องราวต่างๆ เรียนรู้ที่จะปฏิบัติความจริง และเป็นผู้มีปัญญาในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร—นี่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าทั้งสิ้น  พระเจ้าตรัสและทำทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้า  พระเจ้าไม่ตรัสคำที่ไม่มีประโยชน์ต่อเจ้าแม้แต่คำเดียว  พระเจ้าย่อมจะตรัสถ้อยคำเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเหลือเกินมิใช่หรือ?  แล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ตรัสคำเหล่านั้น?  เพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่ได้ต้องการคำเหล่านั้น  ข่าวลือพวกนี้ก็เหมือนถ้อยคำของหมู่มารและซาตาน พระเจ้าจึงไม่สนพระทัย ดังนั้นเจ้าก็ไม่ควรขับเคี่ยวกับข่าวลือพวกนี้เช่นกัน  เข้าใจหรือไม่?  (เข้าใจแล้ว)  เมื่อเจ้าเข้าใจ เจ้าย่อมรู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรใช่หรือไม่?  จงอย่าพยายามชำแหละข่าวลือ หักล้างข่าวลือ ค้นหาที่มาของข่าวลือ และอื่นๆ  ถ้าเจ้ามีหัวใจที่จะเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้า อยากตั้งมั่นในคำพยานของตนและได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าจริง ก็มีถ้อยคำมากมายนักที่เจ้าสามารถกล่าวออกมา และมีสิ่งต่างๆ มากมายนักที่เจ้าสามารถทำได้  เจ้าต้องใคร่ครวญและมีประสบการณ์กับพระวจนะและความจริงที่พระเจ้าทรงจัดหาเป็นเสบียงแก่ผู้คน เพื่อให้พระวจนะและความจริงกลายเป็นหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติของเจ้าเอง กลายเป็นชีวิตของเจ้าเองในที่สุด  เจ้าจึงจำเป็นต้องใช้เวลาและพลังงานไปทำเรื่องนี้ให้เป็นผล  ถ้าเจ้าเบาปัญญาและโง่ ทุ่มเทพยายามกับข่าวลืออยู่เสมอ อยากกู้ชื่อและชี้แจงตนเองแก่โลกอยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นก็ย่อมเกิดปัญหา เจ้าจะไม่ได้รับความจริง และจะถูกข่าวลือทางโลกพวกนี้พัวพันและทำให้เหน็ดเหนื่อยจนสิ้นแรง  ในที่สุดเจ้าก็จะไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน  เหตุใดเจ้าจึงจะอธิบายสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจนไม่ได้?  เพราะเจ้ากำลังเผชิญหน้ามารร้าย และมันก็พูดโกหกอย่างไร้ยางอาย  เวลานี้มารร้ายพูดว่าอย่างไร?  พญานาคใหญ่สีแดงบอกว่า “จีนคือผู้ปกป้องระเบียบโลก เป็นผู้ปกป้องสันติภาพของโลก และบทบาทของจีนในการดำรงรักษาสันติภาพและระเบียบโลกมีความสำคัญยิ่ง”  ที่มันพูดออกมามีคำใดบ้างที่เป็นข้อเท็จจริง?  ถ้อยคำเหล่านี้ใช่ข้อเท็จจริงหรือไม่?  เมื่อเจ้าได้ฟังคำเหล่านี้ เจ้าไม่รู้สึกโมโหหรอกหรือ?  เมื่อได้ฟังดังนี้ เจ้าย่อมคิดว่าซาตานไร้ความละอายจนถึงกับพูดจาเช่นนี้ได้  แล้วเจ้าจะโต้เถียงกับมันเพื่ออะไร?  นี่เจ้าเบาปัญญามิใช่หรือ?  เรื่องก็เป็นเช่นนี้นี่เอง—พระเจ้าทรงใช้มันทำงานรับใช้เท่านั้น แน่นอนว่าพระองค์ไม่ได้ตั้งพระทัยที่จะเปลี่ยนแปลงหรือช่วยมันให้รอด  การโต้เถียงกับมันจึงเบาปัญญามิใช่หรือ?  อย่าทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้น  ผู้มีปัญญาย่อมไม่ฟังข่าวลือพวกนี้ และไม่ถูกข่าวลือบีบคั้น  บางคนกล่าวว่า “พอได้ฟังข่าวลือแล้ว ฉันไม่สบายใจ!”  เช่นนั้นเจ้าก็ควรอธิษฐานในหัวใจ ใช้ความจริงแยกแยะ จากนั้นก็สาปแช่งมารพวกนั้นและซาตานเสีย แล้วข่าวลือก็จะไม่มีผลอันใดกับหัวใจของเจ้าอีกต่อไป  อีกวิธีหนึ่งก็คือ เจ้าต้องเท่าทันแก่นแท้  เจ้าจงพูดว่า “ต่อให้สิ่งที่พระเจ้าทำไม่ตรงกับมโนคติของฉันและถูกมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามกล่าวโทษและปฏิเสธ ฉันก็มองเห็นว่าพระองค์คือความจริง ซาตานและพวกมารไม่มีความจริง  ฉันมุ่งมั่นที่จะเชื่อในพระเจ้า!  พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยฉันให้รอด  พระองค์มีแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์คือพระเจ้า และแก่นแท้ของพระองค์ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  ไม่ว่าซาตานและพวกมารจะต้านทานพระเจ้ามากเพียงใด พวกมันก็ไม่มีความจริง และฉันก็ไม่เชื่อคำของซาตานและหมู่มาร!”  เจ้ามีความเชื่อนี้หรือไม่?  (มี)  ถ้าเจ้ามีความเชื่อนี้ เจ้าก็ไม่ควรว้าวุ่นใจเพราะผู้คน เหตุการณ์ หรือสิ่งใด และยิ่งไม่ควรถูกซาตานชักพาให้หลงผิดหรือเล่นงาน  แล้วเจ้าควรทำเช่นใด?  อย่าไปสนใจมัน มุ่งเน้นแต่การไล่ตามเสาะหาความจริงและตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าก็พอ นั่นจึงจะทำให้ซาตานอับอาย

เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมถึงปัญหาบางอย่างที่สัมพันธ์กับการแพร่กระจายข่าวลือภายในคริสตจักร  ผู้คนส่วนใหญ่เคยฟังข่าวลือบางอย่างจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีนและโลกศาสนา เมื่อครู่พวกเรายังสามัคคีธรรมกันด้วยว่าควรรับมือและจัดการข่าวลือเหล่านี้อย่างไร  เมื่อผู้คนเข้าใจหลักธรรมความจริง พวกเขาก็จะไม่ถูกข่าวลือชักพาให้หลงผิดหรือรบกวนอีกต่อไป  เมื่อมีคนแพร่กระจายข่าวลือในคริสตจักร ไม่ว่าพวกเขาจะกระจายข่าวลือชนิดใดในลักษณะหรือน้ำเสียงแบบใดก็ตาม พวกเราควรรับมืออย่างไร?  ควรปล่อยให้เกิดขึ้นโดยไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง หรือควรเปิดโปง ชำแหละ และจัดการคนคนนั้น?  วิธีไหนตรงตามหลักธรรม?  มีบางคนบอกว่า “มีเสรีภาพในการพูดไม่ใช่หรือ?  ทำไมไม่ปล่อยให้คนคนนั้นพูด?  ปล่อยให้พวกเขาพูดก็แล้วกัน  พอได้ฟังข่าวลือ เมื่อทุกคนใช้วิจารณญาณแยกแยะได้ว่านั่นคือข่าวลือ พวกเขาก็จะไม่เชื่อวาจาเยี่ยงมารพวกนี้อีกต่อไป และข่าวลือก็จะสลายไปเอง”  ผู้อื่นก็บอกว่า “การที่พวกเขาแพร่กระจายข่าวลือและให้ร้ายพระเจ้าเป็นเรื่องที่รับไม่ได้  พวกเราไม่สามารถยอมให้พวกเขาทำสิ่งที่ให้ร้ายพระเจ้าได้  พวกเราควรให้บทเรียนเพื่อปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมา  พระเจ้าทรงสู้ทนความทุกข์มามากมายเพื่อตรัสและทรงพระราชกิจที่ช่วยพวกเราให้รอด แต่คนพวกนั้นกลับแพร่กระจายข่าวลือ  พวกเขาไม่มีมโนธรรม!  ความเกลียดชังของพวกเราจะบรรเทาลงได้ก็ด้วยการสาปแช่งพวกเขาเท่านั้น ถ้าพวกเราไม่จัดการพวกเขา พวกเราก็จะทำให้พระเจ้าผิดหวัง”  ทางไหนดี?  แนวทางเหล่านี้ไม่ดีทั้งสิ้น  ตามที่พวกเราสามัคคีธรรมไว้ก่อนหน้านี้ คนที่แพร่กระจายข่าวลือย่อมไม่ใช่อะไรที่ดีเป็นแน่ และจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณดูผู้คนดังกล่าว  ถ้าพวกเขาแพร่กระจายข่าวลือเป็นครั้งคราวเท่านั้น ก็ควรตักเตือนพวกเขา  ถ้าพวกเขาแพร่กระจายข่าวลืออย่างต่อเนื่อง ก็ต้องเปิดโปง ชำแหละ แล้วก็เอาตัวออกไปจากคริสตจักร จะได้ไม่สามารถทำร้ายหรือชักพาให้ผู้คนหลงผิดอีกต่อไป  เรื่องนี้รับมือง่ายหรือไม่?  พวกเจ้าจะจัดการเรื่องนี้เช่นนี้ หรือรอให้ผู้นำคริสตจักรออกคำสั่ง?  เมื่อค้นพบว่าใครสักคนแพร่กระจายข่าวลืออย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่พวกเขามาชุมนุม พวกเขาก็เล่าเรื่องพวกนี้ ไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยอธิษฐาน ไม่เรียนรู้บทเพลงนมัสการ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่แบ่งปันความเข้าใจจากประสบการณ์ที่ตนมีกับพระวจนะของพระเจ้า และเมื่อใดก็ตามที่มีคนสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าและแบ่งปันคำพยานจากประสบการณ์ พวกเขากลับรู้สึกขยะแขยงและรังเกียจ แต่ไม่รู้สึกรังเกียจเช่นนั้นกับข่าวลือของผู้ไม่มีความเชื่อ กลับตื่นเต้นกับข่าวลือเป็นอย่างมาก—เมื่อรู้เห็นทั้งหมดนี้แล้ว จะมีมารยาทกับคนเช่นนี้ไปทำไม?  ชัดเจนว่าพวกเขาเป็นข้ารับใช้ของซาตานที่แฝงตัวเข้ามาในคริสตจักรเพื่อก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ให้ติดตามพระเจ้า  เจ้าเห็นดีเห็นงามกับการก่อกวนของพวกเขากระนั้นหรือ?  (ไม่)  ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วย เช่นนั้นก็จงลุกขึ้นมากล่าวว่า “คนนั้นๆ มาที่คริสตจักรและแพร่กระจายข่าวลืออยู่เสมอ ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่แบ่งปันความเข้าใจจากประสบการณ์ที่ตนมีกับพระวจนะของพระเจ้า  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อและควรถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักร  มีใครคัดค้านหรือไม่?”  ถ้าทุกคนกล่าวว่าไม่คัดค้านและยกมือเห็นด้วย เช่นนั้นก็ควรเอาตัวคนคนนั้นออกไป  จัดการคนที่ชอบปล่อยข่าวลือด้วยวิธีนี้ย่อมสาแก่ใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  คนเช่นนี้ก็ควรจัดการแบบนี้

ง. มีวิจารณญาณในข่าวลือหลายชนิดที่ไม่มีมูล ซึ่งตีความพระวจนะของพระเจ้าไปในทางที่ผิดและตัดสินพระราชกิจของพระเจ้า

ข่าวลือชนิดที่พวกเราเพิ่งพูดถึงนี้มาจากที่ใด?  มาจากพญานาคใหญ่สีแดง จากโลกศาสนา และผู้ไม่มีความเชื่อ  นอกจากข่าวลือจากโลกภายนอกแล้ว ยังมีคำกล่าวและเรื่องซุบซิบนินทาบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องในคริสตจักรอีกด้วย  มีแม้กระทั่งคำกล่าวอ้างที่ล้วนไม่จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า วันของพระเจ้า และพระวจนะบางส่วนของพระเจ้า ตลอดจนความล้ำลึกบางประการเกี่ยวกับพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ ซึ่งผู้คนเสกสรรกันขึ้นมาตามความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของตน หรือตามการถ่ายทอดข้อมูลผิดๆ และการคาดเดาที่ไร้มูลเหตุอย่างต่อเนื่อง  และด้วยเหตุที่ผู้คนต่อเติมเสริมแต่งคำกล่าว เรื่องนินทา และเรื่องกล่าวอ้างจำพวกนี้ ข่าวลือเหล่านี้จึงก่อตัวขึ้นมา  เมื่อข่าวลือก่อตัวขึ้นมาแล้ว บางคนที่ชอบข่าวลือก็กระตือรือร้นที่จะเอาธุระกระจายข่าวออกไป ทำเหมือนว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริง และกระจายข่าวเหล่านี้ไปทั่ว บรรยายอย่างมีสีสันและละเอียดลออเสียจนบางคนที่ไม่ตระหนักรู้สภาพการณ์ตามจริง ไม่เข้าใจความจริง เบาปัญญาและไม่รู้ความ พากันถูกข่าวลือเหล่านี้ชักพาให้หลงผิดไปจริงๆ  เมื่อหลงผิดแล้ว พวกเขาย่อมได้รับผลกระทบและถูกรบกวนแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเป็นประจำเช่นกัน  แม้ข่าวลือเหล่านี้จะเทียบไม่ได้กับการให้ร้ายและโจมตีพระเจ้าและพระนิเวศของพระเจ้า—นั่นคือข่าวเหล่านี้ทั้งไม่ได้ให้ร้ายและไม่ได้หมิ่นประมาทพระเจ้า—และแม้จะไม่ได้ก่อให้เกิดการรบกวนหรือความเสียหายใดๆ แก่พระราชกิจของพระเจ้า แต่ก็ส่งผลต่อการเข้าสู่ชีวิตของบางคนและควรถูกหยุดยั้ง  ตัวอย่างเช่น เมื่อบางคนได้ฟังความเห็นบางอย่างที่ลวงโลก พวกเขาก็เชื่ออยู่ในหัวใจและรีบกระจายความเห็นเหล่านั้นแก่คนรอบตัวที่สนิทกับตน  เมื่อข่าวลือแพร่สะพัด รายละเอียดก็ยิ่งมากขึ้นและสมบูรณ์ขึ้น ท้ายที่สุดข่าวลือจึงเริ่มดูเหมือนเหตุการณ์จริง  องค์ประกอบต่างๆ เช่น เวลา สถานที่ และตัวละครล้วนมีตำแหน่งแห่งที่กันหมด—ข่าวลือเช่นนี้จึงครบเงื่อนไขที่จะสามารถแพร่ไปในคนหมู่มากได้มิใช่หรือ?  แล้วเป็นการแพร่ข้อมูลอันใด?  คนชอบปล่อยข่าวลือก็บอกว่า “วันนี้มีเรื่องสำคัญที่ฉันต้องบอกคุณ  ถ้าไม่พูดออกมา ฉันจะรู้สึกอึดอัดอยู่ข้างใน และถึงขั้นไม่อาจจดจ่ออยู่กับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้  ฉันตื่นเต้นกับเรื่องนี้มากเลย  คราวนี้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างพวกเราก็มีหวังในที่สุด!”  เมื่อทุกคนได้ยินว่ามีความหวัง พวกเขาก็สนใจและกระตือรือร้น หัวข้อแบบนี้กระตุ้นความสนใจได้มาก  คนเล่าจึงกล่าวว่า “พระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะเสร็จสิ้นเร็วๆ นี้แล้ว  หมายสำคัญหลายอย่างที่พระเจ้าเคยเผยพระวจนะเอาไว้เมื่อก่อนนี้ถึงอวสานแห่งพระราชกิจของพระองค์ปรากฏให้เห็นแล้ว  ตัวอย่างเช่น สภาวะของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ สถานการณ์ในโลกตะวันออกและโลกตะวันตก จำนวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในแต่ละประเทศ จำนวนผู้คนที่สามารถทำหน้าที่ของตนได้ และอื่นๆ—ตอนนี้หมายสำคัญถึงการสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระเจ้ามาอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว  พวกเราต้องรีบเตรียมตัว!”  บางคนถามว่า “พวกเราควรเตรียมอะไร?”  คนที่ชอบปล่อยข่าวลือก็บอกว่า “พวกเราควรตระเตรียมความดีและเตรียมอาหารเอาไว้ รีบถวายเงินออมทั้งหมดแด่พระเจ้า จากนั้นพวกเราก็จะสามารถได้รับบั้นปลายที่ดีงาม”  พวกเขายังพูดด้วยว่า “ในปีเดือนนั้นๆ วันที่เท่านั้น เมื่อถึงเวลาเท่านี้ พวกเราต้องชุมนุมในสถานที่จำเพาะแห่งหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงรอพวกเราอยู่เพื่อพาตัวพวกเราไป  พระเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ถ้าเจ้าไม่ทิ้งทุกสิ่ง เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นสาวกของเรา และไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ติดตามเรา’  ตอนนี้วันของพระเจ้ามาถึงแล้วในที่สุด และพระวจนะของพระเจ้าก็ลุล่วงแล้ว  พวกเราต้องปล่อยมือจากทุกสิ่งทางโลก ไม่เฉพาะความสำเร็จในอนาคตและอาชีพการงานของตัวเองเท่านั้น แต่รวมถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง และความสัมพันธ์ทางเนื้อหนังด้วย  พวกเราต้องละทิ้งเยื่อใยทั้งปวงทางโลก พวกเราจะได้เฝ้าพระเจ้าแล้ว!”  ผู้คนส่วนใหญ่ถามว่า “นี่จริงหรือไม่?”  คนชอบปล่อยข่าวลือก็บอกว่า “จริง ฉันขายบ้านขายรถและถอนเงินเก็บออกมาแล้ว  ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ก็ไปดูพระวจนะของพระเจ้าสิ  มีบทหนึ่งที่พอถอดรหัสประโยคหนึ่งออกมาก็เผยที่อยู่ให้รู้ และอีกบทหนึ่งพอถอดรหัสบทตอนหนึ่งออกมาก็เผยปีเผยเดือน…”  เมื่อได้ฟังดังนี้ มีใครไม่ขยับบ้าง?  มีใครบ้างหรือไม่ที่สามารถใช้วิจารณญาณแยกแยะถ้อยคำเหล่านี้ได้?  นี่คือเรื่องที่ผู้คนเป็นห่วงกันมากมิใช่หรือ?  นี่คือสิ่งที่ผู้คนเฝ้าหวังกันมานานแล้วมิใช่หรือ?  บางคนพอได้ฟังเช่นนี้ แล้วไปดูพระวจนะของพระเจ้า ก็คิดไปว่านี่ตรงกันโดยแท้ จึงเริ่มคิดแผนสำรอง  แม้บางคนจะนึกเคลือบแคลงอยู่ในใจ แต่พวกเขาก็ยังคงหวังให้เป็นเรื่องจริง คิดไปว่า “ถึงปีและวันที่ระบุมาจะนานสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็มีวันและเวลาที่แน่นอน เช่นนี้พวกเราจึงมีความหวัง”  แม้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะไม่เชื่อ แต่ก็ยังคงให้ความสนใจอยู่ระดับหนึ่ง  ความสนใจนี้บ่งชี้สิ่งใด?  มันแสดงให้เห็นว่าผู้คนถูกเรื่องเหล่านี้ครอบงำและทำให้ว้าวุ่นได้ง่าย  เมื่อข่าวลือจำพวกนี้เริ่มแพร่ไปในคริสตจักรอย่างกว้างขวาง ผู้คนร้อยละ 80 ถึง 90 ก็จะตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน พลางคิดว่า “วันที่พวกเราเฝ้าหวังกำลังจะมาถึงแล้วในที่สุด!  พระเจ้าทรงสดับฟังคำอธิษฐานของพวกเรา!  พระเจ้ารักพวกเราและไม่เคยทอดทิ้งพวกเรา!”  ผลของการแพร่เรื่องทำนองนี้ขณะชุมนุมย่อมจะเป็นเช่นใด?  จะส่งผลต่อภาวะอารมณ์ของทุกคนหรือไม่?  ผู้คนจะไม่สามารถปฏิเสธเรื่องทำนองนี้ได้ต่อให้อยากทำก็ตาม ทุกประโยคในข่าวลือย่อมจะแทงใจพวกเขา จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เชื่อ  ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเชื่อถ้อยคำเหล่านี้มากที่สุด ต่อให้พวกเขาไม่แน่ใจเต็มร้อย พวกเขาก็ยังอยากให้เป็นจริง คิดไปว่า “เมื่อนึกทบทวนว่าพวกเราสู้ทนความยากลำบากมากี่อย่างขณะติดตามพระเจ้า—ถูกชาวโลกปฏิเสธ ถูกรัฐบาลไล่ล่า ถูกโลกศาสนาข่มเหง แทบจะหายใจไม่ได้ ใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวอย่างต่อเนื่อง—วันเวลาเหล่านี้เมื่อไรจะสิ้นสุด?  คราวนี้ในที่สุดวันของพระเจ้าก็มาถึงเสียที!”  ความคิดเหล่านี้ทำให้หัวใจของเจ้าพลุ่งพล่านว่า “พวกเราสละตนเพื่อพระเจ้าไปมากมาย ความเชื่อที่พวกเรามีในการติดตามพระเจ้านั้นเด็ดเดี่ยวยิ่ง เรื่องที่พวกเราฟังอยู่นี้ต้องเป็นเรื่องจริงแน่  พวกเราไม่ควรระหกระเหินและทนทุกข์อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว—พวกเราไม่สมควรต้องทำอย่างนั้น!”  เมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนี้ และเจ้าก็เชื่อและรู้สึกกับข่าวลือนี้อย่างแรงกล้า เจ้าจะยังอยากอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  ถึงจุดนี้ การอ่านบทตอนใดๆ ในพระวจนะของพระเจ้าย่อมดูเหมือนเกินการมิใช่หรือ?  เจ้าย่อมรู้สึกว่า “ทำไมตอนนี้การแบ่งปันความเข้าใจจากประสบการณ์ในพระวจนะของพระเจ้าถึงดูเหมือนไม่ค่อยจำเป็นเท่าใดแล้ว?  ไม่มีความจำเป็นต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าอีกต่อไปแล้วใช่ไหม?  วันของพระเจ้ามาถึงแล้ว และในไม่ช้าพวกเราก็จะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยตนเอง ดังนั้นการอธิษฐานถึงพระเจ้าในตอนนี้ย่อมจะหมายความว่าพวกเราไม่เคารพพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  เวลาใช้ชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ห่างไกลจากพระเจ้า พวกเราก็จำเป็นต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อบรรเทาความโหยหาของตน  ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปพ้นโลกนี้และจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยตนเองในไม่ช้า ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว  ไม่มีสิ่งใดที่พวกเราทำอยู่ในตอนนี้จะสำคัญเท่าการเข้าเฝ้าพระเจ้าในปี เดือน วัน และเวลาที่ระบุเอาไว้  นั่นจะต้องวิเศษเป็นแน่!  เทียบกับการเข้าเฝ้าพระเจ้าในวันนั้นและสถานที่นั้นแล้ว การอ่านพระวจนะของพระเจ้าดูจะไม่สำคัญเท่าใดนัก”  เจ้าไม่สามารถจดจ่ออยู่กับการอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้อีกต่อไป  หัวใจของเจ้ากระสับกระส่าย ถวิลหาให้ถึงวันนั้นทันที!  อารมณ์เช่นนี้ยากที่จะแสดงออกมามิใช่ไม่?  ข่าวลือพวกนั้นเรียกความนิยมชมชอบจากคนส่วนใหญ่ได้มากและสามารถแพร่ไปในคริสตจักรได้อย่างง่ายดาย  คนหนึ่งแพร่ไปอีกสอง สองคนบอกต่ออีกสิบ แล้วข่าวลือก็ยิ่งแพร่ออกไปเรื่อยๆ จากคริสตจักรแห่งหนึ่งเป็นสองแห่ง จากสองแห่งเป็นห้า กระจายเป็นวงกว้างออกไปทุกที  ผลที่ตามมาย่อมเป็นเช่นใด?  ข่าวลือเหล่านี้ทำให้ผู้คนสงสัยพระเจ้า พาตัวออกห่างจากพระเจ้า ลืมความรักอันแท้จริงของพระเจ้าที่ช่วยผู้คนให้รอด ลืมหน้าที่ที่ตนควรทำ และลืมหนทางที่พวกเขาควรเดิน  พวกเขากลับไล่ตามไขว่คว้าอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะได้เห็นวันของพระเจ้ามาถึง และดูว่าตนจะสามารถได้รับพรหรือไม่  เมื่อถึงวันนั้นจริงและไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เมื่อนั้นเท่านั้นที่ผู้คนตระหนักว่าการเชื่อข่าวลือสร้างความเสียหายให้แก่ชีวิตของพวกเขา  ถึงตอนนั้นเจ้าจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อน ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ดี ยึดมั่นในหน้าที่ของตน ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยที่สองเท้ายังติดดิน แสวงหาหลักธรรมความจริงในทุกสิ่ง ประพฤติปฏิบัติตนและทำหน้าที่ของเจ้าตามพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่?  กาลเวลาย่อมจะผ่านพ้นไปแล้วและเอาคืนมาไม่ได้  เรื่องนี้ควรโทษใคร?  โทษตัวเจ้าเองที่ไม่เคยไล่ตามเสาะหาความจริง  เจ้าเอาแต่สร้างวิมานในอากาศ และด้วยเหตุนั้นจึงหลงเชื่อข่าวลือ

สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เข้าใจความจริง ข่าวลือเรื่องเดียวก็สามารถพาพวกเขาลงเหวลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงและทำลายพวกเขาให้ย่อยยับได้  เหวลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงหมายความว่าอย่างไร?  เดิมทีเจ้าก็เชื่อในพระเจ้าตามปกติและมีความหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด แต่ข่าวลือเรื่องเดียวกลับพาเจ้าออกนอกทาง  เจ้าถูกซาตานชักพาให้หลงผิดโดยไม่รู้ตัว เจ้าเชื่อวาจาของมารที่ซาตานพูดออกมาและคล้อยตามมันไป  เจ้าเดินและไล่ตามไขว่คว้าไปตามเส้นทางที่ซาตานวางไว้ให้ ยิ่งเดินไป หัวใจของเจ้าก็ยิ่งมืดมน และตัวเจ้าก็ยิ่งออกห่างจากพระเจ้า  เมื่อเจ้าปฏิเสธและผละจากพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงเจ้าจะสงสัยพระเจ้าอยู่ในหัวใจเท่านั้น แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือเจ้าย่อมเกิดคำพร่ำบ่นพระเจ้าและปฏิเสธพระเจ้า  เมื่อถึงจุดนี้ก็สุดทางที่เจ้าจะเดินได้แล้วมิใช่หรือ?  นี่จึงเป็นเหวลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงใช่หรือไม่?  นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากเห็นกระนั้นหรือ?  เมื่อเจ้าไปถึงจุดนี้ เจ้าจะยังสามารถได้รับความรอดหรือไม่?  ไม่ และยากมากที่จะกลับตัว  เพราะเหตุใด?  เพราะพระเจ้าหยุดทรงพระราชกิจแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์หยุดทรงพระราชกิจแล้ว และเจ้าก็มีแต่ความมืดมน  มีกำแพงสูงตระหง่านตั้งอยู่ระหว่างเจ้ากับพระเจ้า  กำแพงนี้คืออะไร?  คือมโนคติอันหลงผิด ความคิดฝัน และข่าวลือที่ซาตานปลูกฝังเอาไว้ในตัวเจ้า รวมทั้งความอยากได้อยากมีของเจ้าเอง  สิ่งที่เป็นบวกที่เจ้ารู้จัก เช่น อัตลักษณ์ แก่นแท้ สถานะ และอื่นๆ ของพระเจ้าพลันพร่ามัวและค่อยๆ เลือนหายไปด้วยซ้ำ  นี่น่ากลัวมาก  นี่คือการตกลงไปในเหวลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงมิใช่หรือ?  (ใช่)  เมื่อเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะยังสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาเพื่อทำหน้าที่ของเจ้าได้หรือไม่?  เจ้าจะยังสามารถเดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อให้ได้รับความรอดได้หรือไม่?  เราบอกเจ้าเลยว่ายากมากที่จะกลับตัว  นี่คือการถูกพาออกนอกทางไปแล้ว!  ข่าวลือเพียงเรื่องเดียวหากเจ้าไม่ทันระวังตัวชั่วขณะและถูกชักพาให้หลงผิด ก็สามารถให้ผลที่ไม่อาจคาดคิดได้  ฉะนั้น เมื่อมีข่าวลือดังกล่าวเกิดขึ้นในคริสตจักรเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมข่าวลือเหล่านี้ทันที  คนเราต้องไม่ปั้นน้ำเป็นตัว และต้องไม่แต่งเรื่องโกหกสารพัดชนิดที่ผู้คนชอบฟังเพื่อชักพาให้พวกเขาหลงผิดและล่อลวงพวกเขาออกจากเส้นทางที่ถูกต้อง  ต่อให้ผู้คนชื่นชอบเรื่องพวกนี้ การมัวแต่สนใจและกระจายข่าวลือเหล่านี้จะทำประโยชน์อะไรให้คนเราได้?  จะสามารถได้ประโยชน์อะไรไว้บ้าง?  บางคนกล่าวว่า “คนคนนั้นอยากพูดอะไรก็พูดได้เพราะเป็นปากของเขา  ดังนั้นก็ปล่อยให้เขาพูดตามใจอยากเถิด”  นั่นขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะพูดออกมา  ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนเจริญใจ ก็ย่อมพูดได้และเผยแพร่ได้—สามารถกระจายเรื่องออกไปเช่นใดก็ได้  แต่ข่าวลือเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนเจริญใจแม้แต่น้อย มีแต่จะชักพาให้ผู้คนหลงผิดและเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขา รบกวนการไล่ตามเสาะหาและทำให้พวกเขาออกห่างจากเส้นทางที่ถูกต้อง กระทบสัมพันธภาพที่พวกเขามีกับพระเจ้า กระทบการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของพวกเขา และกระทบระเบียบปกติในงานของคริสตจักร  เมื่อผู้คนยอมรับข่าวลือเหล่านี้ ก็เหมือนติดอยู่ในเขาวงกตที่หนีออกมาไม่ได้  ดังนั้น เมื่อเจ้าได้ฟังข่าวลือเหล่านี้ ถ้าใครสักคนเล่าให้เจ้าฟังคนเดียวเท่านั้น เจ้าก็ควรปฏิเสธไม่รับฟัง  ถ้าพวกเขาเล่าให้ฟังโดยมีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่เพียงเจ้าจะไม่รับฟังเท่านั้น แต่เจ้าควรเปิดโปงและชำแหละข่าวลือเสียด้วย—อย่าปล่อยให้มีผู้คนอีกมากถูกชักพาให้หลงผิด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของคนที่เป็นผู้เชื่อมาเพียงปีสองปี หรือสองสามปี พวกเขายังไม่สามารถเท่าทันเรื่องของบั้นปลาย การเข้าเฝ้าพระเจ้า และการถูกรับขึ้นไป พวกเขายังไม่นึกสนใจความจริง ไม่มีเส้นทางที่จะใช้ไล่ตามเสาะหาความจริงและไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในความเชื่อของตน  ในสถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาย่อมถูกข่าวลือพวกนี้ชักพาให้หลงผิดและครอบงำได้ง่ายที่สุด และเมื่อหลงผิดไปแล้ว ผลที่ตามมาย่อมมิอาจคาดคิดได้  เหมือนการดื่มยาพิษที่ต่อให้มียาแก้ ก็ยังคงทำให้ร่างกายของเจ้าเสียหายมิใช่หรือ?  ต่อให้เจ้ารอดชีวิต เจ้าจะไม่สนใจความทุกข์และความเสียหายที่เกิดกับร่างกายของเจ้าได้หรือ?  ฉะนั้น เมื่อเผชิญข่าวลือเหล่านี้ เจ้าต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะและปฏิเสธมัน ไม่ทำเหมือนเป็นเรื่องเล่าหรือเหตุการณ์จริง  บางคนสนใจข่าวลือพวกนี้เป็นพิเศษ แพร่และกระจายข่าวลือไปทุกที่ เล่าให้ผู้อื่นฟังราวกับเป็นเรื่องจริง  นี่มีธรรมชาติเป็นเช่นไร?  นี่คือการทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตานมิใช่หรือ?  ควรตัดแต่งและตักเตือนผู้คนเยี่ยงนี้  ถ้าพวกเขาไม่กลับใจ ก็ควรเอาตัวออกไป  ถึงจุดหนึ่งถ้าพวกเขาสำนึกได้และกล่าวว่า “การแพร่กระจายข่าวลือนั้นผิด ฉันทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตาน ฉันจะไม่แพร่ข่าวลืออีกเป็นอันขาด” เช่นนั้นก็สามารถเฝ้าสังเกตพวกเขาได้ กล่าวคือ ถ้าพวกเขากลับใจและประพฤติตัวดี ก็สามารถรับกลับเข้ามาในคริสตจักรเป็นการชั่วคราว  ถ้าพวกเขาทำเช่นเดิมอีก ก็ควรชำระพวกเขาออกไป

ข่าวลือเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้  ผู้คนใช้ความคิดฝันและมโนคติอันหลงผิดของตน รวมทั้งความรู้สึกนึกคิดของตนมาวิเคราะห์และพินิจพิจารณา พวกเขาพินิจพิเคราะห์พระวจนะและคำเผยพระวจนะอันหลากหลายของพระเจ้า ตลอดจนความวิบัติ หมายสำคัญ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมและในโลก ถึงกับอาศัยความฝันของตนมาออกความเห็นเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ากันอย่างเสรี—พวกเขากุข่าวลือขึ้นมามากมาย  ผู้คนมากมายไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ หรือทุ่มเทพยายามกับความจริงอย่างสม่ำเสมอ และยิ่งไม่ทุ่มเทพยายามกับการแสวงหาหลักธรรมมาทำหน้าที่ของตนอย่างสม่ำเสมอ  พวกเขากลับครุ่นคิดตั้งคำถาม เช่น “การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าเริ่มต้นขึ้นมาอย่างไร?  ใครเป็นคนเริ่มทั้งหมดนั้น?  ผู้คนเคยมีบทบาทอย่างไรบ้าง?  เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในตอนนั้น?”  พวกเขาพินิจพิเคราะห์ปรากฏการณ์ภายนอกเหล่านี้ รวมถึงโครงสร้างการบริหารจัดการ บุคลากร และอื่นๆ ของคริสตจักรอีกด้วย  หลังจากพินิจพิเคราะห์ทั้งหมดนี้แล้ว พวกเขาก็สรุปเรื่องทั้งหมดออกมาเป็นสิ่งที่เรียกว่ากฎเกณฑ์หรือปรากฏการณ์บางอย่าง และเผยแพร่เรื่องดังกล่าวอยู่ในคริสตจักรราวกับเป็นเรื่องจริง  เวลาเผยแพร่เรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็บรรยายอย่างมีสีสันและละเอียดลออ คนที่ไม่มีวิจารณญาณก็อาจจะนึกด้วยซ้ำไปว่าอีกฝ่ายกำลังเสวนาเรื่องพระราชกิจของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี คนที่มีวิจารณญาณย่อมคิดว่า “คุณเพ้อเจ้อเรื่องเหลวไหล พล่ามเรื่องนอกรีตและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่ไม่ใช่หรือ?  คุณกำลังตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่การแบ่งปันความเข้าใจและประสบการณ์แล้ว—นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับความจริง  เป็นการกุข่าวลือและต้องถูกหยุดยั้งทันที ไม่เช่นนั้นจะชักพาให้บางคนหลงผิด!”  ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและความคิดนอกรีตซึ่งมีลักษณะเป็นข่าวลือนี้ ไม่ตรงกับความจริงและรบกวนความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อความจริง  เมื่อมีการแพร่กระจายข่าวลือเกิดขึ้นในคริสตจักร จึงควรหยุดยั้งทันที

นอกจากนี้ยังมีข่าวลือบางอย่างที่เป็นวาจาเยี่ยงมารคอยตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าอีกด้วย  ยกตัวอย่างเรื่องของคนที่พระเจ้าทรงรัก คนที่พระองค์ทรงช่วยให้รอด และคนที่พระองค์ทรงทำให้เพียบพร้อม บางคนใช้ความฉลาดเล็กๆ น้อยๆ ของตนมาจับสังเกตและสรุปเป็นคำพูดว่า “คนทางโลกที่มีความสามารถ คนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ และคนที่เป็นหัวหน้าฝ่ายหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหารตามบริษัทต่างๆ พอพวกเขามาที่พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้เป็นผู้นำทันที หรือได้กำกับดูแลกิจการทั่วไปและการเงินในทันใด  ผู้คนเหล่านี้จึงเป็นคนที่พระเจ้าทรงทำให้เพียบพร้อม”  นี่ไม่ใช่การกุข่าวลือหรอกหรือ?  แท้จริงแล้วนี่คือการกุข่าวลือ  ข่าวลือคืออะไร?  คือการพูดจาโดยไม่รับผิดชอบ ตัดสินอย่างมืดบอด และสรุปสิ่งต่างๆ โดยปราศจากเค้ามูล ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง ถ้อยคำเหล่านี้คือข่าวลือทั้งสิ้น  ผู้คนอื่นๆ กล่าวว่า “คนนั้นๆ ถวายเงินหลายหมื่นหยวน  ความเชื่อของพวกเขายิ่งใหญ่มาก พวกเขาสามารถเข้าราชอาณาจักรได้”  นี่ทำให้คนที่ไม่มีเงินคิดลบ รู้สึกทุกข์ใจ และกล่าวว่า “แม้ฉันจะถวายของไปไม่น้อยเช่นกัน แต่รวมๆ แล้วก็ยังไม่มากเท่าที่เขาถวายในครั้งเดียว  นี่หมายความว่าฉันไม่สามารถได้รับความรอดและความเพียบพร้อมใช่ไหม?  พระเจ้าไม่ทรงต้องการคนอย่างฉันใช่ไหม?”  แล้วคนที่กุข่าวลือก็พูดว่า “คนรวยเข้าราชอาณาจักรไม่ได้ พระเจ้าต้องการคนจน”  พอได้ฟังเช่นนั้น คนยากจนเหล่านั้นก็เป็นสุขขึ้นมาว่า “แม้ฉันจะไม่ได้ถวายเงินมากนัก แต่ฉันก็ยังเข้าราชอาณาจักรได้ ส่วนคนรวยกลับถูกทิ้งไว้ข้างนอก”  ไม่ว่าคนสร้างข่าวลือจะพูดอย่างไร ก็มีอิทธิพลต่อคนยากไร้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ฝ่ายหลังไม่สามารถเท่าทันข้อเท็จจริงที่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงข่าวลือและวาจาของมารเท่านั้น  นี่เป็นเพราะเหตุใด?  เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงและไม่มีวิจารณญาณ ดังนั้นจึงถูกชักพาให้หลงผิดอยู่เสมอ  ทั้งคนที่สร้างข่าวลือและคนที่แพร่ข่าวลือล้วนเป็นมาร  ไม่ว่าพวกเขาจะพูดมากเพียงใด เจ้าก็ไม่รู้ว่าคำไหนจริงคำไหนเท็จ คำพูดพวกนี้แท้จริงแล้วมาจากไหน แรงจูงใจของพวกเขาในการเผยแพร่วาจาเหล่านี้แท้จริงแล้วคืออะไร และพวกเขาหวังที่จะบรรลุเป้าหมายอันใด  ถ้าใครบางคนไม่อาจเท่าทันเรื่องเหล่านี้ได้ ยอมรับและแพร่กระจายข่าวลืออย่างมืดบอด นั่นย่อมทำให้พวกเขาเป็นคนเบาปัญญามิใช่หรือ?  คนเบาปัญญาเรียกกันอีกอย่างว่าคนสารเลวด้วยใช่หรือไม่?  แม้ว่าคำนี้จะฟังดูไม่ดี แต่เราว่าเหมาะทีเดียว  เหตุใดจึงเหมาะ?  เพราะผู้คนเยี่ยงนี้พูดจาไม่รับผิดชอบ  พวกเขาแพร่กระจายข่าวลือโดยไม่คิดอะไร ผลีผลามสรุปความและกุข่าวลือตามปรากฏการณ์บางอย่าง จากนั้นก็แพร่ข่าวลือเหล่านี้ตามสบาย บรรยายให้ฟังดูน่าเชื่อราวกับว่าเป็นเหตุการณ์จริง—ด้วยเหตุนี้จึงกระทบและรบกวนบางคน  พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือทำความเข้าใจความจริง ใช้เวลาแต่ละวันแพร่กระจายข่าวลือและพูดเรื่องเหลวไหลในคริสตจักร  วันนี้เห็นใครถวายของมากๆ ก็บอกว่าคนคนนั้นสามารถได้รับความรอด  รุ่งขึ้นเห็นใครเข้าคุกและไม่กลายเป็นยูดาส พวกเขาก็บอกว่า “คนคนนั้นมีหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  สามารถเข้าราชอาณาจักรและมีบั้นปลายที่ดีได้  ในอนาคตพวกเขาจะปกครองยี่สิบเมืองอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราเป็นแค่พลเดินเท้าเท่านั้น เทียบพวกเขาไม่ได้”  นี่คือลมปากของมารมิใช่หรือ?  ข่าวลือพวกนี้ก็เป็นคำพูดของมารใช่หรือไม่?  (ใช่)  ไม่ว่าผู้คนที่กล่าวคำพวกนี้จะมีแรงจูงใจและเป้าหมายอันใด คำพูดเช่นนี้ก็ย่อมจะกระทบและรบกวนบางคนมิใช่หรือ?  บางคนมีความเชื่อน้อย พอได้ฟังข่าวลือและวาจาเยี่ยงมารเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มครุ่นคิดว่า “ฉันจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่?  พระเจ้าทรงปลื้มในตัวฉันหรือไม่?”  พวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ในใจตลอดวัน คลอนแคลนและวิตกกังวลด้วยเรื่องเหล่านี้  เป็นเพราะเรื่องเหลวไหลที่ไม่มีมูลความจริงของคนที่กุข่าวลือขึ้นมา พวกเขาจึงรู้สึกว่าตนไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด ดังนั้นพวกเขาจึงมาเบื้องหน้าพระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่รักข้าพระองค์หรือไร?  ข้าพระองค์ละทิ้งเพื่อพระองค์ไปมากมาย  เมื่อไรข้าพระองค์จึงจะสามารถทำให้พระองค์พอพระทัยได้?”  พวกเขามีเรื่องคับข้องใจเต็มไปหมด  ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แล้วความคับข้องใจเหล่านี้มาจากไหน?  เกิดจากข่าวลือพวกนั้น—คนเหล่านี้ถูกพิษและหลงกลเข้าแล้ว  พวกเขาไม่รู้สึกเสียใจหรือสำนึกผิดในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่ตนเผยออกมาหรือความผิดที่ทำลงไปแต่อย่างใด ไม่เคยร้องไห้เพราะเรื่องนี้—ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว—แต่พอได้ฟังคนกุข่าวลือบอกว่าผู้คนอย่างพวกเขาไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด พวกเขากลับรู้สึกทุกข์ใจทันที  พวกเขาได้รับผลกระทบเข้าให้แล้วมิใช่หรือ?  พวกเขาได้รับผลกระทบและถูกรบกวนไปแล้ว  วุฒิภาวะของผู้คนเหล่านี้ไม่เป็นผู้ใหญ่ พวกเขาไม่เข้าใจความจริงและเขลาอย่างยิ่ง คนที่กุข่าวลือย่อมมองว่าผู้คนเช่นนี้ปั่นหัวง่าย ดังนั้นจึงสร้างข่าวลือบางอย่างมาหลอกพวกเขา  วันนี้คนเหล่านั้นบอกว่าเจ้ามีหวังที่จะได้รับความรอด และเจ้าก็มีความสุข รุ่งขึ้นพวกเขาบอกว่าเจ้าไม่มีหวังที่จะได้รับความรอด แล้วเจ้าก็ร้องไห้ รู้สึกทุกข์ใจ  เหตุใดเจ้าจึงฟังพวกเขา?  เหตุใดเจ้าจึงถูกพวกเขาบีบคั้นอยู่เสมอ?  พวกเขามีสิทธิ์ชี้ขาดกระนั้นหรือ?  อย่างมากพวกเขาก็เป็นเพียงตัวตลกเท่านั้น  แม้แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แล้วพวกเขามีคุณสมบัติอันใดที่จะมาประเมินผู้อื่น?  พวกเขามีคุณสมบัติอันใดที่จะพูดว่าใครสามารถและไม่สามารถได้รับความรอด หรือผู้คนเช่นใดจะสามารถและไม่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อม?  พวกเขาเข้าใจความจริงหรือไม่?  คำใดของพวกเขาบ้างที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า?  ไม่มีสักคำที่ตรงกับพระวจนะของพระเจ้า แล้วเหตุใดเจ้าจึงเชื่อพวกเขา?  เหตุใดเจ้าจึงถูกพวกเขารบกวน?  นี่เกิดจากความเบาปัญญามิใช่หรือ?  (ใช่)  ไม่ว่านี่จะเป็นเพราะความเบาปัญญาและไม่รู้ความ หรือเพราะเจ้าด้อยวุฒิภาวะเกินไปและไม่เข้าใจความจริง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด คนที่แพร่กระจายข่าวลือในคริสตจักรย่อมน่าชังที่สุด  ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและเปิดโปงพวกเขา จากนั้นก็ควบคุมหรือเอาตัวออกไป

บางคนบอกว่า “ดูคนนั้นๆ และรูปร่างที่สมส่วนของเขาสิ เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร  ส่วนเธอคนนั้นก็เจริญก้าวหน้าในสังคม ทุกคนที่พบเห็นล้วนชอบเธอ หลังจากที่เธอมาเชื่อในพระเจ้า พี่น้องชายหญิงก็ชอบเธอเช่นกัน และพระเจ้าก็โปรดเธอด้วย”  คำพูดพวกนี้มีถ้อยแถลงที่ถูกต้องสักคำหรือไม่?  (ไม่มี)  เพราะเหตุใด?  (เป็นคำที่ไม่ตรงกับความจริง)  ถูกต้อง คำพูดเหล่านี้ไม่ตรงกับความจริง เป็นลมปากของมารทั้งสิ้น  บางคนกล่าวว่า “ครอบครัวของคนนั้นๆ ร่ำรวย มีภาวะความเป็นอยู่ที่ดี และพวกเขาก็รอบรู้  ดังนั้นในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาจึงดูแลการเงินและกิจการทั่วไป  พวกเขามีประโยชน์และสามารถรับหน้าที่นี้ไปทำได้  นี่คือการลิขิตของพระเจ้า”  การเติมคำว่า “การลิขิตของพระเจ้า” เข้าไปทำให้ถ้อยแถลงนี้ตรงตามความจริงหรือไม่?  นี่คือลมปากของมารมิใช่หรือ?  ลมปากเยี่ยงนี้ของมารโดยรวมแล้วเรียกว่าข่าวลือ  ถ้อยแถลงใดก็ตามที่ไม่รับผิดชอบและไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงลิขิตเอาไว้ ย่อมเป็นวาจาที่วู่วามและเป็นข้อสรุปตามอำเภอใจ ถ้อยแถลงเช่นนี้คือข่าวลือทั้งสิ้น  เหตุใดจึงระบุว่าถ้อยแถลงเหล่านี้เป็นข่าวลือ?  เพราะถ้อยแถลงเหล่านี้เมื่อพูดออกไปแล้วย่อมจะก่อกวนและสร้างความเสียหายแก่วิธีคิดและจุดหมายในการไล่ตามเสาะหาตามปกติของบางคน จึงมีการระบุว่าสิ่งเหล่านี้คือข่าวลือ  ตามพระวจนะของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าตรัสเพียงว่าสถานที่เกิด ภูมิหลังทางครอบครัว รูปลักษณ์ ระดับการศึกษา และอื่นๆ ได้รับการลิขิตจากพระเจ้า พระองค์ไม่เคยตรัสบอกผู้คนว่ารูปลักษณ์ ภูมิหลังทางสังคม หรือภาวะที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของผู้คนจำพวกใดก็ตามเป็นเงื่อนไขในการได้รับพร  มาตรฐานเดียวที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่ผู้คนก็คือพวกเขาต้องสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า  เรื่องนี้สำคัญที่สุด  ถ้าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ระบุสิ่งใดไว้อย่างชัดแจ้ง และเป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากจินตนาการส่วนตัวหรือการคาดเดาของผู้คน ถ้อยแถลงแนวนี้ก็ถือว่าเป็นข่าวลือเช่นกัน  ผู้คนอยากตัดสินอยู่เสมอว่าใครสักคนสามารถได้รับพรหรือไม่โดยจับสังเกตและทำความเข้าใจเอาเอง ทั้งยังตัดสินตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนอีกด้วย  จากนั้นพวกเขาก็แพร่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้เพื่อครอบงำการไล่ตามเสาะหาความจริงของผู้อื่น ตัดสินเอาเองว่าใครจะสามารถได้รับการช่วยให้รอดและใครบ้างที่ไม่สามารถ ใครคือประชากรของพระเจ้า และใครที่เป็นคนออกแรงทำงาน  ทั้งหมดนี้คือข่าวลือ  สำหรับข่าวลือต่างๆ พวกเราสามารถเรียกว่าคำพูดเยี่ยงมารได้เช่นกัน  ไม่ว่าจะเกิดข่าวลือหรือคำพูดเยี่ยงมารจำพวกใด ผู้นำคริสตจักรก็ควรออกมาหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ทันที แน่นอนว่าถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดมีวิจารณญาณ ก็ควรก้าวออกมาชำแหละและใช้วิจารณญาณแยกแยะเช่นกันว่าข่าวลือทั้งหลายมาจากไหนและมีธรรมชาติเช่นใด  เมื่อพี่น้องชายหญิงเหล่านี้เกิดความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถลุกขึ้นมาหักล้างและโต้แย้งข่าวลือเหล่านี้ได้ ทั้งยังสามารถห้ามปรามคนที่แพร่ข่าวลือได้ ช่วยกันประท้วงพวกเขา  พวกเขาควรทำเรื่องนี้อย่างไร?  ด้วยการประณามผู้คนเหล่านั้นอย่างเปิดเผยต่อหน้าทุกคนว่า “เรื่องที่คุณพูดอยู่นั้นเป็นข่าวลือและเป็นลมปากของมารทั้งสิ้น ไม่ตรงกับพระวจนะของพระเจ้า และไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องมี  ถ้าคุณแพร่กระจายข่าวลือต่อไปทั้งที่มีการว่ากล่าวตักเตือนไปหลายครั้งแล้ว พวกเราก็จะเอาตัวคุณออกไป ไม่ให้คุณมีโอกาสกุข่าวลือและก่อให้เกิดการรบกวนอยู่ในคริสตจักร!”  แนวปฏิบัตินี้เป็นเช่นไร?  (ดี)  การทำเช่นนี้สอดคล้องกับหลักธรรมความจริงหรือไม่?  ถ้าเจ้าสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจส่วนตัวที่เจ้าได้จากประสบการณ์ พูดสิ่งที่ทำให้ผู้คนเจริญใจ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรก็ไม่เป็นไร  เจ้าสามารถใช้คำใดก็ได้ที่เจ้าชอบ ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่เป็นทางการหรือภาษาพูด สามารถใช้ได้หมด  สิ่งเดียวที่เจ้าไม่อาจทำได้คือการแพร่กระจายข่าวลือ

จ. ภัยจากข่าวลือที่ไม่มีมูล

ข่าวลือที่แพร่อยู่ในคริสตจักรไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการปฏิเสธพระเจ้าหรือตัดสินพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น มีข่าวลือประเภทอื่นอีกด้วย  จึงจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะและชำแหละข่าวลือเหล่านี้ ทั้งยังควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้เช่นกัน  สรุปแล้ว ข่าวลือไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน ข่าวลือไม่ทำประโยชน์แก่ผู้คน  บางคนกล่าวว่า “ฉันอยากฟังข่าวลือดูว่าพูดอะไรบ้างเท่านั้น จะได้เกิดวิจารณญาณและปัญญาจากข่าวลือ”  ถ้าเจ้าสามารถใช้วิจารณญาณได้บ้างและไม่กลัวถูกข่าวลือรบกวน เจ้าก็ฟังได้ แต่ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นใด?  ถ้าเจ้าไขว้เขว เริ่มสงสัยพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์ เช่นนั้นก็อันตราย นั่นหมายความว่าเจ้าถูกชักพาให้หลงผิดเสียแล้ว  ถ้าเจ้าแยกแยะไม่ได้ กลับถูกชักพาให้หลงผิดแทน นั่นย่อมเป็นปัญหามิใช่หรือ?  เจ้ามีวุฒิภาวะนั้นหรือไม่?  เจ้านึกว่าตนเองมีความเชื่อ แต่เจ้าเข้าใจความจริงหรือไม่?  ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความจริง ความเชื่อของเจ้าย่อมไม่จริงแท้ และเจ้าก็จะถูกชักพาให้หลงผิดอยู่ดี  ถ้าเจ้าเข้าใจความจริงบางอย่าง พอจะรู้จักพระเจ้าจริง สามารถใช้วิจารณญาณและไม่ยอมรับข่าวลือเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมเกิดปัญญาจากการฟังข่าวลือได้  ถ้าเจ้านึกว่าตนเองมีความเชื่อโดยแท้ แต่ที่จริงแล้วความเชื่อนี้ยังไม่ใช่วุฒิภาวะที่แท้จริง และเจ้าก็ยังไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว เราว่ายากมากที่เจ้าจะเกิดวิจารณญาณและปัญญาจากข่าวลือได้จริง  ข่าวลือมาจากไหน?  มาจากซาตาน  ซาตานอาศัยช่องโหว่ทุกอย่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ฉกฉวยทุกโอกาสที่มีมาเลือกวลีที่ใช้อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และฉวยโอกาสหาสิ่งที่มันสามารถใช้คัดง้างได้จากพระวจนะของพระเจ้า เอาพระวจนะของพระเจ้ามาใช้นอกบริบท  นี่ดูเหมือนมีหลักการ แต่แท้จริงแล้วทำกันนอกบริบทเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิด  หลังจากที่ได้ฟังข่าวลือเหล่านี้ คนที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมคิดในใจว่า “สิ่งที่พวกเขาพูดนี้มีหลักการรองรับในพระวจนะของพระเจ้า  จึงควรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  ไม่อาจเป็นข่าวลือได้ไม่ใช่หรือ?”  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกชักพาให้หลงผิด  ข่าวลือบางอย่างใช้วิจารณญาณแยกแยะให้ชัดเจนได้ง่าย  อย่างไรก็ดี ข่าวลือบางอย่างกลับแยกแยะได้ยาก ดูภายนอกเหมือนสอดคล้องกับข้อเท็จจริง แต่แก่นแท้กลับไม่เป็นเช่นนั้น  อย่าคิดว่าข่าวลือเหล่านี้ถูกต้องเพียงเพราะฟังดูแล้วสอดคล้องกับความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้า  แท้จริงแล้วถ้อยแถลงเหล่านี้มีมากมายที่เป็นทฤษฎีอันว่างเปล่า เป็นกับดัก และไม่นำความเจริญใจหรือประโยชน์มาให้ผู้คน  ควรปฏิเสธถ้อยแถลงเหล่านี้ให้หมด  ด้วยเหตุที่ระดับความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อพระวจนะของพระเจ้านั้นแตกต่างกัน และบริบทที่พระเจ้าใช้ตรัสก็ต่างกันด้วย การใช้และตีความพระวจนะของพระเจ้าอย่างมืดบอดจึงมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะก่อให้เกิดความผิดพลาด  ซาตานมักจะชักพาให้ผู้คนหลงผิดด้วยการอ้างพระวจนะของพระเจ้านอกบริบทและตีความผิดๆ  การกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าโดยอ้างพระคัมภีร์หรือพระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นกลลวงของซาตาน เป็นวิธีการที่มันใช้ชักพาให้ผู้คนหลงผิด การกล่าวโทษเหล่านั้นคือกับดัก และควรปฏิเสธถ้อยแถลงทำนองนั้นให้หมด  ดูภายนอกข่าวลือคือความเห็นเพียงอย่างสองอย่าง หรือไม่กี่อย่างเท่านั้น ไม่มากพอที่จะทำให้กลัว และไม่ใช่สิ่งที่ควรกลัว  สิ่งที่พึงกลัวก็คือข่าวลือที่สรุปความตามพระคัมภีร์ หรือความจริงที่กล่าวอ้างโดยไม่คำนึงถึงบริบท  นี่คือสิ่งที่สามารถชักพาให้ผู้คนหลงผิดได้มากที่สุด เป็นสิ่งที่รบกวนความรู้สึกนึกคิดของผู้คนมากที่สุด  และจะทำให้ผู้คนที่ไม่มีวิจารณญาณสะดุดล้ม  เฉพาะคนที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่สามารถใช้วิจารณญาณฟังลมปากของมารที่ชักพาให้หลงผิดเช่นนั้นออก  ตัวอย่างเช่น บางคนหาพระวจนะบางส่วนของพระเจ้ามาใช้เป็นหลักการในการกล่าวว่าพระเจ้าทรงรักผู้คนประเภทนี้และไม่รักคนประเภทนั้น พระเจ้าทรงช่วยผู้คนประเภทนี้ให้รอดและไม่ช่วยผู้คนประเภทนั้น ผู้คนจำพวกนี้ย่อมถูกพระเจ้ากำจัดออกไป ส่วนคนจำพวกนั้นไม่มีความหมายต่อพระเจ้า และอื่นๆ  ถ้อยแถลงเหล่านี้คือการสรุปความมิใช่หรือ?  การสรุปความเหล่านี้แท้จริงแล้วไม่ตรงกับพระวจนะของพระเจ้า  หลักการที่พวกเขาค้นพบแท้จริงแล้วอยู่นอกบริบท เป็นเรื่องของบริบทที่ต่างออกไปและเป็นถ้อยแถลงที่ต่างออกไป  แน่นอนว่านี่คือการตีความไปในทางที่ผิด  พวกเขาไม่ได้มองทะลุเข้าไปถึงแก่นแท้ และใช้ข้อบังคับตามอำเภอใจ  แต่คนที่ไม่มีวิจารณญาณย่อมถูกพิษและหลงผิดเมื่อได้ฟังความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ คิดลบอยู่ในใจ นึกไปว่าในเมื่อสิ่งที่พูดมานั้นอิงตามพระวจนะของพระเจ้า ก็ต้องถูกต้อง  พวกเขาไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ถี่ถ้วนหลังจากนั้นเพื่อหาข้อผิดพลาดในความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเหล่านี้ กลับเชื่อหมดใจว่าเป็นเรื่องจริง  พวกเขาถูกชักพาให้หลงผิดไปแล้วมิใช่หรือ?  ถ้าไม่มีคนที่เข้าใจความจริงไปสามัคคีธรรมกับพวกเขา ก็ย่อมอันตรายเป็นอย่างยิ่ง  อย่างน้อยที่สุดผู้คนเหล่านี้ก็อาจคิดลบไปนานหกเดือนถึงหนึ่งปีก็ได้ นี่ไม่เพียงถ่วงการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขาให้ช้าลงเท่านั้น แต่ถ้าพวกเขาถอนตัวและเลิกเชื่อ พวกเขาก็จะย่อยยับโดยสิ้นเชิงและสูญสิ้นความรอดจากพระเจ้า  ฉะนั้น ผู้คนที่ด้อยวุฒิภาวะและไม่เข้าใจความจริงจึงเสี่ยงมากที่จะถูกซาตานชักพาให้หลงผิด!  มีแต่คนที่เข้าใจความจริงเท่านั้นที่ปลอดภัยและมั่นคง  ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบเจอคนที่แพร่กระจายข่าวลือเพื่อชักพาให้ผู้คนหลงผิดเข้าจริงๆ วิธีที่มีประสิทธิผลสูงสุดคือการหาคนที่เข้าใจความจริงมาสามัคคีธรรมด้วยโดยเร็ว เมื่อนั้นเท่านั้นที่จะสามารถช่วยเจ้าออกมาจากสถานการณ์นี้ได้  การแสวงหาความช่วยเหลือจากคนที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณและใช้ข้อบังคับอย่างมืดบอด ไม่เพียงจะแก้ปัญหาไม่ได้เท่านั้น แต่ยังจะชักพาให้เจ้าหลงผิดยิ่งขึ้น  ดังนั้น การถูกชักพาให้หลงผิดจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในศาสนาเท่านั้น—ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้าและใช้ชีวิตคริสตจักร ถ้าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เจ้าก็สามารถถูกชักพาให้หลงผิดได้ง่ายอยู่ดี  ต่อให้เจ้าเชื่อมาสามปีห้าปี หรือเจ็ดแปดปีแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่ได้รับความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เสี่ยงที่จะถูกชักพาให้หลงผิดอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มักจะมีมโนคติอันหลงผิดและมักจะคิดลบ ย่อมมีแนวโน้มมากที่สุดที่จะถูกชักพาให้หลงผิดและสามารถทรยศพระเจ้าเมื่อใดก็ได้  เพราะซาตานท่องโลกเหมือนสิงโตคำราม แสวงหาผู้คนมาขย้ำกิน นี่คือข้อเท็จจริง  ซาตานนี้คือใคร?  คือทุกคนที่รังเกียจความจริงและเกลียดชังความจริง รวมถึงศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนที่เหลวไหล และคนที่ชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดอีกด้วย—พวกเขาคือซาตานทั้งสิ้น  ผู้คนเหล่านี้ท่องไปทั่ว ก่อกวนและชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลงผิดในทุกที่ที่พวกเขาไป ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงเป็นมารที่ไม่ยอมรับพระเจ้า  ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรควรระวังระไวเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะไม่ถูกชักพาให้หลงผิดและสามารถตั้งมั่นได้

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในคริสตจักรมีผู้เชื่อใหม่บางคนหรือคนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยอย่างยิ่ง ซึ่งคนเหล่านี้ไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า จึงมักจะถูกข่าวลือต่างๆ ชักพาให้หลงผิด ครอบงำ และรบกวน  คนที่กุข่าวลือสามารถล้มผู้คนกลุ่มนี้ได้ง่ายด้วยการสรุปความตามใจชอบสักเรื่องหนึ่ง  วาจาและถ้อยแถลงที่พวกเขาผลีผลามโพล่งออกมานี้สามารถทำให้บางคนคิดลบ อ่อนแอ และไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตน  เมื่อพระนิเวศของพระเจ้าเรียกหา ผู้คนเหล่านี้ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หาเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ นานามาปฏิเสธและหลีกเลี่ยง  เห็นได้ชัดว่าคนที่กุข่าวลือนี้มีบทบาทเช่นใดในคริสตจักร?  พวกเขาทำตัวเป็นข้ารับใช้ของซาตานอย่างไม่ต้องสงสัย  ตัวอย่างเช่น บางคนกล่าวว่า “เวลาทำหน้าที่ของคุณ คุณต้องมีแผนสำรองเอาไว้  พระนิเวศของพระเจ้าเรียกคุณไปทำหน้าที่ และถ้าคุณไม่ทำให้ดี พระนิเวศของพระเจ้าก็อาจเลิกใช้คุณเมื่อไรก็ได้  ถึงตอนนั้นถ้าคุณกลับไปอยู่บ้าน คุณก็จะประคองตัวลำบาก  ถึงเวลานั้นจะไม่มีใครหาเลี้ยงคุณ!”  นี่ฟังแล้ว “อบอุ่นหัวใจ” ใช่หรือไม่?  สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ฟังดูเปี่ยมรักและมีน้ำใจทีเดียว แต่เจ้าสังเกตพบการคำนึงถึงพระทัยของพระเจ้าในวาจาเหล่านี้บ้างหรือไม่?  นี่ให้การเกื้อหนุน เสบียง ความช่วยเหลือ หรือการหนุนใจแก่ผู้คนบ้างหรือไม่?  (ไม่)  การบอกให้ผู้คนเตรียมแผนสำรอง—นี่คือการฉุดรั้งผู้คนเอาไว้มิใช่หรือ?  ที่กล่าวเช่นนี้ พวกเขาหมายความว่าอย่างไร?  “คุณต้องคอยระวัง พระเจ้าอาจจะหันมาเล่นงานคุณก็ได้!”  นี่คือพิษที่พวกเขาลอบวางเอาไว้ในตัวผู้คน  พอได้ฟังดังนี้ ผู้คนย่อมคิดว่า “ถูกต้อง ฉันโง่ขนาดนี้ได้อย่างไร?  ฉันเกือบจะขายบ้านของตัวเองไปแล้ว—ถ้าฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ดีและถูกปลด ฉันก็คงจะไม่มีแม้แต่บ้านให้กลับไปอยู่  โชคดีที่พวกเขาเตือนฉันเอาไว้ ไม่เช่นนั้นฉันก็คงทำเรื่องโง่เขลาลงไป”  ช่างเป็นคำเตือนที่ “มีเมตตา” จริงๆ แต่ก็มีพิษมากทีเดียว และพิษก็ไหลลึก!  พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวลือแบบนี้บ้างหรือไม่?  ฟังดูเหมือนดีกับผู้คนอย่างยิ่ง คำนึงถึงผู้คนเหลือเกิน พร้อมด้วย “ความรัก” ที่มากมายขนาดนั้น  ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นทั้งญาติและมิตรกับคนที่ตนคุยด้วย ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างพวกเขา—เพียงเพราะพวกเขาทุกคนเชื่อในพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงมี “ความรัก” อันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ให้แก่คนที่พวกเขาคุยด้วย  ผู้คนจึงคิดว่า “นี่คือความคุ้มครองของพระเจ้าโดยแท้!  เช่นนั้นฉันก็ควรคิดทบทวนเรื่องต่างๆ เสียก่อน  เวลาไปทำหน้าที่ของตน ถ้าทำตัวสุกเอาเผากินอยู่เสมอ และถ้าถูกขับออกไป ฉันจะทำอย่างไร?  ดังนั้นเวลาทำหน้าที่ ฉันต้องระมัดระวัง ฉันควรทำงานที่ทำให้ตัวเองดูดีให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงความผิดพลาด และต่อให้ฉันผิดพลาด ก็ไม่อาจปล่อยให้คนอื่นพบเห็น  แบบนั้นฉันก็จะไม่ถูกขับออกไปใช่ไหม?  และต่อให้ถูกขับออกไปก็ไม่เป็นไร ฉันมีแผนสำรอง มีเงินเก็บ และบ้านของฉันก็ยังอยู่ตรงนั้น  เพียงแต่นี่ไม่ได้เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงคำนึงถึงความรู้สึกของผู้คนและไม่ทรงดำเนินการตามความรู้สึกทางเนื้อหนังหรอกหรือ?  แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น มีอะไรให้กลัว?  ผู้คนย่อมทำตามความรู้สึกของตนเอง มีความรักอยู่ทั่วทุกแห่งในโลกมนุษย์!”  ถ้อยแถลงข้อเดียวที่ “อบอุ่นหัวใจ” นี้สร้าง “มิตรภาพ” ในหมู่คน แต่มันวางพระเจ้าไว้ตรงไหน?  นี่ทำให้พระเจ้ามีความสำคัญอยู่อันดับสามหรือสี่ ทำให้พระองค์เป็นคนนอก ราวกับว่าพระเจ้าไว้ใจไม่ได้และมีแต่ผู้คนเท่านั้นที่คู่ควรแก่การไว้วางใจ มีแต่ผู้คนเท่านั้นที่คำนึงถึงผู้อื่น  ถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนี้สร้างผลพวงที่มีนัยสำคัญถึงเพียงนี้ ช่าง “ถูกจังหวะ” เหลือเกิน!  พวกเจ้าชอบฟังคำเช่นนี้ใช่หรือไม่?  แม้เจ้าจะรู้ว่ามีความปองร้ายซ่อนอยู่ในถ้อยคำของพวกเขา เจ้าก็ยังคงหวังว่าใครสักคนจะสามารถบอกใบ้ สามารถช่วยเหลือเจ้า สามารถเอาคำเตือนจากใครบางคนที่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อนมาบอกเจ้าในยามที่เจ้าไม่รู้ว่ามีสิ่งใดรออยู่ข้างหน้า และสามารถกล่าวคำที่มาจากหัวใจแก่เจ้าได้  ถ้อยแถลงนี้เป็น “กุญแจสำคัญ” มี “ความสำคัญ” อย่างยิ่ง!  นี่คือการหลงเชื่อคำของพวกเขาโดยสิ้นเชิงแล้วมิใช่หรือ?  คำพูดที่ “ไร้ความคิด” ของนักกุข่าวลือนี้ซื้อผู้คนและขายพระเจ้าไปแล้ว  การกระทำนี้เป็นเช่นไร?  ดีงามหรือไม่?  (ไม่)  พวกเจ้าว่านี่เป็นคนเช่นใด?  ในสายตาของผู้คน พวกเขาเป็นคนดี เป็นคนมีเมตตา แต่ในสายตาของคนที่เข้าใจความจริง นี่คือคนเลอะเลือน  ดูจากสิ่งที่พวกเขาทำและพฤติกรรมของพวกเขาแล้ว พวกเขากระทำการเหมือนข้ารับใช้ของซาตานทุกอย่าง พวกเขาเป็นมารโดยแท้!  กล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  ถูกต้องอย่างยิ่ง!  ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาชักจูงให้ทุกคนระแวดระวังพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรสักคำที่สามารถทำให้ผู้คนเจริญใจได้  เหตุใดจึงไม่พูด?  เพราะหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์และความเกลียดชังต่อพระเจ้า แก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาคือแก่นแท้ธรรมชาติของซาตาน และพวกเขาก็มีปกติวิสัยที่ไม่ยอมรับพระเจ้าและยืนต่อต้านพระองค์  บางคนกล่าวว่า “พวกเขามีปกติวิสัยที่ยืนต่อต้านพระเจ้า แล้วทำไมถึงยังติดตามพระเจ้า?”  เพื่อให้ได้พร!  พวกเขาอยากหลอกเอาจุดจบที่เป็นการได้รับพรไปจากพระนิเวศของพระเจ้า แต่ก็ไม่อยากจ่ายราคาหรือไล่ตามเสาะหาความจริง  พวกเขาอยากบ่อนทำลายพระเจ้า ก่อกวนประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ทำให้คนเหล่านี้พาตัวออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระเจ้าอีกด้วย  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนเยี่ยงนี้คือมารโดยแท้  แต่บางคนที่เบาปัญญาก็มองไม่ออกและไม่ตระหนักรู้ใบหน้าที่เป็นมารของผู้คนพวกนี้อยู่เสมอ  พวกเขาสามารถยอมรับคำพูดเยี่ยงมารที่คนพวกนี้พูดออกมาได้หมด ซึ่งก็สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และความต้องการตามความรู้สึกทางเนื้อหนัง  ภายใต้การชักพาให้หลงผิดของผู้คนพวกนี้ พวกเขาสามารถทรยศและปฏิเสธพระเจ้าเมื่อใดก็ได้—ต่อให้พวกเขาไม่อยากปฏิเสธพระองค์ นั่นก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา  ซาตาน หมู่มาร และข้ารับใช้ของซาตานช่างยอกย้อนและหลอกลวงอย่างยิ่ง!  ตัวพวกมันเองไม่ยอมรับพระเจ้าและยืนต่อต้านพระองค์ พวกมันเกลียดความจริงและไม่ยอมรับความจริง ถึงกับอยากกีดกันไม่ให้มีผู้คนมาติดตามพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริงกันมากขึ้น  ในพระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้มีบทบาทเป็นร่างทรงให้ซาตาน พูดจาและกระทำการเพื่อซาตาน  พวกเขาทำหน้าที่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่น ถูกใช้มาเพิ่มวิจารณญาณให้แก่ผู้คนโดยเฉพาะ  ดังนั้นสิ่งต่างๆ มากมายที่พวกเขาพูดออกมา ฟังดูภายนอกอาจเหมือนไม่เป็นปัญหาเท่าใดนัก  พวกเขาถึงกับยกพระวจนะของพระเจ้ามากล่าวอ้างบ่อยๆ หาหลักฐานและคำกล่าวบางอย่างในพระวจนะของพระเจ้ามา จากนั้นก็ต่อเติมเสริมแต่งบ้าง ทำให้ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างมาก  แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ สิ่งที่พวกเขาพูดตรงข้ามกับความจริง  เมื่อเจ้าได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูด ก็อาจจะฟังเหมือนถูกต้อง แต่ถ้าเจ้านำไปเทียบกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียด เจ้าก็จะสามารถมองออกว่าหลักใหญ่ใจความไม่ได้ตรงตามความจริง  ถ้อยคำลวงโลกทั้งหมดที่พวกเขาพูดล้วนมาจากซาตาน  พวกเขากำลังทดสอบพระเจ้า พยายามหาข้อคัดง้างจากพระวจนะของพระเจ้า ตีความพระวจนะของพระเจ้าไปในทางที่ผิดเพื่อกล่าวโทษพระเจ้าและชักพาให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหลงผิด ทำให้คนเหล่านี้คาดเดาพระเจ้า เข้าใจพระเจ้าผิด ทรยศและปฏิเสธพระเจ้า และอื่นๆ  ฉะนั้น นอกจากศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วแล้ว คนที่สร้างข่าวลือเพื่อชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดก็เป็นคนอีกจำพวกหนึ่งในคริสตจักรที่ควรใช้วิจารณญาณคอยดู ระแวดระวัง และเอาตัวออกไป

ฉ. การใช้วิจารณญาณดูผู้คนที่แพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลและหลักธรรมในการรับมือคนเหล่านี้

พวกเราควรใช้วิจารณญาณดูคนในคริสตจักรที่กุข่าวลือมาชักพาให้ผู้อื่นหลงผิดอย่างไร?  ก่อนอื่นคนที่กุข่าวลือย่อมไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นแน่ พวกเขารังเกียจความจริง  นอกจากนี้พวกเขาก็มักจะประดิษฐ์คำพูดเยี่ยงมารและถ้อยแถลงที่เหลวไหลสารพัดชนิดมาใช้ชักพาให้พี่น้องชายหญิงที่ด้อยวุฒิภาวะ มีรากฐานตื้นเขิน และไม่เข้าใจความจริงบางคนหลงผิดและดึงไปเป็นพวก  การรบกวนและทำให้ระเบียบปกติของชีวิตคริสตจักรเสียหายคือผลสัมฤทธิ์ของพวกเขา รบกวนการไล่ตามเสาะหาตามปกติของผู้คนและทำให้ผู้คนออกห่างจากเส้นทางที่ถูกต้อง ทำให้ผู้คนคิดลบและอ่อนแอ ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้คนละทิ้งหน้าที่ของตนและเลิกเชื่อในพระเจ้า—นี่ถึงกับทำให้พวกเขามีความสุขมากขึ้น  ฉะนั้น การเรียกคนที่กุข่าวลือว่าข้ารับใช้ของซาตานจึงเป็นคำเรียกที่ถูกต้องโดยแท้ นี่คือใบหน้าที่แท้จริงและธาตุแท้ของผู้คนเยี่ยงนี้ ซึ่งดูออกได้ง่าย  บางคนก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แม้ตัวพวกเขาเองจะไม่รักความจริง แต่ก็ไม่แทรกแซงหรือแสดงความคิดเห็นว่าผู้อื่นควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร  สามารถมองข้ามผู้คนเหล่านี้ไปได้  แต่บางคนที่อิจฉาและเกลียดชังคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ตัดสินและเล่นงานอยู่เสมอ พลางเก็บงำเจตนาบางอย่างเอาไว้ และถึงกับฉวยเอาไพ่ตายในมือมากล่าวโทษพวกเขา  ควรระแวดระวังผู้คนเช่นนี้  แม้สิ่งที่ผู้คนเหล่านี้พูดออกมาอาจฟังดูถูกต้อง มีเหตุผล และตรงกับความหมายตามตัวอักษรในพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างมาก แต่พอใช้วิจารณญาณดูอย่างถี่ถ้วน กลับเป็นเรื่องโกหกและข่าวลือเสียส่วนใหญ่ เป็นเรื่องเหลวไหลโดยแท้  ควรใช้วิจารณญาณฟังข่าวลือลวงโลกและเรื่องโกหกพวกนี้ให้ออก  บางคนกล่าวว่า “ฉันเพิ่งเชื่อในพระเจ้ามาไม่นาน อ่านพระวจนะของพระเจ้ามาน้อย และไม่เข้าใจความจริง  ฉันจะใช้วิจารณญาณแยกแยะข่าวลือและเรื่องโกหกได้อย่างไร?”  มีวิธีเดียวคือจากวันนี้ไปให้มุ่งอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น แสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น ปล่อยให้พระวจนะของพระเจ้าหยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้า  ด้วยการชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้าและการมองเรื่องราวตามความจริง เจ้าย่อมจะมีวิจารณญาณ  ข่าวลือที่แพร่โดยผู้คนเหล่านี้จะไม่มีผลกับเจ้าและจะไม่รบกวนการไล่ตามเสาะหาตามปกติของเจ้า  ไม่ว่าพวกเขาจะเสวนากันถึงข่าวลืออันใดหรือพูดเรื่องเหลวไหลอันใด เจ้าก็จะไม่หวั่นไหวเมื่อได้ฟัง จะไม่คิดลบและอ่อนแอ และจะยิ่งไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าจะมุ่งไล่ตามเสาะหาในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น  นี่หมายความว่าเจ้ามีภูมิต้านทาน—ข้ารับใช้เยี่ยงนั้นของซาตานจะไม่ก่อให้เกิดผลอันใดในคริสตจักรอีกต่อไป  การเรียนรู้ว่าจะใช้วิจารณญาณแยกแยะข่าวลืออย่างไรนี้ไม่มีทางลัด  มีเพียงวิธีเดียวคือฟังคำเทศนาให้มากขึ้น อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น และสามัคคีธรรมความจริงให้มากขึ้น  เมื่อเจ้าเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าย่อมจะมีวิจารณญาณไปเอง  จุดประสงค์ของการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงคืออะไร?  คือการเข้าใจความจริงและมีวิจารณญาณแยกแยะข่าวลือและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้เพราะอ่านพระวจนะของพระเจ้า  ถ้าเจ้าเห็นว่าข่าวลือเหล่านั้นขัดและแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า ตรงข้ามกับความจริงโดยสิ้นเชิง ข่าวลือเหล่านั้นก็จะพังครืนไปเอง  แน่นอนว่ามีบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่เคยทุ่มเทพยายามที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่เข้าใจว่าความจริงในพระวจนะของพระเจ้าคืออะไรกันแน่  ฉันจำได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือในแง่ของการประพฤติปฏิบัติตน ฉันต้องทำตามคนหมู่มาก  ไม่ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะปฏิเสธอะไร ฉันย่อมปฏิเสธด้วย คนส่วนมากยอมรับอะไร ฉันก็ยอมรับด้วย  ฉันแค่ทำตามคนหมู่มากก็พอ”  นี่ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  บางครั้งคนหมู่มากก็ผิดเช่นกัน และการทำตามคนหมู่มากย่อมหมายถึงการผิดพลาดไปพร้อมกับพวกเขา  เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะทำตามคนที่เข้าใจความจริง นี่เท่านั้นคือวิธีที่ดี

การแพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูลเป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในคริสตจักร  แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่การรบกวนและภัยที่มันก่อให้เกิดกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็ไม่ได้เล็กน้อย  อย่างน้อยมันก็สามารถทำให้ผู้คนคิดลบและอ่อนแอได้ อย่างเลวร้ายที่สุดมันย่อมสามารถทำให้ผู้คนพาตัวออกห่างจากพระเจ้าและถึงขั้นทรยศพระองค์ได้  ฉะนั้น การแพร่กระจายข่าวลือจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจเพิกเฉยได้  เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นในคริสตจักร ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมเอาไว้ทันที  ถ้าผู้นำคริสตจักรด้านชาและหัวช้า ไม่สามารถทำงานจริง และไม่อาจตรวจพบเรื่องนี้ได้ แต่บางคนที่มีขีดความสามารถดี ไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริง กลับตรวจพบเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วกลุ่มหลังก็ควรเร่งมือแก้ปัญหานี้  เมื่อพิจารณาด้วยการแสวงหาและสามัคคีธรรมกับผู้คนจำนวนมากเพื่อลงมติและได้รับการยืนยันว่ามีการแพร่ข่าวลืออยู่ ผู้คนก็ควรแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหาดังกล่าว  ถ้าไม่ชัดเจนว่าความเห็นหนึ่งๆ ใช่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ ก็อย่าระบุลงไปอย่างมืดบอดว่าเป็นสิ่งใด  ส่วนความเห็นที่ชัดเจนและไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ ดูออกได้ง่ายว่าเป็นข่าวลือและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก็ควรเปิดโปงและชำแหละทันทีเพื่อให้ทุกคนมีวิจารณญาณแยกแยะได้  หลังจากที่ฟังใครบางคนพูดสักประโยคสองประโยค ถ้าเจ้าใช้วิจารณญาณแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาเป็นข่าวลือหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ เจ้าก็ควรรับมือด้วยความระมัดระวังและไม่สรุปความอย่างมืดบอด  จงรอจนกระทั่งพวกเขาพูดจบจึงค่อยแยกแยะให้ชัดเจน  เมื่อยืนยันได้ว่าเป็นข่าวลือหรือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ก็ควรหยุดยั้งและควบคุมคนคนนี้ทันที  ถ้าว่ากล่าวตักเตือนและห้ามปรามซ้ำๆ แล้วยังควบคุมพวกเขาไม่ได้ และพวกเขาก็ดึงดันที่จะแพร่กระจายข่าวลือต่อไป ก็ควรเอาตัวพวกเขาออกจากคริสตจักร  หลักธรรมและเส้นทางนี้ชัดเจนหรือไม่ว่าควรทำสิ่งใดและปฏิบัติอย่างไรเมื่อพบเจอคนที่แพร่กระจายข่าวลือในคริสตจักร?  (ชัดเจน)

เนื้อหาของข่าวลือไม่เพียงเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่ๆ ที่เรากล่าวมานี้เท่านั้น มีบางข่าวลือที่เป็นเพียงสิ่งละอันพันละน้อยอีกด้วย เช่น ความเห็นเกี่ยวกับการตัดแต่ง หรือเกี่ยวกับคนที่พระนิเวศของพระเจ้าใช้งานหรือคนที่พระนิเวศกำจัดออกไป รวมทั้งถ้อยแถลงอื่นๆ ที่ไม่จริง  ก่อนที่คริสตจักรจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์หมดจด ย่อมมีผู้นำเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ คนชั่วต่างๆ ผู้คนที่เลอะเลือน คนปัญญาทึบที่ไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ—ย่อมมีผู้คนสารพัดชนิดในคริสตจักร  คนโกหกและนักกุข่าวลือก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป มีลมปากเยี่ยงมารและข่าวลือสารพัดอย่างในหมู่คน  ในส่วนของข่าวลือเหล่านี้ ด้านหนึ่งผู้คนจำต้องมีเหตุผลตามปกติไว้วินิจฉัยข่าวเหล่านี้ อีกด้านหนึ่งในกรณีของข่าวลือที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า แผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พระเจ้าพระองค์เอง และแม้แต่กฎการปกครองในพระนิเวศของพระเจ้าและเรื่องอื่นๆ ผู้คนจำเป็นต้องมีความจริงไว้ใช้แยกแยะเรื่องเหล่านี้  สำหรับเรื่องราวภายนอก ผู้คนจำเป็นต้องมีเหตุผลตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติไว้ตัดสิน  ส่วนเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับพระราชกิจของพระเจ้าและความจริง ผู้คนจำต้องมีความเป็นจริงความจริงและวุฒิภาวะไว้แยกแยะเรื่องเหล่านี้  สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือชนิดใด ผู้คนก็ควรใช้วิจารณญาณแยกแยะและปฏิเสธไม่ยอมรับ  แน่นอนว่าบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและใช้ชีวิตไปตามข่าวลือเหล่านี้เท่านั้น  วันนี้มีคนแพร่คำกล่าวที่กระพือลมไปทางหนึ่ง ผู้คนเหล่านี้ก็ปลิวตาม  รุ่งขึ้นมีคำกล่าวอีกอย่างที่กระพือลมไปอีกทาง พวกเขาก็ปลิวตามไปทางนั้น  ตัวอย่างเช่น ผู้นำหรือคนทำงานบางคนกล่าวว่าคนที่สามารถเขียนบทความคำพยานได้ย่อมจะสามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อม ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกเขียนบทความ ศึกษาการเขียน และหาแหล่งข้อมูล  วันถัดมาผู้นำหรือคนทำงานอีกคนบอกว่าคนที่ทำหน้าที่ของตนย่อมจะสามารถได้รับการช่วยให้รอด ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสาละวนทำหน้าที่  แต่ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอย่างไร ก็ไม่เคยร้อนใจหรือสนใจเรื่องที่สำคัญที่สุดคือการไล่ตามเสาะหาความจริงและการเข้าสู่ชีวิต  กระแสนิยมอันเลวทั้งหลายที่ก่อตัวตามกลุ่มต่างๆ ในคริสตจักรจึงพัดพาบางคนออกไปตลอดเวลา  ข่าวลือต่างๆ ที่หมุนเวียนอยู่ในหมู่สมาชิกคริสตจักรก็ชักพาให้บางคนหลงผิดและครอบงำพวกเขาอยู่เสมอ  อย่างไรก็ดี มีบางคนเช่นกันที่ยังคงไม่แยแสและไม่ได้ให้ความสนใจในข่าวลือที่พวกเขาได้ยินได้ฟังนี้  พวกเขาไม่สนใจมองว่าพระนิเวศของพระเจ้าทำงานอะไรอยู่ ไม่สนใจที่จะเชื่อในพระเจ้าและไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง  ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้เชื่อแต่ในนาม  มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ดีขึ้นมาบ้าง พวกเขาสามารถแสวงหาความจริงและยอมรับความจริงได้ ดังนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เป็นลบและผู้คนที่คิดลบเหล่านี้  มีแต่คนที่ด้อยวุฒิภาวะ ไร้รากฐาน และไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงโดยสิ้นเชิงเท่านั้นที่ถูกคำกล่าวและความเห็นต่างๆ ครอบงำอยู่เสมอ  ด้วยเหตุที่ผู้คนเหล่านี้คอยเดินตามอยู่ตลอดเวลา จึงมีบางคนคอยกุข่าวลือต่างๆ นานาขึ้นมาอยู่เสมอเพื่อกวนน้ำให้ขุ่น  พวกเขารู้สึกว่าเช่นนี้เท่านั้นจึงจะทำให้การเชื่อในพระเจ้ามีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้น ไม่จืดชืด และนี่ก็เป็นทางเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญ  เรื่องเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในหมู่ผู้เชื่อใหม่  ถ้าคริสตจักรหนึ่งๆ เต็มไปด้วยการแพร่กระจายข่าวลือและผู้คนที่ถูกชักพาให้หลงผิด นั่นก็หมายความว่าคริสตจักรแห่งนั้นมีผู้คนที่เข้าใจความจริงอยู่น้อยเกินไปอย่างแน่นอน  ในคริสตจักร ไม่ว่าคนที่มีแรงจูงใจแอบแฝงจะปรุงแต่งข่าวลือและยั่วยุอย่างไร ผู้คนที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ก็คอยติดตาม นี่เป็นปัญหาอย่างมาก  ที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะขีดความสามารถที่อ่อนด้อย ทั้งยังเป็นการสำแดงให้เห็นโดยแท้ว่าไม่เข้าใจความจริงอีกด้วย  สิ่งที่คนที่ไม่เข้าใจความจริงกล่าวออกมานั้นส่วนมากไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ปะปนอยู่อีกด้วย กล่าวให้ถูกต้องก็คือ ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก  ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดมีแรงจูงใจและจุดประสงค์ เช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องโกหก แต่ยิ่งกว่านั้นอีกคือเป็นกลอุบายของซาตานและแผนสมคบคิดของคนชั่ว  ฉะนั้น สิ่งที่คนที่ไม่มีความจริงพูดออกมาโดยมากจึงเป็นลมปากของมารและไม่ควรเชื่อ

นั่นย่อมสรุปจบสามัคคีธรรมเรื่องการแพร่กระจายข่าวลือที่ไม่มีมูล  การแพร่กระจายข่าวลือนี้เป็นเรื่องที่เผยให้เห็นผู้คนมากที่สุด และเปิดโอกาสให้เห็นพฤติกรรมของผู้คนต่างๆ อย่างชัดเจน  ถึงเวลานี้พวกเจ้าก็ควรเข้าใจแล้วว่าพึงมีท่าทีเช่นใดต่อข่าวลือและคนที่กระจายข่าวลือ และควรใช้วิธีการใดมารับมือข่าวลือ ถูกต้องหรือไม่?  (ถูกต้อง)  เมื่อเข้าใจแล้ว พอพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก พวกเจ้าก็ควรนำมาเทียบกับสามัคคีธรรมของพวกเรา และใช้วิธีการที่ถูกต้องที่สุดมาจัดการแก้ปัญหาเหล่านี้  เช่นนี้จึงสอดคล้องกับหลักธรรม

17 กรกฎาคม ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (17)

ถัดไป:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (21)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger