หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)

ประการที่แปด: รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที (ภาคที่สอง)

ครั้งที่แล้ว  พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “รายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที”  แม้ว่าประการที่แปดจะยาวเพียงบรรทัดเดียว และโดยพื้นฐานแล้วก็เรียกร้องเพียงสิ่งเดียวจากผู้นำและคนทำงานในแง่ของหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก แต่พวกเราก็ใช้เวลาทั้งการชุมนุมครั้งหนึ่งไปเพื่อสามัคคีธรรมในหัวข้อนี้  ครั้งที่แล้วพวกเราสามัคคีธรรมในแง่มุมใดของหัวข้อนี้โดยเฉพาะเจาะจงบ้าง?  หน้าที่รับผิดชอบหลักของผู้นำและคนทำงานที่ประการนี้กล่าวถึงคืออะไร?  (คือพวกเขาควรมาชุมนุมกันและสามัคคีธรรมเมื่อเผชิญกับความสับสนและความลำบากยากเย็น และแสวงหาวิธีแก้ไขและรายงานต่อเบื้องบนโดยทันทีหากพวกเขาไม่สามารถเกิดความกระจ่างในเรื่องเหล่านั้นได้ผ่านทางการสามัคคีธรรม)  หน้าที่รับผิดชอบหลักของผู้นำและคนทำงานที่ประการนี้กล่าวถึงคือการมีส่วนร่วมในงาน และการทุ่มเทตนเองให้กับงานที่เป็นแก่นสารด้านต่างๆ เพื่อที่จะได้ค้นพบปัญหาต่างๆ ที่พบเจอในงาน และแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างทันท่วงที  หากได้ลองใช้วิธีการต่างๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยสมบูรณ์ และยังคงมีอยู่จนกลายเป็นความสับสนและความลำบากยากเย็น เช่นนั้นผู้นำและคนทำงานก็ไม่ควรปล่อยให้ความสับสนและความลำบากยากเย็นเหล่านั้นสะสมหรือเลือกไม่สนใจและเพิกเฉย แต่ต้องคิดหาวิธีแก้ไขในทันทีแทน  แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขก็คือการแสวงหาและสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงตลอดจนผู้นำและคนทำงานในระดับต่างๆ เพื่อให้พบทางออกสำหรับปัญหาเหล่านี้  หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ผู้นำและคนทำงานก็ไม่ควรพยายามทำให้เรื่องใหญ่ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แล้วทำให้เรื่องเล็กดูเหมือนไม่ใช่ปัญหา หรือเพียงแค่เลือกไม่สนใจและเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ต้องรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนโดยทันทีเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไข  ด้วยวิธีนี้ งานจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ปราศจากความลำบากยากเย็นและอุปสรรคใดๆ

ผู้นำและคนทำงานควรรายงานและแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที

I. นิยามของคำว่า “ทันท่วงที”

หน้าที่รับผิดชอบประการที่แปดของผู้นำและคนทำงานกล่าวถึงการรายงานความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที—นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก  หากค้นพบปัญหาในวันนี้ แต่กลับปล่อยให้การแก้ไขล่าช้าไปแปดหรือสิบวัน หรือแม้กระทั่งหกเดือนหรือหนึ่งปี จะเรียกสิ่งนั้นว่า “ทันท่วงที” ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  แล้วคำว่า “ทันท่วงที” หมายความว่าอย่างไร?  (หมายถึงการจัดการปัญหาโดยทันที ทันใด และในบัดดล)  นั่นไม่เข้มงวดเกินไปหน่อยหรือ?  หากจะอธิบายด้วยคำศัพท์ที่เกี่ยวกับเวลา การแก้ไขปัญหาโดยทันที ทันใด และเดี๋ยวนี้ก็คือความหมายของคำว่า “ทันท่วงที” แต่เมื่อมองคำนี้ตามตัวอักษรแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้คนจะทำให้สำเร็จได้ และไม่สามารถทำได้จริง  แล้วเราควรนิยามคำว่า “ทันท่วงที” อย่างไรให้แม่นยำ?  หากปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ยังคงเป็นอุปสรรคต่องาน และสามารถแก้ไขได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง ก็ควรแก้ไขให้เสร็จสิ้นภายในไม่กี่ชั่วโมง—อย่างนี้จะถือว่าทันท่วงทีได้หรือไม่?  (ได้)  สมมติว่าปัญหาค่อนข้างซับซ้อนและยาก และสามารถแก้ไขได้ภายในสองหรือสามวัน แต่ผู้คนใช้ความพยายามแสวงหาความจริง ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขให้ได้ในวันเดียว—นั่นจะไม่เป็นประโยชน์ต่องานมากกว่าหรือ?  สมมติว่ามีปัญหาที่ยังมองไม่ทะลุในตอนนี้ และต้องมีการสืบสวนและค้นคว้าซึ่งต้องใช้เวลาบ้าง  ปัญหาเฉพาะนี้จะใช้เวลาแก้ไขอย่างมากที่สุดสามวัน  หากใช้เวลานานกว่าสามวัน ก็จะเกิดข้อสงสัยว่าการแก้ไขนั้นถูกทำให้ล่าช้าโดยเจตนา และหมายความว่ากำลังเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์  ดังนั้น ปัญหาควรได้รับการรายงาน แสวงหาหนทางแก้ไข และแก้ไขให้ลุล่วงภายในสามวัน  นี่แหละคือความหมายของคำว่า “ทันท่วงที”  หากการแก้ไขปัญหาต้องอาศัยการสื่อสารและการสืบสวนหลายระดับ ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลทีละระดับ และอื่นๆ—หากกระบวนการต่างๆ ซับซ้อนมาก—ก็ยังไม่ควรยืดเยื้อไปเป็นเดือน  สมมติว่าปัญหาสามารถแก้ไขได้ภายในหนึ่งสัปดาห์หากผู้นำและคนทำงานเร่งรีบ ทำงานเร็วขึ้น และเลือกใช้คนที่เหมาะสมสองสามคน เช่นนั้นในสถานการณ์นี้ คำว่า “ทันท่วงที” ย่อมหมายถึงการจำกัดการแก้ไขปัญหาไว้ที่หนึ่งสัปดาห์  การใช้เวลาเกินหนึ่งสัปดาห์ในการแก้ไขปัญหาถือว่าไม่เหมาะสม—นั่นไม่ทันท่วงที  นี่คือกรอบเวลาสำหรับการจัดการเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนเช่นนี้  กรอบเวลานี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานอะไร?  มันถูกกำหนดขึ้นโดยพิจารณาจากขนาดและความยากง่ายของเรื่องนั้นๆ  อย่างไรก็ตาม เรื่องส่วนใหญ่ เช่น ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพหรือปัญหาที่หลักธรรมไม่กระจ่างแจ้งแก่ผู้คน สามารถแก้ไขได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค—ควรจำกัดระยะเวลาในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไว้ที่เท่าใดจึงจะถือว่า “ทันท่วงที”?  หากเรานิยามคำว่า “ทันท่วงที” โดยพิจารณาจากขนาดและความยากง่ายของเรื่อง เรื่องส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ไขได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน โดยมีส่วนน้อยที่อาจต้องใช้เวลาอย่างมากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ในการแก้ไข หากมีปัญหาใหม่เกิดขึ้น นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ดังนั้น หากเรานิยามคำว่า “ทันท่วงที” ว่าหมายถึงโดยทันที ทันใด และเดี๋ยวนี้ เมื่อพิจารณาตามตัวอักษรแล้ว นี่ดูเหมือนจะเป็นข้อเรียกร้องที่เข้มงวดสำหรับผู้คน แต่เมื่อมองที่กรอบเวลาแล้ว เรื่องส่วนใหญ่สามารถแก้ไขได้ในครึ่งวันหรือหนึ่งวันอย่างมากที่สุดหากผู้คนรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขอย่างทันท่วงที  ในแง่ของเวลาแล้ว จะถือว่านี่เป็นเรื่องยากได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  และเนื่องจากไม่ใช่เรื่องยากในแง่ของเวลา ก็ควรเป็นข้อกำหนดที่ทำได้ง่ายสำหรับผู้นำและคนทำงานในการรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงาน และความสับสนและความลำบากยากเย็นเหล่านี้ก็ไม่ควรยังคงไม่ได้รับการแก้ไขอยู่อย่างนั้นต่อไปเรื่อยๆ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ควรปล่อยให้เป็นดินพอกหางหมูในระยะยาว  บัดนี้พวกเจ้าทุกคนควรรู้แนวคิดเรื่องเวลาของคำว่า “ทันท่วงที” แล้ว—นี่คือประเด็นที่ว่าผู้นำและคนทำงานจะประเมินกรอบเวลาอย่างไรเมื่อจัดการกับความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงาน  กล่าวโดยสรุป นิยามที่แม่นยำที่สุดของคำว่า “ทันท่วงที” คือการกระทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้—นั่นคือ หากปัญหาสามารถได้รับการรายงาน แสวงหาหนทางแก้ไข และแก้ไขให้ลุล่วงภายในครึ่งวัน ก็ควรทำเช่นนั้น และหากสามารถแก้ไขได้ภายในหนึ่งวัน ก็ควรทำเช่นนั้น—และมุ่งมั่นที่จะไม่ก่อให้เกิดความล่าช้าและไม่ยอมให้งานได้รับผลกระทบ  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  เมื่อเผชิญและค้นพบปัญหาในงาน ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างทันท่วงที  หากไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ควรรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขจากเบื้องบนโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทนที่จะเลือกไม่สนใจ เพิกเฉย และไม่ให้ความสำคัญ  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ผู้นำและคนทำงานควรแก้ไขโดยทันที แทนที่จะผัดวันประกันพรุ่ง รอคอย หรือพึ่งพาผู้อื่น—ผู้นำและคนทำงานไม่ควรแสดงพฤติกรรมเหล่านี้ออกมา

II. ผลที่ตามมาของการไม่แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที

หลักธรรมข้อใหญ่ในการแก้ไขปัญหาคือต้องทำอย่างทันท่วงที  ทำไมต้องทำอย่างทันท่วงที?  หากเกิดปัญหามากมายขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ในแง่หนึ่งผู้คนจะติดอยู่ในสภาวะสับสนและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และในอีกแง่หนึ่ง หากผู้คนยังคงเดินหน้าต่อไปโดยใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง และภายหลังต้องทำใหม่และแก้ไขงานที่ทำไปแล้ว ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?  กำลังคน ทรัพยากรทางการเงิน และทรัพยากรวัสดุจำนวนมหาศาลจะถูกสิ้นเปลืองและผลาญไป—นี่คือความสูญเสีย  หากเกิดปัญหาขึ้นในงาน และผู้นำกับคนทำงานมืดบอดจนไม่สามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ทันท่วงที ผู้คนจำนวนมากก็จะทำงานต่อไปโดยใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง  เมื่อผู้คนค้นพบปัญหาเหล่านี้และต้องการแก้ไขและปรับปรุงให้ถูกต้อง ปัญหาเหล่านี้ก็ได้สร้างความสูญเสียให้กับงานของคริสตจักรไปแล้ว  กำลังคน ทรัพยากรทางการเงิน และทรัพยากรวัสดุทั้งหมดนั้นจะไม่ถูกสิ้นเปลืองไปหรอกหรือ?  การเกิดความสูญเสียเช่นนี้มีความเกี่ยวข้องกับการที่ผู้นำและคนทำงานไม่แก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีหรือไม่?  (มี)  หากผู้นำและคนทำงานสามารถติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบ และให้คำแนะนำสำหรับงานได้ พวกเขาก็จะสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงทีอย่างแน่นอน  หากผู้นำและคนทำงานทำอย่างสุกเอาเผากิน และไม่ติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบ และให้คำแนะนำสำหรับงาน หากพวกเขาเพิกเฉยอย่างยิ่งในแง่นี้ และรอจนมีปัญหามากมายจนเรื่องราวบานปลายเกินควบคุมก่อนที่จะคิดแก้ไข ก่อนที่จะคิดรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน แล้วผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้วหรือ?  (ยัง)  นี่คือการละเลยหน้าที่รับผิดชอบอย่างร้ายแรง ไม่เพียงแต่ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้จะไม่ได้แก้ไขปัญหา แต่พวกเขากลับสร้างความสูญเสียให้กับกำลังคนและทรัพยากรวัสดุของพระนิเวศของพระเจ้า ตลอดจนสร้างอุปสรรคอันใหญ่หลวงให้กับงานของคริสตจักร  เนื่องจากการละเลยหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ความประมาทเลินเล่อ ความด้านชา และความโง่เขลาของพวกเขา และเนื่องจากพวกเขาไม่สามารถค้นพบและแก้ไขปัญหามากมายที่เกิดขึ้นในงานได้ทันท่วงที และไม่สามารถแม้แต่จะรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนได้ทันท่วงที งานจำนวนมากจึงต้องทำใหม่ และหลังจากที่ทำใหม่แล้ว ก็เกิดปัญหามากขึ้นเนื่องจากไม่สามารถหาหลักธรรมได้  เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไป กำหนดเวลาแล้วเสร็จของงานก็ล่าช้าออกไปอย่างมาก งานที่ควรจะใช้เวลาหนึ่งเดือนกลับใช้เวลาสามเดือนจึงจะเสร็จ และงานที่ควรจะใช้เวลาสามเดือนกลับใช้เวลาแปดหรือเก้าเดือนจึงจะเสร็จ—นี่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่ผู้นำและคนทำงานไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร  เนื่องจากผู้นำและคนทำงานไม่รับผิดชอบต่องานของตน—นั่นคือ พวกเขาไม่สามารถค้นหาและแก้ไขปัญหาให้ถูกต้องได้ทันท่วงทีเมื่อปัญหาเกิดขึ้น—งานในด้านต่างๆ จึงไม่สามารถบรรลุผลและยังคงอยู่ในสภาวะหยุดชะงัก  แล้วใครคือผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงต่อปัญหานี้?  (ผู้นำและคนทำงาน)  ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้นำและคนทำงานจะทำงานที่เป็นแก่นสาร และเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกันที่พวกเขาจะค้นพบปัญหาในขณะที่ทำงานที่เป็นแก่นสาร  บางครั้งผู้นำและคนทำงานจะค้นพบปัญหาแต่ไม่รู้วิธีแก้ไข แต่พวกเขาก็สามารถรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า  ผู้นำและคนทำงานจำนวนมากคิดว่า “พวกเรามีวิธีการทำงานของตนเอง เบื้องบนเพียงแค่ต้องบอกหลักธรรมแก่พวกเรา แล้วพวกเราจะทำงานที่เป็นแก่นสารที่เหลือด้วยตนเอง หากพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นใดๆ ก็เพียงพอแล้วที่พวกเราข้างล่างนี้จะสามัคคีธรรมและอธิษฐานร่วมกัน”  ส่วนประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา หรือว่าแนวทางแก้ไขของพวกเขานั้นละเอียดถี่ถ้วนหรือได้ผลจริงหรือไม่ พวกเขาก็หลับหูหลับตาไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยและไม่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  นี่คือท่าทีไม่รับผิดชอบต่อการทำงานที่พวกเขาเก็บงำไว้ และในที่สุดนี่หมายความว่างานทุกอย่างในคริสตจักรจะไม่สามารถดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีปัญหาร้ายแรงที่ไม่ได้รับการแก้ไข  นี่คือผลที่ตามมาซึ่งเกิดจากการที่ขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงานย่ำแย่เกินไป หรือไม่ก็เกิดจากการที่พวกเขาไม่รับผิดชอบและไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร

การชำแหละผู้นำเทียมเท็จบางประเภทโดยพิจารณาจากหน้าที่รับผิดชอบประการที่แปด

I. ผู้นำเทียมเท็จที่แสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ

ครั้งที่แล้ว  พวกเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับว่าความสับสนและความลำบากยากเย็นคืออะไร และนิยามปัญหาบางอย่างที่ต้องรายงานและแสวงหาหนทางแก้ไขโดยทันที  โดยพื้นฐานแล้ว มีปัญหาสองประเภทหลัก  ประเภทหนึ่งคือปัญหาในงานที่ผู้คนไม่แน่ใจหรือมองไม่ทะลุ  เมื่อเป็นเรื่องของปัญหาเหล่านี้ ผู้คนพบว่าเป็นการยากมากที่จะเข้าใจหลักธรรม  แม้ว่าพวกเขาอาจเข้าใจหลักธรรมในเชิงคำสอน แต่พวกเขาก็ไม่รู้วิธีปฏิบัติหรือนำไปใช้  ปัญหาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสับสน  อีกประเภทหนึ่งคือความลำบากยากเย็นและปัญหาสำคัญซึ่งผู้คนไม่รู้วิธีแก้ไข  ประเภทนี้ค่อนข้างร้ายแรงกว่าเมื่อเทียบกับความสับสน และเป็นปัญหาที่ผู้นำและคนทำงานควรรายงานและแสวงหาหนทางแก้ไขเช่นกัน  ครั้งที่แล้ว พวกเราสามัคคีธรรมเป็นหลักว่า เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานที่จะรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เผชิญในงาน และพวกเราสามัคคีธรรมจากมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับบางสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรทำและให้ความสำคัญ  วันนี้ พวกเราจะชำแหละว่าผู้นำเทียมเท็จมีพฤติกรรมอะไรบ้างในส่วนที่เกี่ยวกับประการที่แปด และพวกเขาทำงานที่ผู้นำควรทำและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำควรลุล่วงหรือไม่  เมื่อเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาที่เผชิญในงาน ผู้นำเทียมเท็จย่อมไม่มีความสามารถในแง่นี้อย่างแน่นอน พวกเขาล้มเหลวในการทำงานในแง่มุมนี้และล้มเหลวในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบนี้  มีผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่งที่เก็บงำมโนคติอันหลงผิดไว้เมื่อทำงาน โดยคิดว่า “ฉันไม่ข้องเกี่ยวกับพิธีรีตองเหล่านั้นเมื่อทำงาน และไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งใดๆ เช่น ความรู้ การเรียนรู้ ทักษะ หรือหลักความเชื่อตายตัว  ฉันเพียงแค่ต้องแน่ใจว่าฉันสามัคคีธรรมความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างชัดเจนในการชุมนุม และนั่นก็เพียงพอแล้ว  ทุกสัปดาห์ฉันจัดการชุมนุมสำหรับกลุ่มเล็กๆ สองครั้ง ทุกสองสัปดาห์ฉันจัดการชุมนุมสำหรับผู้นำและคนทำงานหนึ่งครั้ง และทุกเดือนฉันจัดการชุมนุมครั้งใหญ่สำหรับพี่น้องชายหญิงทุกคน  การที่ฉันจัดการชุมนุมทุกประเภทเหล่านี้ได้ดีก็เพียงพอแล้ว”  นี่คือพื้นฐานและวิธีการทำงานของพวกเขา  ผู้นำและคนทำงานประเภทนี้เพียงแค่ฝึกฝนการเทศนาอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาใช้ความพยายามอย่างมากในการเตรียมตนเองด้วยคำพูดและคำสอน—พวกเขาเตรียมโครงร่าง เนื้อหา ตัวอย่าง และความจริงที่จะสามัคคีธรรมในแต่ละการชุมนุม และพวกเขายังเตรียมแผนการบางอย่างสำหรับแก้ไขสภาวะและปัญหาของคนบางคนอีกด้วย  พวกเขาคิดว่าในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน พวกเขาเพียงแค่ต้องเทศนาให้ดี แล้วพวกเขาก็ได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนแล้ว  พวกเขาคิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ เช่น ว่าวิธีการประกาศข่าวประเสริฐนั้นเหมาะสมหรือไม่ หรือว่าบุคลากรของคริสตจักรได้รับการมอบหมายอย่างไร หรือว่าบุคลากรที่ทำงานวิชาชีพประเภทต่างๆ นั้นมีความสามารถและได้มาตรฐานหรือไม่—พวกเขาเชื่อว่าเพียงพอแล้วที่จะปล่อยให้หัวหน้างานจัดการเรื่องเหล่านี้  ดังนั้น ไม่ว่าคนประเภทนี้จะไปที่ไหน พวกเขาก็มุ่งเน้นไปที่การชุมนุมและการเทศนา และไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมประเภทใด พวกเขาก็จะเทศนาเสมอ  ภายนอก พวกเขานำผู้คนในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและในการเรียนรู้ที่จะร้องเพลงนมัสการ และบางครั้งพวกเขาก็พูดคุยเกี่ยวกับงาน  คนประเภทนี้รู้เกี่ยวกับปัญหาที่มักจะถูกสามัคคีธรรมถึง เช่น ควรใช้พระวจนะของพระเจ้าข้อใดมาเปรียบเทียบกับปัญหาที่คนประเภทต่างๆ เผชิญ ตลอดจนว่าทำไมผู้คนจึงรู้สึกอ่อนแอและเกิดสภาวะอะไรขึ้นในตัวพวกเขา และควรสามัคคีธรรมความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าข้อใดเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านี้  โดยสรุป การเทศนาและการสามัคคีธรรมของพวกเขากล่าวถึงความจริงและการปฏิบัติหลายในแง่มุม บางเรื่องเกี่ยวข้องกับการตัดแต่ง บางเรื่องเกี่ยวข้องกับบททดสอบและการถลุง บางเรื่องเกี่ยวข้องกับการอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า บางเรื่องเกี่ยวข้องกับวิธีผ่านประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอน และอื่นๆ—พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงในแง่มุมต่างๆ ได้เล็กน้อย  เมื่อพวกเขาพบกับผู้เชื่อใหม่ พวกเขาก็เทศนาสำหรับผู้เชื่อใหม่ และเมื่อพวกเขาพบกับผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปี พวกเขาก็สามารถเทศนาบางเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิตได้  แต่เมื่อเป็นเรื่องของงานที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพใดๆ พวกเขาไม่เคยสอบถามเกี่ยวกับงานหรือศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นเลย และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่ติดตาม มีส่วนร่วม หรือเจาะลึกเข้าไปในงานใดๆ เพื่อแก้ไขปัญหา  ในสายตาของพวกเขา การเทศนา การอ่านพระวจนะของพระเจ้า และการเรียนรู้เพลงนมัสการคือการทำงาน และนี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน นอกจากนี้ งานอื่นๆ ทั้งหมดก็ไม่สำคัญ เป็นเรื่องของคนอื่น และไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และตราบใดที่พวกเขาสามารถเทศนาได้ดี พวกเขาก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ  คำว่า “นอนหลับได้อย่างสบายใจ” หมายความว่าอย่างไร?  หมายความว่าการเสร็จสิ้นการชุมนุมก็เหมือนกับการที่พวกเขาทำงานเสร็จ และเมื่อถึงเวลาพัก พวกเขาก็พัก  ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้นในงานของคริสตจักร พวกเขาก็เพิกเฉย และเมื่อผู้คนมองหาพวกเขาเพื่อแก้ไขปัญหา ก็ยากที่จะหาตัวพวกเขาเจอ  ไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหน พวกเขาก็ต้องงีบหลับตอนบ่าย และพวกเขาก็ลุ่มหลงในความสุขสบายในขณะที่คนอื่นสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันเทศนาเสร็จแล้ว การชุมนุมก็จบแล้ว และฉันก็ได้พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดกับพวกคุณแล้ว  พวกคุณอยากให้ฉันพูดอะไรอีก?  งานของฉันเสร็จแล้ว  ที่เหลือเป็นงานของพวกคุณ  ฉันได้บอกพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกคุณแล้ว ดังนั้นก็แค่ทำตามหลักธรรมไป  ส่วนปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น นั่นเป็นเรื่องของพวกคุณ และไม่เกี่ยวข้องกับฉัน  พวกคุณควรไปเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยตนเองและอธิษฐาน ชุมนุม และสามัคคีธรรมเพื่อแก้ไขปัญหา  ไม่ต้องมามองหาฉัน”  เมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง พวกเขาไม่เคยให้ใครถามคำถาม พวกเขาไม่เคยต้องการแก้ไขปัญหา และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่เคยสามารถค้นพบปัญหาได้เลย  หลังจากการชุมนุม พวกเขาถือว่างานของตนเสร็จแล้ว และพวกเขาก็นอน กิน และพักผ่อนหย่อนใจตามเวลาปกติ  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารเลยมิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)

มีบางกรณีที่ผู้นำหรือคนทำงานอยู่ในตำแหน่งมาหกเดือนแล้ว และนอกจากคนที่ใกล้ชิดกับพวกเขาซึ่งสามารถพบเจอพวกเขาได้บ่อยๆ พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถพบเจอพวกเขา  พี่น้องชายหญิงเพียงแค่ได้ยินพวกเขาเทศนาทางออนไลน์บ่อยๆ แต่เมื่อมีปัญหา ผู้นำหรือคนทำงานก็ไม่แก้ไข  พี่น้องชายหญิงบางคนเผชิญกับความลำบากยากเย็นในหน้าที่ของตนซึ่งพวกเขาไม่รู้วิธีแก้ไข และพวกเขาก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติด และเมื่อพวกเขาไปตามหาผู้นำ ก็หาตัวไม่เจอ  ผู้นำประเภทนี้จะทำงานได้ดีหรือไม่?  พี่น้องชายหญิงไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้ผู้นำของพวกเขายุ่งอยู่ทุกวัน มีปัญหาสะสมและความลำบากยากเย็นมากมาย และพวกเขาไม่รู้ว่าเมื่อใดผู้นำของพวกเขาจะมาแก้ไขให้  ทุกคนต่างตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้ผู้นำมาช่วย แต่ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหน ผู้นำก็ไม่เคยปรากฏตัว  ผู้นำและคนทำงานเช่นนี้ยากที่จะหาตัวเจอ ทั้งยังเก่งในการซ่อนตัว!  พวกเขาเทศนาได้ดีมาก และหลังจากเทศนาเสร็จ พวกเขาก็แต่งตัวสวยงามและไม่ทำงาน แอบไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อลุ่มหลงในความสุขสบาย  ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ยังคิดว่าตนเองทำงานได้ดีมากและอย่างถูกควร  พวกเขาคิดว่าตนเองไม่ได้อู้งาน ได้เทศนาไปแล้ว จัดการชุมนุมแล้ว พูดทุกอย่างที่ควรจะพูดแล้ว และอธิบายทุกอย่างที่ควรจะอธิบายแล้ว  พวกเขาไม่เคยต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งกับพี่น้องชายหญิงเพื่อติดตามและมีส่วนร่วมในงาน ช่วยพวกเขาโดยการดำเนินการกลั่นกรอง และช่วยพวกเขาจัดการและแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที  หากพวกเขาเจอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ พวกเขาก็ไม่รู้จักรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบนเช่นกัน  พวกเขายังไม่ใคร่ครวญในใจด้วยว่า “พี่น้องชายหญิงจะสามารถยึดมั่นในหลักธรรมได้หรือไม่หลังจากที่ได้ฟังในการสามัคคีธรรม?  และเมื่อพวกเขาเผชิญกับความลำบากยากเย็นและความสับสนในงานอีกครั้ง พวกเขาจะสามารถยึดมั่นในความจริงและจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมได้หรือไม่?  ยิ่งไปกว่านั้น ใครกำลังมีบทบาทเชิงบวกในงาน?  และคนไหนกำลังมีบทบาทเชิงลบ?  และมีใครที่ก่อให้เกิดการขัดขวางและการก่อกวน หรือมีใครที่ทำลายสิ่งต่างๆ หรือมีคนที่เหลวไหลที่มักจะเสนอความคิดที่ไม่ดีอยู่เสมอหรือไม่?  ช่วงนี้งานมีความคืบหน้าเป็นอย่างไรบ้าง?”  เป็นปกติที่พวกเขาจะไม่ใส่ใจหรือสอบถามเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว  ภายนอกดูเหมือนว่าคนเช่นนี้กำลังทำงาน—พวกเขาเทศนา จัดการชุมนุม เตรียมร่างคำเทศนาและโครงร่าง และแม้กระทั่งเขียนรายงานการทำงาน  ผู้นำบางคนยังเขียนคำเทศนาเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของตนบ่อยครั้ง พวกเขาขลุกตัวอยู่ในห้องและเขียนเป็นเวลาสามหรือห้าวันรวด และถึงกับต้องมีคนคอยจัดน้ำและอาหารมาให้เป็นพิเศษ และไม่มีใครสามารถพบเจอพวกเขาได้  หากเจ้าบอกว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม “ฉันไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารตรงไหน?  ฉันอาศัยอยู่กับพี่น้องชายหญิงและจัดการชุมนุมและเทศนาอยู่เสมอ  ฉันเทศนาจนปากคอแห้งเป็นผง และบางครั้งฉันถึงกับอยู่จนดึกดื่น”  ภายนอกดูเหมือนว่าพวกเขายุ่งมากและไม่ได้อยู่เฉยๆ—พวกเขาเทศนามากมาย ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการพูดและการเขียน พวกเขาถ่ายทอดข้อความและเขียนจดหมายเป็นประจำ และถ่ายทอดหลักธรรมที่เบื้องบนกำหนด และพวกเขายังสามัคคีธรรมและเน้นย้ำเนื้อหาอย่างจริงจังและอดทนในระหว่างการชุมนุม—พวกเขาพูดมากจริงๆ แต่พวกเขาไม่เคยมีส่วนร่วมในงานที่เจาะจง ไม่เคยติดตามงาน และไม่เคยเผชิญปัญหาร่วมกับพี่น้องชายหญิงเลย  หากเจ้าถามพวกเขาว่างานนั้นๆ คืบหน้าไปอย่างไรหรือผลของงานเป็นอย่างไร พวกเขาไม่รู้และต้องไปถามคนอื่นก่อน  หากเจ้าถามพวกเขาว่าปัญหาจากครั้งที่แล้วได้รับการแก้ไขแล้วหรือไม่ พวกเขาจะบอกว่าได้จัดการชุมนุมและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมแล้ว  สมมติว่าเจ้าถามพวกเขาต่อไปว่า “พี่น้องชายหญิงเข้าใจอย่างแท้จริงหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงแล้ว?  พวกเขายังคงสามารถหลงทางได้หรือไม่?  ในหมู่พวกเขามีใครที่เข้าใจหลักธรรมได้ดีกว่าคนอื่น มีใครที่เชี่ยวชาญทักษะทางวิชาชีพมากกว่า และมีใครที่มีขีดความสามารถดีกว่าและควรค่าแก่การบ่มเพาะ?”  พวกเขาไม่รู้คำตอบของคำถามเหล่านี้เลย พวกเขาไม่รู้อะไรทั้งสิ้น  เมื่อใดก็ตามที่เจ้าถามพวกเขาเกี่ยวกับสถานะของงาน พวกเขาจะบอกว่า “ฉันได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมแล้ว เพิ่งจัดการชุมนุมเสร็จ และเพิ่งตัดแต่งพวกเขาไป  พวกเขาได้แสดงความมุ่งมั่นของตน และพวกเขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำงานนี้ให้ดี”  แต่เมื่อเป็นเรื่องของความคืบหน้าของงานในลำดับถัดไป พวกเขาก็ไม่รู้อะไรเลย  จะถือว่าพวกเขาได้มาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  วิธีการทำงานของผู้นำและคนทำงานประเภทนี้คือเพียงแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าและเทศนาคำพูดและคำสอนบางอย่างแก่ผู้คน แต่พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่เป็นแก่นสาร และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากลัวที่จะรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาหนทางแก้ไขจากเบื้องบน—พวกเขากลัวมากว่าเบื้องบนจะล่วงรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของพวกเขา  ธรรมชาติของการกระทำเช่นนี้คืออะไร?  ในแง่ของแก่นแท้แล้วพวกเขาเป็นคนประเภทใด?  พูดให้ชัดเจนคือ คนเช่นนี้คือพวกฟาริสีขนานแท้  การสำแดงของพวกฟาริสีมีดังนี้ พวกเขามีการกระทำภายนอกที่สง่างาม พวกเขาพูดและประพฤติตนในท่าทีที่งดงาม พวกเขาใช้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของคำพูดและการกระทำทั้งหมดของตน และเมื่อพวกเขาพบปะและพูดคุยกับผู้คน พวกเขาก็จะกล่าวถ้อยคำจากพระคัมภีร์ และพวกเขาสามารถเอ่ยข้อความจากพระคัมภีร์จากความทรงจำได้มากมายหลายบรรทัด  ผู้นำเทียมเท็จก็เหมือนกับพวกฟาริสี—จากภายนอก เจ้าไม่สามารถหาข้อผิดพลาดใดๆ ในตัวพวกเขาได้ และพวกเขาดูเป็นฝ่ายวิญญาณเป็นพิเศษ  เจ้าไม่สามารถตรวจพบปัญหาใดๆ ในตัวพวกเขาจากคำพูด การกระทำ และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหามากมายที่มีอยู่ในงานของคริสตจักรได้  แล้ว “ความเป็นฝ่ายวิญญาณ” นี้หมายความว่าอย่างไร?  พูดอย่างเคร่งครัด มันคือการแสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ  คนที่แสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณเช่นนี้ทำให้ตนเองยุ่งอยู่ทุกวัน วิ่งวุ่นไปมาระหว่างกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ เทศนาพระวจนะของพระเจ้าทุกที่ที่พวกเขาไป  ภายนอกพวกเขาดูราวกับว่ารักพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าใครๆ ราวกับว่าพวกเขาใช้ความพยายามกับพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าใครๆ ราวกับว่าพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าใครๆ และพวกเขาสามารถบอกเลขหน้าของข้อความที่สำคัญตอนใดตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดดู  หากมีคนเจอปัญหา พวกเขาจะให้เลขหน้าของข้อความที่เกี่ยวข้องในพระวจนะของพระเจ้าและบอกให้พวกเขาไปอ่าน  จากภายนอก พวกเขาดูเหมือนจะใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเกณฑ์ในทุกสิ่ง เป็นพยานถึงพระวจนะของพระเจ้าเมื่อมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นกับพวกเขา และดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆ กับพวกเขา  แต่เมื่อเจ้ามองดูงานที่พวกเขาทำอย่างใกล้ชิด พวกเขาสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ในขณะที่พวกเขากำลังเทศนาคำพูดและคำสอนเหล่านี้?  หากผ่านการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาพบปัญหาที่ไม่เคยถูกค้นพบมาก่อนในงานชิ้นหนึ่ง และแก้ไขปัญหาที่คนอื่นไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นแสดงว่าพวกเขาเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและสามัคคีธรรมความจริงได้อย่างชัดเจน  คนที่แสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณนั้นตรงกันข้ามกับสิ่งนี้อย่างสิ้นเชิง  พวกเขาท่องจำพระวจนะของพระเจ้าและเทศนาไปทุกหนทุกแห่ง และจิตใจและหัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าปัญหาใหญ่หรือเล็กจะเกิดขึ้นในงาน พวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นหรือค้นพบได้  ในตอนท้ายของการชุมนุม สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือการที่มีคนหยิบยกประเด็นที่เป็นแก่นสารขึ้นมาและขอให้พวกเขาแก้ไข และนั่นคือเหตุผลที่พวกเขาจากไปทันทีเมื่อการชุมนุมสิ้นสุดลง โดยคิดว่า “ถ้ามีคนถามคำถามที่ฉันตอบไม่ได้ นั่นจะน่าอึดอัดและน่าอายมาก!”  นี่คือวุฒิภาวะและสภาวะที่แท้จริงของพวกเขา

จงคิดดูว่าผู้นำและคนทำงานรอบตัวพวกเจ้าคนใดที่เก่งในการสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้องชายหญิงและดำเนินงานไปพร้อมกับพวกเขาเมื่อทำหน้าที่ของตน—ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  จงคิดดูว่าผู้นำและคนทำงานรอบตัวพวกเจ้าคนใดที่เก่งในการค้นพบและแก้ไขปัญหา และมุ่งเน้นการทำงานที่เป็นแก่นสารมากที่สุดและได้รับผลลัพธ์มากที่สุดในงานของตน—ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้คือผู้คนที่จงรักภักดีซึ่งมีความรับผิดชอบและเอาใจใส่อย่างยิ่ง  ในทางกลับกัน หากผู้นำคนหนึ่งยอดเยี่ยมในการเทศนาคำพูดและคำสอน และเทศนาอย่างมีตรรกะ เป็นระเบียบ มีประเด็นหลักและเนื้อหา และมีโครงสร้าง และผู้คนก็กระตือรือร้นเกี่ยวกับคำเทศนาของพวกเขา แต่พวกเขากลับหลีกเลี่ยงพี่น้องชายหญิงอยู่เสมอ กลัวอยู่เสมอว่าพี่น้องชายหญิงจะถามคำถาม และกลัวที่จะแก้ไขและจัดการปัญหาร่วมกับพี่น้องชายหญิง ผู้นำคนนั้นก็เป็นพวกแสร้งเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ และพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  ผู้นำและหัวหน้างานรอบตัวพวกเจ้าเป็นคนประเภทใด?  โดยปกติแล้ว นอกจากเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนาแล้ว พวกเขาติดตามและมีส่วนร่วมในงานหรือไม่ พวกเขาสามารถค้นพบและแก้ไขปัญหาในงานได้บ่อยครั้งหรือไม่ หรือพวกเขาเพียงแค่หายตัวไปหลังจากปรากฏตัวในการชุมนุม?  ผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณมักจะกลัวว่าจะไม่มีอะไรจะเทศนา และกลัวว่าจะไม่มีอะไรจะพูดเมื่อพบกับพี่น้องชายหญิง ดังนั้นพวกเขาจึงฝึกท่องจำพระวจนะของพระเจ้าและวิธีเทศนาในห้องของตน  พวกเขาเชื่อว่าการเทศนาเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้และเป็นสิ่งที่สามารถบรรลุได้ด้วยการท่องจำ เหมือนกับการหาความรู้หรือการเข้ามหาวิทยาลัย และพวกเขาต้องแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของการศึกษาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและอุตสาหะ  ความเข้าใจที่ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้เก็บงำไว้นี้บิดเบือนมิใช่หรือ?  (ใช่แล้ว)  คนเช่นนี้เทศนาคำสอนจากจุดยืนที่สูงส่งของตน และใส่ใจกับเรื่องบางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน แล้วพวกเขาก็คิดว่าตนเองกำลังทำงานในฐานะผู้นำ  พวกเขาไม่เคยไปที่หน้างานเพื่อกำกับดูแลงานหรือแก้ไขปัญหา แต่กลับมักจะนั่งอยู่ในห้องของตน “เก็บตัวเพื่อมุ่งเน้นการบำเพ็ญตน” เตรียมตนเองด้วยพระวจนะของพระเจ้า—นี่จำเป็นหรือไม่?  ในสถานการณ์ใดที่ผู้นำและคนทำงานสามารถพักงานของคริสตจักรและพี่น้องชายหญิงไว้ชั่วคราวแล้วไปเตรียมตนเองด้วยความจริง?  เมื่องานไม่ยุ่ง ปัญหาทั้งหมดที่ควรแก้ไขได้รับการแก้ไขแล้ว เรื่องราวทั้งหมดที่ต้องให้ความสำคัญและหลักธรรมที่ควรได้รับการอธิบายก็ได้รับการอธิบายแล้ว พี่น้องชายหญิงไม่มีคำถามหรือความลำบากยากเย็นใดๆ ไม่มีใครก่อให้เกิดการก่อกวนและการขัดขวาง และงานสามารถดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป เมื่อนั้นผู้นำและคนทำงานจึงจะสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเตรียมตนเองด้วยความจริงได้—มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นการทำงานที่เป็นแก่นสาร  ผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานเช่นนี้ พวกเขามุ่งเน้นไปที่การทำให้ตนเองเป็นที่สนใจอยู่เสมอ และพวกเขาเพียงแค่ทำงานที่โดดเด่นที่คนอื่นมองเห็นได้เพื่ออวดตัว  หากพวกเขาสามารถค้นพบความสว่างใหม่ๆ เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำเทศนา พวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองได้รับบางสิ่งบางอย่าง ว่าตนเองมีความเป็นจริงความจริง แล้วพวกเขาก็รีบมองหาโอกาสที่จะเทศนาให้ผู้อื่นฟัง  พวกเขาเทศนาคำสอนอย่างเป็นระบบ มีตรรกะ และเป็นระเบียบเรียบร้อย มีประเด็นหลักและเนื้อหา และในลักษณะที่ทรงพลังและลึกซึ้งกว่าสุนทรพจน์ของคนดังหรือการบรรยายทางวิชาการ และพวกเขาก็รู้สึกพอใจกับสิ่งนี้มาก  แต่พวกเขาก็ขบคิดว่า “ครั้งหน้าหลังจากเทศนาครั้งนี้จบแล้วฉันจะเทศนาอะไรดี?  ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”  ดังนั้นพวกเขาจึงรีบจากไปและ “เก็บตัวเพื่อมุ่งเน้นการบำเพ็ญตน” อีกครั้ง เพื่อมองหาคำสอนที่ลึกซึ้ง  พวกเขาไม่เคยปรากฏตัวที่หน้างานของคริสตจักรเลย และเมื่อผู้คนมีความลำบากยากเย็นและกำลังรอให้ปัญหาได้รับการแก้ไข ก็หาตัวผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่เจอ  พวกผู้นำเทียมเท็จไม่รู้สึกกระดากอายและอึดอัดใจบ้างหรือ?  พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นแก่นสารได้ แต่ก็ยังต้องการเทศนาที่สูงส่งเพื่ออวดตัว  คนเหล่านี้ช่างตายด้านต่อความละอายสิ้นดี

ผู้นำเทียมเท็จทุกคนสามารถเทศนาคำพูดและคำสอน  พวกเขาทั้งหมดล้วนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติใดๆ ได้เลย ทั้งยังไม่เข้าใจความจริงแม้จะเชื่อในพระเจ้ามานานหลายปีแล้วก็ตาม—อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่มีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาคิดว่าการเป็นผู้นำคริสตจักรหมายความว่าเพียงแค่ต้องเทศนาคำพูดและคำสอนบ้าง ตะเบ็งเสียงกล่าวคำขวัญบ้าง และอธิบายพระวจนะของพระเจ้าสักเล็กน้อย แล้วผู้คนก็จะเข้าใจความจริง  พวกเขาไม่รู้ว่าการทำงานคืออะไร ไม่รู้ว่าหน้าที่รับผิดชอบที่แท้จริงของผู้นำและคนทำงานคืออะไร และไม่รู้ว่าเหตุใดกันแน่พระนิเวศของพระเจ้าจึงเลือกใครสักคนมาเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือปัญหาส่วนไหนกันแน่ที่การทำเช่นนี้มีเจตนาเพื่อแก้ไข  ดังนั้น ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมอย่างไรว่าผู้นำและคนทำงานต้องติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการงาน ทั้งยังต้องค้นพบและแก้ไขปัญหาในงานโดยทันที และอื่นๆ พวกเขาก็ฟังอย่างเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาและไม่เข้าใจเลย  พวกเขาไม่สามารถทำได้ตามข้อกำหนดที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่อผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังมองไม่ทะลุถึงปัญหาด้านทักษะทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนประเด็นหลักธรรมในการเลือกผู้ดูแลต่างๆ และอื่นๆ อีกมากมาย และต่อให้พวกเขารู้ว่ามีปัญหาเหล่านี้อยู่ พวกเขาก็ยังคงจัดการไม่ได้อยู่ดี  ด้วยเหตุนี้ ภายใต้การนำของผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้ ปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในงานของคริสตจักรจึงไม่ได้รับการแก้ไข  ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านทักษะทางวิชาชีพที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญเมื่อทำหน้าที่ของตน แต่ยังรวมถึงความยากลำบากในการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ซึ่งก็ถูกปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน และเมื่อผู้นำ คนทำงาน หรือผู้รับผิดชอบในงานต่างๆ บางคนไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติได้ พวกเขาก็ไม่ถูกปลดหรือปรับเปลี่ยนหน้าที่โดยทันที และอื่นๆ อีกมากมาย  ปัญหาเหล่านี้ไม่มีข้อใดได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงที และผลก็คือประสิทธิภาพของงานต่างๆ ในคริสตจักรจึงลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่อง และประสิทธิผลของงานก็ย่ำแย่ลงทุกขณะ  ในด้านบุคลากร บรรดาผู้ที่มีพรสวรรค์อยู่บ้างและพูดเก่งก็ได้เป็นผู้นำและคนทำงาน ในขณะที่ผู้ที่รักความจริง ผู้ที่สามารถทุ่มเททำงานหนัก และทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยโดยไม่ปริปากบ่น กลับไม่ได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ แต่กลับถูกปฏิบัติประหนึ่งเป็นคนลงแรง ทั้งบุคลากรทางเทคนิคต่างๆ ที่มีความสามารถเฉพาะทางก็ไม่ได้รับการนำไปใช้อย่างสมเหตุสมผล  อีกทั้ง บางคนที่ทำหน้าที่ของตนอย่างจริงใจก็ไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิต พวกเขาจึงจมดิ่งสู่ความคิดลบและความอ่อนแอ  ที่ร้ายไปกว่านั้น ไม่ว่าเหล่าศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วจะทำความชั่วมากเพียงใด ก็ราวกับว่าผู้นำเทียมเท็จมองไม่เห็น  หากมีคนเปิดโปงคนชั่วหรือศัตรูของพระคริสต์ ผู้นำเทียมเท็จถึงกับจะบอกพวกเขาว่าควรปฏิบัติต่อคนคนนั้นด้วยความรักและให้โอกาสกลับใจ  การทำเช่นนี้เป็นการปล่อยให้คนชั่วและเหล่าศัตรูของพระคริสต์ทำความชั่วและก่อกวนในคริสตจักร ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าอันยาวนานในการชำระหรือขับไล่คนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และเหล่าศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ออกไป ทำให้พวกเขาสามารถทำความชั่วและก่อกวนงานของคริสตจักรต่อไป  ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาใดๆ เหล่านี้ได้เลย พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นธรรมหรือจัดแจงงานอย่างสมเหตุสมผล แต่กลับกระทำการอย่างบุ่มบ่ามและทำงานที่ไร้ประโยชน์ ส่งผลให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงและโกลาหลวุ่นวาย  ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงหรือเน้นย้ำหลักธรรมที่ควรยึดถือในการดำเนินงานของคริสตจักรมากเพียงใด—ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมผู้ที่ควรถูกควบคุมและการชำระผู้ที่ควรถูกชำระออกจากคนทำชั่วและผู้ไม่เชื่อประเภทต่างๆ และการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้ที่มีขีดความสามารถและความสามารถในการทำความเข้าใจที่ดี รวมถึงผู้ที่สามารถไล่ตามเสาะหาความจริงซึ่งควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ—แม้จะสามัคคีธรรมเรื่องเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน ผู้นำเทียมเท็จก็ยังคงไม่เข้าใจหรือไม่หยั่งถึง และยังคงยึดมั่นในทัศนะที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณและแนวทางที่ “เปี่ยมรัก” ของตนอย่างดื้อรั้น  ผู้นำเทียมเท็จเชื่อว่า ภายใต้การสอนอย่างจริงจังและอดทนของพวกเขา ผู้คนทุกประเภทต่างปฏิบัติบทบาทของตนเองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ปราศจากความโกลาหล ทุกคนมีความเชื่อค่อนข้างมาก เต็มใจทำหน้าที่ ไม่กลัวการติดคุกและเผชิญอันตราย ทั้งทุกคนยังมีความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์และไม่ยอมเป็นยูดาส  พวกเขาเชื่อว่าแค่มีบรรยากาศที่ดีในชีวิตคริสตจักรก็หมายความว่าพวกเขาทำงานได้ดีแล้ว  ไม่ว่าจะเกิดกรณีที่คนชั่วก่อกวนหรือผู้ไม่เชื่อเผยแพร่ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติขึ้นในคริสตจักร พวกเขาก็ไม่ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา และไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องแก้ไขเลย  เมื่อเป็นเรื่องของคนที่พวกเขาไว้วางใจให้ทำงานแล้วกลับกระทำการอย่างบุ่มบ่ามตามอำเภอใจและก่อกวนงานข่าวประเสริฐ ผู้นำเทียมเท็จก็ยิ่งหลับหูหลับตาไม่รับรู้  พวกเขากล่าวว่า “ฉันได้อธิบายหลักธรรมการทำงานที่ควรอธิบายแล้ว และฉันได้กำชับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า  หากมีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นอีก ก็ไม่เกี่ยวกับฉันแล้ว”  ทว่าพวกเขาไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นเป็นคนที่เหมาะสมหรือไม่ พวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องนั้น และไม่รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาพูดตอนอธิบายและกำชับนั้นจะสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่เป็นบวกได้หรือไม่ หรือจะนำมาซึ่งผลที่ตามมาเช่นใด  ทุกครั้งที่ผู้นำเทียมเท็จจัดการชุมนุม พวกเขาจะพรั่งพรูคำพูดและคำสอนออกมาไม่หยุดหย่อน แต่ท้ายที่สุดก็ปรากฏว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย  กระนั้นพวกเขาก็ยังเชื่อว่าตนกำลังทำงานได้ยอดเยี่ยม ยังคงปลาบปลื้มในตนเองและคิดว่าตนนั้นยอดเยี่ยม  ตามจริงแล้ว คำพูดและคำสอนที่พวกเขาพูดนั้นทำได้เพียงแค่หลอกลวงพวกคนเลอะเลือน คนโง่ และคนเขลา ผู้ที่ไม่รู้ความและมีขีดความสามารถต่ำให้ยอมรับ  หลังจากที่คนเหล่านี้ได้ฟังแล้ว พวกเขาก็สับสนงุนงงและเชื่อว่าสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จพูดนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดเลย  ผู้นำเทียมเท็จสามารถสนองได้ก็แต่คนสับสนเหล่านี้เท่านั้น และโดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติใดๆ ได้เลย  แน่นอนว่า ผู้นำเทียมเท็จยิ่งไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพและความรู้—พวกเขาหมดหนทางโดยสิ้นเชิงเมื่อเป็นเรื่องเหล่านี้  ยกตัวอย่างงานข้อเขียนของพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คืองานที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผู้นำเทียมเท็จมากที่สุด  พวกเขาไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าคนใดมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ มีขีดความสามารถที่ดี และเหมาะสมที่จะทำงานข้อเขียน พวกเขามองว่าใครก็ตามที่สวมแว่นตาและมีการศึกษาสูงนั้นมีขีดความสามารถที่ดีและมีความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงจัดให้คนเหล่านั้นทำงานนั้น โดยบอกพวกเขาว่า “พวกคุณทุกคนล้วนมีพรสวรรค์การทำงานข้อเขียน  ฉันไม่เข้าใจงานนี้ ดังนั้นทุกอย่างจึงฝากไว้ที่พวกคุณแล้ว  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้เรียกร้องสิ่งอื่นใดจากพวกคุณ เพียงแค่ให้พวกคุณใช้ข้อเด่นของพวกคุณให้เต็มที่ อย่าได้ยั้งไว้ และอุทิศทุกสิ่งที่พวกคุณได้เรียนรู้มา  พวกคุณต้องรู้จักสำนึกในบุญคุณและขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงยกชูพวกคุณนะ”  หลังจากที่ผู้นำเทียมเท็จพูดถ้อยคำที่ไร้แก่นสารและผิวเผินไปหนึ่งชุด พวกเขาก็รู้สึกว่าได้จัดแจงงานแล้ว และพวกเขาก็ได้ทำทุกสิ่งที่ต้องทำเรียบร้อยแล้ว  พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่พวกเขาจัดให้ทำงานนี้เหมาะสมหรือไม่ และไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีข้อบกพร่องอะไรบ้างในด้านความรู้ทางวิชาชีพ หรือควรจะเสริมส่วนที่พวกเขาขาดอย่างไร  พวกเขาไม่รู้วิธีมองและมีวิจารณญาณแยกแยะผู้คน ไม่เข้าใจปัญหาทางวิชาชีพ และไม่เข้าใจความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเขียน—พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลยโดยสิ้นเชิง  ปากก็พูดว่าไม่เข้าใจหรือไม่หยั่งถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ในใจกลับคิดว่า “พวกคุณก็แค่มีการศึกษาและความรู้มากกว่าฉันหน่อยเดียวไม่ใช่หรือ?  ถึงแม้ว่าในงานนี้ฉันจะนำพวกคุณไม่ได้ แต่ฉันก็มีสภาวะฝ่ายวิญญาณมากกว่าพวกคุณ ฉันเทศนาเก่งกว่าพวกคุณ และฉันเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ดีกว่าพวกคุณ  ฉันคือคนที่นำพวกคุณ ฉันเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกคุณ  ฉันต้องเป็นผู้ดูแลพวกคุณ และพวกคุณต้องทำตามที่ฉันบอก”  ผู้นำเทียมเท็จมองว่าตนเองอยู่เหนือกว่า แต่พวกเขากลับไม่สามารถให้คำแนะนำที่มีค่าใดๆ เกี่ยวกับงานประเภทใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับทักษะทางวิชาชีพได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถให้การชี้แนะใดๆ ได้เช่นกัน  อย่างดีที่สุด พวกเขาก็สามารถจัดบุคลากรให้ดีได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถทำงานที่ตามมาใดๆ ได้เลย  พวกเขาไม่พยายามที่จะได้รับความรู้ทางวิชาชีพ และพวกเขาไม่ติดตามงาน  ผู้นำเทียมเท็จทุกคนล้วนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ พวกเขาสามารถทำได้ก็เพียงแค่เทศนาคำพูดและคำสอนบางอย่างแล้วก็คิดว่าตนเข้าใจความจริงและโอ้อวดต่อหน้าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่ตลอดเวลา  ในทุกการชุมนุม พวกเขาเทศนาเป็นเวลาหลายชั่วโมง แต่ปรากฏว่าพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เลย  พวกเขาไม่รู้เรื่องเลยโดยสิ้นเชิงเมื่อเป็นเรื่องของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางวิชาชีพในหน้าที่ของผู้คน พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดาอย่างชัดเจน แต่กลับแสร้งทำเป็นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ ชี้นำงานของผู้เชี่ยวชาญ—เมื่อเป็นแบบนี้แล้วพวกเขาจะทำงานให้ดีได้อย่างไร?  การที่ผู้นำเทียมเท็จไม่พยายามเรียนรู้ความรู้ทางวิชาชีพและไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติใดๆ นั้นก็น่าสะอิดสะเอียนพอแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังแสร้งทำเป็นคนมีสภาวะฝ่ายวิญญาณและโอ้อวดคำพูดฝ่ายวิญญาณของตน ซึ่งช่างไร้เหตุผลเสียนี่กระไร!  นี่ไม่ต่างอะไรจากพวกฟาริสีเลย  สิ่งที่พวกฟาริสีไร้เหตุผลที่สุดคือการที่พระเจ้าทรงรังเกียจพวกเขา แต่พวกเขากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยและยังคงถือว่าตนเองค่อนข้างดีและมีสภาวะฝ่ายวิญญาณอย่างยิ่ง  ผู้นำเทียมเท็จก็ขาดความตระหนักรู้ในตนเองเช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติใดๆ ได้อย่างชัดเจนแต่กลับแสร้งทำเป็นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ พวกเขากลายเป็นฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด  พวกเขาคือผู้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์และกำจัดออกไป

ลักษณะเด่นของผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณคืออะไร?  คือพวกเขาเทศนาเก่ง  “คำเทศนา” เหล่านี้ไม่ใช่คำเทศนาที่แท้จริง  ไม่ใช่คำเทศนาที่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง และยิ่งไม่ใช่คำเทศนาที่มีความเป็นจริงความจริง  แต่เป็นคำเทศนาที่เป็นเพียงคำพูดและคำสอน เป็นคำเทศนาที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ เป็นคำเทศนาของพวกฟาริสี  ผู้นำเทียมเท็จเก่งกาจมากในการขลุกอยู่กับคำพูดและวลีในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการเทศนาคำพูดและคำสอน แต่กลับไม่เคยแสวงหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าและไม่เคยใคร่ครวญว่าควรจะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงอย่างไร  พวกเขาพอใจกับการที่สามารถเทศนาคำพูดและคำสอนได้เท่านั้น พอเทศนาคำสอนได้อย่างชัดเจนและมีเหตุมีผลแล้ว พวกเขาก็คิดว่านั่นดีพอและตนก็มีความเป็นจริงความจริงแล้ว สามารถยืนวางท่าต่อหน้าผู้อื่น และสั่งสอนผู้คนจากตำแหน่งที่สูงส่งของตนได้  เมื่อมองจากภายนอก สิ่งที่พวกเขาพูดและทำดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับความจริง ดูเหมือนไม่ได้ก่อให้เกิดการขัดขวางหรือการก่อกวน และดูเหมือนไม่ได้สนับสนุนคำพูดที่ผิดพลาดหรือยุยงให้เกิดการปฏิบัติที่ผิดพลาด  แต่กระนั้น ก็มีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง คือพวกเขาไม่สามารถแบกรับงานภาคปฏิบัติใดๆ ได้ หรือลุล่วงความรับผิดชอบของตนได้แม้แต่น้อยนิด ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่การที่พวกเขาไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ในงานได้เลย  วิธีการทำงานของพวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดคลำทาง—สักแต่ว่าทำไปตามความรู้สึกและความคิดฝันของตนเพื่อนำข้อบังคับมาใช้อย่างมืดบอด ไม่สามารถมองทะลุแก่นแท้ของปัญหาได้เลย แต่กลับยังคงพล่ามเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น—พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย  หากผู้นำเทียมเท็จเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมสามารถค้นพบปัญหาและแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ  แต่ผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริงอย่างชัดเจน แต่กลับแสร้งทำเป็นมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ คิดว่าตนเองสามารถทำงานของคริสตจักรได้ และกล้าที่จะสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะของตนอย่างไม่ละอาย  นี่น่ารังเกียจมิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าตนมีฝีมืออย่างแท้จริง—คือสามารถเทศนาได้  แต่พวกเขากลับไม่สามารถทำงานภาคปฏิบัติได้เลยแม้แต่น้อย  คำพูดและคำสอนที่ผู้นำเทียมเท็จรู้และเทศนานั้นไม่สามารถช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดี ไม่สามารถช่วยให้พวกเขาค้นพบปัญหาในงาน และยิ่งไม่สามารถช่วยให้พวกเขาแก้ไขปัญหาทั้งหมดที่เผชิญได้  หลังจากทำงานไประยะหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สามารถพูดถึงคำพยานจากประสบการณ์ใดๆ ได้เลย  ผู้นำหรือคนทำงานเช่นนี้ได้มาตรฐานหรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  แล้วควรจัดการกับผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้มาตรฐานอย่างไร?  ไม่เพียงแต่ต้องปลดและกำจัดพวกเขาออกไปเท่านั้น แต่หากพวกเขาไม่กลับใจ ก็ไม่สามารถเลือกพวกเขาให้มารับใช้เป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อีกเมื่อมีการเลือกตั้ง  หากใครเลือกผู้นำเทียมเท็จหรือคนทำงานเทียมเท็จที่ถูกกำจัดออกไปแล้ว พวกเขาก็กำลังก่อกวนและทำลายงานของคริสตจักรโดยเจตนา และนั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ลงคะแนนเสียงนั้นเป็นผู้ที่บูชาและติดตามผู้นำเทียมเท็จคนนั้น ไม่ใช่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง  พวกเจ้าเคยเลือกผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณหรือไม่?  (เคย)  เราคาดว่าพวกเจ้าคงเลือกมาไม่น้อยเลยทีเดียว  พวกเจ้าคิดว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้ามานานหลายปี อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากและฟังคำเทศนามามาก ผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชนในการเทศนาและการทำงาน ผู้ที่สามารถเทศนาได้ครั้งละหลายชั่วโมง ย่อมสามารถทำงานได้อย่างแน่นอน  จากนั้น หลังจากที่พวกเจ้าเลือกพวกเขาเป็นผู้นำแล้ว พวกเจ้าก็ค้นพบปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่งคือ พี่น้องชายหญิงไม่เคยเห็นหน้าพวกเขาเลยและไม่เคยพบพวกเขาเลยเมื่อมีปัญหา  ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งและไม่ยอมให้ใครรบกวน  นั่นคือปัญหา  พวกเขามักจะเล่นซ่อนหาอยู่เสมอในช่วงเวลาที่สำคัญของงาน และพี่น้องชายหญิงก็ไม่เคยพบพวกเขาเลยเมื่อต้องการให้มาแก้ไขปัญหา—พวกเขาไม่ได้กำลังละเลยหน้าที่ที่ถูกควรของตนหรอกหรือ?  เหตุใดบางคนจึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับพี่น้องชายหญิงเมื่อได้เป็นผู้นำแล้ว?  เหตุใดจึงหาตัวพวกเขาไม่พบ?  อะไรกันแน่ที่ทำให้พวกเขายุ่งอยู่?  เหตุใดพวกเขาจึงไม่แก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติ?  ไม่ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับอะไรก็ตาม ในเรื่องนี้พวกเจ้าสามารถแน่ใจได้เลยว่า หากพวกเขาไม่ได้ทำงานภาคปฏิบัติไประยะหนึ่ง พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ และควรถูกปลดออกโดยเร็ว และควรเลือกคนอื่นแทน  ในอนาคตพวกเจ้าจะยังเลือกผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้อีกหรือไม่?  (ไม่)  ทำไมถึงไม่?  พวกเจ้าคิดว่าผลที่ตามมาของการเลือกคนตาบอดเป็นผู้นำทางของพวกเจ้าคืออะไร?  คนคนนั้นตาบอดเอง แล้วเขาจะสามารถนำทางผู้อื่นไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้หรือ?  เหมือนดังที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)  คนตาบอดเดินโดยไม่มีทิศทางหรือเป้าหมาย แล้วเขาจะนำผู้อื่นได้อย่างไร?  หากใครเลือกคนตาบอดเป็นผู้นำทางของตน คนคนนั้นก็ตาบอดเสียยิ่งกว่า  มีคำกล่าวในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อว่า “ถามทางกับคนตาบอด”  การเลือกผู้นำเทียมเท็จให้มารับใช้เป็นผู้นำคริสตจักรก็คือการถามทางกับคนตาบอด  มันเป็นเรื่องไร้สาระมิใช่หรือ?  ทุกคนที่ลงคะแนนเสียงให้ผู้นำเทียมเท็จล้วนเป็นคนตาบอดที่เลือกคนตาบอด และไม่มีสักคนเดียวในหมู่พวกเขาที่เข้าใจความจริง

เมื่อบางคนเลือกคนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณมาเป็นผู้นำ พวกเขาก็รู้สึกมีความสุขมาก โดยคิดว่า “ตอนนี้พวกเรามีผู้นำที่ยอดเยี่ยมแล้ว ผู้นำของพวกเราเทศนาเก่งจริงๆ พวกเขามีเหตุมีผลและมีโครงสร้างในการเทศนามาก และคำเทศนาของพวกเขาก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง”  บางคนที่ขาดวิจารณญาณแยกแยะก็ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล พวกเขาถึงกับหลงใหลในตัวผู้นำคนนี้ และไม่อยากไปทำหน้าที่ของตนเลย  พวกเขาเข้าใจเรื่องต่างๆ อย่างชัดเจนทีเดียวเมื่อฟังการสามัคคีธรรม แต่เมื่อพวกเขาค้นพบปัญหาขณะทำหน้าที่ พวกเขากลับไม่รู้วิธีแก้ไขและรู้สึกงุนงง โดยคิดว่า “ฉันดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อฟังผู้นำสามัคคีธรรม แล้วทำไมฉันถึงไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานของฉันได้?”  ปัญหาตรงนี้คืออะไร?  ทุกสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้เทศนาล้วนเป็นคำพูดและคำสอน เป็นวลีที่ว่างเปล่า เป็นคำขวัญ และเป็นเรื่องไร้สาระ  สิ่งที่พวกเขาเทศนาไม่ได้แก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติของเจ้า พวกเขาหลอกเจ้าได้สำเร็จ  พวกเขาป้อนภาพลวงตาให้เจ้า โดยการพูดคำขวัญสองสามคำเพื่อทำให้เจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่าปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว ทั้งที่ตามจริงแล้วพวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงเกี่ยวกับปัญหาของเจ้าเลย  แล้วปัญหาจะได้รับการแก้ไขด้วยการสามัคคีธรรมในลักษณะนี้ได้อย่างไร?  คำสอนที่พวกเขาเทศนานั้นไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาภาคปฏิบัติเลย พวกเขาเพียงแค่หลีกเลี่ยงแก่นแท้ของปัญหาทั้งหมดและพูดถึงทฤษฎีอย่างเลื่อนลอย  พวกเขาเทศนาเพียงคำพูดและคำสอนและทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาไม่รู้เลยว่าความเป็นจริงความจริงคืออะไร และเมื่อปัญหาเกิดขึ้น พวกเขาก็จะสับสนงงงวย  คำเทศนาที่พวกเขาให้นั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้ มันเป็นเพียงทฤษฎีชนิดหนึ่ง เป็นความรู้และคำสอนชนิดหนึ่ง  ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้เทศนาพระวจนะของพระเจ้าและความจริงราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นคำพูดและคำสอนและคำขวัญชนิดหนึ่ง  พวกเขาหลีกเลี่ยงปัญหาภาคปฏิบัติทั้งหมดและเทศนาเพียงคำพูดที่กลวงและไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง  แล้วท้ายที่สุดจะเกิดอะไรขึ้น?  ไม่ว่าพวกเขาจะเทศนานานเพียงใด อย่างดีที่สุดคำเทศนาของพวกเขาก็จะส่งผลเป็นการให้กำลังใจและตักเตือนผู้คน ทำให้ผู้คนกระตือรือร้นขึ้นเล็กน้อยและมีพลังขึ้นมาชั่วขณะ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาอื่นใดได้เลย  ความจริงไม่ได้ตัดขาดจากความเป็นจริง แต่กลับเชื่อมโยงกับความเป็นจริงและกับปัญหานานัปการที่มีอยู่จริง  ดังนั้น ตอนนี้พวกเจ้าจะสามารถมีวิจารณญาณแยกแยะผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณได้หรือไม่เมื่อพวกเจ้าเผชิญหน้ากับพวกเขาในครั้งต่อไป?  ถ้าไม่ได้ เช่นนั้นแล้วเมื่อพวกเจ้าต้องการลงคะแนนเสียงให้ใครสักคนเป็นผู้นำ ก็จงให้พวกเขาแก้ไขปัญหาสองสามข้อก่อน  หากพวกเขาแก้ไขตามหลักธรรม และหากพวกเขาบรรลุผลลัพธ์ที่ดีพอสมควรและแก้ไขปัญหาโดยใช้ความเป็นจริงความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็สามารถลงคะแนนเสียงให้พวกเขาได้  หากพวกเขาหลีกเลี่ยงและไม่พูดถึงแก่นแท้ของปัญหาและสถานการณ์จริง และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการเทศนาคำสอนอย่างว่างเปล่า ตะเบ็งเสียงกล่าวคำขวัญ และยึดติดกับข้อบังคับ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ไม่สามารถลงคะแนนเสียงให้คนคนนั้นได้  ทำไมพวกเจ้าถึงไม่สามารถลงคะแนนเสียงให้คนคนนั้นได้?  (เพราะพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้)  แล้วคนประเภทไหนที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้?  คนที่สามารถเทศนาได้เพียงคำพูดและคำสอน—พวกเขาคือฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถที่จำเป็นในการเข้าใจความจริง ไม่มีสมรรถภาพในการแก้ไขปัญหา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นหากเจ้าเลือกพวกเขาเป็นผู้นำ พวกเขาก็ย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  พวกเขาไม่สามารถทำงานของผู้นำหรือลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำได้  ดังนั้น พวกเจ้าจะไม่เป็นการทำร้ายพวกเขาหรอกหรือหากพวกเจ้าลงคะแนนเสียงให้พวกเขา?  บางคนกล่าวว่า “นั่นจะเป็นการทำร้ายเขาได้อย่างไร?  พวกเรามีเจตนาดีในการลงคะแนนเสียงให้เขา  เขามีขีดความสามารถอยู่บ้าง และถ้าพวกเราเลือกเขา พวกเราก็จะมีคนมารับผิดชอบงานไม่ใช่หรือ?”  แน่นอนว่าการมีคนมารับผิดชอบเป็นสิ่งที่ดี แต่คนประเภทนี้ไม่สามารถรับผิดชอบได้  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการพูดถึงทฤษฎีอย่างว่างเปล่า พวกเขาไม่คำนึงถึงสถานการณ์จริง และพวกเขาไม่ช่วยอะไรเลยเมื่อเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหา ดังนั้นโดยการลงคะแนนเสียงให้พวกเขา พวกเจ้าไม่ได้กำลังให้โอกาสพวกเขาทำความชั่วหรอกหรือ?  พวกเจ้าไม่ได้กำลังบังคับให้พวกเขาเดินบนเส้นทางของผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  ดังนั้น พวกเจ้าต้องไม่เลือกคนเช่นนี้มาเป็นผู้นำ

สำหรับผู้คนรอบตัวพวกเจ้า—คนที่พวกเจ้าติดต่อด้วยบ่อยๆ และค่อนข้างคุ้นเคย—พวกเจ้าแยกแยะออกหรือไม่ว่าใครเอาแต่พูดคำสอนที่ว่างเปล่าแต่แก้ปัญหาภาคปฏิบัติไม่ได้?  ใครที่มักจะเทศนาทฤษฎีสูงส่งและเสนอแผนการที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครซึ่งไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อน แต่พอถูกถามถึงแผนปฏิบัติการและรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมว่าจะนำไปใช้อย่างไร เขากลับงุนงงจนพูดไม่ออก?  ถ้อยคำของพวกเขานั้นว่างเปล่าอย่างยิ่งและไม่สมจริงเลย ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง สภาพแวดล้อมตามจริง สิ่งที่ผู้คนสามารถบรรลุได้จริง วุฒิภาวะของผู้คน และระดับทักษะทางวิชาชีพของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่พูดจาเหลวไหล เอาแต่เพ้อฝันฟุ้งซ่าน และนึกจะพูดอะไรก็พูดออกมาอย่างหุนหันพลันแล่น  พวกเขาคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูด ไม่เว้นแม้แต่การคุยโวโอ้อวด  พวกเขาแสดงทัศนะและเสนอแนวคิดด้วยท่าทีเช่นนี้—นี่ไม่ใช่คนประเภทเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณหรอกหรือ?  (ใช่)  บางคนเชื่อว่าอย่างไรเสียก็ไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับการคุยโวโอ้อวดหรือแนวคิดที่ฟังดูสูงส่ง ทั้งยังทำให้ตนดูมีความสามารถอีกด้วย  พวกเขาคิดว่าหากพูดอะไรผิดไป ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ และหากพูดอะไรถูกต้อง ทุกคนก็จะยกย่องพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงพูดอะไรก็ได้ตามที่ต้องการและทำให้ทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด  พวกเขามีแนวคิดมากมาย แต่ไม่มีสักแนวคิดเดียวที่มาพร้อมกับแผนการปฏิบัติที่เจาะจงและสามารถนำไปใช้ให้เกิดผลได้จริง  พวกเขาไม่เคยเอาจริงเอาจังกับทัศนะใดๆ ที่หยิบยกขึ้นมา ไม่ว่าทัศนะนั้นจะบริสุทธิ์หรือบิดเบือนก็ตาม  วันนี้พวกเขาพูดอย่างหนึ่ง พรุ่งนี้ก็พูดอีกอย่างหนึ่ง และแม้ว่าทัศนะ ทฤษฎี และหลักพื้นฐานที่พวกเขาพูดถึงจะสูงส่งมาก แต่ทั้งหมดก็ล้วนว่างเปล่าและใช้การไม่ได้จริง  นานๆ ครั้งพวกเขาจะเสนอแผนการที่ไม่ว่างเปล่าหรือผิดเพี้ยน แต่พอถูกถามว่าจะดำเนินแผนการนั้นอย่างเจาะจงได้อย่างไร พวกเขากลับบอกไม่ได้  เวลาที่ตะเบ็งเสียงกล่าวคำขวัญ พูดถ้อยคำที่ฟังดูสูงส่ง และแสดงทัศนะ พวกเขากระตือรือร้นและกระฉับกระเฉงอย่างยิ่ง  แต่พอถึงเวลาทำงานที่เจาะจงและนำแผนการที่เจาะจงไปปฏิบัติ พวกเขากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซ่อนตัว และไม่มีความเห็นใดๆ อีกต่อไป  คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำได้หรือ?  (ไม่ได้)  ถ้าเช่นนั้น ผลที่ตามมาของการที่คนเช่นนี้ได้เป็นผู้นำจะเป็นอย่างไร?  ย่อมเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและผู้อื่นมิใช่หรือ?  พวกเขาจะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังจะก่อให้เกิดอันตรายใหญ่หลวงต่อตนเองอีกด้วย  คำสอนที่พวกเขาเทศนานั้นมีอยู่จำกัด และเมื่อเทศนาจบแล้ว พวกเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องคอยหลบซ่อนและ “เก็บตัวเพื่อมุ่งฝึกฝนตนเอง” อยู่เสมอ  นี่ไม่เป็นการสร้างความลำบากให้พวกเขาหรอกหรือ?  ทันทีที่ได้เป็นผู้นำ พวกเขาจะรู้สึกราวกับว่ามีภูเขาสามลูกใหญ่ๆ กดทับศีรษะของตนอยู่ จะรู้สึกเหนื่อยล้าทุกวันและรู้สึกกดดันอย่างมาก—พวกเขาจะทนทุกข์เช่นนี้ไปเพื่ออะไร?  พวกเขาไม่มีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำ และเมื่อเผชิญกับปัญหา พวกเขาก็เพียงแค่นำข้อบังคับต่างๆ มาปรับใช้อย่างมั่วซั่วตามจินตนาการของตนและไม่สามารถแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติได้—คนเช่นนี้ไม่สามารถเป็นผู้นำได้  พวกเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้นำเทียมเท็จ และพวกเขาก็จะยังคงคิดว่าตนเองเก่งกาจนักหนาทั้งๆ ที่ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงต้องล่าช้า  หากพวกเจ้าสามารถค้นพบและเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงขีดความสามารถและลักษณะนิสัยของคนเสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ได้ พวกเจ้าจะยังคงลงคะแนนให้พวกเขาเป็นผู้นำอีกหรือไม่?  หากเจ้าเองเป็นคนประเภทนี้และมีคนต้องการลงคะแนนให้เจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?  (ข้าพระองค์จะรู้จักประมาณตน และกล่าวว่าตนไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ)  และหากหลังจากที่เจ้าได้กล่าวเช่นนี้แล้ว ทุกคนยังคงคิดว่าเจ้าดีและยืนกรานที่จะลงคะแนนให้เจ้า เจ้าควรทำอย่างไร?  จงกล่าวกับพวกเขาว่า “ฉันทำงานของผู้นำไม่ได้ ฉันแบกรับงานนั้นไม่ไหว  ผิวเผินแล้วดูเหมือนฉันมีขีดความสามารถอยู่บ้าง และบางครั้งฉันก็มีแนวคิดที่ดีและให้ความสว่างเล็กๆ น้อยๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วฉันก็เพียงแค่เทศนาคำพูดและคำสอน  ฉันไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้จริงๆ  ฉันไม่ได้ดีไปกว่าพวกคุณเลย  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ได้โปรดอย่าลงคะแนนให้ฉัน  ต่อให้ฉันได้คะแนนเสียงมากที่สุด ฉันก็ยังไม่สามารถเป็นผู้นำได้  ฉันไม่สามารถทำให้ใครเดือดร้อนได้!  ฉันเคยรับใช้ในฐานะผู้นำมาก่อน และทุกครั้งฉันก็ล้มเหลวและถูกปลดออก  ทุกครั้งที่ฉันถูกปลดออก ก็เป็นเพราะขีดความสามารถของฉันย่ำแย่ ฉันขาดความสามารถในการทำงานและไม่สามารถทำงานจริงได้  ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือเทศนาคำพูดและคำสอน และนอกเหนือจากนั้น ฉันก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ดีหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบแม้แต่ข้อเดียวที่ผู้นำควรจะลุล่วงได้  ฉันเป็นผู้นำเทียมเท็จ”  การทำเช่นนี้ถึงจะเรียกว่ามีความตระหนักรู้ในตนเอง ไม่ใช่แค่พูดไม่กี่คำว่าตนไม่เหมาะจะเป็นผู้นำแล้วก็จบเรื่องไป  บางคนคิดว่า “ฉันปฏิบัติหน้าที่ในกลุ่มนี้มาหลายปีแล้ว อย่างไรเสียก็น่าจะถือว่าเป็นบุคลากรรุ่นใหญ่ได้  แม้ว่าฉันจะไม่เคยสร้างคุณูปการใดๆ แต่ฉันก็ได้ทำงานหนัก แล้วทำไมไม่มีใครค้นพบจุดแข็งของฉันเลย?  ฉันก็มีแววเป็นผู้นำเหมือนกัน  ฉันมักจะเสนอความคิด แนวคิด และข้อเสนอแนะที่ค่อนข้างมีคุณค่าและมีประโยชน์ในทางปฏิบัติ  ไม่ว่าผู้นำจะรับไปใช้หรือไม่ก็ตาม อย่างไรเสียฉันก็เป็นคนที่มีท่าที มีความคิด และมีทัศนะ  ทำไมไม่มีใครลงคะแนนให้ฉันเลย?”  หากเจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าก็สามารถประเมินตนเองได้ดังนี้ นั่นคือ ความคิด แนวคิด และข้อเสนอแนะเหล่านั้นที่เจ้ามีเป็นเพียงคำพูด หรือว่ามีประโยชน์ในทางปฏิบัติจริงๆ?  เจ้าสามารถค้นพบและแก้ไขความยุ่งยากนานัปการที่พบเจอในงานได้หรือไม่?  ความคิดและแนวคิดของเจ้าใช้การได้หรือไม่?  เจ้าสามารถแบกรับงานได้หรือไม่?  หากความคิดและทัศนะของเจ้ายังคงอยู่ในระดับของคำพูดและคำสอน หากมันไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติเลย และที่สำคัญกว่านั้น หากมันไม่สอดคล้องกับหลักธรรมการทำงานของพระนิเวศของพระเจ้าเลย แล้วขีดความสามารถของเจ้าเป็นอย่างไรกันแน่?  เมื่อเจ้าได้รับเลือกให้เป็นผู้นำแล้ว เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  เจ้าต้องการเป็นผู้นำเพราะความทะเยอทะยาน หรือเพราะมีใจที่จะแบกรับภาระ?  หากเจ้ามีขีดความสามารถในการทำงานและมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง และเมื่อเจ้าเห็นผู้นำและคนทำงานบางคนปฏิบัติงานได้ย่ำแย่มากและไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ สิ่งนี้ทำให้เจ้าร้อนใจ และเจ้าได้ให้ข้อเสนอแนะแก่พวกเขาแต่พวกเขาไม่ฟัง และพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แต่กลับไม่รายงานต่อเบื้องบน และเจ้ารู้สึกกังวลและร้อนใจให้กับงานของพระนิเวศของพระเจ้า และเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจทนได้เมื่อเห็นผู้นำเทียมเท็จทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า นี่แสดงว่าเจ้ามีใจแบกรับภาระ  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต้องการได้รับการยอมรับจากทุกคน เพื่อหาผู้ฟังจำนวนมากขึ้น และเพื่อให้มีคนฟังเจ้าเทศนาและแสดงภูมิมากขึ้น เพียงเพราะเจ้ามีแนวคิดบางอย่าง และหากเจ้าต้องการโดดเด่นในฝูงชน เช่นนั้นแล้วนี่ก็ไม่ใช่การมีใจแบกรับภาระ—นี่คือความทะเยอทะยาน  คนที่มีความทะเยอทะยานสามารถเทศนาได้แต่คำพูดและคำสอนเท่านั้น และแนวคิดใดๆ ที่พวกเขามีก็เป็นเพียงคำพูดและคำสอนที่ว่างเปล่าเช่นกัน  เมื่อคนเช่นนี้ได้เป็นผู้นำ พวกเขาย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน และหากพวกเขาเป็นคนชั่ว พวกเขาก็คือศัตรูของพระคริสต์  หากแนวคิดของเจ้ายังคงอยู่ในระดับของคำพูดที่ว่างเปล่า เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าได้เป็นผู้นำ เจ้าย่อมต้องเป็นเหมือนกับผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณทุกคนอย่างแน่นอน  เจ้าจะต้อง “เก็บตัวเพื่อมุ่งฝึกฝนตนเอง” อยู่เสมอ มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะรู้สึกถึงวิกฤตและจะไม่มีอะไรจะเทศนา  หากเจ้าเป็นเหมือนกับพวกเขา และในขณะที่เจ้ากำลังเทศนาจากที่สูง เจ้าก็ไม่สามารถค้นพบปัญหาใดๆ ที่มีอยู่ในงานได้ และโดยธรรมชาติแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้เช่นกัน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  และจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้นำเทียมเท็จในท้ายที่สุด?  พวกเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งเพราะไม่สามารถทำงานจริงได้—พวกเขาย่อมต้องเดินบนเส้นทางนี้อย่างแน่นอน

มีหลายคนที่รู้สึกขุ่นเคืองและคันไม้คันมืออยู่ในใจเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลาเลือกผู้นำหรือผู้ดูแล พวกเขาก็อยากเป็นคนที่ได้รับเลือกเสมอ  บางคนคิดว่าตนเชื่อในพระเจ้ามานานปีที่สุด ทนทุกข์มามากที่สุด ปฏิบัติหน้าที่มานานที่สุดและด้วยความจงรักภักดีที่สุด และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการให้คนอื่นเลือกตน  หากคนอื่นเลือกเจ้าแล้วเจ้าจะสามารถทำอะไรได้?  เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการได้ชื่อว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  ทั้งหมดนี้คือปัญหาภาคปฏิบัติ แต่ไม่มีใครพิจารณาเรื่องเช่นนี้เลย  ในบรรดาคนเหล่านี้ บางคนมีขีดความสามารถเพียงพอ  พวกเขาจะสามารถแสวงหาความจริงได้เมื่อมีปัญหาในหน้าที่ของตน และเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริงและสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ตามหลักธรรมได้ พวกเขาก็จะสามารถได้มาตรฐาน  หากคนเหล่านี้เข้าใจความจริง รักความจริง และสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้ และนอกจากนี้ยังมีความเป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างดี เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีปัญหาใดๆ ในการเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐาน—มันจะไม่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา  บางคนบ่นอยู่เสมอว่างานที่ตนทำนั้นลำบากยากเย็น พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทหรือจ่ายราคาเมื่อเป็นเรื่องของความจริง และพวกเขาก็พร่ำบ่นเมื่อถูกตัดแต่ง  คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำและคนทำงานที่ได้มาตรฐานได้หรือ?  เจตนาและท่าทีของพวกเขานั้นผิด พวกเขาไม่ใช่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกร้องอะไรจากพวกเขา พวกเขาก็ยังคงมีท่าทีที่เป็นลบ  คนเช่นนี้ไม่สมควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงาน  พวกเขาไม่มีใจแบกรับภาระ และไม่ว่าการจัดแจงงานของพระนิเวศของพระเจ้าจะกล่าวไว้อย่างชัดเจนหรือกระจ่างแจ้งเพียงใด พวกเขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะทำงานหนักเพื่อทำงานให้ดี  อันที่จริงแล้ว การทำงานให้ดีนั้นไม่ยาก  เหตุใดจึงไม่ยาก?  ประการแรก พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดแจงงานที่เจาะจงสำหรับงานทั้งหมดของคริสตจักร และเบื้องบนได้กำหนดข้อบังคับที่เจาะจงไว้แล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่ถูกเรียกร้องให้ต้องสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในงานใดๆ หรือทำงานให้สำเร็จโดยลำพัง  เบื้องบนได้ให้ขอบเขตและทิศทางแก่พวกเจ้าแล้ว และได้ให้หลักธรรมแก่พวกเจ้าแล้ว และได้ให้มาตรฐานขั้นต่ำแก่พวกเจ้าแล้ว ในการทำงานของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้กำลังชกลม หรือขาดทิศทางใดๆ  ประการที่สอง ไม่ว่าจะเป็นงานใด ไม่ว่าผู้ดูแลจะเป็นใคร และไม่ว่างานจะมุ่งไปที่ต่างประเทศหรือในประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพี่น้องชายที่ทำงานเบื้องบนกำลังติดตาม ให้การชี้แนะ กำกับดูแล ตรวจสอบ และดำเนินการกลั่นกรองงานอย่างเจาะจง และสอบถามอยู่บ่อยครั้ง  การกระทำเหล่านี้เจาะจงเพียงใด?  พี่น้องชายที่ทำงานเบื้องบนมีส่วนร่วมและติดตามเป็นการส่วนตัวในทุกบทภาพยนตร์ ทุกภาพยนตร์ ทุกรายการ ทุกบทเพลงนมัสการ และอื่นๆ  เรายังมีส่วนร่วมในงานบางอย่าง โดยให้ทิศทางและโครงร่างโดยรวมแก่พวกเจ้า  ประการที่สาม สำหรับแง่มุมใดๆ ของงานที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง เบื้องบนยังสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหลักธรรมความจริงและชี้แนะแนวทางการทำงานของพวกเจ้าอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย เบื้องบนยังตัดแต่งพวกเจ้า ดำเนินการกลั่นกรองให้พวกเจ้า และเบื้องบนจะแก้ไขความบิดเบือนของพวกเจ้าได้ทุกเมื่อ  ประการที่สี่ ในส่วนของงานด้านบุคลากรและการบริหารที่สำคัญ เบื้องบนจะช่วยพวกเจ้าเป็นการส่วนตัวโดยดำเนินการกลั่นกรองและตัดสินใจ  ความจริงก็คือไม่ว่าพวกเจ้าจะทำงานอะไร พวกเจ้าก็ไม่ได้ทำมันให้สำเร็จโดยลำพัง ทั้งหมดล้วนได้รับการจัดแจง นำ ชี้แนะ และกลั่นกรองโดยเบื้องบน  แล้วพวกเจ้าทำอะไรกันเล่า?  พวกเจ้าก็แค่เพลิดเพลินกับสิ่งที่พร้อมอยู่แล้ว—พวกเจ้าช่างได้รับพรยิ่งนัก!  พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใด เพียงแค่ลงมือลงแรงทำงานเท่านั้น  นี่คืองานในส่วนของพวกเจ้า  พวกเจ้าเคยจ่ายราคาเพิ่มเติมบ้างหรือไม่?  (ไม่เคย)  เบื้องบนได้ทำงานหลักใหญ่ที่สำคัญทั้งหมดนี้แล้ว ดังนั้นงานที่พวกเจ้าทำจึงง่ายมากและไม่มีความยุ่งยากใหญ่หลวงใดๆ เลย  ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากผู้คนยังคงทำงานของตนได้ไม่ดี นั่นย่อมไม่มีข้อแก้ตัว และมันพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาเพียงแค่ไม่ได้ทุ่มเทหัวใจและความพยายามในงานของตนหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  บางคนกล่าวว่า “ใครบ้างที่ไม่มีข้อบกพร่องเมื่อทำงาน?  ไม่อนุญาตให้คนเรามีปัญหาบ้างเลยหรือ?”  พวกเจ้าไม่ถูกเรียกร้องให้ต้องได้คะแนนเต็มในงานของพวกเจ้า พวกเจ้าเพียงแค่ถูกเรียกร้องให้ผ่านเกณฑ์ แล้วพวกเจ้าก็จะถือว่าได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานแล้ว  นี่เป็นการเรียกร้องที่สูงเกินไปหรือ?  (ไม่ใช่)  การผ่านเกณฑ์นั้นเป็นเรื่องง่ายโดยอาศัยการชี้แนะและการกลั่นกรองของเบื้องบน ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงใจหรือไม่เท่านั้น  หากพวกเขาไม่พยายามใดๆ เมื่อเป็นเรื่องของความจริง และต้องการทำอย่างสุกเอาเผากินอยู่เสมอ และหากพวกเขาพอใจกับการทำไปตามขั้นตอนเมื่อทำงาน ไม่ทำสิ่งเลวร้าย ไม่ก่อให้เกิดการรบกวนหรือการขัดขวาง และไม่มีอะไรมารบกวนมโนธรรมของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่สามารถผ่านเกณฑ์ได้  ผู้นำและคนทำงานส่วนใหญ่มีท่าทีเช่นนี้เมื่อทำงาน พวกเขาทำงานเล็กน้อยแต่ไม่ต้องการให้ตนเองเหนื่อยล้า พวกเขาพอใจกับการเป็นคนธรรมดาๆ และสำหรับผลของงานของพวกเขานั้น พวกเขาคิดว่าเป็นเรื่องของพระเจ้าและไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง  ท่าทีนี้ยอมรับได้หรือไม่?  หากเจ้ามีท่าทีเช่นนี้ งานที่เจ้าสามารถทำได้ย่อมมีจำกัดอย่างยิ่งและเจ้าไม่ได้ทุ่มเททั้งหมดลงไป ซึ่งบ่งชี้ว่าเจ้าไม่สามารถทำงานจริงได้หรือไม่ก็ไม่ได้ทำงานจริง และดังนั้นควรระบุลักษณะว่าเจ้าเป็นผู้นำเทียมเท็จ—นี่ย่อมเหมาะสมอย่างยิ่งและไม่ได้ปรักปรำเจ้าเลย  บางคนกล่าวอยู่เสมอว่า “ข้อเรียกร้องของพระองค์ที่มีต่อพวกเรานั้นสูงเกินไป  หากพวกเราไม่ทำงานนี้ พวกเราก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ และหากพวกเราไม่บรรลุข้อกำหนดนั้น พวกเราก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอีก  พระองค์ทรงถือว่าพวกเราเป็นอะไร?  พวกเราไม่ใช่หุ่นยนต์ พวกเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ  พวกเราเป็นเพียงคนธรรมดา เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชน  พระองค์ทรงบอกให้พวกเราเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติ แล้วเหตุใดพระองค์จึงมีข้อเรียกร้องที่สูงเช่นนี้ต่อพวกเราในฐานะผู้นำ?”  อันที่จริงแล้ว ข้อเรียกร้องของเราที่มีต่อพวกเจ้านั้นไม่สูง  เราเพียงแค่ขอให้เจ้าลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบที่มนุษย์ควรจะลุล่วง  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรและต้องทำ และเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ในฐานะผู้นำและคนทำงาน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ทำงานหนักเพื่อมุ่งมั่นไปสู่ความจริง และกลัวความทุกข์ยากลำบากและละโมบความสะดวกสบายอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเหตุผลหรือข้อแก้ตัวของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าย่อมต้องเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแน่นอน  มันก็เหมือนกับสิ่งที่คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรจะบรรลุและสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรจะดูแลด้วยตนเอง เช่น ผู้ใหญ่ควรตื่นนอนเวลาใดในตอนเช้า ควรกินอาหารกี่มื้อและควรทำงานวันละกี่ชั่วโมง และควรซักเสื้อผ้าที่ใช้แล้วเมื่อใด—เจ้าต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง และไม่จำเป็นต้องไปถามใครอื่นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้  หากเจ้าถามคนอื่นเกี่ยวกับทุกสิ่งและไม่เข้าใจอะไรเลย นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้ามีสติปัญญาไม่สมประกอบและเป็นคนโง่หรอกหรือ?  นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่สามารถดูแลตนเองได้หรอกหรือ?  คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำได้หรือ?  พวกเขาไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  คนเช่นนี้ควรถูกปลดออก  คนเช่นนี้ยังคงต้องการยึดติดอยู่กับตำแหน่งของตนและไม่ก้าวลงมา และพวกเขายังคงต้องการเป็นผู้นำ!  หลังจากที่ผู้นำเทียมเท็จบางคนถูกปลดออก พวกเขารู้สึกเหมือนถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมและร้องไห้ไม่หยุด  พวกเขาร้องไห้จนตาบวมไปหมด  เหตุใดพวกเขาจึงร้องไห้?  พวกเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นตัวอะไรกันแน่  เมื่อเรากล่าวว่าข้อเรียกร้องของเราที่มีต่อผู้คนนั้นไม่สูง สิ่งที่เราหมายถึงก็คือสิ่งที่เจ้าถูกขอให้ทำนั้นคือสิ่งที่เจ้าสามารถบรรลุได้ หนทางได้ถูกปูไว้ให้เจ้าแล้วและขอบเขตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว และมีการตัดสินใจไปแล้ว และเจ้าเพียงแค่ต้องลงมือทำเท่านั้น  มันก็เหมือนกับการกินอาหาร ธัญพืช ผัก เครื่องปรุงรสทุกชนิด หม้อ และเตาได้ถูกเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว และทั้งหมดที่เจ้าต้องทำคือเรียนรู้วิธีทำอาหาร นี่คือสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรจะทำและบรรลุได้  หากเจ้าไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้ เจ้าก็เป็นคนโง่ และระดับสติปัญญาของเจ้าก็ไม่สามารถถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ปกติได้  ผู้นำบางคนไม่สามารถทำงานจริงนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องถูกปลดออก  แล้วเราจะนิยามและตัดสินได้อย่างไรว่าใครบางคนสามารถทำงานประเภทนี้ได้หรือไม่?  หากเจ้ามีสติปัญญาและขีดความสามารถของผู้ใหญ่ และเจ้ามีจิตสำนึกในหน้าที่และความรู้สึกรับผิดชอบที่ผู้ใหญ่ควรจะมี เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรจะสามารถทำงานประเภทนี้ได้  หากเจ้าทำไม่ได้ หรือเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ  นั่นคือวิธีการตัดสินเรื่องนี้ และการตัดสินเช่นนี้ก็ถูกต้องแม่นยำ  นี่ไม่ใช่การกล่าวโทษหรือการพิพากษาบุคคล แล้วมันเข้มงวดเกินไปหรือไม่?  ข้อเท็จจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยอยู่แล้ว และนี่ไม่ได้เข้มงวดเกินไปเลยแม้แต่น้อย

II. ผู้นำเทียมเท็จผู้มีขีดความสามารถต่ำ

เมื่อสักครู่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันถึงการสำแดงของผู้นำเทียมเท็จประเภทหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับรายงานและแสวงหาวิธีแก้ไขความสับสนและความลำบากยากเย็นที่เผชิญในงานอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้คนเช่นนี้จึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้  ผู้คนเช่นนี้เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณ เพราะพวกเขาไม่สามารถค้นพบความสับสนและความลำบากยากเย็นในงานได้ พวกเขาจึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบนี้ได้  นี่คือคนประเภทหนึ่ง  ยังมีคนอีกประเภทหนึ่งคือ พวกเขาเป็นเหมือนกับผู้คนที่เสแสร้งมีสภาวะฝ่ายวิญญาณเหล่านั้น—พวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบปัญหาที่มีอยู่ในงานได้เช่นกัน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถรายงานปัญหาเหล่านั้นต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขจากเบื้องบนอย่างทันท่วงทีได้เช่นกัน  ผู้คนเช่นนี้ก็ยุ่งอยู่กับงานเช่นกัน พวกเขาวุ่นวายอยู่ทั้งวันโดยไม่ว่างเว้น  พวกเขามัวแต่วุ่นอยู่กับการเทศนา การไปเยี่ยมเยียนพี่น้องชายหญิงในที่ต่างๆ การจัดเตรียมงาน และกระทั่งการซื้อของต่างๆ นานาเพื่องานคริสตจักร  หากมีใครป่วย พวกเขาก็ช่วยหาหมอให้ หากใครมีปัญหาที่บ้าน พวกเขาก็ช่วยโดยการจัดหาเงินช่วยเหลือ หากใครมีสภาวะไม่ดี พวกเขาก็จะริเริ่มที่จะสนับสนุนและช่วยแก้ไขปัญหาของพวกเขาอย่างแข็งขัน  สรุปคือ พวกเขามักจะยุ่งอยู่กับงานธุรการทั่วไปบางอย่างเสมอ  พวกเขาเฉยเมยต่องานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักร ต่องานข่าวประเสริฐ และต่อปัญหาต่างๆ ในชีวิตคริสตจักร  ทุกๆ วัน พวกเขาเหนื่อยล้ากับการวิ่งวุ่นไปทั่ว และพวกเขาก็ทำให้ตนเองวุ่นอยู่กับการจัดการและแก้ไขกิจการของคริสตจักรและเรื่องส่วนตัวของพี่น้องชายหญิง  พวกเขาคิดว่าในฐานะผู้นำ พวกเขาควรปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ แต่พวกเขากลับไม่เคยตระหนักเลยว่างานที่เป็นแก่นสารของผู้นำคืออะไร และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถพบปัญหาที่แท้จริงและสำคัญยิ่งที่มีอยู่ในคริสตจักรได้  ดังนั้น เมื่อการก่อกวนและอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิตคริสตจักร และเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญความลำบากยากเย็นในการเข้าสู่ชีวิต ผู้นำเหล่านี้จึงไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทันท่วงที  แม้ว่าพวกเขาจะยุ่งอยู่กับการทำงานและผ่านไปในแต่ละวันโดยไม่ว่างเว้น แต่การที่ยุ่งหัวหมุนเช่นนี้จะเกิดประโยชน์อันใดเล่า?  มีปัญหามากมายปรากฏอยู่ในงานคริสตจักร แต่พวกเขากลับไม่สามารถค้นพบปัญหาเหล่านั้นได้  เมื่อมองจากภายนอก พวกเขาดูเหมือนจะขยันหมั่นเพียร มีมโนธรรม และไม่ว่างเว้น แต่ปัญหากลับเกิดขึ้นในงานไม่หยุดหย่อน และพวกเขาก็ได้แต่วิ่งตามแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ยุ่งอยู่กับการแก้ไข “ปัญหาที่ซับซ้อนและยากเย็น” นานัปการ และจัดการกับคนชั่วและผู้คนที่ก่อกวนและขัดขวางทุกประเภทที่ปรากฏตัวในคริสตจักร  พวกเขาวุ่นวายอยู่กับงานเช่นนี้ แต่กลับไม่สามารถแยกแยะแม้กระทั่งปัญหาพื้นฐานที่สุดได้  พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าความเป็นมนุษย์ที่ดีคืออะไรและความเป็นมนุษย์ที่เลวคืออะไร ขีดความสามารถที่ดีคืออะไรและขีดความสามารถที่ต่ำคืออะไร การมีความสามารถและความรู้ที่แท้จริงคืออะไรและการมีพรสวรรค์คืออะไร  พวกเขายังมองไม่ทะลุอีกด้วยว่าพระนิเวศของพระเจ้าบ่มเพาะคนประเภทใดและกำจัดคนประเภทใดออกไป คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงคือใครและคนที่ไม่ใช่คือใคร คนที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มใจคือใครและคนที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนคือใคร คนที่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมเป็นประชากรของพระเจ้าได้คือใคร และคนลงแรงคือใคร และอื่นๆ  พวกเขาปฏิบัติต่อคนที่สามารถพูดจาโอ้อวดและพล่ามทฤษฎีที่ว่างเปล่าแต่ไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ ประหนึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับการบ่มเพาะ และพวกเขาจัดให้คนเหล่านั้นปฏิบัติและมอบหมายงานสำคัญให้แก่พวกเขา ในขณะที่พวกเขาชะลอการส่งเสริมและการบ่มเพาะคนที่มีความเข้าใจอันบริสุทธิ์ มีขีดความสามารถ และมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริง เพียงเพราะว่าคนเหล่านั้นเชื่อในพระเจ้ามาไม่นานนักหรือได้เผยอุปนิสัยที่โอหังออกมา  ปัญหาเช่นนี้มักเกิดขึ้นในคริสตจักรและนี่ส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าของงานคริสตจักร  นี่คือปัญหาที่แท้จริง แต่ผู้นำประเภทนี้กลับมองไม่เห็นหรือค้นพบปัญหาเหล่านั้นและกระทั่งไม่ตระหนักรู้ถึงปัญหาเหล่านั้นเลยโดยสิ้นเชิง  เมื่อคนชั่วก่อกวนและขัดขวาง พวกเขาก็ให้โอกาสคนเหล่านั้นได้อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์และทบทวนตนเอง ในขณะที่เมื่อคนอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่คนชั่ว ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เป็นครั้งคราวเพราะพวกเขายังเยาว์วัยและโง่เขลาและกระทำการโดยไม่มีหลักธรรม—ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ไม่ใช่ประเด็นทางหลักธรรม—ผู้นำประเภทนี้กลับปฏิบัติต่อความผิดพลาดเหล่านี้ประหนึ่งเป็นบาปที่ไม่อาจให้อภัยได้และส่งคนเหล่านี้กลับบ้าน  ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ยุ่งอยู่กับงานทุกวัน และเมื่อมองจากภายนอก พวกเขาดูเหมือนจะใช้ความพยายามอย่างมากและใช้เวลาไปมาก แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานอย่างไร ก็ไม่มีใครได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิตที่แท้จริงจากงานนั้น  ไม่ว่าประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจะมีปัญหาและความลำบากยากเย็นอะไร ผู้นำประเภทนี้ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้โดยการสามัคคีธรรมความจริง และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการตักเตือนพวกเขาด้วยหัวใจที่เปี่ยมรัก และประกาศคำพูดและคำสอนเพื่อหนุนใจประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  ดังนั้น ภายใต้การนำของผู้คนเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจึงไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิต พวกเขาเพียงแต่เชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยอาศัยความกระตือรือร้น และไม่บรรลุการเข้าสู่ชีวิต—พวกเขาจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้นานเท่าใด?  ผลก็คือ บางคนมักจะคิดลบและอ่อนแอและปรารถนาให้วันแห่งพระเจ้ามาถึงอยู่เสมอ และนิมิตก็ยิ่งไม่ชัดเจนต่อพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาก็เกิดมโนคติอันหลงผิดและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้า และบางคนถึงกับสงสัยในพระเจ้าและระแวดระวังพระองค์  ผู้นำเทียมเท็จเมื่อเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขได้โดยสิ้นเชิง และทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านั้น  พวกเขาไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าหรืออธิษฐานต่อพระเจ้าร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเพื่อแสวงหาความจริงและแก้ไขประเด็นปัญหา—พวกเขาไม่เคยปฏิบัติงานนี้เลย  ทุกๆ วัน พวกเขาเพียงแค่วุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปบางอย่างและเรื่องภายนอกบางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ชีวิตหรือความจริง  พวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขายุ่งอยู่กับการทำสิ่งต่างๆ นั่นก็หมายความว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนและลุล่วงความรับผิดชอบของตน และพวกเขาไม่มีทางเป็นผู้นำเทียมเท็จได้เลย  ในความเป็นจริง การที่พวกเขาวุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้พี่น้องชายหญิงก้าวหน้าในชีวิตเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่สามารถทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้  พวกเจ้าว่าขีดความสามารถของผู้นำประเภทนี้ไม่มีปัญหาหรอกหรือ?  พวกเขาไม่มีความเข้าใจถ่องแท้ในสิ่งใดเลย และพวกเขาคิดว่าตราบใดที่พวกเขายุ่งอยู่กับการทำงาน ปัญหาทั้งหมดก็จะหายไปเอง และได้รับการแก้ไขโดยอ้อม  ผู้คนเหล่านี้ช่างเลอะเลือนเสียจริงๆ มิใช่หรือ?  ขีดความสามารถของพวกเขาช่างต่ำเสียจริงๆ มิใช่หรือ?  พวกเขามองอะไรไม่ออกเลย พวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงใดๆ ได้ และนี่ทำให้พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จอย่างแท้จริง  นี่เป็นเรื่องที่แยกแยะได้ง่ายที่สุด

ผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จปรากฏอยู่ในคริสตจักรต่างๆ ทั่วทุกแห่งในเวลานี้  พวกเขาเพียงแค่อาศัยความกระตือรือร้นของตนในการทำงานและไม่มีความเข้าใจในความจริงเลยแม้แต่น้อย  พวกเขาไม่รู้ว่างานที่เป็นแก่นสารของผู้นำหรือคนทำงานคืออะไร และไม่สามารถสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาได้—พวกเขาเพียงแค่วุ่นวายอยู่กับงานธุรการทั่วไปบางอย่างอย่างไร้ทิศทางตลอดทั้งวัน  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคริสตจักรจำเป็นต้องซื้อของชิ้นหนึ่ง  นี่ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร เพียงแค่ต้องจัดให้ใครสักคนที่รอบรู้ในด้านที่เกี่ยวข้องไปซื้อมันมา  อย่างไรก็ดี ผู้นำเทียมเท็จคนหนึ่งกลัวว่าจะใช้เงินมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงจัดให้ใครบางคนไปดูของหลายๆ ที่เพื่อซื้ออันที่ถูกที่สุด  ผลก็คือพวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์ราคาถูกซึ่งใช้ได้ไม่กี่วันก็พัง และพวกเขาจำเป็นต้องไปซื้ออันใหม่  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ประหยัดเงิน แต่ในทางกลับกัน พวกเขากลับลงเอยด้วยการต้องจ่ายเงินมากขึ้น  การจัดการงานเช่นนี้มีหลักธรรมหรือไม่?  ไม่จำเป็นต้องซื้อยี่ห้อดังเมื่อซื้อของ แต่สิ่งที่เหมาะสมที่ควรทำก็คืออย่างน้อยที่สุดต้องซื้อของที่มีคุณภาพเหมาะสมและใช้งานได้  ผู้นำเทียมเท็จกังวลเกี่ยวกับงานธุรการทั่วไปอย่างมาก และนั่นก็ไม่มีอะไรผิด  อย่างไรก็ดี พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับงานที่เป็นแก่นสารของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างจริงจัง และนี่คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ เป็นการที่พวกเขาไม่ปฏิบัติงานที่เป็นแก่นสาร  งานต่างๆ เช่น งานข่าวประเสริฐ งานผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน งานวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ และงานปรับเปลี่ยนบุคลากรผู้นำและคนทำงาน ล้วนเป็นงานที่สำคัญยิ่ง แต่ผู้นำเทียมเท็จกลับไม่คิดว่างานเหล่านี้สำคัญ และพวกเขาก็ปล่อยปละละเลยและเพิกเฉยต่องานเหล่านั้น  พวกเขามีขีดความสามารถไม่เพียงพอและไม่รู้วิธีทำงาน แต่พวกเขาก็ไม่พยายามที่จะเรียนรู้เช่นกัน กลับคิดว่า “ก็ไม่เป็นไรตราบใดที่มีคนรับผิดชอบงานนี้อยู่แล้ว จะต้องมีฉันไปด้วยทำไมกัน? ฉันจัดการงานสำคัญๆ อยู่แล้ว เรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ฉันไม่จำเป็นต้องไปยุ่งด้วย พอฉันบอกหลักธรรมแก่พวกเขาแล้ว งานของฉันก็จบ”  เมื่อมองจากภายนอก ผู้นำเทียมเท็จดูเหมือนจะยุ่งมาก แต่เมื่อพวกเจ้าดูสิ่งที่พวกเขากำลังวุ่นอยู่ ไม่มีสักอย่างเดียวที่เป็นงานชิ้นสำคัญของคริสตจักร ไม่มีสักอย่างเดียวที่เป็นงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คน และไม่มีสักอย่างเดียวที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหา  สิ่งที่พวกเขาวุ่นวายอยู่นั้นไม่มีคุณค่าใดๆ เลย และผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ก็เพียงแค่วุ่นวายอย่างไร้ทิศทางเท่านั้น  พวกเขาไม่รู้ว่าผู้นำและคนทำงานควรทำงานอะไรเพื่อที่จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่อาศัยความกระตือรือร้นของตนในการวุ่นวายอยู่กับภารกิจบางอย่างที่พวกเขาชอบทำ  พวกเขาจะสอบถามอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องขี้ประติ๋วที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานคริสตจักร เช่น พี่น้องชายหญิงสวมเสื้อผ้าอะไร พวกเขามีทรงผมแบบไหน พวกเขาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร และพวกเขาพูดคุยและประพฤติตนอย่างไร  พวกเขาคิดว่านี่คือการที่พวกเขาเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย และการแก้ไขประเด็นปัญหาในชีวิตจริงของผู้คนเป็นสิ่งที่ผู้นำควรทำ เป็นสิ่งที่ความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรมี  แต่พวกเขากลับไม่ให้ความสำคัญกับงานที่เป็นแก่นสารอย่างจริงจัง เช่น งานข่าวประเสริฐ งานผลิตภาพยนตร์ งานบทเพลงนมัสการ งานข้อเขียน งานธุรการ งานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ งานจัดตั้งคริสตจักร งานส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คน และอื่นๆ  พวกเขาไม่มีส่วนร่วมในงานใดๆ เหล่านี้เลย และพวกเขาไม่ได้ติดตามงานนั้น ราวกับว่างานนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่แก้ไขปัญหามากมายที่สะสมอยู่ในคริสตจักร พวกเขาไม่ปลดผู้นำเทียมเท็จที่พวกเขาควรปลด พวกเขาไม่ควบคุมหรือจัดการคนชั่วที่ทำชั่วและอาละวาดทำสิ่งเลวร้าย และพวกเขาไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขประเด็นปัญหาของบางคนที่สุกเอาเผากิน ไม่ยับยั้งชั่งใจและไร้วินัย และถ่วงงานในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  นี่เป็นปัญหาอะไร?  พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาภาคปฏิบัติเหล่านี้—พวกเขาเป็นคนที่ทำงานที่เป็นแก่นสารหรือ?  ในใจของพวกเขา ภารกิจที่ไม่สำคัญและไม่เกี่ยวข้องที่พวกเขาปฏิบัตินั้นกลับรู้สึกว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ  พวกเขาวุ่นวายอยู่กับสิ่งไร้ค่าเหล่านั้นตลอดทั้งวัน โดยเชื่อว่าพวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตนและกำลังจงรักภักดี แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารแม้แต่ชิ้นเดียวที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้พวกเขา—ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่ผู้นำเทียมเท็จหรอกหรือ?  พวกเขาเทียบเท่ากับผู้อำนวยการสำนักงานแขวงในสังคม เป็นเพียงพวกแม่บ้านที่ชอบจุ้นจ้าน—แล้วพวกเขายังเป็นผู้นำและคนทำงานของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่อีกหรือ?  พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จอย่างแท้จริง  ด้วยเหตุผลใดผู้คนเหล่านี้จึงถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ?  (เพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไป พวกเขาไม่สามารถทำงานที่แท้จริงได้ และทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือการจัดการเรื่องขี้ประติ๋วบางอย่าง)  นี่คือเหตุผลที่เจาะจง  ขีดความสามารถของผู้คนเหล่านี้ต่ำเกินไป ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำเทศนากี่ครั้ง อ่านการจัดเตรียมงานกี่ครั้ง ปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระนิเวศของพระเจ้ากี่ปี หรือเป็นผู้นำกี่ปี พวกเขาก็ไม่เคยรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นถูกหรือผิด หรือว่าพวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบที่พวกเขาควรลุล่วงหรือไม่  นิยามของพวกเขาสำหรับป้ายและตำแหน่งของผู้นำและคนทำงานก็คือไม่เป็นไรตราบใดที่พวกเขายุ่งอยู่  เหมือนลาที่เดินลากโม่หิน พวกเขาลากไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขยับไม่ได้อีกต่อไป และพวกเขาถือว่านี่คือการลุล่วงความรับผิดชอบของตน  ไม่ว่าจะลากไปในทิศทางใด และไม่ว่าพลังงานที่พวกเขาใช้ในการลากจะถูกต้องหรือไม่ก็ตาม สำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขากำลังลุล่วงความรับผิดชอบของตน  มีประเด็นปัญหามากมายที่พวกเขาไม่สามารถมองทะลุได้ และพวกเขาไม่พยายามที่จะแก้ไขหรือรายงานปัญหาเหล่านั้นต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไข  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานกี่ปีหรือติดต่อกับผู้คนกี่ปี พวกเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการสำแดงของบุคคลหนึ่งเป็นการสำแดงของผู้เชื่อใหม่ที่มีรากฐานในความเชื่อที่ตื้นเขินและไม่เข้าใจความจริง หรือเป็นการสำแดงของผู้ไม่เชื่อ และพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาควรแยกแยะหรือระบุลักษณะพวกเขาอย่างไร  เมื่อมีคนสองคนซึ่งทั้งคู่อยู่ในสภาวะคิดลบ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าคนไหนที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะและคนไหนที่ไม่ควรค่า เมื่อคนสองคนค่อนข้างสุกเอาเผากินในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนไหนเป็นผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงและคนไหนเป็นคนลงแรง คนไหนที่สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงได้และคนไหนที่ไม่มีความเป็นจริงความจริง  พวกเขาไม่รู้ว่าคนไหนที่จะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์เมื่อพวกเขาได้เป็นผู้นำ แม้ว่าพวกเขาจะคบค้าสมาคมกับคนเหล่านี้มาหลายปีแล้วก็ตาม  ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานที่ไร้จุดหมายกี่ครั้ง หรือทำงานที่ไร้ประโยชน์กี่อย่าง หรือมีปัญหารอบตัวพวกเขากี่ปัญหา พวกเขาก็ไม่ตระหนักรู้ถึงมัน และพวกเขาไม่ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้คือประเด็นปัญหา  เนื่องจากผู้คนเช่นนี้มีขีดความสามารถต่ำ มีความคิดเลอะเลือน และไม่สามารถปฏิบัติงานได้ จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำหรือคนทำงาน  นอกเหนือจากการสามารถทำงานธุรการทั่วไปง่ายๆ บางอย่างได้แล้ว ผู้นำและคนทำงานเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับงานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักรได้เลย และพวกเขาก็มองไม่เห็นหรือแก้ไขปัญหาที่แท้จริงใดๆ ในงานไม่ได้  ผู้นำประเภทนี้ที่มีขีดความสามารถเช่นนี้จะควรค่าแก่การบ่มเพาะได้หรือ?  พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความสับสนหรือความลำบากยากเย็นคืออะไร และพวกเขายิ่งบกพร่องในการจัดการปัญหาเหล่านั้นตามหลักธรรม  ต่อให้ปัญหาที่เผชิญในงานคริสตจักรจะเป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก พวกเขาก็ยังไม่สามารถสรุปและจำแนกประเภทได้ และไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร—ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ไม่สามารถจัดการหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ที่มักเกิดขึ้นในคริสตจักรได้เลย  ประเด็นปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกเขาไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา หรือว่าพวกเขากลัวที่จะยุ่งและรู้สึกเหนื่อย แต่เป็นเพราะพวกเขามีขีดความสามารถต่ำ มีจิตใจที่ไม่กระจ่าง และพวกเขาไม่สามารถทำงานที่สำคัญและงานที่เป็นแก่นสารของคริสตจักรได้  แต่พวกเขากลับทำแต่งานธุรการทั่วไปบางอย่างหรือชอบที่จะสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องบางอย่าง แล้วพวกเขาก็ต้องการที่จะสวมบทบาทของผู้นำและคนทำงาน—พวกเขาไม่ใช่คนที่เลอะเลือนที่มีความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีที่ใหญ่เกินไปหรอกหรือ?  ผู้นำที่มีขีดความสามารถต่ำไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นกลางของคริสตจักรได้เลย ซึ่งเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมความจริง หรืองานวิชาชีพที่ซับซ้อน เช่น งานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ งานให้น้ำผู้เชื่อใหม่ในคริสตจักร งานผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน และงานบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับผู้นำและคนทำงานในระดับต่างๆ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถทำงานนี้ได้?  เป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปและพวกเขาไม่สามารถจับหลักธรรมได้ พวกเขาบกพร่องในงานทั้งหมดนี้และไม่สามารถเรียนรู้วิธีทำงานนั้นได้  ตัวอย่างเช่น สมมติว่าผู้นำเช่นนี้ได้รับมอบหมายให้ดูแลคนห้าคนและถูกขอให้จัดสรรงานให้แก่คนห้าคนนี้โดยพิจารณาจากระดับการศึกษา ขีดความสามารถและจุดแข็ง และลักษณะนิสัยของพวกเขา  นี่เป็นภารกิจที่ทำได้ง่ายหรือไม่?  สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับขีดความสามารถของผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  (ใช่)  ผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถปานกลางจะจัดสรรงานได้ค่อนข้างแม่นยำหลังจากใช้เวลาสังเกตการณ์ คบค้าสมาคม และทำความรู้จักกับคนทั้งห้าคน  ผู้นำและคนทำงานที่มีขีดความสามารถต่ำจะคิดว่าคนห้าคนนั้นมากเกินไป เมื่อมีคนมากเกินไป พวกเขาก็จะสับสนและไม่รู้วิธีจัดสรรงานให้แก่พวกเขา และแม้ว่าพวกเขาจะจัดสรรงานให้ พวกเขาก็จะไม่รู้ในใจว่าพวกเขากำลังทำอย่างเหมาะสมหรือไม่  นี่คือในแง่ของบุคลากร  เมื่อเป็นเรื่องของการจัดการเรื่องต่างๆ ตัวอย่างเช่น หากพวกเขาจำเป็นต้องจัดการและแก้ไขเรื่องสองหรือสามเรื่องพร้อมกัน พวกเขาก็จะไม่รู้วิธีตัดสินและแยกแยะความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องเหล่านี้ และไม่สามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าปัญหาใดที่พวกเขาควรแก้ไขก่อน และปัญหาใดที่สามารถแก้ไขทีหลังได้โดยไม่เกิดความล่าช้า  กล่าวคือ พวกเขาไม่รู้วิธีชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย พวกเขาไม่รู้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน และพวกเขาไม่รู้วิธีแก้ปัญหา  อย่างไรก็ดี เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้นำและคนทำงาน ไม่เข้าใจก็ต้องแสร้งทำเป็นเข้าใจ ไม่รู้ก็ต้องแสร้งทำเป็นรู้ และไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้นอกจากทนทำต่อไปและเทศนาคำสอนบางอย่างเพื่อถูไถไป และพูดคำที่ไพเราะสองสามคำและรีบสรุปเรื่องต่างๆ  พวกเขารู้ชัดเจนดีว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นแม่นยำหรือไม่ เป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาได้หรือไม่ แต่พวกเขาก็แค่ต้องการถูไถไป  พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาจะไม่สามารถแก้ไขประเด็นปัญหาด้วยสิ่งที่พวกเขากำลังทำได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่รายงานปัญหาต่อเบื้องบน และดังนั้นพวกเขาก็ลงเอยด้วยการทำให้งานล่าช้าและถูกปลด  พวกเจ้าว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่หรอกหรือ?  เมื่อผู้นำและคนทำงานบางคนรายงานปัญหา พวกเขาจะเล่าเรื่องเก่าเก็บที่ไม่สำคัญทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน และหลังจากที่พวกเขาพูดอะไรมากมายแล้ว พวกเจ้าก็ยังต้องช่วยพวกเขาวิเคราะห์และตัดสินว่ามีปัญหาอะไรอยู่  พวกเขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าจะหยิบยกประเด็นปัญหาขึ้นมาอย่างไร และพวกเขาสามารถพูดได้เป็นชั่วโมงโดยไม่อธิบายให้ชัดเจนว่าจุดสนใจและแก่นแท้ของประเด็นปัญหาคืออะไร  ทุกสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องผิวเผินและเป็นเพียงเรื่องไร้สาระมากมาย!  นี่ไม่ใช่กรณีที่ขีดความสามารถของพวกเขาต่ำเกินไปและพวกเขาเป็นคนสมองไม่เต็มเต็งหรอกหรือ?  คนที่มีขีดความสามารถจะเต็มใจฟังเรื่องเหล่านี้หรือไม่?  คนที่พวกเขากำลังพูดด้วยเพียงแค่ต้องการรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันและการสำแดงของคนที่พวกเขากำลังรายงานนั้นเป็นอย่างไร และพวกเขาสับสนและไม่สามารถแก้ไขสภาวะใดได้  แต่คนเหล่านี้กลับพูดถึงแต่งานที่คนคนนั้นเคยทำในอดีต และพวกเขาไม่ได้พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของคนคนนั้น หรือบอกว่าความสับสนและปัญหาที่พวกเขาเองมีคืออะไร  พวกเขาพูดอะไรมากมาย และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกันแน่  แม้ว่าพวกเขาจะต้องการถามคำถาม พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน พวกเขาไม่รู้วิธีแสดงออกในลักษณะที่สามารถมีประสิทธิภาพและทำให้ผู้คนเข้าใจพวกเขาได้—พวกเขาไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการเรียบเรียงภาษา  นี่ไม่ใช่การสำแดงของการมีขีดความสามารถที่ต่ำอย่างยิ่งหรอกหรือ?  ผู้นำเทียมเท็จบางคนมีขีดความสามารถต่ำ และเมื่อพวกเขารายงานประเด็นปัญหา พวกเขาก็พูดเรื่องไร้สาระและไม่สามารถเข้าใจได้มากมาย แล้วพวกเขาก็คิดว่า “ฉันให้ข้อมูลแก่พวกคุณในปริมาณที่มากพอแล้วใช่ไหม?  ฉันยังบอกพวกคุณทุกอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันเกี่ยวกับประเด็นปัญหานี้แล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกคุณบอกไม่ได้หรือว่าคำถามที่ฉันต้องการถามคืออะไร?”  ไม่ว่าพวกเจ้าจะถามอะไรพวกเขาหรือชี้นำพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรและไม่สามารถพูดถึงประเด็นสำคัญของเรื่องได้เลย  ไม่ใช่ว่าพวกเขาขาดคำที่จะแสดงออกหรือว่าพวกเขามีระดับการศึกษาต่ำ แต่เป็นเพราะขีดความสามารถของพวกเขาต่ำและพวกเขาไม่มีสมอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้วิธีแสดงออกถึงสิ่งเหล่านี้ จิตใจของพวกเขาสับสน และพวกเขาไม่สามารถอธิบายตนเองให้ชัดเจนเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจได้  พวกเขามีใจแบกรับภาระอยู่บ้าง และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มตระหนักถึงประเด็นปัญหาบางอย่าง แต่พวกเขาไม่รู้วิธีแสดงออกถึงมัน พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าแก่นแท้ของประเด็นปัญหาคืออะไร และยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่สามารถสรุปประเด็นปัญหาได้  คนที่ขีดความสามารถต่ำขนาดนี้จะทำงานได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  ไม่ได้ พวกเขาทำไม่ได้  แม้ว่าพวกเจ้าจะให้เวลาและโอกาสแก่พวกเขาและอนุญาตให้พวกเขารายงานและอธิบายปัญหา พวกเขาก็ทำไม่ได้ แล้วพวกเจ้าจะยังสามารถสนทนากับคนเช่นนี้ได้อีกหรือ?  พวกเขายังสามารถถูกใช้งานได้อีกหรือไม่?  (ไม่ได้)  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถถูกใช้งานได้?  พวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะพูดให้ชัดเจน และพวกเขาไม่มีแม้กระทั่งสัญชาตญาณพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ในการใช้ภาษาเพื่อแสดงความคิด แนวคิด และท่าทีของตน แล้วพวกเขาจะทำงานอะไรได้?  แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีจุดแข็งอยู่บ้าง มีความกระตือรือร้นที่แท้จริง มีความรับผิดชอบอยู่บ้าง และมีหัวใจที่เที่ยงตรง แต่ขีดความสามารถของพวกเขาก็ต่ำเกินไป พวกเขาไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ไม่ว่าพวกเจ้าจะสอนพวกเขาอย่างไร และแม้ว่าพวกเจ้าจะสอนวิธีพูดแก่พวกเขา พวกเขาก็จะไม่สามารถจับเคล็ดได้ และดังนั้นพวกเจ้าก็จะหงุดหงิดและโกรธ  เมื่อพวกเขาพูด พวกเขาก็พูดจาวกวนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้พวกเจ้าสับสน พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรให้ชัดเจนได้ และสิ่งที่พวกเขาพูดก็เป็นเพียงเรื่องไร้สาระมากมาย  สิ่งที่น่าสมเพชที่สุดเกี่ยวกับพวกเขาก็คือพวกเขาไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่พวกเขาก็ยังคงหลับหูหลับตาทำไปเรื่อย พวกเขายังคงคิดว่าตนเองมีความสามารถ และพวกเขาก็แข็งขืนเมื่อพวกเจ้าตัดแต่งพวกเขา  พวกเขาจะทำงานนำได้ดีได้อย่างไร?  เมื่อขีดความสามารถของผู้นำหรือคนทำงานต่ำมากจนพวกเขาไม่มีความสามารถในการแสดงออกทางภาษา พวกเขายังสามารถมีความสามารถในงานได้อีกหรือ?  (ไม่ได้)  และการไม่มีความสามารถในงานของพวกเขานั้นหมายถึงอะไร?  หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถค้นพบความลำบากยากเย็นและปัญหาที่เผชิญในงานได้อย่างทันท่วงที และแน่นอนว่ามันหมายความว่าไม่ว่าประเด็นปัญหาใดจะเกิดขึ้นในงาน พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที และไม่สามารถรายงานต่อเบื้องบนและแสวงหาทางแก้ไขจากเบื้องบนได้อย่างทันท่วงที—นี่เป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับพวกเขา และพวกเขาไม่สามารถทำได้  เมื่อเป็นเรื่องของผู้คนเช่นนี้ที่มีขีดความสามารถต่ำ งานนี้จึงยากอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา มันเหมือนกับการเข็นครกขึ้นภูเขา—การทำงานนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากสำหรับพวกเขา

บางคนกล่าวว่า “ข้าพระองค์รู้สึกแย่กับคนเหล่านั้น พวกเขาวิ่งวุ่นจัดการภารกิจต่างๆ มากมาย และพวกเขาก็ลงเอยด้วยการถูกระบุลักษณะว่าเป็นผู้นำเทียมเท็จเพราะขีดความสามารถที่ต่ำของพวกเขา แล้วนั่นหมายความว่าความทุกข์ที่พวกเขาสู้ทนมานั้นสูญเปล่าทั้งหมดหรือ?  นั่นไม่ใช่การปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมหรอกหรือ?”  การปลดผู้นำเทียมเท็จหมายถึงการรับผิดชอบต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและต่องานของคริสตจักร แล้วจะเป็นการปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมได้อย่างไร?  หากพวกเจ้ายืนกรานที่จะให้ผู้นำเทียมเท็จทำหน้าที่ผู้นำต่อไป นั่นไม่ใช่การทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรอกหรือ?  พวกเจ้าจะบอกว่าการทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไม่ใช่การปฏิบัติต่อผู้คนอย่างไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?  โดยการปลดผู้นำเทียมเท็จ พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้กำลังกล่าวโทษผู้นำเทียมเท็จนั้น และไม่ได้กำลังส่งผู้นำเทียมเท็จนั้นลงนรก แต่กลับเป็นการให้โอกาสคนคนนั้นได้บรรลุความรอด  พวกเขาจะสามารถบรรลุความรอดได้หรือไม่หากพวกเขายังคงเป็นผู้นำเทียมเท็จต่อไป?  จุดจบสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่พิจารณาประเด็นปัญหาในลักษณะนี้?  ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์ของการเชื่อในพระเจ้าคืออะไร?  การเป็นผู้นำใช่หนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าเสียเมื่อไหร่?  หากไม่ได้เป็นผู้นำแล้วจะไม่มีหน้าที่อื่นให้ทำเลยหรือ?  สำหรับคนที่ไม่ใช่ผู้นำและมีขีดความสามารถต่ำแล้วจะไม่มีหนทางรอดเลยหรือ?  (ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น)  ถ้าเช่นนั้น เส้นทางแห่งการปฏิบัติคืออะไร?  สิ่งที่เรากำลังชำแหละอยู่ในขณะนี้คือการสำแดงและปัญหาที่มีอยู่ในผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ที่มีขีดความสามารถต่ำ เราไม่ได้กำลังกล่าวโทษหรือสาปแช่งพวกเขา เราเพียงแค่กำลังชำแหละพวกเขา  จุดประสงค์ของการชำแหละพวกเขาก็เพื่อให้คนประเภทนี้รู้จักและกำหนดทิศทางของตนเองได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้รู้จักประมาณตน และเพื่อให้เข้าใจอย่างแม่นยำว่าผู้นำและคนทำงานคืออะไร ผู้นำและคนทำงานควรทำงานอะไร แล้วเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับตนเองเพื่อดูว่าพวกเขาเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่  หากขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำมากจริงๆ ต่ำมากจนพวกเจ้าไม่มีความสามารถในการแสดงออกทางภาษา หรือความสามารถในการแสดงความคิดและมุมมองของพวกเจ้า หรือความสามารถในการค้นพบปัญหา เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเจ้าไม่มีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำหรือคนทำงาน และพวกเจ้าไม่สามารถทำงานของผู้นำหรือคนทำงานได้  และเนื่องจากพวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ พวกเจ้าจึงต้องมีความตระหนักรู้ในตนเองเช่นนี้  บางคนกล่าวว่า “ขีดความสามารถของฉันต่ำ—แล้วไงล่ะ?  ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ดังนั้นฉันควรจะเป็นผู้นำ”  นี่คือหลักธรรมหรือ?  คนอื่นๆ กล่าวว่า “นอกเหนือจากการมีความเป็นมนุษย์ที่ดีแล้ว ฉันยังเต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์และจ่ายราคา ฉันสามารถเทศนาได้ ฉันมีรากฐานในความเชื่อของฉัน และฉันเคยถูกจำคุกเพราะความเชื่อในพระเจ้าของฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่นับเป็นต้นทุนสำหรับฉันที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือ?”  การที่คนคนหนึ่งต้องมีต้นทุนเพื่อที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานนั้นเป็นความจริงหรือ?  (ไม่ใช่)  สิ่งที่เรากำลังสนทนากันอยู่ตอนนี้คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และภายในหัวข้อนี้ เรากำลังพูดถึงประเด็นปัญหาเรื่องขีดความสามารถ  หากขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำและพวกเจ้าไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วความตระหนักรู้ในตนเองที่พวกเจ้าควรมีก็คือ “ฉันไม่มีขีดความสามารถนี้และฉันไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ ไม่ว่าฉันจะมีต้นทุนอะไร มันก็ไม่มีประโยชน์”  พวกเจ้าบอกว่าพวกเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดี พวกเจ้าเชื่อถือได้ พวกเจ้ามีความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์ และพวกเจ้าเต็มใจที่จะจ่ายราคา—แล้วพระนิเวศของพระเจ้าปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าใช้ผู้คนโดยให้ทุกคนได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ จัดสรรบทบาทให้เหมาะกับแต่ละคน และทำอย่างพอเหมาะพอดี  หากพวกเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดีแต่ขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดีด้วยสิ้นสุดใจและสิ้นสุดกำลังของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าจะต้องเป็นผู้นำหรือคนทำงานจึงจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า  ต่อให้พวกเจ้าจะเต็มใจที่จะแบกภาระ แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถแบกภาระในลักษณะที่ผู้นำต้องทำได้ และพวกเจ้าไม่มีขีดความสามารถที่พวกเจ้าควรมีเพื่อที่จะเป็นผู้นำ และพวกเจ้าก็บกพร่องในเรื่องนั้น แล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้?  อย่าบังคับตนเองหรือทำให้ตนเองลำบาก หากพวกเจ้าสามารถแบกได้ 25 กิโลกรัม ก็จงแบก 25 กิโลกรัม  อย่าพยายามอวดเก่งโดยการผลักดันตนเองเกินขีดจำกัด โดยกล่าวว่า “25 กิโลกรัมไม่พอ ฉันต้องการแบกมากกว่านี้ ฉันต้องการแบก 50 กิโลกรัม ฉันเต็มใจที่จะทำแม้ว่าฉันจะตายเพราะความเหนื่อยล้า!”  พวกเจ้าไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้ แต่หากพวกเจ้ายังคงผลักดันตนเองเกินขีดจำกัดเพื่ออวดเก่ง แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่เหนื่อยล้า แต่พวกเจ้าจะทำให้งานคริสตจักรล่าช้า พวกเจ้าจะส่งผลกระทบต่อความก้าวหน้าและประสิทธิภาพของงาน และพวกเจ้าจะทำให้ความก้าวหน้าในชีวิตของผู้คนมากมายล่าช้า—นี่เป็นความรับผิดชอบที่พวกเจ้าไม่อาจแบกรับได้  เนื่องจากพวกเจ้ามีขีดความสามารถไม่เพียงพอ หากพวกเจ้ามีความตระหนักรู้ในตนเอง พวกเจ้าควรเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาเองที่จะลาออกและเสนอชื่อใครบางคนที่มีขีดความสามารถดี ที่รักความจริง และที่มีความรับผิดชอบมากกว่าพวกเจ้าเพื่อที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน  นี่จะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่ควรทำ และโดยการทำเช่นนั้นเท่านั้นพวกเจ้าจึงจะเป็นคนที่มีความเป็นมนุษย์และสำนึกอย่างแท้จริง และเป็นคนที่เข้าใจและปฏิบัติความจริงอย่างแท้จริง  หากพวกเจ้าลาออกจากตำแหน่งเพราะพวกเจ้าไม่สามารถทำงานเป็นผู้นำได้ และพวกเจ้าก็เลือกหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเจ้าและถวายความจงรักภักดีของพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็เป็นคนที่ฉลาดเป็นพิเศษ  พวกเจ้าคิดอยู่เสมอว่า “แม้ว่าฉันจะมีขีดความสามารถต่ำ แต่ฉันมีความเป็นมนุษย์ที่ดี ฉันเต็มใจที่จะแบกภาระ สู้ทนความทุกข์ และจ่ายราคา ฉันมีความตั้งใจ ฉันมีความทรหดอดทนมากกว่าพวกเจ้าทุกคนในทุกสิ่งที่ฉันทำ และฉันใจกว้างและไม่กลัวที่จะถูกตัดแต่งหรือถูกทดสอบ แม้ว่าขีดความสามารถของฉันจะต่ำไปหน่อย ฉันก็ยังสามารถเป็นผู้นำได้”  การมีขีดความสามารถต่ำไม่ใช่ปัญหา  นี่ไม่ได้หมายถึงการกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เป็นเพียงการจำแนกประเภทของพวกเจ้าและเพื่อให้พวกเจ้าเข้าใจอย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรได้และพวกเจ้าเหมาะสมกับหน้าที่ประเภทใด  อย่างไรก็ดี ประเด็นปัญหาในปัจจุบันก็คือขีดความสามารถของพวกเจ้าต่ำและพวกเจ้าไม่สามารถเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้  แม้ว่าพวกเจ้าจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน พวกเจ้าก็ไม่สามารถทำงานนี้ได้ดี และทั้งหมดที่พวกเจ้าสามารถทำได้ก็คือการทำให้งานยุ่งเหยิง  หากพวกเจ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ดี หากพวกเจ้ามีมโนธรรมและสำนึก และพวกเจ้าเต็มใจที่จะแบกภาระและจ่ายราคา เช่นนั้นแล้วก็จะมีงานที่พวกเจ้าเหมาะสมที่จะทำและหน้าที่ที่พวกเจ้าควรทำ และพระนิเวศของพระเจ้าจะทำการจัดเตรียมที่สมเหตุสมผลสำหรับพวกเจ้า  การไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเป็นผู้นำนั้นเป็นไปตามข้อบังคับและหลักธรรมของพระนิเวศของพระเจ้า  อย่างไรก็ดี พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ปฏิเสธสิทธิ์ของพวกเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่หรือสิทธิ์ของพวกเจ้าในการเชื่อและติดตามพระเจ้าเพียงเพราะพวกเจ้ามีขีดความสามารถต่ำอย่างเด็ดขาด  นี่เหมาะสมหรือไม่?  (ใช่ เหมาะสม)  จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องสามัคคีธรรมในเรื่องนี้อย่างละเอียดมากขึ้น?  บางคนที่มีขีดความสามารถต่ำได้ยินเช่นนี้และใคร่ครวญว่า “อย่าสามัคคีธรรมในเรื่องนี้อีกเลย ข้าพระองค์รู้สึกละอายเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้ ข้าพระองค์รู้ว่าข้าพระองค์มีขีดความสามารถต่ำ และข้าพระองค์จะไม่เป็นผู้นำคริสตจักรหรือคนทำงานอีกต่อไป ข้าพระองค์จะเป็นเพียงหัวหน้าทีมหรือผู้ดูแล หรือไม่เช่นนั้นข้าพระองค์ก็จะทำงานจิปาถะ ทำอาหาร หรือทำความสะอาด อะไรก็ได้ทั้งนั้น ข้าพระองค์จะแบกรับความยากลำบากในตำแหน่งของข้าพระองค์โดยไม่บ่น ยอมจำนนต่อการจัดเตรียมของพระนิเวศของพระเจ้า และยอมจำนนต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า การที่ข้าพระองค์มีขีดความสามารถต่ำนั้นเป็นโดยพระคุณของพระเจ้า และมีเจตนารมณ์อันดีงามของพระเจ้าอยู่ในนั้น ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง”  หากพวกเจ้าสามารถมองสิ่งต่างๆ ในลักษณะนี้ได้ นั่นก็ดี และหมายความว่าพวกเจ้ามีความตระหนักรู้ในตนเองอยู่บ้าง  เราจะไม่สามัคคีธรรมในประเด็นปัญหานี้อย่างยืดยาว  โดยสรุป ในแง่ของผู้คนเหล่านี้ที่มีขีดความสามารถต่ำ เราเพียงแค่กำลังชำแหละปัญหาและเปิดโปงความจริงของข้อเท็จจริงเพื่อที่ผู้คนจำนวนมากขึ้นจะมีท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับคนเหล่านี้ และเพื่อที่คนเหล่านี้จะมีท่าทีและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นปัญหาเรื่องขีดความสามารถที่ต่ำของตนเอง และจากนั้นจะสามารถกำหนดทิศทางของตนเองได้อย่างแม่นยำ ค้นหาตำแหน่งและหน้าที่ที่เหมาะสมกับพวกเขา เพื่อให้ความพากเพียรในการจ่ายราคาและความตั้งใจที่จะสู้ทนความทุกข์ของพวกเขาได้รับการนำไปใช้อย่างสมเหตุสมผลและเกิดประโยชน์สูงสุด  สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการที่พวกเจ้าเข้าใจความจริงและปฏิบัติความจริง และไม่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพวกเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า

III. ผู้นำเทียมเท็จที่เกียจคร้านและหมกมุ่นอยู่กับความสะดวกสบาย

พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมเกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จไปสองประเภท  ยังมีผู้นำเทียมเท็จอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งพวกเราได้พูดคุยถึงบ่อยครั้งระหว่างการสามัคคีธรรมในหัวข้อ “หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน”  คนประเภทนี้มีขีดความสามารถอยู่บ้าง พวกเขาไม่ใช่คนโง่ ในการทำงานก็มีหนทางและวิธีการ ทั้งยังมีแผนการสำหรับแก้ไขปัญหา และเมื่อได้รับมอบหมายงานชิ้นหนึ่ง พวกเขาก็สามารถปฏิบัติให้ลุล่วงได้ใกล้เคียงกับมาตรฐานที่ตั้งไว้  พวกเขาสามารถค้นพบปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในงานและยังสามารถแก้ไขปัญหาบางอย่างได้ด้วย เมื่อพวกเขาได้ยินปัญหาที่บางคนรายงาน หรือสังเกตเห็นพฤติกรรม การสำแดง คำพูด และการกระทำของบางคน ในใจของพวกเขาก็มีปฏิกิริยา ทั้งยังมีความเห็นและท่าทีเป็นของตนเอง  แน่นอนว่า หากคนเหล่านี้ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีสำนึกในภาระหน้าที่ ปัญหาทั้งหมดนี้ย่อมสามารถได้รับการแก้ไข  อย่างไรก็ตาม ในงานซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของคนประเภทที่เรากำลังสามัคคีธรรมถึงในวันนี้ ปัญหากลับไม่ได้รับการแก้ไข  เพราะเหตุใดกัน?  นั่นก็เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสาร  พวกเขาละโมบความสะดวกสบายและเกลียดชังการทำงานหนัก ทำงานเพียงผิวเผินสุกเอาเผากิน ชอบอยู่เฉยๆ และสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง ชอบชี้นิ้วสั่งให้คนอื่นทำ และเพียงแค่ขยับปากให้คำแนะนำบางอย่างแล้วก็ถือว่างานของตนเสร็จสิ้น  พวกเขาไม่ได้ใส่ใจงานที่เป็นแก่นสารใดๆ ของคริสตจักรหรืองานสำคัญที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาเลย—พวกเขาไม่มีความรู้สึกเป็นภาระนี้ และแม้ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะเน้นย้ำเรื่องเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขาก็ยังคงไม่ใส่ใจ  ตัวอย่างเช่น พวกเขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสอบถามเกี่ยวกับงานผลิตภาพยนตร์หรืองานข้อเขียนของพระนิเวศของพระเจ้า และก็ไม่ต้องการที่จะตรวจสอบดูว่างานเหล่านี้คืบหน้าไปอย่างไรและได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง  พวกเขาเพียงแค่สอบถามโดยทางอ้อม และเมื่อรู้ว่าผู้คนกำลังยุ่งและทำงานนี้อยู่ พวกเขาก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไป  แม้ว่าพวกเขารู้อยู่แก่ใจว่ามีปัญหาอยู่ในงาน พวกเขาก็ยังคงไม่ต้องการที่จะสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และก็ไม่สอบถามหรือตรวจสอบดูว่าผู้คนกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไร  เหตุใดพวกเขาจึงไม่สอบถามหรือตรวจสอบเรื่องเหล่านี้?  พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ ก็จะมีปัญหามากมายรอให้พวกเขาแก้ไข และนั่นจะน่ากังวลใจเกินไป  ชีวิตจะเหนื่อยล้าเกินไปมากหากพวกเขาต้องคอยแก้ไขปัญหาอยู่เสมอ!  หากพวกเขากังวลมากเกินไป อาหารก็จะไม่อร่อยอีกต่อไป และพวกเขาก็จะนอนหลับไม่สนิท เนื้อหนังของพวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า และแล้วชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องทุกข์ทรมาน  นั่นคือเหตุผลที่เมื่อพวกเขาเห็นปัญหา พวกเขาจะหลบเลี่ยงและเพิกเฉยต่อมันหากทำได้  คนประเภทนี้มีปัญหาอะไร?  (พวกเขาเกียจคร้านเกินไป)  จงบอกเราที ผู้ใดมีปัญหาที่ร้ายแรง ผู้คนที่เกียจคร้านหรือผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อย?  (ผู้คนที่เกียจคร้าน)  เหตุใดผู้คนที่เกียจคร้านจึงมีปัญหาที่ร้ายแรง?  (ผู้คนที่มีขีดความสามารถอ่อนด้อยเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถสร้างประสิทธิผลได้บ้างเมื่อทำหน้าที่ที่อยู่ภายในความสามารถของตน  อย่างไรก็ดี ผู้คนที่เกียจคร้านไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ต่อให้พวกเขามีขีดความสามารถ ขีดความสามารถนั้นก็ไม่มีผล)  ผู้คนที่เกียจคร้านไม่สามารถทำอะไรได้  กล่าวโดยสรุปในสองคำแล้ว พวกเขาคือคนไร้ประโยชน์ เป็นความพิการในลำดับที่สอง  ไม่ว่าขีดความสามารถของผู้คนที่เกียจคร้านจะดีเพียงใด ก็เป็นเพียงแค่ผักชีโรยหน้า แม้ว่าพวกเขาจะมีขีดความสามารถที่ดี แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์  พวกเขาเกียจคร้านเกินไป—พวกเขารู้ว่าตนพึงทำสิ่งใด แต่พวกเขาก็ไม่ทำ และต่อให้พวกเขารู้ว่ามีบางสิ่งที่เป็นปัญหา พวกเขาก็ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข และแม้ว่าพวกเขารู้ว่าตนควรทุกข์ทนกับความยากลำบากอันใดเพื่อให้งานมีประสิทธิผล พวกเขาก็ไม่เต็มใจสู้ทนความยากลำบากอันมีค่าเหล่านี้  พวกเขาจึงไม่สามารถได้รับความจริงใดๆ และพวกเขาไม่สามารถทำงานจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะสู้ทนความยากลำบากที่ผู้คนพึงสู้ทน พวกเขารู้จักเพียงที่จะหมกมุ่นในความสะดวกสบาย สุขสำราญกับช่วงเวลาอันชื่นบานและการพักผ่อนหย่อนใจ และสุขสำราญกับชีวิตที่เป็นอิสระและผ่อนคลาย  พวกเขาไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ผู้คนที่สู้ทนความยากลำบากไม่ได้ย่อมไม่คู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่  บรรดาผู้ที่ปรารถนาที่จะมีชีวิตเยี่ยงกาฝากอยู่เสมอย่อมเป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก พวกเขาคือสัตว์เดรัจฉาน และคนเช่นนี้ไม่เหมาะแม้แต่จะทำงานใช้แรง  เนื่องจากพวกเขาสู้ทนความยากลำบากไม่ได้ แม้ในยามที่พวกเขาทำงานใช้แรง พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้ดี และหากพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับความจริง ก็ยิ่งไม่มีหวังในเรื่องนี้  คนที่ทนทุกข์ไม่ได้และไม่รักความจริงเป็นคนไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำงานใช้แรงด้วยซ้ำไป  พวกเขาคือสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย  คนเช่นนี้ต้องถูกกำจัดออกไป แบบนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า

บางคนรับผิดชอบงานไร่นาและขยันขันแข็งเป็นพิเศษ  ในใจของพวกเขามีแผนการ และรู้ว่าต้องทำงานอะไรในแต่ละฤดู  เมื่อถึงเวลาไถพรวนดิน พวกเขาก็จะไปดูที่ดินแต่ละแปลง  พวกเขาเปรียบเทียบสิ่งที่วางแผนจะปลูกในแต่ละแปลงกับสภาพที่แท้จริงของแปลงนั้นๆ และดูว่าแผนของตนเหมาะสมหรือไม่และสอดคล้องกับสถานการณ์จริงหรือไม่  นอกจากนี้ พวกเขายังดูว่าปีนี้ดินเปียกหรือแห้งเพียงใด ต้องการปุ๋ยอะไร และเหมาะที่จะปลูกอะไร  เมื่อได้ดูและเข้าใจเรื่องเหล่านี้แล้ว พวกเขาก็จะรีบสอบถามทันทีว่ามีการเพาะกล้าไม้แล้วหรือไม่และเพาะไปจำนวนเท่าใด จากนั้นก็ไปที่เรือนกระจกเพื่อดูและตรวจสอบว่าคนที่เพาะกล้าไม้นั้นไว้ใจได้หรือไม่ หรือพวกเขาจะทำกล้าไม้เสียหายหรือไม่  หากคนเดียวไม่เพียงพอที่จะทำงานนี้ พวกเขาก็จะมอบหมายให้อีกคนหนึ่งร่วมมือด้วย และทั้งสองคนก็จะกำกับดูแลซึ่งกันและกัน  คนเกียจคร้านจะทำเช่นนี้หรือไม่?  ไม่ พวกเขาจะไม่ทำ  หากไม่มีใครกำกับดูแลและกระตุ้นพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ไปดูหน้างานด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด หากพระนิเวศของพระเจ้าไม่สอบถามความคืบหน้าของงานใดงานหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่ริเริ่มตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงของงานนั้นอย่างเด็ดขาด  สำหรับคนที่มีขีดความสามารถต่ำ ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร พวกเขาก็จะทำด้วยตนเองเสมอ แต่พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเร่งด่วนและสำคัญกว่าอะไร และพวกเขาเพียงแค่ทำไปอย่างมืดบอด  ในขณะที่คนขี้เกียจเหล่านี้ฉลาดพอ และไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร พวกเขาก็ชอบเพียงแค่ขยับปากและสั่งให้คนอื่นทำงาน พวกเขาไม่เคยทำอะไรด้วยตนเอง และก็ไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้  พวกเขาคิดว่า “ฉันเพียงแค่โทรศัพท์หรือส่งข้อความไปถามคำถามบางอย่าง แค่นี้งานของฉันก็เสร็จแล้ว ปัญหาก็ได้รับการแก้ไขแล้ว  นี่ช่วยให้ฉันไม่ต้องลำบากมาก!  ดูสิว่าขีดความสามารถของฉันในฐานะผู้นำเป็นอย่างไร  ฉันสามารถทำงานให้เสร็จได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ—นี่ก็เป็นการลุล่วงหน้าที่ของฉันมิใช่หรือ?  ฉันไม่ได้ละเลยหน้าที่ของฉัน  หากเบื้องบนถามฉันเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ฉันก็สามารถตอบได้อย่างคล่องแคล่วและอธิบายได้อย่างชัดเจน  การไปดูหน้างานจะมีประโยชน์อะไร?  ฉันจะต้องทนทุกข์กับความยากลำบาก และผิวของฉันก็จะคล้ำเพราะโดนแดด  ไม่จำเป็นต้องทำตามพิธีรีตองนั้น  ถ้าฉันสามารถหาทางเลี่ยงความลำบากได้ ฉันก็จะทำ  ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากขนาดนั้น”  พวกเขา “ฉลาด” พอไม่ใช่หรือ?  เมื่อคนประเภทนี้ทำงาน พวกเขาจะชำนาญเป็นพิเศษในการใช้เล่ห์เหลี่ยมและหาทางลัด และพวกเขาก็มีหนทางและวิธีการของตนเอง  พวกเขาไม่ทำอะไรด้วยตนเอง และก็ไม่เข้าร่วมในสิ่งใดเลย  พวกเขาเพียงแค่โทรศัพท์ไปถามคำถาม ทำไปตามขั้นตอน และทันทีที่วางสาย พวกเขาก็ไปนอนหรือไปนวดและเริ่มหมกมุ่นในเนื้อหนังของตน  คนประเภทนี้รู้วิธี “ทำงาน” จริงๆ พวกเขารู้วิธีหาโอกาสที่จะอยู่เฉยๆ จริงๆ และพวกเขาก็รู้วิธีทำไปตามขั้นตอนและหลอกลวงผู้คนจริงๆ!  การที่พวกเขามีขีดความสามารถเพียงเล็กน้อยนั้นจะมีประโยชน์อะไร?  พวกเขาก็เหมือนกับพวกเจ้าพนักงานในชาติของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่พอมาถึงที่ทำงานก็เอาแต่ดื่มชาอ่านหนังสือพิมพ์ และก่อนจะเลิกงานก็เริ่มคิดแล้วว่าจะกินอะไร จะไปหาความบันเทิงที่ไหน—ชีวิตช่างสุขสบายสำหรับพวกเขาจริงๆ  นี่คือหลักการที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ยึดถือในการทำงานของพวกเขาเช่นกัน พวกเขาไม่ทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ ไม่สู้ทนความเหนื่อยล้าใดๆ แต่ก็ยังคงทำตัวเป็นเจ้าพนักงานและสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง และพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถมองเห็นว่านี่เป็นปัญหา  นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้ทำงาน พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารใดๆ และพวกเขาไม่ได้ไปที่หน้างานเพื่อติดตามและตรวจสอบงาน แล้วพวกเขาจะสามารถค้นพบปัญหาในงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ผู้นำเทียมเท็จที่เสแสร้งฝ่ายวิญญาณและผู้นำเทียมเท็จที่มีขีดความสามารถต่ำนั้นมีตาหามีแววไม่ มองไม่เห็นปัญหา แล้วคนไร้ค่าประเภทนี้เล่าเป็นอย่างไร?  พวกเขากล่าวว่า “ฉันไม่ได้มีส่วนร่วมในงานที่เป็นแก่นสาร และฉันไม่ได้ไปที่หน้างานเพื่อคลุกคลีกับคนที่ทำงานที่นั่น ดังนั้นหากมีปัญหาเกิดขึ้น พวกเจ้าก็ไม่สามารถพูดได้ว่าฉันมีตาหามีแววไม่  ฉันไม่ได้อยู่ที่หน้างานและฉันไม่ได้เห็นปัญหา แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกับฉันหากมีปัญหาเกิดขึ้น?  เจ้าควรไปหาคนที่เกี่ยวข้อง”  คนพวกนี้เจ้าเล่ห์จริงๆ มิใช่หรือ?  พวกเขาคิดว่าทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือออกคำสั่งและจัดคนให้เหมาะสม แค่นั้นแหละ แล้วหน้าที่ของพวกเขาก็ลุล่วงแล้ว และพวกเขาก็สามารถสุขสำราญกับเวลาว่างและความบันเทิงของตนได้อย่างไร้ยางอาย  ไม่ว่าในระดับล่างจะมีปัญหาอะไร พวกเขาก็ไม่สอบถาม และพวกเขาจะรีบจัดการปัญหาก็ต่อเมื่อมีคนรายงานเรื่องนั้นไปยังเบื้องบนเท่านั้น  ทั้งหมดที่พวกเขาสนใจทุกวันคือการสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่ง เดินเตร่ไปทั่วทุกแห่ง ทำทีเป็นตรวจสอบงาน แต่จริงๆ แล้วพวกเขาไม่เคยไปยังที่ที่มีปัญหาจริงๆ และพวกเขาไม่เคยตรวจสอบงานที่สำคัญ—นี่ก็เหมือนกับเจ้าพนักงานพรรคคอมมิวนิสต์ที่ทำเพียงแค่ความพยายามผิวเผินและทำงานแค่เอาหน้ามิใช่หรือ?  พวกเขารับปากอย่างดีว่าจะทำงานที่ได้รับมอบหมาย แต่พวกเขาไม่ได้ติดตามหรือกำกับดูแล และแม้ว่าพวกเขาจะไปที่หน้างาน พวกเขาก็เพียงแค่ทำไปตามพิธีรีตอง  พวกเขาจะไม่ทำงานด้วยตนเองหรือแก้ไขปัญหาด้วยตนเองอย่างเด็ดขาด  พวกเขาคิดว่า “ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อทำสิ่งเหล่านี้  แค่มีคนอยู่ที่นั่นทำก็พอแล้ว  อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่ได้เงินอะไร ดังนั้นแค่ทำพอให้ผ่านไปก็พอแล้ว”  พวกเขาจะสามารถทำงานของตนได้ดีหรือไม่เมื่อพวกเขามีวิธีคิดเช่นนี้?  พวกเขามีแผนการเล็กๆ ในใจ คิดว่า “กินเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น ทำไปวันๆ ให้มันจบไป”  แต่พวกเขาไม่เคยทำงานที่เจาะจง และไม่เคยมีใครเห็นพวกเขาที่หน้างานเลย  แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหน?  พวกเขากำลังสุขสำราญอยู่ในสถานที่ที่สวยงามและปลอดภัยที่พวกเขาสามารถกินดี ดื่มดี และนอนหลับสบาย พวกเขาใช้ชีวิตราวกับเป็นเจ้าชาย—อาบน้ำเป็นประจำ นวดเป็นประจำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นประจำ—และพวกเขาไม่ได้ทนทุกข์กับความยากลำบากใดๆ เลย  พวกเขาไม่เคยทบทวนตนเองว่าพวกเขาสามารถทำงานที่เป็นแก่นสารอะไรได้บ้าง สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นแก่นสารอะไรได้บ้าง มีส่วนช่วยในงานของพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร และพวกเขามีคุณสมบัติอย่างไรที่จะสุขสำราญกับสิ่งดีๆ เหล่านี้ทั้งหมด—พวกเขาไม่เคยพิจารณาเรื่องใดๆ เหล่านี้เลย  คนเหล่านี้เป็นตัวอะไรกันแน่?  คนสารเลวเหล่านี้ไม่มีความตระหนักรู้ในตนเอง พวกเขาเป็นสิ่งที่ไร้ยางอาย และพวกเขาไม่สมควรที่จะเป็นผู้นำและคนทำงานของคริสตจักร

ผู้นำเทียมเท็จทุกคนไม่เคยทำงานจริง  พวกเขาทำเหมือนบทบาทผู้นำของตนคือตำแหน่งบางอย่างของรัฐ สุขสำราญกับผลประโยชน์ที่มากับสถานะ  และพวกเขาปฏิบัติต่อหน้าที่ที่พวกเขาพึงปฏิบัติและงานที่พวกเขาพึงทำในฐานะผู้นำเหมือนเป็นภาระ เหมือนเป็นสิ่งกวนใจ  ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยการไม่ยอมรับงานของคริสตจักร กล่าวคือ หากพวกเขาถูกขอให้กำกับดูแลงานและเรียนรู้ถึงปัญหาที่มีอยู่ในงาน ซึ่งจำเป็นต้องติดตามและแก้ไข พวกเขาก็จะเต็มไปด้วยความไม่สมัครใจ  นี่คืองานที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำ นี่คืองานของพวกเขา  หากเจ้าไม่ทำงานนั้น และเจ้าไม่เต็มใจทำงานนั้น เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงอยากเป็นผู้นำหรือคนทำงานอยู่อีก?  เจ้าทำหน้าที่ของตนเพื่อที่จะคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าหรือเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ?  หากเจ้ากลายมาเป็นผู้นำเพื่อที่ว่าเจ้าจะสามารถดำรงตำแหน่งบางอย่างของรัฐ นั่นไม่น่าละอายไปหน่อยหรือ?  ผู้คนลักษณะนี้มีบุคลิกที่ต่ำต้อยที่สุด ไม่มีเกียรติ และไม่มีความละอาย  หากเจ้าอยากสุขสำราญกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง เจ้าก็ควรรีบกลับไปหาโลก ต่อสู้ แก่งแย่งและฉกฉวยเท่าที่เจ้าสามารถทำได้  และจะไม่มีใครก้าวก่ายกับเรื่องนั้น  พระนิเวศของพระเจ้าคือสถานที่ให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทำหน้าที่ของตนและนมัสการพระองค์ เป็นสถานที่ให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด  นี่ไม่ใช่สถานที่ให้ใครก็ได้มาดื่มด่ำกับความสุขสบายทางเนื้อหนัง และยิ่งไม่ใช่สถานที่ที่จะปล่อยให้ผู้คนใช้ชีวิตเหมือนเจ้าชายได้  ผู้นำเทียมเท็จไม่รู้จักละอาย พวกเขาหน้าด้านจนไม่มียางอาย ทั้งยังไร้เหตุผล!  ไม่ว่าได้รับมอบหมายงานจำเพาะใดมา ก็ไม่เคยเอาใจใส่จริงจัง ปัดออกไปจากความคิดเสีย ปากรับคำอย่างดีแต่ไม่เคยลงมือทำอะไรให้เป็นรูปธรรม  นี่คือการขาดศีลธรรมมิใช่หรือ?  พวกเขาไม่เพียงไม่ทำงานที่แท้จริง แต่ยังอยากกุมอำนาจไว้แต่ผู้เดียว—กุมอำนาจเหนือการเงิน บุคลากร และเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดไว้ในกำมือของตนเอง แถมยังให้ผู้คนต้องมารายงานต่อพวกเขาทุกวัน  ในเรื่องพรรค์นี้พวกเขากลับขยันขันแข็งเสียเหลือเกิน!  พอถึงคราวต้องรายงานผลงานต่อเบื้องบน ก็อ้างเอาผลงานทั้งหมดที่พี่น้องชายหญิงทุ่มเททำมาว่าเป็นของตนเอง เพื่อให้เบื้องบนเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขาทำงานได้ยอดเยี่ยม ทั้งที่ความจริงแล้วงานเหล่านั้นทำไปโดยคนอื่นทั้งสิ้น!  ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนที่ได้มาจากการประกาศข่าวประเสริฐ ใครบ้างที่ได้รับการส่งเสริมและกำลังถูกบ่มเพาะ ใครถูกปลดจากตำแหน่ง ใครถูกเอาตัวออกไป และอื่นๆ—งานจำเพาะเหล่านี้ไม่มีสักงานที่พวกเขาเป็นคนทำ แต่กลับมีหน้ามารายงาน  คนพวกนี้ช่างหน้าด้านจนไม่มียางอายมิใช่หรือ?  พวกเขากำลังหลอกลวงมิใช่หรือ?  คนเช่นนี้หลอกลวงและเจ้าเล่ห์โดยแท้!  พวกเขาคิดว่าตนเองฉลาด—นี่แหละที่เขาว่าการฉลาดแกมโกงจะนำภัยมาสู่ตนเอง และสุดท้ายพวกเขาก็เผยตนเองออกมาและถูกกำจัดออกไป!  ไม่ว่าผู้คนบางคนจะทำงานอะไรหรือปฏิบัติหน้าที่อะไร พวกเขาก็ไร้ความสามารถในเรื่องนั้น พวกเขาไม่สามารถแบกรับ และไม่สามารถทำให้ภาระผูกพันหรือความรับผิดชอบใดๆ ที่บุคคลหนึ่งควรจะทำนั้นลุล่วง  พวกเขาไม่ใช่ขยะหรอกหรือ?  พวกเขายังคู่ควรที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์อยู่อีกหรือ?  ยกเว้นพวกคนเขลา ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา และผู้ที่ทุกข์ทนจากความบกพร่องทางร่างกายแล้ว คนที่ยังมีชีวิตนั้นมีผู้ใดบ้างที่ไม่ควรทำหน้าที่ของตนและทำให้ความรับผิดชอบของตนลุล่วง?  แต่คนแบบนี้ก็กลับกลอกและอู้งานอยู่เสมอ และไม่อยากลุล่วงความรับผิดชอบของตน ความหมายโดยนัยคือพวกเขาไม่อยากเป็นมนุษย์ที่ถูกควร  พระเจ้าประทานโอกาสในการเป็นมนุษย์แก่พวกเขา และพระองค์ก็ประทานขีดความสามารถและพรสวรรค์แก่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของตน  พวกเขาไม่ทำอะไร แต่ก็อยากดื่มด่ำอยู่ในความสุขสำราญทุกครั้งที่มีโอกาส  บุคคลเช่นนี้เหมาะที่จะได้ชื่อว่ามนุษย์กระนั้นหรือ?  ไม่ว่าจะให้งานอะไรแก่พวกเขา—จะเป็นงานสำคัญหรือธรรมดา ยากหรือเรียบง่าย—พวกเขาก็สุกเอาเผากิน กลับกลอก และย่อหย่อนอยู่เสมอ  เมื่อเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็พยายามผลักความรับผิดชอบในปัญหาเหล่านั้นไปให้ผู้อื่น ไม่ยอมรับผิดชอบอะไร และอยากใช้ชีวิตเยี่ยงกาฝากของตนไปเรื่อยๆ  พวกเขาคือขยะที่ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?  ในสังคม มีผู้ใดไม่ต้องพึ่งพาตนเองในการหาเลี้ยงชีพ?  เมื่อบุคคลผู้หนึ่งโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาต้องหาเลี้ยงตนเอง  บิดามารดาของพวกเขาได้ลุล่วงความรับผิดชอบของตนแล้ว  ต่อให้บิดามารดาของพวกเขาเต็มใจสนับสนุนพวกเขา พวกเขาก็จะไม่สบายใจในเรื่องนี้  พวกเขาควรที่จะสามารถตระหนักรู้ว่าพ่อแม่เสร็จสิ้นภารกิจเลี้ยงดูพวกเขาไปแล้ว และพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และควรที่จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นเอกเทศ  นี่คือเหตุผลขั้นต่ำสุดที่ผู้ใหญ่พึงมีมิใช่หรือ?  หากใครบางคนมีเหตุผลอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมไม่อาจเกาะกินบิดามารดาของตนต่อไปได้ พวกเขาจะกลัวเสียงหัวเราะของผู้อื่น กลัวที่จะเสียหน้า  แล้วคนที่รักความสบายและเกลียดงานการนั้นมีเหตุผลหรือไม่?  (ไม่มี)  พวกเขาต้องการบางสิ่งมาเปล่าๆ อยู่เสมอ ไม่เคยอยากลุล่วงความรับผิดชอบใด อยากให้ขนมหวานร่วงหล่นลงมาจากฟ้าและตกใส่ปากตัวเองเท่านั้น พวกเขาอยากได้อาหารครบหมู่สามมื้อต่อวันอยู่ตลอดเวลา อยากให้มีคนคอยบริการพวกเขา อยากชื่นชมอาหารและเครื่องดื่มโดยไม่ต้องทำงานแม้แต่น้อย  นี่คือวิธีคิดของกาฝากมิใช่หรือ?  แล้วผู้คนที่เป็นกาฝากมีมโนธรรมและเหตุผลหรือไม่?  พวกเขามีความซื่อตรงและศักดิ์ศรีหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี  พวกเขาล้วนเป็นคนไร้ประโยชน์ที่เอาแต่ได้ เป็นสัตว์ป่าที่ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล  ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเหมาะที่จะคงอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า

สมมุติว่าคริสตจักรจัดสรรงานหนึ่งให้แก่เจ้า และเจ้าบอกว่า “ไม่ว่างานนี้จะเปิดโอกาสให้ฉันได้รับความสนใจหรือไม่ก็ตาม—ในเมื่อมอบหมายให้ฉันทำแล้ว ฉันก็จะทำให้ดีและแบกรับความรับผิดชอบนี้  ถ้าจัดแจงให้ฉันเป็นเจ้าภาพรับรอง ฉันก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อทำงานนี้ให้ดี ฉันจะดูแลพี่น้องชายหญิงเป็นอย่างดี และทำอย่างดีที่สุดให้แน่ใจว่าทุกคนปลอดภัย  ถ้าจัดแจงให้ฉันประกาศข่าวประเสริฐ ฉันก็จะนำความจริงติดตัวไปประกาศข่าวประเสริฐให้ดีด้วยความรัก และลุล่วงหน้าที่ของฉัน  ถ้าจัดแจงให้ฉันเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ฉันก็จะร่ำเรียนอย่างสุดจิตสุดใจ ขยันหมั่นเพียร และพยายามที่จะแตกฉานในภาษานั้นๆ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายในเวลาหนึ่งหรือสองปี เพื่อให้ตัวเองสามารถเป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าแก่ชาวต่างชาติได้  ถ้าขอให้ฉันเขียนบทความคำพยาน ฉันก็จะตั้งใจฝึกฝนตนเองให้เขียนได้ มองสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมความจริง และเรียนรู้เรื่องภาษา  แม้จะไม่สามารถเขียนบทความเป็นความเรียงที่สละสลวย แต่อย่างน้อยฉันก็จะสามารถสื่อสารคำพยานจากประสบการณ์ของตนได้อย่างชัดเจน สามารถสามัคคีธรรมความจริงให้เป็นที่เข้าใจได้ และกล่าวคำพยานที่แท้จริงให้พระเจ้า ถึงขั้นที่ผู้คนได้รับความเจริญใจและได้ประโยชน์จากการอ่านบทความของฉัน  ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายงานอะไรให้ฉันก็ตาม ฉันก็จะทำงานนั้นด้วยหัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี  ถ้ามีบางสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจหรือมีปัญหาเกิดขึ้น ฉันจะอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาความจริง แก้ปัญหาตามหลักธรรมความจริง และทำงานนั้นให้ดี  ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะเป็นอะไรก็ตาม ฉันจะใช้ทุกสิ่งที่มีมาทำหน้าที่ให้ดีและทำให้พระเจ้าพอพระทัย  สิ่งใดก็ตามที่ฉันสัมฤทธิ์ได้ ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแบกรับความรับผิดชอบที่ฉันควรแบกรับ และอย่างน้อยฉันก็จะไม่สวนทางกับมโนธรรมและเหตุผลของตนเอง หรือทำตัวสุกเอาเผากิน กลับกลอกและอู้งาน หรือปล่อยตัวตามสบายไปกับผลงานจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่น  ฉันจะไม่ทำเรื่องที่ต่ำกว่ามาตรฐานทางมโนธรรม”  นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุดสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และคนที่ทำหน้าที่ของตนเช่นนี้ก็อาจมีคุณสมบัติของคนที่มีมโนธรรมและเหตุผลได้  อย่างน้อยเจ้าต้องชัดเจนในมโนธรรมเวลาทำหน้าที่ของเจ้า และอย่างน้อยเจ้าก็ต้องคู่ควรกับอาหารสามมื้อที่เจ้าได้รับในแต่ละวัน ไม่ใช่เอาแต่ได้  นี่เรียกว่าการมีสำนึกรับผิดชอบ  ไม่ว่าขีดความสามารถของเจ้าจะสูงหรือต่ำ และไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจความจริงหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ต้องมีท่าทีเช่นนี้คือ “ในเมื่อฉันได้รับมอบหมายให้ทำงานนี้ ฉันก็ต้องจริงจังกับงาน ฉันต้องให้ความสนใจ และต้องใช้หัวใจและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมาทำงานให้ดี  ส่วนจะทำได้ดีจริงหรือไม่นั้น ฉันไม่อาจหาญให้คำรับรอง แต่ท่าทีของฉันก็คือฉันจะปฏิบัติงานให้ดีอย่างสุดความสามารถ และแน่นอนว่าฉันจะไม่สุกเอาเผากินในเรื่องงาน  ถ้างานเกิดปัญหา เช่นนั้นฉันก็ควรรับผิดชอบ และดูให้แน่ใจว่าฉันได้ถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นและทำหน้าที่ของตนอย่างดี”  นี่คือท่าทีที่ถูกต้อง  พวกเจ้ามีท่าทีเช่นนี้กันหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีเสมอไป  ฉันจะทำเท่าที่ทำได้และผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน  ฉันไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้น หรือต้องทุกข์ทรมานกับความกังวลหากทำอะไรผิดพลาด และฉันไม่จำเป็นต้องรับความกดดันมากขนาดนั้น  การทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้นจะมีประโยชน์อะไร?  อย่างไรก็ตาม ฉันก็ทำงานอยู่เสมอและไม่ได้กินแรงใคร”  ทัศนคติเช่นนี้ต่อหน้าที่ของตนคือการไม่รับผิดชอบ  “ถ้าฉันอยากทำงาน ฉันก็จะทำบ้าง  ฉันจะทำเท่าที่ทำได้และผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน  ไม่จำเป็นต้องจริงจังกับมันขนาดนั้น”  คนเช่นนี้ไม่มีทัศนคติที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนและพวกเขาขาดสำนึกรับผิดชอบ  พวกเจ้าเป็นคนประเภทใด?  หากพวกเจ้าเป็นคนประเภทแรก พวกเจ้าก็เป็นคนที่มีสำนึกและมีความเป็นมนุษย์  หากพวกเจ้าเป็นคนประเภทที่สอง พวกเจ้าก็ไม่ต่างจากผู้นำเทียมเท็จประเภทที่เราเพิ่งชำแหละไป  พวกเจ้าเพียงแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า  “ฉันจะหลีกเลี่ยงความเหนื่อยล้าและความยากลำบากและสุขสำราญให้มากขึ้น  แม้ว่าวันหนึ่งฉันจะถูกปลด ฉันก็จะไม่สูญเสียอะไรเลย  อย่างน้อยฉันก็ได้สุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งมาสองสามวัน มันไม่ใช่การสูญเสียสำหรับฉัน  หากฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ ฉันก็จะทำตัวแบบนี้แหละ”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับวิธีคิดของคนประเภทนี้?  คนเช่นนี้เป็นผู้ไม่เชื่อที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงแม้แต่น้อย  หากเจ้ามีความรู้สึกรับผิดชอบอย่างแท้จริง นั่นก็แสดงว่าเจ้ามีมโนธรรมและสำนึก  ไม่ว่างานจะใหญ่หรือเล็กเพียงใด ไม่ว่าใครจะมอบหมายงานนั้นให้เจ้า ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้าจะไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า หรือผู้นำหรือคนทำงานของคริสตจักรมอบหมายให้เจ้า ทัศนคติของเจ้าควรเป็นดังนี้ “ในเมื่อหน้าที่นี้ได้ถูกมอบหมายให้แก่ฉันแล้ว นี่คือการยกชูและพระคุณของพระเจ้า  ฉันควรทำหน้าที่นี้ให้ดีตามหลักธรรมความจริง  แม้ว่าฉันจะมีขีดความสามารถปานกลาง แต่ฉันก็เต็มใจที่จะรับผิดชอบนี้และทุ่มเททั้งหมดที่มีเพื่อทำหน้าที่นี้ให้ดี  หากฉันทำงานได้ไม่ดี ฉันก็ควรรับผิดชอบ และหากฉันทำงานได้ดี นี่ก็ไม่ใช่ความดีความชอบของฉัน  นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำ”  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าวิธีที่คนเราปฏิบัติต่อหน้าที่ของตนเป็นเรื่องของหลักธรรม?  หากเจ้ามีความรู้สึกรับผิดชอบและเป็นคนที่รับผิดชอบอย่างแท้จริง เจ้าก็จะสามารถแบกรับงานของคริสตจักรและลุล่วงหน้าที่ที่เจ้าควรทำได้  หากเจ้ามองหน้าที่ของตนเป็นเรื่องเล็กน้อย ทัศนะของเจ้าเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าก็ไม่ถูกต้อง และทัศนคติของเจ้าต่อพระเจ้าและหน้าที่ของตนก็มีปัญหา  ทัศนะของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่คือการทำอย่างสุกเอาเผากินและเพียงแค่ทำไปวันๆ และไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าเต็มใจทำหรือไม่ เป็นสิ่งที่เจ้าถนัดหรือไม่ เจ้าก็มักจะเข้าหามันด้วยทัศนคติที่เพียงแค่ทำไปวันๆ ดังนั้นเจ้าจึงไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงาน และเจ้าไม่สมควรที่จะทำงานของคริสตจักร  ยิ่งไปกว่านั้น หากจะพูดอย่างไม่เกรงใจ คนอย่างเจ้าก็คือพวกไร้ประโยชน์ ถูกกำหนดให้ไม่ประสบความสำเร็จใดๆ และเป็นเพียงคนไร้ค่า  คนไร้ค่าเป็นคนประเภทใด?  คนเลอะเลือน คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่า  คนประเภทนี้ไม่รับผิดชอบในสิ่งที่พวกเขาทำ และก็ไม่จริงจังกับมัน พวกเขาทำทุกอย่างเละเทะ  พวกเขาไม่ใส่ใจคำพูดของเจ้าไม่ว่าเจ้าจะสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร  พวกเขาคิดว่า “ฉันจะใช้ชีวิตไปวันๆ แบบนี้ถ้าฉันต้องการ  จะพูดอะไรก็พูดไป!  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉันกำลังปฏิบัติหน้าที่และมีข้าวกิน นั่นก็ดีพอแล้ว  อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องเป็นขอทาน  ถ้าวันหนึ่งฉันไม่มีอะไรกิน ฉันค่อยคิดถึงมันตอนนั้น  สวรรค์ย่อมมีทางออกให้มนุษย์เสมอ  คุณบอกว่าฉันไม่มีมโนธรรมหรือสำนึก และฉันเป็นคนเลอะเลือน—แล้วอย่างไรเล่า?  ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย  อย่างมากที่สุด ฉันก็แค่ขาดคุณประโยชน์ไปหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่การสูญเสียสำหรับฉัน  ตราบใดที่ฉันมีข้าวกิน ก็ไม่เป็นไรแล้ว”  พวกเจ้าคิดอย่างไรกับมุมมองนี้?  เราขอบอกพวกเจ้าว่า คนเลอะเลือนเช่นนี้ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่าล้วนถูกกำหนดให้ถูกกำจัดออกไป และไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถได้รับความรอดได้  ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแต่ไม่เคยยอมรับความจริงใดๆ และไม่มีคำพยานจากประสบการณ์จะถูกกำจัดออกไป  จะไม่มีใครรอดชีวิตเลย  พวกขยะและพวกไร้ประโยชน์ล้วนเป็นพวกกินแรงคนอื่นและพวกเขาถูกกำหนดให้ถูกกำจัดออกไป  หากผู้นำและคนทำงานเป็นเพียงพวกกินแรงคนอื่น พวกเขาก็ยิ่งต้องถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  คนเลอะเลือนเช่นนี้ยังต้องการเป็นผู้นำและคนทำงานอีก พวกเขาไม่คู่ควร!  พวกเขาไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารใดๆ เลย แต่กลับต้องการเป็นผู้นำ  พวกเขาช่างไร้ยางอายจริงๆ

ผู้นำและคนทำงานบางคนหลังจากที่ถูกปลดจากตำแหน่งแล้วก็กล่าวว่า “การไม่ได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานนี่ดีจริงๆ  ฉันไม่ต้องกังวลหรือลำบากใจมากขนาดนั้น  การเป็นพี่น้องชายหญิงธรรมดานี่วิเศษมาก  ฉันจะไปหาเรื่องใส่ตัวกับเรื่องนั้นทำไม?  ฉันไม่ได้มีขีดความสามารถเพื่อที่จะมาทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าซะหน่อย”  คนอื่นพูดกับพวกเขาว่า “แล้วคุณจะทำอะไรต่อจากนี้ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นผู้นำหรือคนทำงานแล้ว?”  พวกเขาตอบว่า “ฉันทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่เหนื่อยเกินไปและไม่ต้องใช้ความพยายามมาก—อะไรที่แค่เดินไปเดินมาดูรอบๆ หรือนั่งคุยหรือดูคอมพิวเตอร์ และไม่ต้องใช้เวลานานมากหรือต้องทนทุกข์ทางกายก็ใช้ได้แล้ว”  นี่เป็นคำพูดประเภทใด?  หากพวกเจ้าค้นพบว่าผู้นำหรือคนทำงานที่พวกเจ้าเลือกมาเป็นตัวอะไรแบบนี้ พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไรในใจ?  พวกเจ้าจะไม่รู้สึกเสียใจมากหรือ?  (ใช่)  แล้วพวกเจ้าจะมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?  เจ้าจะกล่าวว่า “เดิมทีฉันเห็นว่าคุณมีขีดความสามารถอยู่บ้างและฉันต้องการที่จะส่งเสริมและบ่มเพาะคุณ และให้โอกาสคุณ เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจความจริงมากขึ้นอีกหน่อย  ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าคุณจะไร้ค่าสิ้นดี  ฉันเสียใจที่ตอนนั้นฉันถือว่าคุณเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าแท้จริงแล้วคุณไม่ใช่มนุษย์  คุณต่ำช้ายิ่งกว่าหมูหรือสุนัขเสียอีก คุณมันเป็นขยะ  คุณไม่สมควรที่จะนุ่งห่มหนังมนุษย์นี้ และคุณไม่คู่ควรที่จะเป็นมนุษย์!”  คำพูดเหล่านี้ฟังดูไม่น่าพอใจหรือไม่?  (ไม่)  สำหรับพวกเจ้าแล้วมันไม่ได้ฟังดูไม่น่าพอใจ แต่สำหรับขยะประเภทนี้แล้วมันฟังดูไม่น่าพอใจอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  (ใช่)  ขยะเช่นนี้มีหัวใจหรือไม่?  (ไม่มี)  แล้วพวกเขาจะบอกได้หรือไม่ว่าใครกำลังพูดดีหรือไม่ดีเกี่ยวกับพวกเขา?  เมื่อคนที่ไม่มีหัวใจเผชิญกับเรื่องใดๆ พวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้ค่าของตน  พวกเขาคิดว่าไม่เป็นไรตราบใดที่พวกเขาเองได้ประโยชน์และกำไรและรู้สึกสบาย  ดังนั้นไม่ว่าใครจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่สนใจ  คำพูดติดปากของพวกเขาคือ “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร ไม่ว่าเจ้าจะมองฉันหรือประเมินฉันอย่างไร หรือเจ้าจะจัดประเภทหรือจัดการฉันอย่างไร ฉันไม่สนใจ!”  คนเหล่านี้เป็นเพียงขยะมิใช่หรือ?  ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไร พวกเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ และพวกเขาไม่ได้ใส่ใจ  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ใส่ใจ?  พวกเขาเป็นเพียงพวกขี้เกียจสันหลังยาว และพวกเขาไม่มีหัวใจ  คนที่ไม่มีหัวใจย่อมไม่มีศักดิ์ศรีหรือความซื่อตรง พวกเขาไม่สนใจอะไรที่เจ้าพูด และไม่ว่าเจ้าจะพูดกับพวกเขาอย่างเข้มงวดเพียงใด ก็ไม่ระคายเคืองใจพวกเขาเลย  มีเพียงผู้ที่มีศักดิ์ศรี ความซื่อตรง และสำนึกเท่านั้นที่จะเจ็บปวดและรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขากำลังถูกทิ่มแทงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น  พวกเขาจะกล่าวว่า “นั่นเป็นวิธีการประพฤติตนที่ต่ำต้อย มันทำให้คนอื่นดูถูกฉัน และฉันสูญเสียศักดิ์ศรีของฉันไป ดังนั้นฉันจะไม่ทำตัวแบบนั้นอีกต่อไป  ฉันต้องการกู้ศักดิ์ศรีของฉันคืนมาและไม่ทำให้คนอื่นดูถูกฉัน  ฉันจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อกู้เกียรติของฉันคืนมา และฉันจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและสนองพระเจ้า”  พวกเขามีความรู้สึกเมื่อเป็นเรื่องของคำพูดที่ทำร้ายศักดิ์ศรีของพวกเขาและแทงใจดำของพวกเขา ตรงที่อ่อนไหว—คนเหล่านี้คือคนที่มีหัวใจ  เมื่อผู้ที่มีความรู้สึกและมีศักดิ์ศรีได้ยินถ้อยแถลงที่ถูกต้องและเห็นสิ่งที่เป็นบวกและแยกแยะระหว่างสิ่งที่ถูกและผิดได้ พวกเขาก็มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงเพราะพวกเขามีศักดิ์ศรี และพวกเขาไม่ต้องการให้คนอื่นดูถูกพวกเขา  พวกขี้เกียจสันหลังยาวและคนไร้ค่าเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ศรี ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรกับพวกเขา ไม่ว่าถ้อยแถลงของเจ้าจะถูกต้องหรือแม่นยำหรือสอดคล้องกับความจริงเพียงใด หรือถ้อยแถลงของเจ้าจะเป็นสิ่งที่เป็นบวกมากเพียงใด มันก็ไม่มีผลต่อคนเหล่านี้และจะไม่ทำให้พวกเขาหวั่นไหวแม้แต่น้อย  คนที่ไม่มีศักดิ์ศรีย่อมไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยต่อสิ่งที่เป็นบวกใดๆ ต่อคำตัดสินใดๆ หรือต่อการเปิดโปงใดๆ และพวกเขาก็ไม่มีท่าทีที่ถูกต้องต่อการที่จะเลือกเส้นทางชีวิตแบบใด  นั่นคือเหตุผลที่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรกับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะเปิดโปงหรือระบุลักษณะพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับอย่างเด็ดขาด และพวกเขาไม่สนใจ  ดังนั้น การประกาศความจริงและให้คำเทศนาแก่คนเช่นนี้จะมีประโยชน์หรือไม่?  การตัดแต่งพวกเขามีประโยชน์หรือไม่?  การพิพากษาและตีสอนพวกเขามีประโยชน์หรือไม่?  ไม่มี!  คนเช่นนี้เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์  พวกเขาใช้ชีวิตไปวันๆ และพวกเขาจัดอยู่ในประเภทของเดรัจฉาน—หากจะพูดให้แม่นยำ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์  พวกเขาไม่สมควรที่จะได้ยินพระวจนะของพระเจ้า  หากพวกไร้ค่า ปรสิตเหล่านี้ ได้มาเป็นผู้นำคริสตจักร พวกเขาจะสามารถค้นพบปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักรได้หรือไม่?  พวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  หากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหยิบยกปัญหาขึ้นมา พวกเขาจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่?  พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ไขได้เช่นกันอย่างแน่นอน  พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ แล้วพวกเขาจะทำงานแห่งการนำได้อย่างไร?  นั่นเป็นเรื่องที่คิดไม่ออกเลย!  ในฐานะผู้นำและคนทำงาน อย่างน้อยที่สุดคนเราก็ต้องสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในงานของคริสตจักรและปัญหาที่มีอยู่กับการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้  หากพวกเขาฝึกฝนอยู่ระยะหนึ่งและมีประสบการณ์บ้าง และพวกเขายังสามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงบางอย่างและพูดคุยเกี่ยวกับคำพยานจากประสบการณ์บางอย่างได้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถมีความสามารถในงานแห่งการนำได้ทีละน้อย  หากพวกเขาไม่สามารถค้นพบหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ได้ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถทำงานแห่งการนำได้ พวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จ และพวกเขาควรถูกปลด และควรมีการเลือกตั้งผู้นำใหม่

ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้นำต้องเข้าใจความจริงบ้างเป็นอย่างน้อยและมีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอยู่บ้าง  หากพวกเขาไม่มีประสบการณ์เลย  พวกเขาย่อมไม่เข้าใจความจริงเลยอย่างแน่นอน  บางคนที่ทำหน้าที่ผู้นำเก่งเรื่องการเทศนาคำพูดและคำสอน  และพวกเขาสามารถได้รับการเห็นชอบและคำยกย่องจากคนส่วนใหญ่  แม้ว่าเมื่อมองอย่างผิวเผิน  ผู้นำเทียมเท็จจะสามารถตอบคำถามได้  แต่พวกเขาก็ไม่สามารถสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงได้  ทั้งหมดที่พวกเขาเทศนาก็คือทฤษฎีที่ว่างเปล่า  และไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย  เมื่อผู้คนได้ฟังคำเทศนาของพวกเขา  พวกเขาก็รู้สึกว่าคำเทศนานั้นตรงกับรสนิยมของตน  และผู้ที่ไม่มีวิจารณญาณแยกแยะก็เห็นชอบกับคำเทศนานั้นอย่างยิ่ง  อย่างไรก็ดี  หลังจากนั้น  พวกเขาก็ยังคงไม่มีหนทางปฏิบัติและหาหลักธรรมของการปฏิบัติไม่พบ  แล้วนี่จะถือว่าแก้ไขปัญหาใดๆ ได้แล้วหรือ?  นี่ไม่ใช่การที่พวกเขาสุกเอาเผากินหรอกหรือ?  การพยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้จะถือว่าเป็นการทำงานที่เป็นแก่นสารได้หรือ?  ผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง แต่พวกเขารู้วิธีทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ  สิ่งแรกที่พวกเขาทำทันทีที่ได้เป็นผู้นำคืออะไร?  ก็คือการซื้อใจผู้คน  พวกเขาใช้แนวทาง “เจ้าหน้าที่คนใหม่ๆ ย่อมกระตือรือร้นที่จะสร้างความประทับใจ” กล่าวคือ ก่อนอื่นพวกเขาทำบางสิ่งเพื่อประจบเอาใจผู้คน และจัดการบางสิ่งที่ทำให้สวัสดิภาพในแต่ละวันของผู้คนดีขึ้น  เริ่มแรกพวกเขาพยายามทำให้ผู้คนเกิดความประทับใจ แสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาเข้ากันได้กับมวลชน เพื่อให้ทุกคนยกย่องพวกเขาและพูดว่า “ผู้นำคนนี้ปฏิบัติตัวต่อพวกเราเหมือนพ่อแม่เลย!”  จากนั้นพวกเขาก็เข้าควบคุมอย่างเป็นทางการ  พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่และตำแหน่งของพวกเขาก็มั่นคงแล้ว และแล้วพวกเขาก็เริ่มสุขสำราญกับผลประโยชน์จากสถานะ ราวกับเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้อยู่แล้ว  คติพจน์ของพวกเขาคือ “ชีวิตคือการกินดีและแต่งตัวสวยเท่านั้น” “ชีวิตนี้สั้น ดังนั้นควรสุขสำราญกับชีวิตเมื่อยังทำได้” และ “จงดื่มเหล้าองุ่นของวันนี้ในวันนี้ และจงกังวลถึงพรุ่งนี้ในวันพรุ่งนี้เถิด”  พวกเขาสุขสำราญกับแต่ละวันที่มาถึง พวกเขาสนุกในขณะที่ทำได้ และพวกเขาไม่คิดถึงอนาคต และยิ่งไม่คำนึงว่าผู้นำควรลุล่วงความรับผิดชอบอันใดและพวกเขาควรทำหน้าที่ใดบ้าง  พวกเขาประกาศวาจาและคำสอนไม่กี่คำและทำกิจไม่กี่อย่างเพื่อรักษาภาพลักษณ์เป็นกิจวัตร—พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงแต่อย่างใด  พวกเขาไม่ขุดคุ้ยปัญหาที่แท้จริงในคริสตจักรและแก้ปัญหาเหล่านั้นให้หมดสิ้น  แล้วการพวกเขาทำกิจอย่างผิวเผินเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใด?  นี่ไม่หลอกลวงหรอกหรือ?  จะสามารถไว้วางใจมอบกิจสำคัญให้ผู้นำเทียมเท็จแบบนี้ได้หรือ?  พวกเขาเป็นไปตามหลักธรรมและเงื่อนไขของพระนิเวศของพระเจ้าในการคัดสรรผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  (ไม่)  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลใดๆ พวกเขาไร้ซึ่งสำนึกรับผิดชอบใดๆ แต่ก็ยังคงปรารถนาที่จะครองตำแหน่งที่เป็นทางการบางอย่าง เป็นผู้นำในคริสตจักร—เหตุใดพวกเขาจึงไร้ยางอายขนาดนี้?  ส่วนบางคนที่มีสำนึกรับผิดชอบ ถ้าพวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย ก็ไม่อาจเป็นผู้นำได้—นั่นยังไม่รวมถึงคนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีสำนึกรับผิดชอบอะไรเลย พวกนี้ยิ่งไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำเข้าไปใหญ่  ผู้นำเทียมเท็จที่ไม่รู้จักพอและสันหลังยาวเช่นนี้เกียจคร้านเพียงใด?  แม้แต่เวลาที่พวกเขาค้นพบประเด็นปัญหาและตระหนักรู้ว่านี่คือประเด็นปัญหา พวกเขาก็ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจังและไม่สนใจประเด็นปัญหานั้น  พวกเขาไร้ความรับผิดชอบเหลือเกิน!  แม้พวกเขาจะเป็นคนพูดเก่งและดูเหมือนมีขีดความสามารถอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาต่างๆ ในงานของคริสตจักรได้ ทำให้การทำงานหยุดชะงัก ปัญหาทั้งหลายกองสุมขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ผู้นำเหล่านี้ก็ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น และดึงดันที่จะดำเนินงานที่ผิวเผินบางอย่างต่อไปตามกิจวัตร  แล้วผลสุดท้ายจะเป็นเช่นใด?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรยุ่งเหยิงและทำผิดพลาดซ้ำๆ จนเสียงานมิใช่หรือ?  พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายและการขาดความเป็นเอกภาพในคริสตจักรมิใช่หรือ?  นี่คือจุดจบที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้  ในสถานการณ์เช่นนี้  ผู้นำเทียมเท็จจะทำรายงานถึงเบื้องบนหรือไม่?  ไม่ทำอย่างแน่นอน  หากมีใครบางคนในคริสตจักรต้องการรายงานปัญหาของผู้นำเทียมเท็จต่อเบื้องบน  พวกเขาจะยินยอมต่อเรื่องนี้หรือไม่?  พวกเขาจะกดขี่และปิดกั้นบุคคลนั้นอย่างแน่นอนที่สุด  พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดรายงานปัญหาต่อเบื้องบน  และจะควบคุม  กดขี่  และโดดเดี่ยวผู้ใดก็ตามที่ทำเช่นนั้น  จงบอกเราทีว่า  ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ช่างต่ำช้าถึงเพียงนี้มิใช่หรือ?  ไม่ว่าพวกเขาจะทำร้ายงานของคริสตจักรไปมากเพียงใด  พวกเขาก็ยังคงไม่อนุญาตให้เบื้องบนรู้เรื่องนี้  และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแก้ไขปัญหาเลย  ทั้งหมดที่พวกเขาสนใจคือการสุขสำราญกับผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งของตนและปกป้องความถือตัวและความหยิ่งจองหองของตนเอง—คนเช่นนี้ช่างต่ำช้าและไร้ยางอายอย่างที่สุด!  พวกเขาปราศจากมโนธรรมและปราศจากความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  เมื่อเบื้องบนสอบถามเกี่ยวกับงาน  พวกเขาก็กล่าวเป็นมั่นเหมาะว่าไม่มีปัญหา  พูดจากลิ้งกลอกและหลอกให้เบื้องบนหลงเชื่อ—ในการทำเช่นนี้  พวกเขาไม่ได้กำลังหลอกลวงเบื้องบนและปิดบังผู้ใต้บังคับบัญชาหรอกหรือ?  ปัญหาเกี่ยวกับงานของคริสตจักรยังคงกองพะเนินขึ้นเรื่อยๆ  และผู้นำเทียมเท็จก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง  แต่พวกเขาก็ไม่ได้รายงานปัญหาเหล่านี้ต่อเบื้องบนเช่นกัน  ภายใต้รูปการณ์เหล่านี้  พวกเขาทำราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ  พวกเขาลุ่มหลงในความสะดวกสบายเหมือนเดิม  พวกเขาเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยทั้งวันและใช้ชีวิตไปวันๆ  และพวกเขาก็ไม่ได้วิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย  และเมื่อปัญหาถูกเปิดโปงและเบื้องบนสืบสวนเรื่องนี้  พวกเขาก็ยังคงกล่าวว่า  “ฉันได้จัดให้ผู้คนทำงานนี้แล้ว  ฉันได้ลุล่วงความรับผิดชอบของฉันแล้ว  หากงานทำได้ไม่ดี  นั่นก็เป็นความผิดของคนอื่น  มันเกี่ยวข้องอะไรกับฉันด้วยล่ะ?”  ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้  พวกเขาก็ปัดความรับผิดชอบของตนออกไปโดยสิ้นเชิง  ราวกับว่าพวกเขาไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ในเรื่องนี้เลย  ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ทบทวนตนเอง  พวกเขายังรู้สึกว่าตนเองมีความชอบธรรมและกล่าวอย่างสบายใจว่า  “อย่างไรก็ตาม  ฉันก็ไม่ได้เกียจคร้านในหน้าที่ของฉัน  ไม่ได้กินแรงใคร  หากเบื้องบนไม่ปลดฉัน  ฉันก็จะทำหน้าที่ผู้นำต่อไป  หากฉันยื่นใบลาออก  ฉันก็จะทรยศพระเจ้ามิใช่หรือ?  ฉันก็จะแสดงความไม่จงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนเองมิใช่หรือ?”  ถ้าเจ้าจะตัดแต่งพวกเขา  พวกเขาก็จะสามารถยกเหตุผลมากมายมาโต้แย้งเจ้าได้  พวกเขาจะไม่กล่าวว่าพวกเขารับผิดชอบต่อเรื่องนี้  พวกเขาจะไม่กล่าวว่าความรับผิดชอบของพวกเขาคืออะไร  และพวกเขาจะไม่ทบทวนว่าการที่พวกเขาไม่แก้ไขปัญหาและไม่ทำงานที่เป็นแก่นสารนั้นมีธรรมชาติเป็นอย่างไร  คนเช่นนี้น่าชิงชังถึงเพียงนี้มิใช่หรือ?  พวกเขาทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงักและทำร้ายประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมาเป็นเวลานานโดยไม่มีความสำนึกผิดในใจแม้แต่น้อย—พวกเขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?  พวกเขายังมีมโนธรรมหรือสำนึกเหลืออยู่บ้างแม้แต่น้อยหรือไม่?  บางคนกล่าวว่า  “ไม่ควรเลือกคนเช่นนี้มาเป็นผู้นำ”  ตามทฤษฎีแล้วก็เป็นเช่นนี้  อย่างไรก็ดี  มีคนเช่นนี้อยู่บ้างจริงๆ ในหมู่ผู้นำและคนทำงานที่ได้รับเลือก  นี่คือข้อเท็จจริง  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรขาดวิจารณญาณแยกแยะ  และยังเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ชอบคนที่ชอบเอาใจผู้คน  และผลที่ตามมาก็คือได้เลือกผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จบางคน  ดังนั้น  ก่อนการเลือกตั้งในคริสตจักร  จะต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับหลักธรรมในการเลือกผู้นำและคนทำงานให้มากขึ้น  เช่นเดียวกับหลักธรรมในการมีวิจารณญาณแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จด้วย  การทำเช่นนี้จะรับประกันได้ว่าจะมีผู้คนลงคะแนนเสียงตามหลักธรรมมากขึ้น  โดยการทำเช่นนี้เท่านั้น  การเลือกตั้งในคริสตจักรจึงจะเกิดผลดีได้

จงบอกเราทีว่า  คนเกียจคร้านที่ต่ำช้าและไร้ยางอายเช่นนี้จะสามารถทำงานของคริสตจักรได้ดีในฐานะผู้นำและคนทำงานได้หรือ?  พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในคริสตจักรหรือความลำบากยากเย็นที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ถ้าเช่นนั้น  พวกเจ้าควรทำอย่างไรเมื่อพวกเจ้าเผชิญกับผู้นำเทียมเท็จเช่นนี้?  สมมติว่ามีคนกล่าวว่า  “ขีดความสามารถของพวกเราต่ำและพวกเราขาดวิจารณญาณแยกแยะ  ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้หากพวกเราเผชิญกับผู้นำเทียมเท็จ”  การกล่าวเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนในคริสตจักรที่มีขีดความสามารถต่ำและไม่มีวิจารณญาณแยกแยะใช่หรือไม่?  อย่างน้อยต้องมีหลายคนที่ค่อนข้างเข้าใจความจริง  ดังนั้น  หากมีคนพบผู้นำเทียมเท็จที่ไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารหรือแก้ไขปัญหาใดๆ ได้  พวกเขาก็ควรสามัคคีธรรมกับผู้ที่เข้าใจความจริงและขอให้พวกเขาใช้วิจารณญาณแยกแยะและตัดสิน  การทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่?  (ใช่  เหมาะสม)  เหตุใดจึงเหมาะสม?  ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรหากผู้นำคริสตจักรไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้?  ใครจะเป็นผู้เสียหาย?  จะใช่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรหรือไม่?  หากผู้นำเทียมเท็จควบคุมคริสตจักรเป็นเวลาสามหรือห้าปี  แล้วความเข้าใจความจริงและการเข้าสู่ความเป็นจริงของผู้คนจำนวนเท่าใดจะได้รับผลกระทบ?  การบรรลุความรอดของพระเจ้าของผู้คนจำนวนเท่าใดจะล่าช้าออกไป?  ผลที่ตามมาเหล่านี้ร้ายแรงจนสุดจะคาดคิด  ดังนั้น  เมื่อพบว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารและไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดๆ ได้  นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน  และพวกเขาควรเปิดโปงและรายงานผู้นำเทียมเท็จนั้นทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้งานล่าช้า  ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการที่ผู้นำคริสตจักรไม่ได้ทำงานที่เป็นแก่นสารก็คือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  หากไม่มีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรคนใดเปิดโปงหรือรายงานพวกเขา  และพวกเขาทั้งหมดก็เพียงแต่ไม่แยแสต่อการทำเช่นนี้  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความหวังสำหรับคริสตจักรนั้น  สมมติว่าในใจของพวกเจ้า  พวกเจ้าเก็บงำความคิดที่จะไม่รับผิดชอบอยู่เสมอว่า  “อย่างไรก็ตาม  คุณก็เป็นผู้นำ  คุณไม่สามารถทำงานที่เป็นแก่นสารได้  แต่คุณก็ไม่รายงานปัญหาต่อเบื้องบน—หากสิ่งนี้ทำให้งานของคริสตจักรล่าช้า  เบื้องบนก็จะให้คุณรับผิดชอบ  มันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราด้วยล่ะ?  การที่พวกเราจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีประโยชน์อะไร?  พวกเราไม่ใช่ผู้ที่รับผิดชอบ  ความรับผิดชอบนี้อยู่ที่คุณ”  หากพวกเจ้าเก็บงำมโนคติอันหลงผิดนี้ไว้ในใจเสมอ  สิ่งนี้จะไม่ทำให้เรื่องต่างๆ ล่าช้าหรอกหรือ?  สิ่งนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการไล่ตามเสาะหาความจริง  การเข้าสู่ความเป็นจริง  และการบรรลุความรอดของพระเจ้าของพวกเจ้าหรอกหรือ?  หากไม่มีใครในคริสตจักรรับผิดชอบ  ก็ยากที่จะกล่าวว่าคริสตจักรนี้จะสามารถเป็นพยานให้พระเจ้าและได้รับพรจากพระเจ้าได้หรือไม่  และยิ่งยากที่จะกล่าวว่าจะมีผู้คนจำนวนเท่าใดที่จะบรรลุความรอดในคริสตจักรนี้  หากทุกคนในคริสตจักรนี้คิดเช่นนี้และมีทัศนะเช่นนี้  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความหวังสำหรับคริสตจักรนี้อย่างแน่นอน  ฝ่ายผลิตภาพยนตร์ไม่มีปัญหานี้อยู่ในขณะนี้หรอกหรือ?  ผู้นำบางคนของพวกเจ้าไม่จัดการปัญหาหรือรายงานปัญหา—พวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ  พวกเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้หรือไม่?  ผู้นำเหล่านี้ไม่แก้ไขปัญหาให้พวกเจ้า—พวกเจ้าไม่ค้นพบว่านี่เป็นปัญหาหรอกหรือ?  พวกเจ้ามีความสุขกับเรื่องนี้จริงๆ หรือ?  “ผู้นำของพวกเราไม่ได้รายงานปัญหานี้และปัญหานี้ก็ไม่สามารถแก้ไขได้  ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่ดีสำหรับพวกเราที่จะได้พักผ่อน  ยอดเยี่ยมไปเลย!  ยิ่งไปกว่านั้น  เบื้องบนก็ไม่ได้สอบถามเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวเมื่อเร็วๆ นี้  ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่พวกเราจะต้องรายงานปัญหาเช่นกัน  ทำไมพวกเราจะไม่พยายามหาเวลาว่างให้ตัวเองสักหน่อยเล่า?  พวกเราต้องถ่ายทำภาพยนตร์ให้เร็วขนาดนั้นและถ่ายทำให้เสร็จตรงเวลาด้วยหรือ?  ความคืบหน้าที่พวกเรากำลังทำอยู่นี้ก็ดีแล้ว!  ถ้าพวกเราถ่ายทำไม่เสร็จแล้วจะเป็นอย่างไรล่ะ?  พวกเราจะถูกกล่าวโทษเพราะเรื่องนี้หรือไง?”  นี่คือท่าทีของพวกเจ้าใช่หรือไม่?  พวกเจ้าคิดว่าไม่มีตารางเวลาที่เข้มงวดเช่นนั้นสำหรับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  ดังนั้นพวกเจ้าจึงสามารถยืดเวลาออกไปได้อย่างไม่มีกำหนด  และตราบใดที่เบื้องบนไม่สอบถามหรือตรวจสอบเรื่องนี้  ก็ไม่จำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องกังวลหรือรู้สึกกดดันใดๆ  และพวกเจ้าก็เพียงแค่แก้ไขปัญหาใดๆ ที่พวกเจ้าสามารถแก้ไขได้  และปล่อยผ่านปัญหาใดๆ ที่พวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขได้ไปใช่หรือไม่?  นี่คือมุมมองของพวกเจ้าใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  ถ้าเช่นนั้น  เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่รายงานปัญหาเมื่อพวกเจ้ามีปัญหา?  เป็นเพราะผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ควบคุมพวกเจ้าอยู่  หรือเป็นเพราะพวกเขาแอบให้ยาที่ทำให้มึนงงแก่พวกเจ้า  ซึ่งทำให้พวกเจ้าเพ้อคลั่งและพูดไม่ได้?  ปัญหาในที่นี้คืออะไร?  เมื่อมีปัญหาอยู่  พวกเจ้ารู้เรื่องเหล่านั้นหรือไม่?  ถ้าพวกเจ้ากล่าวว่าพวกเจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านั้น  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็กำลังโกหก  หากพวกเจ้ารู้เรื่องเหล่านั้นแต่ไม่รายงาน  เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็กำลังละเลยและบกพร่องต่อความรับผิดชอบของตนอย่างรุนแรง  และพวกเจ้าก็ไม่มีความจงรักภักดีต่อหน้าที่ของตนเลยแม้แต่น้อย  แม้ว่าเจ้าจะทำงานในโลกเพื่อหาเงิน  เจ้าก็ยังต้องทำตัวให้สมกับค่าจ้างอันน้อยนิดของเจ้า  ไม่ต้องพูดถึงว่า  วันนี้เจ้ากำลังกินอาหารแห่งพระนิเวศของพระเจ้า  เจ้ากำลังไล่ตามเสาะหาความรอดขณะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  และโดยการทำเช่นนั้น  เจ้ากำลังปูทางและเตรียมพร้อมสำหรับบั้นปลายของเจ้าเอง  เจ้าไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ได้ทำเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  และยิ่งไม่ใช่เพื่อเรา—เจ้ากำลังทำเพื่อตัวเจ้าเอง  หากจะพูดให้ไพเราะ  ผู้คนกำลังทำหน้าที่ของตนเพื่อบรรลุความรอด  แต่หากจะพูดให้แม่นยำ  พวกเขากำลังทำเพื่อตนเองที่จะได้รับพรและมีบั้นปลายที่ดี  เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน  อย่าโง่เขลา  เจ้าไม่ได้ทำหน้าที่ของเจ้าเพื่อคนอื่นหรือเพื่อพ่อแม่ของเจ้า  และไม่ได้ทำเพื่อสร้างชื่อเสียงให้บรรพบุรุษหรือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของเจ้า—เจ้ากำลังทำเพื่อตัวเจ้าเอง  พระเจ้าทรงสร้างเจ้า  และนับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงสร้างโลก  พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าเจ้าจะเกิดในยุคสุดท้าย  พระองค์ทรงนำเจ้ามายังพระนิเวศของพระองค์  พระองค์ทรงให้เจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์  พระองค์ทรงให้เจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระองค์ทุกวันและได้รับการหล่อเลี้ยงชีวิต  และพระองค์ทรงให้โอกาสเจ้าเพื่อให้เจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้าได้  นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่จะบรรลุความรอด  และยังเป็นโอกาสเดียวของเจ้าอีกด้วย  หากในขณะที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้า  เจ้าทำลายโอกาสนี้  เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะได้รับการลงโทษหรือร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อเจ้าตกอยู่ในความวิบัติในท้ายที่สุด  ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะเจ้าทำตัวเอง  และเจ้าก็สมควรได้รับมัน!  มันจะเป็นความผิดของเจ้าเอง  ไม่จำเป็นที่คนอื่นจะต้องแบกรับความรับผิดชอบของเจ้า  และไม่จำเป็นที่เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบของคนอื่น  มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถรับผิดชอบต่อเส้นทางที่เจ้าเดินและทุกสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้  และมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถแบกรับผลที่ตามมาในท้ายที่สุดได้  สิ่งที่เราสามารถทำได้คือทำให้พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เราควรพูดและบอกพวกเจ้า  และปูทางให้พวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะได้เริ่มต้นบนเส้นทางแห่งความรอด  เราได้อธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว  ดังนั้นพวกเจ้าจะลงมือปฏิบัติให้เฉพาะเจาะจงอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเอง  เราไม่สนใจเรื่องของพวกเจ้า  เราเพียงปฏิบัติงานที่อยู่ในส่วนของเรา  และเราไม่ทำงานใดๆ เกินกว่านี้  การที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าเพื่อเห็นแก่บั้นปลายของเจ้าเองนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  ถ้าเจ้ากล่าวว่า  “มีปัญหามากมาย  แต่ผู้นำของฉันไม่ได้รายงานปัญหาเหล่านั้น  ดังนั้นฉันก็จะไม่รายงานเช่นกัน”  เช่นนั้นแล้วนั่นไม่ใช่ความโง่เขลาหรอกหรือ?  นั่นไม่ใช่การคิดเห็นแก่ตัวหรอกหรือ?  ความรับผิดชอบของเจ้าคืออะไรเมื่อเจ้าเห็นปัญหา?  ความรับผิดชอบของเจ้าคือการเรียกทุกคนมารวมกันและสงบใจลงเพื่อแสวงหาและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับปัญหานั้น  เพื่อดูว่าปัญหาเกิดขึ้นในด้านใด  และเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา  หากหลังจากหารือกันแล้ว  พบสาเหตุที่แท้จริง  แต่พวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง  พวกเจ้าก็ควรรายงานต่อเบื้องบนทันที  ใครควรเป็นผู้รายงาน?  เจ้าควรเสนอตัวเองและกล่าวว่า  “ฉันจะรายงานเอง  ถ้าไม่ได้ผล  เช่นนั้นแล้วพวกเราก็สามารถเลือกตัวแทนสองสามคนและรายงานร่วมกันได้”  บางคนกล่าวว่า  “พวกเราไม่มีผู้นำหรือ?”  เจ้าตอบว่า  “เขาไม่ใช่ผู้นำ!  เขาไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย  เขาเป็นเพียงเดรัจฉานในร่างมนุษย์  และเขาควรถูกเตะไปให้พ้นทางและถูกปลด!  เขาไม่ได้รายงานปัญหา  ดังนั้นพวกเราควรรายงานด้วยตนเอง—นี่คือความรับผิดชอบของพวกเรา  เมื่อพวกเราได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเราแล้วเท่านั้น  พระเจ้าจึงจะทรงปฏิบัติต่อพวกเราในฐานะมนุษย์  หากพวกเรารู้อย่างชัดเจนว่าความรับผิดชอบของพวกเราคืออะไรแต่พวกเราไม่ลุล่วงความรับผิดชอบเหล่านั้น  เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไม่สมควรที่จะเป็นมนุษย์  และไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงมองว่าพวกเราเป็นเช่นนั้น”  หากพระเจ้าไม่ทรงมองว่าเจ้าเป็นมนุษย์  สิ่งนี้บอกเป็นนัยว่าพระองค์ทรงมองว่าเจ้าเป็นอะไร?  มันบอกเป็นนัยว่าพระองค์ทรงมองว่าเจ้าเป็นหมูหรือสุนัข  แล้วพระเจ้าจะยังคงช่วยเจ้าให้รอดหรือไม่?  ไม่มีทาง  ดังนั้น  หากเจ้าไม่ได้มีบั้นปลายที่ดี  เจ้าก็ไม่ได้ทำตัวเองหรอกหรือ?  และเจ้าก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของเจ้าไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?  มันขึ้นอยู่กับเจ้าที่จะเลือกเส้นทางของเจ้า  และมันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าที่จะเดินบนเส้นทางนั้นเช่นกัน  ไม่ว่าเจ้าจะเลือกเส้นทางใด  หรือผลที่ตามมาในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร  เจ้าคือผู้ที่แบกรับความรับผิดชอบ  ไม่มีใครจะรับผิดชอบต่อเส้นทางที่เจ้าเดินและผลที่ตามมานั้น

ถ้าในฐานะผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้ากลับเพิกเฉยต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งยังเที่ยวหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวสารพัดเพื่อปัดความรับผิดชอบ ปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก็ไม่ลงมือแก้ไข ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่รายงานต่อเบื้องบน ทำประหนึ่งว่าปัญหาเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าเลย แบบนี้เรียกว่าการละเลยหน้าที่ไม่ใช่หรือ?  การปฏิบัติต่องานของคริสตจักรเช่นนี้ฉลาดหรือโง่เขลา?  (โง่เขลา)  ผู้นำและคนทำงานเยี่ยงนี้เป็นพวกกลับกลอกไม่ใช่หรือ?  พวกเขาคือคนไร้ซึ่งจิตสำนึกรับผิดชอบโดยสิ้นเชิงมิใช่หรือ?  พอประสบปัญหาก็เพิกเฉย—คนเช่นนี้เป็นพวกไม่เอาใจใส่ไม่ใช่หรือ?  พวกเขาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์หรอกหรือ?  คนเจ้าเล่ห์นั่นแหละคือคนที่โง่เขลาที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง!  เจ้าต้องเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าต้องมีสำนึกรับผิดชอบเมื่อเจ้าเผชิญหน้าปัญหา และเจ้าต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่ทำได้และแสวงหาความจริงมาแก้ปัญหา  แน่นอนว่าเจ้าต้องไม่เป็นคนเจ้าเล่ห์  หากเจ้าสนใจแต่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบและไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เจ้าก็จะถูกกล่าวโทษเพราะพฤติกรรมเยี่ยงนี้แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ นับประสาอะไรกับในพระนิเวศของพระเจ้า!  พฤติกรรมนี้แน่นอนว่าย่อมถูกพระเจ้ากล่าวโทษและสาปแช่ง และย่อมถูกประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรชังและไม่ยอมรับ  พระเจ้าโปรดคนที่ซื่อสัตย์ และพระองค์ทรงชังคนหลอกลวงและกลับกลอก  หากเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์และประพฤติตนในลักษณะที่กลับกลอก พระเจ้าย่อมจะทรงชังเจ้ามิใช่หรือ?  พระนิเวศของพระเจ้าจะปล่อยให้เจ้าพ้นผิดได้โดยง่ายกระนั้นหรือ?  ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องรับผิดชอบ  พระเจ้าโปรดคนที่ซื่อสัตย์และไม่โปรดคนเจ้าเล่ห์  ทุกคนควรเข้าใจเรื่องนี้อย่างชัดเจน เลิกเลอะเลือนและเลิกทำสิ่งที่เขลา  การไม่รู้ความเพียงชั่วคราวนั้นสามารถอภัยให้ได้ แต่หากบุคคลหนึ่งไม่ยอมรับความจริงเลย เช่นนั้นพวกเขาก็ดื้อรั้นเกินไป  บุคคลที่ซื่อสัตย์ย่อมจะสามารถรับผิดชอบ  พวกเขาไม่คำนึงถึงผลกำไรและขาดทุนของตนเอง พวกเขาพิทักษ์งานและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเท่านั้น  พวกเขาใจดีมีเมตตาและมีหัวใจที่ซื่อสัตย์เหมือนน้ำใสในชามซึ่งมองปราดเดียวคนเราก็สามารถเห็นก้นชามได้  และการกระทำของพวกเขายังมีความโปร่งใสอีกด้วย  คนหลอกลวงประพฤติตนในลักษณะที่กลับกลอกอยู่เสมอ ทำการเสแสร้ง ปกปิด และเก็บซ่อนสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ และห่อหุ้มตนเองอย่างมิดชิดจนน่าเหลือเชื่อ  ไม่มีผู้ใดสามารถมองคนประเภทนี้ออก  ผู้คนไม่สามารถรู้ทันความคิดในใจเจ้าได้ แต่พระเจ้าสามารถทรงพินิจพิเคราะห์สิ่งที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์ ว่าเจ้าเป็นสิ่งที่กลับกลอก ว่าเจ้าไม่เคยยอมรับความจริง หลอกลวงพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา และไม่เคยมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์พระองค์ย่อมจะไม่โปรดเจ้า และพระองค์ย่อมจะทรงชังและทรงทอดทิ้งเจ้า  คนทั้งปวงที่เจริญรุ่งเรืองในหมู่ผู้ไม่มีความเชื่อ  และบรรดาผู้ที่พูดจาคล่องแคล่วและมีไหวพริบปฏิภาณนั้นเป็นคนประเภทใด?  เรื่องนี้ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรือไม่?  แก่นแท้ของพวกเขาคืออะไร?  อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนที่มีจิตใจซับซ้อนอย่างยิ่ง  พวกเขาทั้งหมดหลอกลวงและเจ้าเล่ห์อย่างที่สุด  พวกเขาเป็นมารและซาตานตนหนึ่งอย่างแท้จริง  พระเจ้าจะทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดได้หรือ?  พระเจ้าไม่ทรงชิงชังสิ่งใดมากไปกว่าพวกมาร—ผู้คนที่หลอกลวงและเจ้าเล่ห์—และพระองค์จะไม่ทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดอย่างแน่นอน  พวกเจ้าต้องไม่เป็นคนประเภทนี้อย่างเด็ดขาด  บรรดาผู้ที่คอยสังเกตการณ์และระแวดระวังอยู่เสมอเมื่อพวกเขาพูด  ผู้ที่รู้จักพลิกแพลงและเล่นละครตบตาให้เข้ากับสถานการณ์เมื่อพวกเขาจัดการเรื่องต่างๆ—เราขอบอกเจ้าว่า  พระเจ้าทรงชิงชังคนเช่นนี้ที่สุด  คนเช่นนี้เกินกว่าจะช่วยให้รอดได้  ในส่วนที่เกี่ยวกับคนทั้งปวงที่จัดอยู่ในประเภทของคนที่หลอกลวงและเจ้าเล่ห์  ไม่ว่าคำพูดของพวกเขาจะฟังดูดีเพียงใด  ทั้งหมดนั้นก็เป็นคำพูดเยี่ยงมารที่หลอกลวง  ยิ่งคำพูดของพวกเขาฟังดูดีเท่าใด  คนเหล่านี้ก็ยิ่งเป็นพวกมารและซาตานมากขึ้นเท่านั้น  นี่คือคนประเภทที่พระเจ้าทรงชิงชังที่สุดอย่างแท้จริง  นี่ถูกต้องอย่างแน่นอน  พวกเจ้าจะว่าอย่างไร  คนที่หลอกลวง  คนที่มักจะโกหก  และคนที่พูดจาคล่องแคล่วสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  พวกเขาสามารถได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  ท่าทีของพระเจ้าต่อคนที่หลอกลวงและเจ้าเล่ห์คืออะไร?  พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา  พระองค์ทรงเมินพวกเขาและไม่ทรงใส่ใจพวกเขา  พระองค์ทรงมองว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับสัตว์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า  คนเช่นนี้เป็นเพียงการสวมหนังมนุษย์และในแก่นแท้แล้วพวกเขาคือพวกมารและซาตาน  พวกเขาคือซากศพเดินได้  และพระเจ้าจะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอดอย่างแน่นอน  ถ้าเช่นนั้น  สภาวะของคนเหล่านี้ในขณะนี้เป็นอย่างไร?  มีความมืดในใจของพวกเขา  พวกเขาขาดความเชื่อที่แท้จริง  และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขา  พวกเขาก็ไม่เคยได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างเลย  เมื่อเผชิญกับความวิบัติและความทุกข์ลำบาก  พวกเขาอธิษฐานต่อพระเจ้า  แต่พระเจ้าไม่ได้สถิตอยู่กับพวกเขา  และพวกเขาไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริงในใจของพวกเขา  เพื่อที่จะได้รับพร  พวกเขาพยายามที่จะแสดงออกอย่างดี  แต่พวกเขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้  เพราะพวกเขาปราศจากมโนธรรมและเหตุผล  พวกเขาไม่สามารถเป็นคนดีได้แม้ว่าพวกเขาจะต้องการก็ตาม  แม้ว่าพวกเขาจะต้องการหยุดทำสิ่งที่ไม่ดี  พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้  มันจะไม่ได้ผล  พวกเขาจะสามารถรู้จักตนเองได้หรือไม่หลังจากที่พวกเขาถูกส่งไปและถูกกำจัดออกไป?  แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาสมควรได้รับสิ่งนี้  แต่พวกเขาก็จะไม่ยอมรับเรื่องนี้กับใคร  และแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนสามารถทำหน้าที่ได้บ้าง  พวกเขาก็ยังคงทำตัวหลบเลี่ยง  และงานของพวกเขาก็จะไม่เกิดผลที่ชัดเจนใดๆ  ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าจะว่าอย่างไร  คนเหล่านี้สามารถกลับใจอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ไม่ได้อย่างแน่นอน  นี่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีมโนธรรมหรือสำนึกและพวกเขาไม่ได้รักความจริง  พระเจ้าไม่ได้ทรงช่วยคนเจ้าเล่ห์และชั่วร้ายประเภทนี้ให้รอด  มีความหวังอะไรในการเชื่อในพระเจ้าสำหรับคนเช่นนี้?  ความเชื่อของพวกเขาปราศจากความสำคัญไปแล้ว  และพวกเขาย่อมไม่ได้รับอะไรจากมันเลย  หากตลอดความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา  ผู้คนไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง  เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพวกเขาจะเชื่อเป็นเวลากี่ปี  มันก็จะไม่มีผลใดๆ  แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อจนถึงที่สุด  พวกเขาก็จะไม่ได้รับอะไรเลย  เพื่อที่จะได้รับพระเจ้า  ผู้คนต้องได้รับความจริง  ต่อเมื่อพวกเขาเข้าใจความจริง  ปฏิบัติความจริง  และเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงแล้วเท่านั้น  พวกเขาจึงจะได้รับความจริงและบรรลุความรอดของพระเจ้า  และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับการยอมรับและพรจากพระเจ้า  และนี่เท่านั้นคือการได้รับพระเจ้า  หากผู้คนต้องการได้รับความจริง  เช่นนั้นแล้วขั้นตอนแรกที่พวกเขาควรทำคือการเรียนรู้ที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตน  นั่นคือ  พวกเขาควรทำหน้าที่ของตนให้ดี—นี่คือสิ่งที่พื้นฐานที่สุด  ผู้คนต้องไม่เรียนรู้จากผู้นำเทียมเท็จอย่างเด็ดขาด  ที่เพียงเทศนาคำพูดและคำสอนและไม่ทำงานที่เป็นแก่นสาร  ไม่รับผิดชอบต่อสิ่งใดที่พวกเขาทำ  ทำทุกอย่างอย่างสุกเอาเผากิน  และลงเอยด้วยการถูกกำจัดออกไป  การทำหน้าที่ของคนเราไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย  ผู้คนถูกเผยให้เห็นมากที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ของตน  และพระเจ้าทรงกำหนดจุดจบของผู้คนโดยอาศัยการปฏิบัติที่สม่ำเสมอของพวกเขาขณะทำหน้าที่ของตน  การที่ใครบางคนทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดีนั้นหมายความว่าอะไร?  มันหมายความว่าพวกเขาไม่ยอมรับความจริงหรือไม่กลับใจอย่างแท้จริง  และถูกพระเจ้ากำจัดออกไป  เมื่อผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จถูกปลด  สิ่งนี้แสดงถึงอะไร?  นี่คือท่าทีของพระนิเวศของพระเจ้าต่อคนเช่นนี้  และแน่นอนว่า  มันยังแสดงถึงท่าทีของพระเจ้าต่อคนเช่นนี้ด้วย  ถ้าเช่นนั้น  ท่าทีของพระเจ้าต่อคนไร้ค่าเช่นนี้คืออะไร?  พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา  กล่าวโทษพวกเขา  และกำจัดพวกเขาออกไป  ถ้าเช่นนั้น  พวกเจ้ายังคงต้องการที่จะลุ่มหลงในผลประโยชน์ทางสถานะตำแหน่งและเป็นผู้นำเทียมเท็จอยู่อีกหรือ?

หลังจากที่ผู้คนมาเชื่อในพระเจ้าแล้ว  อะไรคือสิ่งที่เจ็บปวดและน่าปั่นป่วนใจที่สุดที่สามารถเกิดขึ้นกับพวกเขาได้?  เรื่องที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการได้รู้ว่าพวกเขาถูกเอาตัวออกไปหรือถูกขับไล่  และพวกเขาถูกพระเจ้าเผยให้เห็นและกำจัดออกไป—นี่คือสิ่งที่เจ็บปวดและน่าเศร้าโศกที่สุด  และไม่มีใครต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากที่พวกเขามาเชื่อในพระเจ้า  ถ้าเช่นนั้น  ผู้คนจะสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างไร?  อย่างน้อยที่สุด  พวกเขาต้องกระทำตามมโนธรรมของตน  นั่นคือ  พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของตนก่อน  พวกเขาต้องไม่สุกเอาเผากินอย่างเด็ดขาด  และพวกเขาต้องไม่ทำให้สิ่งที่พระเจ้าทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาล่าช้า  ในเมื่อเจ้าเป็นบุคคล  เจ้าก็ควรใคร่ครวญว่าความรับผิดชอบของบุคคลคืออะไร  ความรับผิดชอบที่ผู้ไม่มีความเชื่อให้คุณค่ามากที่สุด  เช่น  การกตัญญู  การเลี้ยงดูพ่อแม่ของเจ้า  และการสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลของเจ้า  ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง  สิ่งเหล่านี้ล้วนว่างเปล่าและปราศจากความหมายที่เป็นแก่นสาร  ความรับผิดชอบขั้นต่ำที่สุดที่บุคคลควรลุล่วงคืออะไร?  สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากที่สุดคือการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีในขณะนี้อย่างไร  การพอใจเพียงแค่กับการทำไปตามขั้นตอนไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  และการสามารถพูดได้เพียงคำพูดและคำสอนก็ไม่ใช่การลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  การปฏิบัติความจริงและทำสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมเท่านั้นคือการลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า  ต่อเมื่อการปฏิบัติความจริงของเจ้าเกิดผล  และเป็นประโยชน์ต่อผู้คนแล้วเท่านั้น  เจ้าจึงจะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังทำหน้าที่ใด เฉพาะเมื่อเจ้ายืนกรานที่จะกระทำตามหลักธรรมความจริงในสรรพสิ่งเท่านั้น เจ้าจึงจะได้ลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างแท้จริง  การทำงานอย่างขอไปทีตามหนทางที่มนุษย์ทำสิ่งทั้งหลาย เป็นการสุกเอาเผากิน การยึดปฏิบัติตามหลักธรรมความจริงเท่านั้นที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม  และเมื่อเจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของตน นี่ไม่ใช่การสำแดงความจงรักภักดีหรอกหรือ?  นี่คือการสำแดงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างจงรักพักดี  เฉพาะเมื่อเจ้ามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบนี้ ปณิธานกับความปรารถนานี้ และการสำแดงความจงรักภักดีต่อหน้าที่นี้ที่ยวเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ของเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงมองเจ้าด้วยความโปรดปรานและความเห็นชอบในตัวเจ้า  หากเจ้าไม่มีแม้แต่สำนึกแห่งความรับผิดชอบนี้ พระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติต่อเจ้าประหนึ่งคนเกียจคร้าน คนหัวทึบ และจะทรงดูหมิ่นเจ้า  จากมุมมองของมนุษย์ นั่นหมายถึงการไม่เคารพเจ้า ไม่ถือจริงจังกับเจ้า และดูแคลนเจ้า  มันก็เหมือนกับว่า  หากเจ้าได้ติดต่อกับใครบางคนมาระยะหนึ่งแล้ว  และเจ้าเห็นพวกเขาพูดจาเลื่อนลอย  และพูดจาเพ้อฝันไปเรื่อย  และเจ้าสังเกตว่าพวกเขาชอบโอ้อวดและพูดจาใหญ่โต  และพวกเขาไม่น่าเชื่อถือ—เจ้าจะเคารพพวกเขาหรือไม่?  เจ้าจะกล้ามอบหมายงานใดๆ ให้พวกเขาหรือไม่?  บางทีพวกเขาอาจจะทำให้งานที่เจ้ามอบหมายให้พวกเขาล่าช้าเนื่องจากเหตุผลบางอย่าง  และดังนั้นเจ้าก็จะไม่กล้ามอบหมายอะไรให้คนเช่นนั้น  เจ้าจะรังเกียจพวกเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ  และเจ้าจะเสียใจที่เคยคบค้าสมาคมกับพวกเขา  เจ้าจะรู้สึกโล่งใจที่เจ้าไม่ได้มอบหมายอะไรให้พวกเขา  และเจ้าจะคิดว่าถ้าเจ้าได้ทำเช่นนั้น  เจ้าก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต  สมมติว่าเจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับใครบางคน  และผ่านการสนทนาและการติดต่อกับพวกเขา  เจ้าเห็นว่าไม่เพียงแต่พวกเขามีความเป็นมนุษย์ที่ดี  แต่พวกเขายังมีสำนึกรับผิดชอบด้วย  และเมื่อเจ้ามอบหมายงานให้พวกเขา  แม้ว่าเจ้าจะเพียงแค่พูดอะไรบางอย่างกับพวกเขาอย่างไม่เป็นทางการ  พวกเขาก็จดจำมันไว้ในใจ  และพวกเขาคิดหาวิธีที่จะจัดการงานนั้นให้ดีเพื่อสนองเจ้า  และหากพวกเขาจัดการงานที่เจ้ามอบให้พวกเขาได้ไม่ดี  พวกเขาก็รู้สึกอับอายที่จะพบเจ้าในภายหลัง—นี่คือคนที่มีสำนึกรับผิดชอบ  ตราบใดที่พวกเขาได้รับคำสั่งหรือได้รับมอบหมายบางสิ่ง—ไม่ว่าจะโดยผู้นำ  คนทำงาน  หรือเบื้องบนก็ตาม—ผู้คนที่มีสำนึกรับผิดชอบจะคิดเสมอว่า  “ในเมื่อพวกเขาเห็นความสำคัญของฉันถึงเพียงนี้  ฉันต้องจัดการเรื่องนี้ให้ดีและไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง”  เจ้าจะไม่รู้สึกสบายใจที่จะมอบหมายงานให้คนเช่นนี้ที่มีมโนธรรมและเหตุผลหรอกหรือ?  คนที่เจ้าสามารถมอบหมายงานให้ได้นั้นย่อมเป็นคนที่เจ้ามองในทางที่ดีและไว้วางใจอย่างแน่นอน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  หากพวกเขาได้จัดการงานหลายอย่างให้เจ้าและปฏิบัติงานทั้งหมดอย่างมีมโนธรรมยิ่ง  และเป็นไปตามข้อกำหนดของเจ้าอย่างสมบูรณ์  เจ้าก็จะคิดว่าพวกเขาน่าไว้วางใจ  ในใจของเจ้า  เจ้าจะชื่นชมและให้เกียรติพวกเขาอย่างแท้จริง  ผู้คนเต็มใจที่จะคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้  ไม่ต้องพูดถึงพระเจ้าเลย  พวกเจ้าคิดว่าพระเจ้าจะทรงเต็มพระทัยที่จะมอบหมายงานของคริสตจักรและหน้าที่ที่มนุษย์มีพันธะต้องทำให้แก่คนที่ไม่น่าไว้วางใจหรือไม่?  (ไม่  พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น)  เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายงานชิ้นหนึ่งของคริสตจักรให้ใครบางคน  ความคาดหวังของพระเจ้าต่อพวกเขาคืออะไร?  ประการแรก  พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเขาจะขยันหมั่นเพียรและรับผิดชอบ  ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่องานชิ้นนี้เหมือนเป็นเรื่องใหญ่และจัดการตามนั้น  และทำมันให้ดี  ประการที่สอง  พระเจ้าทรงหวังว่าพวกเขาจะเป็นคนที่ควรค่าแก่ความไว้วางใจ  ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด  และไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร  สำนึกรับผิดชอบของพวกเขาก็ไม่สั่นคลอน  และความซื่อตรงของพวกเขาก็ยืนหยัดต่อการทดสอบได้  หากพวกเขาเป็นคนที่น่าไว้วางใจ  พระเจ้าก็จะทรงวางพระทัย  และพระองค์จะไม่ทรงกำกับดูแลหรือติดตามเรื่องนี้อีกต่อไป  นี่เป็นเพราะในพระทัยของพระองค์  พระองค์ทรงไว้วางพระทัยพวกเขา  และพวกเขาย่อมจะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างแน่นอนโดยไม่มีอะไรผิดพลาด  เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายงานให้ใครบางคน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงหวังไว้หรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  ถ้าเช่นนั้น  เมื่อเจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว  เจ้าก็ควรจะรู้ในใจของเจ้าว่าจะกระทำอย่างไรเพื่อที่จะเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้า  จะทำอย่างไรจึงจะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้าและได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า  หากเจ้าสามารถมองเห็นการสำแดงและพฤติกรรมของเจ้าเอง  และท่าทีที่เจ้าใช้ปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าได้อย่างชัดเจน  หากเจ้ามีความตระหนักรู้ในตนเอง  และเจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นอะไร  เช่นนั้นแล้วมันจะไม่ไร้เหตุผลหรอกหรือที่เจ้าจะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงมองเจ้าในทางที่ดี  ทรงแสดงพระคุณแก่เจ้า  หรือทรงปฏิบัติต่อเจ้าเป็นพิเศษ?  (ใช่  ไร้เหตุผล)  แม้แต่เจ้าเองก็ยังคิดถึงตัวเองน้อยมาก  แม้แต่เจ้าก็ยังดูถูกตัวเอง  แต่เจ้ากลับเรียกร้องให้พระเจ้าทรงมองเจ้าด้วยความโปรดปราน—นี่ไม่สมเหตุสมผล  ดังนั้น  หากเจ้าต้องการให้พระเจ้าทรงมองเจ้าในทางที่ดี  เจ้าก็ควรทำตัวเองให้น่าไว้วางใจในสายตาของคนอื่นเป็นอย่างน้อย  หากเจ้าต้องการให้คนอื่นไว้วางใจเจ้า  มองเจ้าในทางที่ดี  ยกย่องเจ้า  เช่นนั้นแล้วอย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ต้องมีเกียรติ  มีสำนึกรับผิดชอบ  รักษาสัจจะ  และน่าไว้วางใจ  ยิ่งไปกว่านั้น  เจ้าต้องมาเป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียร  รับผิดชอบ  และจงรักภักดีต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะลุล่วงข้อกำหนดของพระเจ้าที่มีต่อเจ้าโดยแก่นแท้แล้ว  แล้วก็จะมีความหวังที่เจ้าจะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่  จะมี)  การบรรลุสิ่งนี้ยากหรือไม่?  (ไม่)  แม้แต่ผู้คนก็ยังต้องการหาคนที่น่าเชื่อถือมาจัดการงานและคบค้าสมาคมด้วย  ดังนั้นมันจะเกินไปหรือไม่ที่พระเจ้าจะทรงขอให้ผู้คนทำหน้าที่ของตนให้ดี  และที่พระองค์จะทรงมีข้อกำหนดเล็กๆ น้อยๆ นี้ต่อพวกเขา?  (ไม่  ไม่เกินไป)  ไม่เกินไปเลยแม้แต่น้อย  นี่ไม่ใช่การทำให้ผู้คนลำบาก  แต่กลับเป็นสิ่งที่ถูกควรอย่างยิ่ง  เพียงแต่ผู้คนไม่มีใจที่จะทำเช่นนี้  พวกเขาไม่ใคร่ครวญถึงพระดำริของพระเจ้าหรือไม่ซาบซึ้งในเจตนารมณ์ของพระเจ้า  ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้คือการเรียกร้องต่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง  โดยกล่าวว่า  “พระองค์ต้องอวยพรข้าพระองค์!  พระองค์ต้องแสดงพระคุณแก่ข้าพระองค์!  พระองค์ต้องทรงนำข้าพระองค์!”  ถ้าเช่นนั้น  สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่คืออะไร?  เจ้าสามารถลุล่วงหน้าที่ของเจ้าตามมโนธรรมและสำนึกของเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  เจ้าสามารถขยันหมั่นเพียร  รับผิดชอบ  และจงรักภักดีอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  นี่คือเงื่อนไขขั้นต่ำสุดที่เจ้าต้องเป็นไปตามเพื่อให้พระเจ้าทรงมองเจ้าด้วยความโปรดปราน  ผู้คนควรจะพากเพียรไปในทิศทางนี้ไม่ใช่หรือ?  ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าก็ต้องมุ่งมั่นไปสู่ความจริงและข้อกำหนดของพระเจ้า—ผู้คนควรจะพากเพียรไปในทิศทางนี้  ผู้คนต้องพากเพียรในทิศทางที่ถูกต้อง  ด้วยวิธีนั้น  การแสวงหาที่จะสนองพระเจ้าของพวกเขาก็จะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป

ในใจของผู้นำเทียมเท็จ  พวกเขามีแนวคิดเรื่องการสนองพระทัยพระเจ้าในการที่พวกเขาเชื่อในพระองค์หรือไม่?  พวกเขามีท่าทีใดๆ หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่  พวกเขามีเพียงท่าทีของการใช้ชีวิตไปวันๆ  และพวกเขาก็ปฏิบัติต่อพระเจ้าในแบบเดียวกัน  ในลักษณะที่ไม่เคารพยำเกรงและเหยียดหยามอย่างไม่น่าเชื่อ  ท่าทีประเภทนี้เป็นการนำความอัปยศมาสู่พระองค์และลบหลู่พระองค์อย่างร้ายแรง  และพระเจ้าทรงชิงชังการนี้  พระเจ้าประทานชีวิตและทุกสิ่งที่บุคคลพึงมีแก่พวกเขา  แต่ท่าทีของพวกเขาต่อทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  ต่อการจัดการเตรียมการที่พระเจ้าทรงมีให้ชีวิตของพวกเขา  ต่อพระบัญชาและพระราชกิจของพระเจ้า  และต่อหน้าที่ของพวกเขาเอง  กลับเป็นท่าทีของการดูถูกและเหยียดหยาม  “เหยียดหยาม” หมายความว่าอะไร?  มันหมายถึงการต้องการใช้ชีวิตไปวันๆ  และไม่ใส่ใจอะไรอย่างจริงจัง  พระเจ้าทรงชิงชังท่าทีของพวกเขาเช่นนี้อย่างที่สุด  และนั่นคือเหตุผลที่พระองค์จะไม่ทรงช่วยคนเช่นนี้ให้รอดอย่างแน่นอน  สิ่งที่พวกเจ้าควรเข้าใจในที่นี้คืออะไร?  คือพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนประเภทนี้  ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำหรือไม่  หรือว่าเจ้ามีความทะเยอทะยานและความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเป็นผู้นำหรือไม่  เจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะประพฤติปฏิบัติตนก่อน  และต้องไม่เป็นคนเกียจคร้าน  คนเสเพล  หรือคนเลวทรามอย่างเด็ดขาด  ในการประพฤติปฏิบัติของเจ้า  เจ้าต้องมีท่าทีที่เที่ยงตรง  มีเกียรติ  และมีสำนึกรับผิดชอบ—นี่คือขั้นต่ำที่สุด  บนรากฐานนี้เท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถเป็นไปตามข้อกำหนดของพระเจ้าและทำให้พระบัญชาของพระองค์สำเร็จลุล่วงได้  หากเจ้าไม่มีแม้แต่รากฐานเล็กน้อยนี้  เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรจะพูดถึง

3 เมษายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (7)

ถัดไป:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (9)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger