หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (9)

หลักเกณฑ์สองประการสำหรับตัดสินว่าผู้นำและคนทำงานตรงตามมาตรฐานหรือไม่

บัดนี้ พวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานไปทั้งหมดแปดประการ และในเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบแปดประการนี้ พวกเราได้ชำแหละการสำแดงนานาประการของผู้นำเทียมเท็จไปแล้ว  จากการชำแหละพวกเขาในหนทางนี้ บัดนี้พวกเจ้ามีวิจารณญาณแยกแยะเกี่ยวกับผู้นำเทียมเท็จอยู่บ้างแล้วใช่หรือไม่?  หากเจ้าเป็นผู้นำ เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงการปฏิบัติเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จได้หรือไม่?  เจ้าจะสามารถปฏิบัติงานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานอย่างมีสติ ตามหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเราสามัคคีธรรมกันไปได้หรือไม่?  ผ่านสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ตอนนี้ในหัวใจของพวกเจ้าควรรู้แล้วว่า ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติงานของพวกเขาอย่างไร มีรายละเอียดใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานนี้ พวกเขาควรดำเนินงานอย่างไร และพวกเขาควรปฏิบัติการเป็นผู้นำและคนทำงานที่ตรงตามมาตรฐานอย่างไร  หากคนคนหนึ่งมีขีดความสามารถเพียงพอ หากพวกเขามีความสามารถในการทำงานอยู่ระดับหนึ่ง และพวกเขาก็แบกรับภาระ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรหลีกเลี่ยงการแสดงออกซึ่งการสำแดงเหล่านี้ของผู้นำเทียมเท็จได้  อย่างไรก็ตาม หากคนคนหนึ่งมีขีดความสามารถและมีความสามารถในการทำงานอยู่ระดับหนึ่ง แต่พวกเขาไม่แบกรับภาระ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถเป็นผู้นำที่ตรงตามมาตรฐานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  สำหรับพวกเขา การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก  สมมุติว่าผู้นำคนหนึ่งแบกรับภาระและความเป็นมนุษย์ของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติงานของตนอย่างไร  ไม่ว่าสามัคคีธรรมกับเขาอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะมีส่วนร่วมและดำเนินงานอันเจาะจงอย่างไร อีกทั้งไม่สามารถหาหลักธรรมและทิศทางได้  เขายังไม่รู้อีกด้วยว่าจะให้การชี้นำกับงานหรือสายงานที่เจาะจงอย่างไร  เมื่อมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้น ผู้นำคนนี้ก็หาแก่นแท้ของปัญหาเหล่านั้นไม่เจอ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงแสนจะนิ่งเฉยและเชื่องช้าอยู่ตลอดเวลาในงานที่พวกเขาทำหรือในปัญหาใดก็ตามที่เขากำลังจัดการ  บุคคลเช่นนั้นจะสามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่เป็นปัญหาประเภทใดหรือ?  ถึงแม้ว่าคนประเภทนี้จะกระตือรือร้นมาก แบกรับภาระ และต้องการปฏิบัติงานของตน ขีดความสามารถของพวกเขาก็ย่ำแย่เกินไป พวกเขาไม่มีความสามารถในการทำงาน และไม่สามารถแบกรับงาน หรือปฏิบัติงานอันเจาะจงหรือแก้ไขปัญหาอันเจาะจงได้ เวลามีส่วนร่วมในงานใดก็ตาม พวกเขาก็ได้แต่ทำไปให้พอพ้นตัว และพวกเขายังเป็นคนที่หัวทึบ ด้านชา และนิ่งเฉยอย่างมาก  ผลลัพธ์จากเรื่องนี้คือมีประเด็นปัญหาเกิดขึ้นมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเริ่มจัดการปัญหาเหล่านั้นได้ พวกเขาไม่รู้ว่าปัญหาเหล่านั้นเกิดมาจากจุดไหน ไม่ต้องพูดถึงการที่พวกเขาจะรู้วิธีสามัคคีธรรมและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเลย และพวกเขาก็ไม่สามารถรายงานปัญหาเหล่านั้นต่อเบื้องบนและแสวงหาจากเบื้องบนได้เสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานได้ และต่อให้พวกเขาจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้นำที่ดี—พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ

บัดนี้ เมื่อพวกเราได้สามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานทั้งแปดประการไปแล้ว พวกเจ้าย่อมสามารถคิดคำนิยามเบื้องต้นของผู้นำเทียมเท็จได้ใช่หรือไม่?  คนเราควรตัดสินอย่างไรว่าผู้นำคนหนึ่งกำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน หรือเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ?  ในระดับพื้นฐานที่สุด คนเราต้องดูว่าพวกเขาสามารถทำงานจริงได้หรือไม่ พวกเขามีขึดความสามารถเช่นนี้หรือไม่  จากนั้น คนเราก็ควรดูว่าพวกเขามีภาระที่จะทำงานนี้ให้ดีหรือไม่  อย่าไปสนใจว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นฟังดูดีเพียงใดและพวกเขาดูเข้าใจหลักคำสอนมากแค่ไหน และอย่าไปสนใจว่าพวกเขามีพรสวรรค์และมีความสามารถพิเศษเพียงใดในยามที่จัดการกับเรื่องภายนอก—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ  สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดมากที่สุดคือพวกเขาสามารถดำเนินงานที่เป็นพื้นฐานที่สุดของคริสตจักรได้อย่างถูกควรหรือไม่ พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาโดยใช้ความจริงได้หรือไม่ และพวกเขาสามารถนำผู้คนไปสู่ความเป็นจริงความจริงได้หรือไม่  นี่คืองานที่เป็นพื้นฐานและเป็นแก่นสำคัญมากที่สุด  หากพวกเขาไม่สามารถทำงานจริงเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขามีขีดความสามารถดีเพียงใด พวกเขามีความสามารถพิเศษแค่ไหน หรือพวกเขาสามารถสู้ทนความยากลำบากและจ่ายราคาได้มากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้นำเทียมเท็จ  คนบางคนกล่าวว่า “ตอนนี้ช่างเรื่องที่พวกเขาไม่ได้ทำงานจริงไปเถิด  พวกเขามีขีดความสามารถดีและเป็นคนมีความสามารถ  หากพวกเขาฝึกฝนสักระยะหนึ่ง พวกเขาจะต้องสามารถทำงานจริงได้แน่  อีกอย่างพวกเขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดี และยังไม่ได้ทำชั่วหรือก่อการรบกวนและการขัดขวางเลย—พระองค์จะตรัสว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จได้อย่างไร?”  พวกเราจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร?  ไม่สำคัญว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษอย่างไร มีขีดความสามารถและมีการศึกษาในระดับไหน เจ้าสามารถกู่ก้องคำขวัญได้มากมายเพียงใด หรือเจ้าเข้าใจคำพูดและคำสอนมากมายแค่ไหน ไม่ว่าในแต่ละวันเจ้าจะยุ่งหรือเหนื่อยล้าเพียงใด หรือเจ้าเดินทางมาไกลแค่ไหน เจ้าไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรกี่แห่ง หรือเจ้าแบกรับความเสี่ยงและสู้ทนความทุกข์มากเพียงใด—สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญเลย  สิ่งที่สำคัญคือเจ้าปฏิบัติงานของตนตามการจัดการเตรียมงานหรือไม่ เจ้าดำเนินการจัดการเตรียมการเหล่านั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ ระหว่างการเป็นผู้นำของเจ้า เจ้าได้มีส่วนร่วมในงานอันเฉพาะเจาะจงทุกๆ งานที่เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบหรือไม่ เจ้าแก้ไขประเด็นปัญหาจริงไปแล้วกี่อย่าง มีคนที่มาเข้าใจหลักธรรมความจริงเพราะการเป็นผู้นำและการนำของเจ้ากี่คน และงานของคริสตจักรได้คืบหน้าและพัฒนาไปมากเพียงใด—สิ่งที่สำคัญก็คือ เจ้าสัมฤทธิ์ผลลัพธ์เหล่านี้แล้วหรือยัง  ไม่ว่าเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานอันเฉพาะเจาะจงงานใด สิ่งสำคัญก็คือเจ้าได้ติดตามผลและนำทางงานนั้นอย่างต่อเนื่องแทนการทำตัวสูงส่ง มีอำนาจ และออกคำสั่งหรือไม่  นอกจากเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญอีกเช่นกันก็คือ ในขณะที่เจ้าทำหน้าที่ของตนนั้นเจ้ามีการเข้าสู่ชีวิตหรือไม่ เจ้าสามารถจัดการกับเรื่องทั้งหลายตามหลักธรรมได้หรือไม่ เจ้ามีคำพยานของการนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่ และเจ้าสามารถจัดการและแก้ไขประเด็นปัญหาจริงที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเผชิญได้หรือไม่  สิ่งเหล่านี้ รวมถึงสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ล้วนเป็นหลักเกณฑ์ในการประเมินว่าผู้นำหรือคนทำงานได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่  พวกเจ้าคิดว่าหลักเกณฑ์เหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงใช่หรือไม่?  และเป็นธรรมกับผู้คนใช่หรือไม่?  (ใช่)  หลักเกณฑ์เหล่านั้นเป็นธรรมกับทุกคน  ไม่ว่าการศึกษาของเจ้าอยู่ในระดับใด ไม่ว่าเจ้าเป็นคนหนุ่มสาวหรือแก่เฒ่า ไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี ไม่ว่าเจ้ามีอาวุโสแค่ไหน หรือเจ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมายเพียงใด สิ่งเหล่านี้ก็ไม่สำคัญเลย  สิ่งสำคัญก็คือหลังจากได้รับเลือกเป็นผู้นำแล้ว เจ้าทำงานของคริสตจักรได้ดีเพียงใด เจ้ามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในงานของตนเพียงใด อีกทั้งงานแต่ละชิ้นนั้นคืบหน้าไปอย่างเป็นระเบียบและเกิดผล และไม่ล่าช้าหรือไม่  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องหลักที่จะนำมาประเมินในยามที่มีการวัดว่าผู้นำหรือคนทำงานได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่

ผ่านสิ่งที่พวกเราเพิ่งสามัคคีธรรมไป บัดนี้พวกเจ้าย่อมมีความเข้าใจและความรู้อันแจ่มแจ้งเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน รวมถึงคำพูดที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำนิยามและแก่นแท้ของผู้นำเทียมเท็จกันบ้างแล้ว  หลักเกณฑ์พื้นฐานที่สุดในการตัดสินว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่คือการดูว่าพวกเขาสามารถปฏิบัติงานจริงได้หรือไม่ จากนั้นก็ดูว่าที่จริงแล้ว พวกเขาทำงานจริงหรือไม่  นี่คือหลักเกณฑ์ที่สำคัญสองประการ หนึ่งคือคำถามที่ว่าพวกเขามีความสามารถหรือไม่ และอีกประการหนึ่งคือคำถามที่ว่าพวกเขาเต็มใจหรือไม่  พวกเจ้าจะจำสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่?  คนบางคนกล่าวว่า “ฉันไม่ใช่ผู้นำ แล้วทำไมฉันถึงควรจำสิ่งเหล่านี้ให้ได้?”  ความเห็นเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?  (ไม่ถูกต้อง)  เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง?  ผ่านการเข้าใจความจริงเหล่านี้ ในแง่มุมหนึ่งผู้คนย่อมสามารถมารู้จักตนเองได้ และอีกแง่มุมหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถมาแยกแยะผู้อื่นได้—สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ผู้คนควรมีและเข้าใจ และการไม่เข้าใจความจริงเหล่านี้ย่อมจะไม่ได้การ  ก่อนอื่นเจ้าต้องประเมินว่าเจ้ามีขีดความสามารถและมีความสามารถที่จะเป็นผู้นำตามหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานหรือไม่  หากเจ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นก็จงอย่าเอาแต่ต้องการที่จะเป็นผู้นำ  หากเจ้าไม่มีขีดความสามารถในการเป็นผู้นำแต่ยังต้องการที่จะเป็น เช่นนั้นก็ย่อมเป็นความมักใหญ่ใฝ่สูง ทันทีที่เจ้ากลายเป็นผู้นำ เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติงานจริงได้ และเจ้าจะกลายเป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  บางคนกล่าวว่า “ฉันมีขีดความสามารถดี ในบรรดาทุกคนฉันคือคนที่โดดเด่น ฉันมักจะคิดแนวคิดที่ดีบางอย่าง รวมถึงข้อเสนอแนะที่ดีและชาญฉลาดบางอย่างได้  ฉันเชี่ยวชาญในทุกเรื่องที่ทำ แถมฉันยังค่อนข้างมีความรู้ มีความเข้าใจเชิงลึก และมีประสบการณ์มาก  ทั้งหมดนี้หมายความว่าฉันสามารถเป็นผู้นำได้มิใช่หรือ?”  เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรประเมินตนเองดูว่าเจ้ามีสำนึกแห่งหน้าที่รับผิดชอบและแบกรับภาระหรือไม่  หากเจ้ามีแต่ความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และมีเพียงความปรารถนาที่จะทำสิ่งทั้งหลาย อีกทั้งมีความมักใหญ่ใฝ่สูงอย่างใหญ่หลวงแต่ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นต่อไปจนสำเร็จได้ และเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะทุ่มเทความพยายามและจ่ายราคาอย่างไร อีกทั้งไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคาใดเลย—หากเจ้าต้องการให้สมองและหัวใจของเจ้าอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลายอยู่เสมอ หากเจ้าชอบที่จะอยู่ว่างและไม่ถูกผูกมัด ชอบมีชีวิตที่สะดวกสบาย และไม่ชอบที่จะกังวลหรือมีชีวิตที่ยุ่ง ทั้งยังกลัวความเหนื่อยล้าและความยากลำบาก—เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ และเจ้าจะไม่สามารถแบกรับหรือปฏิบัติงานของการเป็นผู้นำได้เลย

ขณะนี้ พวกเราเพิ่งสรุปหลักเกณฑ์สองประการในการตัดสินว่าผู้นำคนหนึ่งตรงตามมาตรฐานหรือไม่ กล่าวคือ พวกเขามีความสามารถในการปฏิบัติงานจริงหรือไม่ และพวกเขาทำงานจริงหรือไม่  หากผู้คนเข้าใจหลักเกณฑ์สองประการนี้ เช่นนั้นพวกเขาก็ควรเข้าใจชัดเจนโดยสมบูรณ์ว่าพวกเขาสามารถเป็นผู้นำได้หรือไม่ รวมไปถึงพวกเขามีความสามารถที่จะทำงานของคริสตจักรให้ดี ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนอย่างครบถ้วน และเป็นคนที่ตรงตามมาตรฐานของผู้นำหลังจากที่ได้เป็นหรือไม่  สำหรับผู้ที่รับหน้าที่ผู้นำและคนทำงานอยู่ในขณะนี้ ตอนนี้เจ้าได้มีเส้นทางและหลักธรรมบางอย่างในการประเมินวัดว่าเจ้าได้ทำงานจริงและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานแล้วใช่หรือไม่?  ผ่านการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบแปดประการของผู้นำและคนทำงาน พวกเจ้าควรมีความสามารถที่จะประเมินว่าการสำแดงใดที่ผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมา และสรุปได้อย่างแน่ชัดว่าผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติงานของพวกเขาอย่างไร รวมไปถึงจุดใดในงานของเจ้าที่ยังขาดตกบกพร่อง ดีไม่พอ หรือเฉพาะเจาะจงไม่พอ และเจ้าควรทำงานอย่างไรต่อจากนั้น—อย่างน้อยที่สุดเจ้าควรมีความเข้าใจเชิงลึกเหล่านี้  หากพวกเจ้าไม่มีข้อสรุปหรือความเข้าใจเชิงลึกในเรื่องของวิธีเป็นผู้นำหรือคนทำงาน หรือวิธีลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน เช่นนั้นก็หมายความว่าขีดความสามารถของเจ้ายังไม่ถึงงานนั้น  มากไปกว่านั้น หากเจ้ารู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิงว่าจะแยกแยะผู้นำเทียมเท็จอย่างไร เช่นนั้นแล้ว นี่ยิ่งแสดงให้เห็นกว่าเดิมว่าขีดความสามารถของพวกเจ้านั้นย่ำแย่ นอกจากนี้ยังมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือ มีบางคนที่ถึงแม้จะได้ฟังสามัคคีธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเพียรพยายามเพื่อความจริงหรือลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน คนที่ไม่ได้จริงจังหรือเก็บเรื่องนี้ไปใส่ใจเลย  พวกเขาคิดว่า “ฉันไม่สนใจว่าใครจะเป็นผู้นำเทียมเท็จ  อย่างไรเสียถ้าฉันได้เป็นผู้นำ ฉันก็จะทำทุกอย่างที่เบื้องบนสั่งให้ฉันทำ  ฉันคงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามมากมายหรือใช้ความคิดมากมายนัก”  เมื่อพวกเขาฟังคำเทศนา พวกเขาก็ฟังแค่พอเป็นพิธีและฆ่าเวลา ทั้งยังรู้เพียงคร่าวๆ เท่านั้นว่าคำเทศนาเจาะจงพูดถึงเรื่องใด แต่พวกเขาเกียจคร้านเกินกว่าที่จะสรุปว่ากำลังสามัคคีธรรมถึงความจริงประการใดและข้อกำหนดใดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ และพวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะเอาสิ่งเหล่านี้มาใส่หัวใจเลย  พวกเขาคิดว่า  “การแยกแยะเรื่องพวกนี้ยุ่งยากเกินไป  อย่างไรเสียฉันก็มีข้อกำหนดเพียงหนึ่งประการให้กับตัวเอง นั่นคือการไม่ทำชั่ว ไม่ก่อการรบกวนและการขัดขวาง รวมถึงไม่ทำตัวโดดเด่นจากฝูงชน เท่านั้นก็พอแล้ว  เรียบง่ายจะตาย!  นี่เป็นหนทางอันยอดเยี่ยมในการใช้ชีวิต ฉันไม่ได้เรียกร้องจากตัวเองมากนัก”  ไม่ว่าพวกเขาฟังคำเทศนาอย่างไร นี่ก็เป็นแง่มุมเดียวของพวกเขา และไม่มีใครสามารถเปลี่ยนพวกเขาได้ ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างไร ไม่ว่าเจ้าใช้วิธีการใดในการสามัคคีธรรม หรือไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมถึงสิ่งใด เจ้าก็ไม่สามารถจับหัวใจของพวกเขาได้ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจว่าพวกเขาจะฟังคำพูดเหล่านี้หรือไม่ เพราะสำหรับพวกเขาแล้วแทบไม่ต่างกันเลย  บุคคลประเภทนี้ใช้ชีวิตแค่พอผ่านไป ทั้งยังไม่จริงจังกับสิ่งใดทั้งสิ้น  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบแปดประการของผู้นำและคนทำงาน—ต่อให้พวกเราสามัคคีธรรมทั้งหมดทุกประการ พวกเขาก็จะยังคงไม่เข้าใจ และจะไม่สามารถสรุปหลักธรรมหรือเส้นทางใดได้  ผู้คนเช่นนี้ไม่รักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขาไม่สนใจและไม่อาจรวบรวมเรี่ยวแรงขึ้นมาได้เมื่อเป็นเรื่องของความจริงหรือสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวก และในทางกลับกัน พวกเขามีความสนใจระดับหนึ่งในการกิน การดื่ม และการแสวงหาความพึงพอใจ  จากการสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบแปดประการของผู้นำและคนทำงาน ในแง่มุมหนึ่งพวกเราได้สรุปหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างของผู้นำและคนทำงาน รวมถึงวิธีปฏิบัติงานและลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของคนเราในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน อีกแง่มุมหนึ่ง พวกเราได้สรุปการสำแดงอันเฉพาะเจาะจงบางอย่างที่ผู้นำเทียมเท็จแสดงออกมา  ขณะนี้พวกเราเพิ่งสรุปหลักธรรมเบื้องต้นสองประการ หลักเกณฑ์สองประการ สำหรับแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ หนึ่งคือดูว่าใครบางคนสามารถปฏิบัติงานจริงได้หรือไม่ และอีกประการหนึ่งคือดูว่าเมื่อพวกเขาเข้าใจหลักธรรมความจริงแล้ว โดยแท้แล้วพวกเขาทำงานจริงหรือไม่  การใช้หลักเกณ์สองประการนี้เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดและเรียบง่ายที่สุดในปัจจุบัน เพื่อประเมินดูว่าใครบางคนเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่

ประการที่เก้า: สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา (ภาคที่หนึ่ง)

คำนิยามและรายการอันเจาะจงของการจัดการเตรียมงาน

วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงาน นั่นคือ “สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา”  เมื่อพิจารณาหน้าที่รับผิดชอบนี้โดยรวม สิ่งที่พึงให้ผู้นำและคนทำงานดำเนินการคืออะไร?  (การจัดการเตรียมงานอันหลากหลายของพระนิเวศของพระเจ้า)  ประเด็นหลักของหน้าที่รับผิดชอบนี้คือวิธีดำเนินการจัดการเตรียมงานอันหลากหลายของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คืองานที่สำคัญที่สุดของผู้นำและคนทำงาน  ไม่ว่าคนเราเป็นผู้นำหรือคนทำงานในระดับใด ในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน คนเราจะเผชิญกับการจัดการเตรียมงาน รวมไปถึงงานอันเจาะจงของการดำเนินการจัดการเตรียมงานอยู่เสมอ  การดำเนินการจัดการเตรียมงานอันหลากหลายนั้นเกี่ยวข้องกับงานของผู้นำและคนทำงานทุกๆ คน และนี่คืองานที่สำคัญมาก เฉพาะเจาะจงมาก และเป็นพื้นฐานอย่างมาก  เมื่อคำนึงจากจุดนี้ อันดับแรกจึงจำเป็นที่จะต้องสามัคคีธรรมโดยเจาะจงว่าการจัดการเตรียมงานคืออะไรมิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วการจัดการเตรียมงานคืออะไร?  ขอบเขตและคำนิยามของการจัดการเตรียมงานเป็นอย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “ขอบเขตของการจัดการเตรียมงานนั้นครอบคลุมแค่งานและเนื้อหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานของคริสตจักรมิใช่หรือ?  และการจัดการเตรียมงานก็เป็นแค่การจัดการเตรียมการและการแจกจ่ายงานและเนื้อหาเหล่านี้มิใช่หรือ?”  เจ้าคิดอย่างไรกับคำอธิบายนี้?  นี่ล้วนเป็นคำพูดและคำสอนมิใช่หรือ?  (ใช่ นี่ล้วนเป็นคำพูดและคำสอน)  แล้วคำว่า “คำพูดและคำสอน” หมายความว่าอย่างไร?  คำนี้หมายความว่า ถึงแม้ว่าคำอธิบายนี้จะไม่มีคำใดที่ฟังดูไม่ถูกต้อง แต่หลังจากที่ฟัง เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจคำอธิบายนี้ ราวกับว่าสิ่งนี้ยังไม่ได้รับการอธิบายแต่อย่างใดเลย  ก่อนอื่น พวกเรามานิยามการจัดการเตรียมงานในแง่ของคำอธิบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้คนสามารถมีแนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการนี้ จะได้เข้าใจและรู้ว่าการจัดการเตรียมงานคืออะไรกันแน่กันเถิด  การจัดการเตรียมงานเป็นแผนการและข้อกำหนดอันเฉพาะเจาะจงที่พระนิเวศของพระเจ้ามีต่องานอันเจาะจงบางอย่าง สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการสื่อสารและดำเนินการโดยผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเป็นข้อกำหนด งาน และวิธีการสำหรับงานอันเจาะจงที่ถูกแจกจ่ายให้สมาชิกคริสตจักรทุกคน—นี่คือคำนิยามของการจัดการเตรียมงาน  แล้วการจัดการเตรียมงานครอบคลุมรายการใดบ้าง?  ทุกคนรู้จักคำนามว่า “รายการ” นี้ แต่ก็ควรมีเนื้อหาอันเจาะจงบางอย่างที่ครอบคลุมอยู่ภายในขอบเขตของรายการเหล่านี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  พวกเจ้ารู้จักเนื้อหาใดบ้าง?  (มีงานข่าวประเสริฐ และมีงานผลิตภาพยนตร์)  นั่นคือสองรายการ  (นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคริสตจักรและการจัดตั้งองค์กรฝ่ายปกครองของคริสตจักรด้วย)  มีงานอะไรอีก?  (มีงานของการชำระคริสตจักรให้สะอาด รวมไปถึงงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับระบบการบริหารจัดการของคริสตจักร)  เนื้อหาอันเจาะจงของการจัดการเตรียมงานมีดังนี้ รายการที่หนึ่ง งานด้านการปกครองของคริสตจักร  นี่เป็นงานที่ใหญ่ที่สุด และหากงานด้านการปกครองไม่ดำเนินไปด้วยดี ก็ย่อมจะไม่มีงานของคริสตจักรเลย  รายการที่สอง งานด้านบุคลากร  นี่เป็นงานใหญ่  รายการที่สาม งานข่าวประเสริฐ  นี่ก็เป็นงานใหญ่เช่นเดียวกัน  รายการที่สี่ งานในสายอาชีพหลากหลายประเภท   ขอบเขตของงานนี้ค่อนข้างกว้าง อีกทั้งเป็นงานที่รวมถึงการผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน การแปลภาษา ดนตรี การผลิตวีดิทัศน์ ศิลปะ และอื่นๆ  รายการที่ห้า ชีวิตคริสตจักร  รายการที่หก งานของการบริหารจัดการทรัพย์สิน  รายการที่เจ็ด งานของการชำระให้สะอาด  รายการที่แปด กิจธุระภายนอก  รายการที่เก้า สวัสดิการของคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น วิธีที่คริสตจักรแก้ไขความยากลำบากที่เกิดขึ้นในบ้านของพี่น้องชายหญิง สิ่งที่คริสตจักรทำเกี่ยวกับความยากลำบากเหล่านั้น รวมไปถึงการเยี่ยมพี่น้องชายหญิงในเรือนจำ และการดูแลครอบครัวของคนเหล่านั้น เป็นต้น—ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้สวัสดิการของคริสตจักร  รายการที่สิบ แผนการฉุกเฉิน  บางครั้งคริสตจักรจะประกาศมาตรการฉุกเฉินบางอย่าง  ตัวอย่างเช่น ในตอนที่เกิดการระบาดครั้งใหญ่ คริสตจักรได้นำเอาระบบการแยกตัวที่สอดคล้องกันมาใช้  แผนการเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้แผนการฉุกเฉิน  โดยพื้นฐานแล้ว การจัดการเตรียมงานเกี่ยวข้องกับทั้งสิบรายการนี้  งานยิบย่อยอื่นๆ หรือรูปการณ์แวดล้อมพิเศษก็รวมอยู่ในสิบรายการนี้—โดยพื้นฐานแล้วงานของคริสตจักรเกี่ยวข้องกับสิบรายการที่สำคัญนี้  โดยแท้แล้ว สิ่งเหล่านี้คือขอบเขตของการจัดการเตรียมงานอันหลากหลายที่ถูกแจกจ่ายโดยพระนิเวศของพระเจ้าใช่หรือไม่?  (ใช่)  บัดนี้เมื่อทั้งสิบรายการได้รับการยืนยันแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็ควรเข้าใจการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าอยู่เล็กน้อย และรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นงานสำคัญในพระนิเวศของพระเจ้า  นี่คือขอบเขตของข้อกำหนดที่พระนิเวศของพระเจ้ามีในเรื่องของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  นัยของสิ่งนี้คือในฐานะผู้นำหรือคนทำงาน ขอบเขตของงานและหน้าที่รับผิดชอบที่เจ้าต้องทำให้ลุล่วงนั้นไม่อาจหลุดไปจากรายการเหล่านี้ที่อยู่ในการจัดการเตรียมงานได้—รายการเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น  นอกจากงานเหล่านี้แล้ว ในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเต็มใจทำ จงทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำได้ดีบ้าง และพระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า  เพราะฉะนั้นขณะที่เจ้าปฏิบัติงานของตน เจ้าก็ควรใคร่ครวญดูว่าจะดำเนินงานเหล่านี้อย่างไร  ข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้าคืออะไร งานอันเฉพาะเจาะจงใดที่เจ้าต้องทำ เจ้าจะดำเนินงานดังกล่าวอย่างไร งานนั้นดำเนินการด้วยดีหรือไม่ ความคืบหน้าในปัจจุบันเป็นอย่างไร เจ้าได้ติดตามงานดังกล่าวหรือไม่ มีงานรายการใดที่ยังไม่ได้ทำให้ดีหรือมีการเบี่ยงเบนและข้อตำหนิปรากฏอยู่ และทุกคนที่มีส่วนร่วมในงานนั้น โดยแท้แล้วกำลังทำงานอยู่หรือไม่—เจ้าต้องใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ  บัดนี้เมื่อเจ้าเข้าใจรายการงานอันเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเตรียมงานแล้ว เราก็จำเป็นต้องมอบการอธิบายอันเรียบง่ายให้กับแต่ละรายการใช่หรือไม่?  หรือบางทีพวกเจ้าอาจจะคิดว่า “พวกเราทีส่วนในรายการงานเหล่านี้มาหลายปีแล้ว และพวกเราก็เข้าใจทั้งหมด ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องอธิบายสิ่งเหล่านี้อีกครั้งเลย—โปรดทรงสามัคคีธรรมถึงบางสิ่งที่สำคัญแทนเถิด  หัวข้อนี้ไม่ได้สำคัญมากนัก แถมไม่สำคัญด้วยว่าพวกเราจะรู้เกี่ยวกับงานเหล่านี้หรือไม่ และพวกเราก็ไม่อยากฟังเรื่องนั้นด้วย”?  การอธิบายหัวข้อนี้เพิ่มเติมนั้นจำเป็นหรือไม่?  (จำเป็น)  ในเมื่อจำเป็น พวกเราก็มาพูดถึงเรื่องนี้แบบเรียบง่ายกันเถิด  เราจะเลือกบางรายการที่เจ้ายังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก รายการที่ไม่ค่อยเฉพาะเจาะจง ค่อนข้างเป็นรูปธรรม แล้วสามัคคีธรรมถึงรายการเหล่านั้น

I. งานด้านการปกครอง

พวกเรามาเริ่มต้นด้วยการสามัคคีธรรมถึงงานรายการแรกนั่นคือ งานด้านการปกครอง กันเถิด  งานด้านการปกครองค่อนข้างเป็นนามธรรมและไม่ได้เป็นรูปธรรมมากพอ และผู้คนมากมายก็ไม่เข้าใจงานนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามาได้ไม่นานย่อมไม่รู้เกี่ยวกับการก่อตั้งคริสตจักรและงานด้านการปกครองของคริสตจักรจริงๆ อีกทั้งพวกเขาไม่รู้ว่าการปกครองคืออะไร  การปกครองนี้ไม่เหมือนกับกฎการปกครองที่พระเจ้าทรงประกาศ  โดยหลักแล้ว งานด้านการปกครองนี้เกี่ยวข้องกับข้อกำหนดอันเจาะจงของพระนิเวศของพระเจ้าต่องานของการก่อตั้งคริสตจักร  แล้วข้อกำหนดอันเจาะจงเหล่านี้มีเนื้อหาอย่างไร?  เนื้อหาดังกล่าวรวมถึงวิธีการแบ่งคริสตจักร จำนวนคนในแต่ละคริสตจักร วิธีตั้งชื่อคริสตจักร เป็นต้น  ในการจัดการเตรียมงานกำหนดไว้ว่าคริสตจักรทั้งหลายต้องถูกแบ่งตามสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติ โดยให้มีคนราวสามสิบถึงห้าสิบคนอาศัยอยู่ค่อนข้างใกล้เคียงกันจึงจะถูกจัดว่าเป็นคริสตจักร  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าในย่าน ก.ไก่ มีหมู่บ้านอยู่ราวสามหรือสี่หมู่บ้าน หากหมู่บ้านเหล่านี้มีผู้เชื่อห้าสิบคน เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถถูกจัดว่าเป็นคริสตจักรได้  พวกเขาจะมีช่วงเวลาและสถานที่จัดการชุมนุมเป็นของตนเอง พวกเขาจะมีผู้นำคริสตจักรและมัคนายก รวมไปถึงมีงานอันเจาะจงของคริสตจักรที่ต้องทำ และทุกสิ่งจะถูกบริหารจัดการร่วมกันโดยคริสตจักรแห่งนี้  นี่คือข้อกำหนดในเรื่องของการแบ่งคริสตจักรและจำนวนสมาชิกในคริสตจักร  ขณะเดียวกัน คริสตจักรแห่งนี้จะอยู่ภายใต้หน้าที่รับผิดชอบของเขตใดเขตหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าคริสตจักรแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ใด และเขตนั้นจะรับผิดชอบงานทุกชิ้นในคริสตจักรแห่งนั้น อย่างเช่นชีวิตคริสตจักรที่นั่น ผู้นำและมัคนายกเป็นคนที่เหมาะสมหรือไม่ การแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้า การดำเนินการจัดการเตรียมงานอันหลากหลาย รวมถึงการสื่อสารข้อกำหนดของเบื้องบน เป็นต้น  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงสำหรับสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่น จำนวนคริสตจักรที่รวมกันเป็นหนึ่งเขต จำนวนเขตที่รวมกันเป็นหนึ่งภูมิภาค รวมถึงภูมิภาคที่รับผิดชอบเขตต่างๆ และเขตต่างๆ ที่รับผิดชอบคริสตจักรทั้งหลาย ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารปกครอง  หากกล่าวโดยง่าย สิ่งนี้เรียกว่างานด้านการปกครอง และงานนี้อยู่ในขอบเขตของหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แล้วสิ่งใดคือหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง?  พวกเขาต้องแบ่งคริสตจักรออกไปตามสถานที่และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ตามธรรมชาติของคริสตจักรเหล่านั้นโดยอ้างอิงตามการจัดการเตรียมงาน  หากเวลาผ่านไปและจำนวนคนในคริสตจักรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เช่นนั้นคริสตจักรก็ควรถูกแบ่งอีกครั้งตามจำนวนของคนและสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์  ตัวอย่างเช่น หากคริสตจักรเติบโตขึ้นจากห้าสิบคนไปสู่แปดสิบคน ก็ควรแบ่งออกเป็นสองคริสตจักร หากสองคริสตจักรนี้รวมกันแล้วเติบโตขึ้นจากแปดสิบคนไปสู่หนึ่งร้อยห้าสิบคน เช่นนั้นแล้ว คริสตจักรเหล่านี้ก็ควรถูกแบ่งออกเป็นสามคริสตจักร  หากคริสตจักรเติบโตขึ้นจนมีสมาชิกเจ็ดสิบคน แปดสิบคน หรือหนึ่งร้อยคน และยังไม่ถูกแบ่งเป็นสองคริสตจักร เช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ผู้นำและคนทำงานในคริสตจักรนี้ไม่เข้าใจงานด้านการปกครองของพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  ในช่วงเวลาเช่นนี้ ผู้นำและคนทำงานควรอ่านการจัดการเตรียมงานในหัวข้อนี้—คู่มือของคริสตจักรในเรื่องการจัดการเตรียมงานนั้นมีข้อกำหนดอันเจาะจงเหล่านี้อยู่  หากคริสตจักรหนึ่งแห่งถูกแบ่งออกเป็นคริสตจักรใหม่สองแห่ง เช่นนั้นแล้ว แต่ละคริสตจักรก็ต้องเลือกผู้นำและคนทำงานที่จำเป็น อย่างเช่น ผู้นำคริสตจักร มัคนายก เป็นต้น  แล้วผู้นำและคนทำงานควรทำสิ่งใด?  พวกเขาควรรู้และเข้าใจจำนวนคนในคริสตจักรและสถานะการก่อตั้งของคริสตจักร  นี่คืองานด้านการปกครองของคริสตจักร ทั้งยังเป็นงานที่ใหญ่ที่สุด  ไม่ว่าที่ใดมีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือก ที่นั่นก็ควรมีคริสตจักร และเมื่อคริสตจักรถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ต้องรับผิดชอบต่องานในทุกแง่มุมของคริสตจักรแห่งนั้น ตัวอย่างเช่นการแจกจ่ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้า การบริหารจัดการสมาชิกคริสตจักร การดำเนินการจัดการเตรียมงานเพื่อให้พวกเขารู้ว่าเนื้อหาของการจัดการเตรียมงานคืออะไร  โดยหลักแล้ว งานด้านการปกครองเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งคริสตจักร รวมไปถึงการก่อตั้งหน่วยงานและบุคลากรฝ่ายปกครองของคริสตจักร—สิ่งเหล่านี้เป็นงานอันเจาะจงที่อยู่ภายใต้งานด้านการปกครอง  โดยปกติแล้ว คนประเภทใดที่พบเจองานรายการนี้มากกว่ากัน?  คริสตจักรของผู้เชื่อใหม่ ฝ่ายข่าวประเสริฐ รวมไปถึงผู้นำระดับภูมิภาค ผู้นำระดับเขต และผู้นำคริสตจักรในพื้นที่ที่ข่าวประเสริฐเผยแผ่ไปถึง ล้วนพบเจอกับงานนี้มากกว่า  นอกจากนี้แล้ว งานด้านการปกครองยังรวมถึงงานพิเศษหนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือการแยกคริสตจักรออกเป็นคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา คริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นบางเวลา คริสตจักรธรรมดาทั่วไป และกลุ่มข   และนี่คืองานอีกอย่างหนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานพึงกระทำ  ผู้นำและคนทำงานควรมีความเข้าใจถึงวิธีแยกคริสตจักร และหลักธรรมของการแยกคริสตจักรคือการแบ่งผู้คนออกเป็นคริสตจักรต่างๆ ตามความแตกต่างในหน้าที่ที่พวกเขาทำ แบ่งคนที่ทำหน้าที่ออกจากคนที่ไม่ทำหน้าที่ และแบ่งคนที่ทำหน้าที่ของพวกเขาเต็มเวลาออกจากคนที่ทำหน้าที่ของพวกเขาเป็นบางเวลา—นี่คืองานด้านการปกครองที่พิเศษและเฉพาะเจาะจงอีกประการหนึ่ง

II. งานด้านบุคลากร

รายการที่สอง งานด้านบุคลากร  งานในรายการนี้เกี่ยวข้องกับการคัดเลือก การแต่งตั้ง และการปลดผู้นำและคนทำงานทุกระดับ  การจัดการเตรียมงานได้มอบข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับระบบการคัดเลือก ผู้คนประเภทใดที่จะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและคนทำงาน รวมถึงวิธีการและข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับการคัดเลือก  นอกจากนี้ก็ยังมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษ ตัวอย่างเช่น ควรทำอย่างไรหากพี่น้องชายหญิงเพิ่งเคยพบกันและยังไม่รู้จักกันและกันดี และไม่สามารถเลือกผู้นำและคนทำงานที่เหมาะสมผ่านการคัดเลือกได้?  ในกรณีนั้นย่อมสามารถเลื่อนขั้นและแต่งตั้งผู้คนได้ ตรวจสอบว่าใครคือคนที่ค่อนข้างเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ แล้วจากนั้นก็ทำความรู้จักคนเหล่านั้นให้มากขึ้น สามัคคีธรรม และดำเนินการตรวจสอบแบบเรียบง่าย หลังจากนั้นก็แต่งตั้งพวกเขาได้  มากไปกว่านั้น เมื่อเบื้องบนจัดการเตรียมการโครงการขนาดใหญ่ และแต่งตั้งผู้คนมากมายให้เป็นหัวหน้างาน นี่ก็เป็นการจัดการเตรียมงานพิเศษ  ยังมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอีกประการหนึ่ง นั่นคือ เมื่อใครบางคนเขียนรายงานถึงเบื้องบน อธิบายว่าผู้นำคนนั้นคนนี้ไม่ปฏิบัติงานจริงและเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และหลังจากตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เบื้องบนก็ได้แจกจ่ายการจัดการเตรียมงานให้ปลดผู้นำที่ถูกรายงานคนนั้นออกจากตำแหน่งเสีย  นี่คือการจัดการเตรียมงานอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวกับงานด้านบุคลากร  สรุปก็คือ งานที่เกี่ยวกับบุคคลากรนั้นเกี่ยวข้องกับการคัดเลือก การแต่งตั้ง และการปลดผู้นำและคนทำงานทุกระดับในคริสตจักร  งานรายการนี้ค่อนข้างเรียบง่าย ทั้งยังเป็นงานที่เข้าใจง่ายอีกด้วย

III. งานข่าวประเสริฐ

รายการที่สาม งานข่าวประเสริฐ  งานข่าวประเสริฐเป็นงานใหญ่งานแรกของงานในสายอาชีพอันเจาะจงต่อจากงานด้านการปกครองและงานด้านบุคลากรในพระนิเวศของพระเจ้า  พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานมากมายตามลำดับเพื่องานนี้ โดยกระทำการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงในเรื่องของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ขอบเขตทางภูมิศาสตร์สำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ รวมถึงหนทางและวิธีการประกาศข่าวประเสริฐ  ขณะเดียวกัน พระนิเวศของพระเจ้าก็มีคำกล่าวอันเจาะจงในการจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับหนังสือพระวจนะของพระเจ้าทุกเล่ม ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ รวมถึงรายการวาไรตี้ทั้งหลายที่จำเป็นต่อการประกาศข่าวประเสริฐ ทั้งยังมีคำกล่าวที่เกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดอันหลากหลายที่พบได้ทั่วไป และคำถามที่พบบ่อยจากผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ  คำกล่าวบางคำอาจจะไม่ได้นำเสนอออกมาเป็นตัวอักษรอย่างชัดเจน แต่ก็มีหลายคำที่นำเสนอผ่านทางวาจาและการสามัคคีธรรมด้วยปาก  งานข่าวประเสริฐนั้นคืบหน้าและดำเนินต่อไปเสมอ และขณะที่งานนี้คืบหน้าไป พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้สร้างข้อกำหนดและการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นและเผชิญอยู่ไม่ว่างเว้น ทั้งยังแจกจ่ายข้อกำหนดและงานอันเจาะจงบางอย่างแก่คนทำงานข่าวประเสริฐ มัคนายกข่าวประเสริฐ และหัวหน้างานข่าวประเสริฐอีกด้วย  ถึงแม้ว่าในช่วงระยะหลังพระนิเวศของพระเจ้าจะไม่ได้พูดถึงการจัดการเตรียมงานสำหรับงานข่าวประเสริฐมากนัก แต่ความจริงแง่มุมนี้ก็ถูกสามัคคีธรรมบ่อยมากในคริสตจักร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ข่าวประเสริฐเริ่มเผยแผ่ไปยังต่างประเทศ พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้จัดการเตรียมงานอันเจาะจงสำหรับงานแปลภาษาไปเป็นภาษาต่างๆ  นักแปลและคนทำงานข่าวประเสริฐที่คุ้นเคยกับภาษาต่างประเทศอันหลากหลายได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ความร่วมมือในงานประเภทนี้ และพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้ลงทุนในทรัพยากรมนุษย์หลายประเภทเพื่อร่วมมือกันในงานข่าวประเสริฐ และสิ่งนี้สอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้า  สรุปก็คือ เบื้องบนคอยชี้นำ ถามไถ่ ติดตาม และกำกับดูแลงานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยตนเองอยู่เสมอ  ดังนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบใดในเรื่องของงานนี้?  การมีหัวหน้างานสำหรับงานข่าวประเสริฐไม่ได้หมายความว่าผู้นำและคนทำงานจะสามารถปล่อยปละละเลยโดยสมบูรณ์ ไม่สนใจงานแต่อย่างใด ไม่ไถ่ถาม และเอาแต่เพิกเฉย โดยคิดว่า “ปล่อยให้งานพัฒนาไปตามที่ควรจะเป็นเถิด  อย่างไรเสียงานนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน  ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตคริสตจักรและงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท  หากงานข่าวประเสริฐเกิดปัญหา นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน”  สิ่งนี้ใช้ได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  นี่คือการทอดทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า  จากบรรดางานทั้งปวงของพระนิเวศของพระเจ้า งานที่สำคัญที่สุดที่ผู้นำและคนทำงานควรมุ่งเน้นคืองานข่าวประเสริฐ  เจ้าอาจจะไม่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบงานนี้โดยตรง แต่เจ้าต้องไถ่ถามว่างานนี้พัฒนามากแค่ไหน และสถานะความคืบหน้าของงานนี้เป็นอย่างไร—เจ้าต้องติดตาม รู้ และจัดการสิ่งเหล่านี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของบุคลากรบางตำแหน่งที่มีความสำคัญ อย่างเช่น ผู้ประกาศข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำในฝ่ายข่าวประเสริฐ รวมไปถึงหัวหน้างานข่าวประเสริฐ เจ้าต้องจัดการสถานการณ์ของพวกเขาให้ทันกาลอยู่เสมอ และหากมีปัญหาเกิดขึ้นกับบุคลากรเหล่านี้ เจ้าก็ต้องแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างทันท่วงที—หลังจากได้รับมอบหมายแล้ว เจ้าไม่ควรถอนตัวจากการรับผิดชอบงานนี้  มากไปกว่านั้น เจ้าต้องหมั่นตรวจสอบและชี้นำผู้ประกาศข่าวประเสริฐทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ รวมไปถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในคริสตจักรและผู้ประกาศข่าวประเสริฐทางออนไลน์ที่เป็นแนวหน้า และผู้ให้น้ำในแต่ละฝ่าย  การจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้นานแล้วว่าผู้ประกาศข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนพิเศษ  การฝึกฝนพิเศษหมายถึงอะไร?  สิ่งนี้หมายถึงการตรวจดูให้แน่ใจว่าผู้ประกาศข่าวประเสริฐและผู้ให้น้ำมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงแห่งนิมิต และพวกเขาสามารถอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน  หากมีความจริงแห่งนิมิตในแง่มุมใดที่พวกเขายังไม่เข้าใจชัดเจนโดยสมบูรณ์ เช่นนั้นก็ต้องสามัคคีธรรมถึงเรื่องนี้ให้บ่อย และยิ่งผู้ประกาศข่าวประเสริฐกับผู้ให้น้ำเข้าใจโดยละเอียดมากขึ้นเพียงใดก็ยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานสำหรับเรื่องนี้อยู่ใช่หรือไม่?  (ใช่)  งานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นงานที่ซับซ้อนและเฉพาะเจาะจง อันประกอบด้วยงานมากมายที่แยกจากกัน  ต้องดูให้แน่ใจว่าแต่ละงานดำเนินไปด้วยดีและมีการติดตามผลอย่างใกล้ชิด นี่เป็นพระบัญชาของพระเจ้า  งานแต่ละชิ้นต้องดำเนินไปด้วยดี และต้องดูให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ของงานแต่ละอย่างพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง—มีเพียงการนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  งานในสายอาชีพประเภทอื่น เช่น การผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน ดนตรี ศิลปะ และการแปลภาษาล้วนมีอยู่เพื่อสนับสนุนและค้ำจุนงานข่าวประเสริฐ และงานข่าวประเสริฐก็เป็นแนวหน้าของงานทั้งปวง  ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่ทำหน้าที่นานาประการจึงต้องทำงานของพวกเขาเองให้ดีและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ดังที่พระเจ้าต้องประสงค์  ในหนทางนี้ พวกเขาย่อมจะมีส่วนร่วมในงานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  นี่เป็นเพราะงานในสายอาชีพทั้งหลายทั้งปวงนี้มีอยู่เพื่อรับใช้การเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และงานทั้งหมดนี้ต้องมุ่งความสำคัญไปที่งานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ รวมถึงให้การค้ำจุนงานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไม่มีสิ้นสุด  ทุกวันนี้ เนื้อหา ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์อันหลากหลายที่จำเป็นต่อการประกาศข่าวประเสริฐนั้นล้วนสร้างขึ้นผ่านความพยายามของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากมายอยู่เบื้องหลัง  ทุกสิ่งที่คนเหล่านี้ทำอยู่เบื้องหลังนั้นมอบการเกื้อหนุนที่ทรงพลังต่องานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ในอดีต พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีงานภาพยนตร์ที่หลากหลาย ไม่ได้มีบทเพลงมากมาย อีกทั้งไม่ได้มีวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์มากนัก  พระนิเวศของพระเจ้าเพียงแต่พึ่งพาคนทำงานข่าวประเสริฐให้ทำการสามัคคีธรรมอย่างต่อเนื่อง  คนทำงานข่าวประเสริฐจะพูดจนกว่าปากของพวกเขาจะแห้งผาก และไม่จำเป็นว่าจะได้เห็นผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญใดๆ อีกทั้งการได้รับคนคนหนึ่งก็เป็นเรื่องยาก  หลังจากคริสตจักรได้ผลิตวีดิทัศน์ทุกประเภทขึ้นมา งานของฝ่ายข่าวประเสริฐก็ค่อนข้างเบาลง อีกทั้งง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก และผลสัมฤทธิ์ของงานก็เพิ่มมากขึ้น  บางคนเป็นพวกหัวดื้อดึงและมีความคิดแบบหัวโบราณ เมื่อเจ้าประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าสามัคคีธรรมความจริงอย่างไรก็ไม่ได้ผล และพวกเขาก็ยึดติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดของตน อีกทั้งไม่ยอมรับความจริง—เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำอย่างไร?  เจ้าต้องเปิดภาพยนตร์คำพยานข่าวประเสริฐให้พวกเขาดูสักหนึ่งหรือสองเรื่อง มโนคติอันหลงผิดของพวกเขาจะก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลง แล้วพวกเขาก็จะเริ่มมีความรู้สึกที่ดีต่อหนทางที่แท้จริง  เมื่อพวกเขามาเพื่อเสาะแสวงอีกครั้ง ในหัวใจของพวกเขาย่อมไม่มีอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางที่ยิ่งใหญ่อีกต่อไป และเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถยอมรับความจริงนั้นได้อย่างง่ายดาย  นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์โดยแท้เมื่อเจ้าเปิดภาพยนตร์ที่พระนิเวศของพระเจ้าผลิตให้ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐดู อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกเขาฟัง หรือเปิดวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์ให้พวกเขาชม—การทำเช่นนี้มีประสิทธิผลมากกว่าการที่เจ้ากล่าวคำพูดมากมายกับพวกเขา  ไม่ว่าผู้ใดกำลังเสาะแสวงและสืบค้นหนทางที่แท้จริงอยู่ อันดับแรก จงเปิดภาพยนตร์ให้พวกเขาดู แล้วจากนั้นก็ให้พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเป็นการปูทางให้พวกเขา  หลังจากนี้ จงสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขาเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของพวกเขา  การทำเช่นนี้ย่อมทำให้สิ่งทั้งหลายดำเนินไปโดยราบรื่นขึ้นมาก  ทุกวันนี้ บรรดาผู้ที่กำลังสืบค้นหนทางที่แท้จริงได้รับชมภาพยนตร์และวีดิทัศน์คำพยานมากมายที่ผลิตโดยพระนิเวศของพระเจ้าบนอินเทอร์เน็ต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะมาเสาะแสวงและสืบค้น พวกเขาก็มีความรู้สึกที่ดีกับหนทางที่แท้จริงแล้ว และเบื้องต้นพวกเขาก็ยอมรับแล้วว่านี่คือหนทางที่แท้จริง  พวกเจ้าได้พบสิ่งใดในการนี้บ้าง?  ภาพยนตร์เหล่านี้ วีดืทัศน์การแสดงพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ วีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เหล่านี้ วีดิทัศน์บทเพลงนมัสการ และอื่นๆ ที่พระนิเวศของพระเจ้าผลิตขึ้นมานั้นได้ผลอย่างมากในการเป็นคำพยานให้พระเจ้า!  ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายมากมายในการสามัคคีธรรมและโต้แย้งกับผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ เมื่อพวกเขาได้รับชมวีดิทัศน์เหล่านี้ พวกเขาย่อมสามารถยอมรับหนทางที่แท้จริงได้  การนี้ประหยัดเวลาของผู้ประกาศข่าวประเสริฐไปได้มาก ทั้งยังแสดงให้เห็นว่า การเกื้อหนุนเบื้องหลังทั้งปวงสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐนั้นทรงพลังเหลือเกิน!  มีทรัพยากรอันอุดมนานาประเภทสำหรับการประกาศข่าวประเสริฐ!  เมื่อผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าทางออนไลน์ หลายคนก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะมีเว็บไซต์ของพระนิเวศของพระเจ้าและเนื้อหาอันอุดมเช่นนั้นอยู่มากมาย!  พระวจนะของพระเจ้ามีอยู่อย่างเหลือเฟือ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ทุกรูปแบบมีอยู่อย่างเหลือเฟือ และทุกสิ่งที่เจ้าต้องการในเรื่องของคำพยานจากประสบการณ์ก็มีอยู่อย่างเหลือเฟือ  นี่คือผลลัพธ์จากพระราชกิจและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริง!  ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพระราชกิจของพระเจ้าโดยแท้  ไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงและโลกศาสนาจะเผยแพร่ข่าวลือที่ไม่มีมูลและใส่ร้ายป้ายสีอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์เลย  ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ ผลที่เก็บเกี่ยวจากงานทั้งปวงของพระนิเวศของพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน และผลเหล่านั้นคือข้อเท็จจริงที่สัมฤทธิ์โดยพระวจนะของพระเจ้า

ในงานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร งานทุกรายการของพระนิเวศของพระเจ้าล้วนถูกจัดแจงอย่างเป็นระบบและดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบมาก  งานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐนั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นงานที่ยากลำบาก และดำเนินไปในระยะยาว  ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างานหรือคนทำงานข่าวประเสริฐธรรมดา  บรรดาผู้ที่รับผิดชอบงานข่าวประเสริฐก็ควรยืนยันถึงความสำคัญของงานนี้อยู่ในหัวใจพวกเขา  ถึงแม้ว่าพวกเจ้ากำลังทำงานข่าวประเสริฐอยู่ที่แนวหน้าและกำลังทำหน้าที่ของตน แต่ในแนวหลัง กล่าวคือ เบื้องหลังของพวกเจ้า มีพี่น้องชายหญิงมากมายที่กำลังทำงานกองหลังหลากหลายประเภท และพวกเขาคือแรงกำลังที่เกื้อหนุนงานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  การที่เรากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?  งานทุกงานของพระนิเวศของพระเจ้ามุ่งความสำคัญไปที่การเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และหน้าที่ที่บรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรปฏิบัติก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  พี่น้องชายหญิงทุกคนที่ทำหน้าที่นั้นมีส่วนร่วมในงานข่าวประเสริฐ และงานทุกประการต่างสัมพันธ์กับงานข่าวประเสริฐอย่างใกล้ชิดและลึกซึ้ง  โดยสรุปแล้ว งานทุกอย่าง รวมไปถึงงานข่าวประเสริฐเองนั้น เป็นหน้าที่ที่พึงทำให้ดีเพื่อเป็นคำพยานแก่พระราชกิจของพระเจ้า งานทุกอย่างล้วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับงานที่สำคัญมากที่สุด ซึ่งก็คือการเป็นคำพยานเกี่ยวกับพระเจ้า  นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยสมบูรณ์  เพราะฉะนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงให้งานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งเหนืองานทั้งปวงของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คือสิ่งที่เหมาะสมโดยสิ้นเชิง  นี่เป็นงานที่สำคัญ ยากลำบาก และเป็นงานระยะยาว อีกทั้งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคน ผู้ที่ติดตามพระเจ้าทุกคนต้องมีความทรหด มีความอดทน และมีความเชื่อเพียงพอที่จะเตรียมทำงานนี้ให้ดีและสู้ในสมรภูมิอันยาวนานนี้  ไม่ว่าเจ้าลำบากตรากตรำมาสิบปี ยี่สิบปี หรือสามสิบปี เจ้าก็ต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้าเสมอ อุทิศชีวิตและชั่วทั้งชีวิตของเจ้าให้กับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และจงรักภักดีต่อพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง  นี่คือหน้าที่รับผิดชอบสำคัญที่บรรดาผู้ติดตามพระเจ้าทุกคนมีหน้าที่ต้องแบกรับ นี่เป็นหน้าที่ทุกคน ทั้งยังเป็นพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ทุกคนอีกด้วย

ผ่านสามัคคีธรรมนี้ของเรา พวกเจ้าทุกคนย่อมมีความกระตือรือร้นอยู่ในหัวใจ และเริ่มมองว่างานข่าวประเสริฐสำคัญแล้วใช่หรือไม่?  ก่อนหน้านี้คนบางคนเคยกล่าวว่า “ฉันไม่เข้าใจสายอาชีพทางเทคนิค ฉันไม่รู้วิธีแสดงและไม่สามารถเป็นนักแสดงได้ ฉันไม่มีรากฐานที่หนักแน่นเมื่อเป็นเรื่องของการใช้คำพูด ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าจะเขียนบทความอย่างไร ฉันไม่เข้าใจดนตรีและไม่ยิ่งไม่รู้เรื่องศิลปะเข้าไปใหญ่  ฉันได้รับมอบหมายให้ไปอยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐเพราะฉันไม่เก่งด้านไหนเลย  ฝ่ายข่าวประเสริฐก็เทียบได้กับชั้นวางของที่ถูกหลงลืมอยู่ด้านหลังของพระนิเวศของพระเจ้ามิใช่หรือ?  แล้วในเมื่อฉันถูกส่งไปอยู่ในชั้นวางของด้านหลังที่ถูกลืม ฉันยังจะมีความหวังที่จะได้รับความรอดอยู่หรือ?”  เรื่องนี้เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?  หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์นี้จริง เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจพระเจ้าผิดเสียแล้ว การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่คนทุกคนจำเป็นต้องทำ  หากเจ้าไม่เก่งด้านใดเลย ทั้งยังไม่เข้าใจสายอาชีพทางเทคนิค และสิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้คือเผยแผ่ข่าวประเสริฐ เช่นนั้นเจ้าย่อมจะถูกจัดการเตรียมการให้ไปทำหน้าที่ในฝ่ายข่าวประเสริฐ  นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า และการนี้ก็เป็นไปเพื่อทำให้แน่ใจว่าเจ้าไม่ได้ถูกทิ้งเปล่าในฐานะวัสดุชิ้นหนึ่ง ทั้งยังสามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะมนุษย์ของเจ้าในระดับที่มากที่สุด  เจ้าไม่ถนัดด้านใดเลย และยังเป็นพวกหัวทึบในทุกอย่างที่เจ้าทำ แต่เจ้าก็สามารถทำหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐได้ดี และต่อให้เจ้าถูกขอให้ไปสืบหาผู้ได้รับข่าวประเสริฐ เจ้าก็สามารถทำงานนี้อย่างถ่อมตน อีกทั้งส่งผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐที่เจ้าพบให้กับผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้  ขณะเดียวกันเจ้าก็สามารถค่อยๆ เรียนรู้วิธีประกาศเรื่องพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และเจตนารมณ์ของพระเจ้า และนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้  นี่คือหน้าที่ของเจ้ามิใช่หรือ?  ผู้อื่นสร้างผลลัพธ์บางอย่างผ่านการมีส่วนร่วมในงานข้อเขียน งานผลิตภาพยนตร์ และงานประเภทอื่นๆ แต่เจ้าไม่รู้วิธีทำสิ่งเหล่านี้ และเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ใดๆ ทว่าเจ้าอุทิศเรี่ยวแรงของเจ้าให้กับงานข่าวประเสริฐ ทุ่มเททั้งหมดที่มีและลุล่วงหน้าที่ของเจ้า และเจ้าก็แบกรับพระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้ สิ่งเหล่านี้คือความประพฤติดีมิใช่หรือ?  สิ่งเหล่านี้ก็เป็นความประพฤติดี และพระเจ้าจะทรงจดจำสิ่งเหล่านี้  สิ่งนี้ทำให้คำกล่าวเหล่านี้ลุล่วง นั่นคือ ไม่มีความแตกต่างเรื่องความสูงส่งหรือความต่ำต้อยอยู่ในหน้าที่ที่ผู้คนทำ เรื่องทั้งหมดก็คือเจ้าจงรักภักดีต่อหน้าที่ที่เจ้าทำหรืิไม่ และเจ้าทำหน้าที่ดังกล่าวได้ตามมาตรฐานหรือไม่  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เจ้าจึงถูกขอให้ไปประกาศข่าวประเสริฐ—สิ่งนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่สุดท้ายที่พอเป็นไปได้ของเจ้าภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่เจ้าไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่อื่นได้  ผ่านการนี้ เจ้าย่อมได้รับโอกาสและความหวังเล็กๆ น้อยๆ เจ้าไม่ได้ถูกริดรอนสิทธิ์ในการทำหน้าที่ของตน  พระเจ้ายังทรงมีพระบัญชาสำหรับเจ้า และพระองค์ก็ไม่ได้ทรงอคติต่อเจ้า  ด้วยเหตุนั้น บรรดาผู้ที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐจึงไม่ได้ถูกส่งให้ไปอยู่ชั้นวางของด้านหลังที่ถูกลืม และพวกเขาก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง แต่กลับกัน พวกเขากำลังทำหน้าที่ของตนในที่อื่นๆ  จากการสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานสำหรับงานข่าวประเสริฐ บัดนี้พวกเจ้าย่อมมองงานข่าวประเสริฐในทางที่ดีและไม่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานนี้อีกต่อไปใช่หรือไม่?  (ใช่)  แล้วเจ้าจะรู้สึกลำพองใจเกี่ยวกับหน้าที่นี้หรือไม่?  ไม่ว่าผู้คนทำหน้าที่ใด พระประสงค์ที่พระเจ้ามีต่อพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนไป พระเจ้าต้องประสงค์ความจงรักภักดีและความจริงใจจากพวกเขา  หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันจะไม่ทำตัวเด่น ฉันจะไม่รู้สึกลำพองใจ ฉันเพียงทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงขอให้ทำ” แต่เจ้าไม่มีความจงรักภักดี ไม่มีความจริงใจ เช่นนั้นย่อมจะไม่ได้การ  ไม่ว่าเจ้าตีความงานข่าวประเสริฐว่าอย่างไร ในกรณีใดก็ตามหากเจ้ามามีความจงรักภักดีและความจริงใจ เช่นนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าก็จะถึงตามมาตรฐาน  ไม่ว่าเจ้ามองว่าหน้าที่ประกาศข่าวประเสริฐดีเพียงใดหรือมีท่าทีที่เป็นบวกต่อหน้าที่นี้แค่ไหน หากเจ้าไม่สามารถสู้ทนความยากลำบาก ทั้งยังไม่มีความทรหดและความจงรักดี เช่นนั้นแล้ว การนั้นก็ย่อมจะใช้ไม่ได้เช่นกัน  ดังนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าถูกจัดไปอยู่ที่ใด อยู่ในเวลาหรือสถานที่ไหน ติดต่อกับใครหรือทำหน้าที่อะไร  พระเจ้าจะทอดพระเนตรเห็นเจ้าและทรงพินิจพิเคราะห์ส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเจ้าอยู่เสมอ  จงอย่าคิดว่าเพราะเจ้าเป็นสมาชิกของฝ่ายข่าวประเสริฐ พระเจ้าจึงจะไม่ใส่พระทัยเจ้าหรือไม่อาจทอดพระเนตรเห็นเจ้า แล้วเจ้าจะสามารถทำตามใจตนเองได้  และจงอย่าคิดว่าหากเจ้าได้รับมอบหมายให้อยู่ฝ่ายข่าวประเสริฐ เจ้าก็ไม่มีหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดอีกต่อไป แล้วจะเข้าหางานนี้อย่างเป็นลบ  ทั้งสองวิธีคิดนี้ไม่ถูกต้อง  ไม่ว่าเจ้าถูกจัดให้ไปอยู่ที่ใดหรือได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ใด นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ และเจ้าควรทำสิ่งนั้นอย่างแข็งขันและมีความรับผิดชอบ  ข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้านั้นไม่เปลี่ยนแปลง และการนบนอบของเจ้าต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าก็ไม่ควรเปลี่ยนแปลงเช่นกัน  คนทำงานข่าวประเสริฐมีสถานะเช่นเดียวกับผู้ที่ทำหน้าที่อื่น คุณค่าของคนคนหนึ่งไม่ได้วัดกันด้วยหน้าที่ที่พวกเขาทำ แต่วัดจากเรื่องที่ว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความเป็นจริงความจริงหรือไม่  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราจะสามัคคีธรรมในเรื่องของงานข่าวประเสริฐ งานใหญ่และเฉพาะเจาะจงนี้

IV. งานในสายอาชีพหลากหลายประเภท

รายการที่สี่ งานในสายอาชีพหลากหลายประเภท  การนี้รวมถึงการผลิตภาพยนตร์ งานข้อเขียน ดนตรี ศิลปะ การแปลภาษา เป็นต้น  บางคนกล่าวว่า “คนทำชุดอย่างพวกเราก็เกี่ยวข้องกับงานผลิตภาพยนตร์เหมือนกัน  การทำชุดถือว่าเป็นงานประเภทหนึ่งไหม?”  การทำชุดรวมอยู่ในประเภทของงานผลิตภาพยนตร์และดนตรี นี่คืองานสนับสนุนที่ทำงานร่วมกันกับงานเหล่านี้  ในทุกช่วงระยะ พระนิเวศของพระเจ้าได้มีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงสำหรับข้อกำหนดเฉพาะสำหรับงานในสายอาชีพประเภทเหล่านี้  คนบางคนสื่อสารผ่านการเขียน และบางคนสื่อสารผ่านทางคำพูดเวลาสามัคคีธรรมที่การชุมนุม  ไม่ว่าพวกเขาสื่อสารด้วยวิธีใด ผู้นำและคนทำงานก็ควรแบกรับหน้าที่รับผิดชอบในตัวพวกเขาจะสื่อสารอย่างไร ผู้นำและคนทำงานก็ควรแบกรับภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อพวกเขา จดบันทึกข้อกำหนดอันเจาะจงที่พระนิเวศของพระเจ้าแจกจ่ายให้กับงานเหล่านี้และจัดการบันทึกเหล่านี้ให้เป็นระเบียบ จากนั้นจึงสามัคคีธรรมถึงข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม และกระทำการดำเนินการอย่างเฉพาะเจาะจง  งานนี้ก็เป็นงานใหญ่ และเป็นงานที่เจาะจงเป็นอันดับสองรองมาจากงานข่าวประเสริฐ  ในส่วนของงานอันเฉพาะเจาะจงรายการนี้ พระนิเวศของพระเจ้าประสงค์ให้บุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานในสายอาชีพอันหลากหลายทุกคนศึกษาหาความรู้ในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงค้นหาข้อมูลเพื่อรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า  ในขณะเดียวกัน พระนิเวศของพระเจ้าก็คอยสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริง และมอบแผนการอันเป็นรูปธรรมให้กับงานในสายอาชีพหลากหลายประเภทอย่างไม่ว่างเว้น  บางครั้ง งานหลากหลายประเภทนี้ถูกสามัคคีธรรมกับหัวหน้างานและสมาชิกในฝ่าย และบางครั้ง เรื่องเหล่านี้ก็ถูกสามัคคีธรรมกับผู้นำ คนทำงาน และหัวหน้างานผู้รับผิดชอบงานนี้และมีข้อสงสัยเท่านั้น  ไม่ว่างานเหล่านี้จะถูกสื่อสารและสามัคคีธรรมผ่านการเขียนหรือผ่านการชุมนุม อย่างไรก็ตาม งานประเภทเหล่านี้ก็มีการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานอยู่เป็นนิจ ทั้งยังมีการจัดการเตรียมการอันเจาะจงตามความจำเป็นของงานข่าวประเสริฐอยู่ตลอดเวลา  ตัวอย่างเช่น สมมุติพระนิเวศของพระเจ้าผลิตภาพยนตร์เรื่องหนึ่งซึ่งมีแก่นของเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ และภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ถ่ายทำอย่างเป็นมืออาชีพมาก  หลังจากถูกอัปโหลดขึ้นในโลกออนไลน์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีอัตราการกดเข้าชมที่สูงทีเดียว  ในสถานการณ์เช่นนี้ พระนิเวศของพระเจ้าย่อมสร้างข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับงานประเภทนี้โดยอ้างอิงจากกระแสตอบรับและความจำเป็นของงานข่าวประเสริฐ  โดยสรุปแล้ว งานรายการนี้มีการสรุปและปรับปรุงให้ดีขึ้นตลอดเวลา ทั้งยังเป็นงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

สำหรับงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท การจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้ผู้คนศึกษาเพิ่มเติม รวมถึงหาครูบาอาจารย์ แหล่งข้อมูลและสื่อการสอนนานาประเภทเพื่อเรียนรู้  ยกตัวอย่างการร้องเพลง การหาอาจารย์มาสอนและให้พวกเขาฝึกการใช้เสียงก็เป็นการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงเช่นเดียวกัน  หลังจากได้ฟังการจัดการเตรียมการนี้แล้ว ผู้นำและคนทำงานควรหาอาจารย์ที่เหมาะสมกับงานนี้ตามข้อกำหนดของเบื้องบน และให้อาจารย์เหล่านั้นสอนพิเศษนักร้องของพวกเราด้วยการช่วยให้นักร้องได้ศึกษาความรู้ทางดนตรีขับร้องที่ถูกต้องและวิธีการร้องเพลงที่ถูกต้อง และแน่นอนว่าต้องหาเพลงคลาสสิกเพื่อนำมาศึกษา  ในส่วนของการประพันธ์เพลงและการขับร้องประสานเสียงนั้นต้องมีการศึกษาความรู้ในสายอาชีพอยู่เสมอ และการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าก็มักกำหนดให้ผู้คนศึกษาความรู้ในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของพวกเขา รวมถึงเรียนรู้การใช้วิธีการขั้นสูงและสัมพันธ์กับชีวิตจริงบางอย่างอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น  การจัดการเตรียมงานและข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ได้แจกจ่ายออกไปแล้วจบลงเท่านั้น ในทางกลับกัน ผู้นำและคนทำงานจำเป็นต้องหมั่นสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ ชี้แนะบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานในสายอาชีพ ทำให้พวกเขาศึกษาหาความรู้ต่อไป และเพียรพยายามที่จะทำให้งานในสายอาชีพหลากหลายประเภทนั้นพัฒนาและล้ำลึกขึ้นอย่างต่อเนื่องและได้ผล ไม่หยุดอยู่กับที่  บางคนคิดว่า “วันนี้พวกเราได้รับการแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานมา เพราะฉะนั้นพวกเราเพียงแต่จำเป็นต้องปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นในเดือนนี้ และจบลงเท่านั้น  หากเบื้องบนไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกในอนาคต เช่นนั้นพวกเราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องคอยปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นต่อไป”  เป็นเช่นนี้จริงหรือไม่?  (ไม่จริง)  ผู้นำและคนทำงานต้องไม่คิดเช่นนี้โดยเด็ดขาด แต่ควรที่จะคอยถามไถ่อยู่เป็นครั้งคราว และถามว่า “การศึกษาเกี่ยวกับสายอาชีพนี้ของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?  คุณเจอเรื่องยากลำบากอะไรไหม  มีสิ่งใดที่ขัดแย้งหรือต่อต้านหลักธรรมบ้างไหม?  ใครทำการศึกษาได้ดีที่สุด ใครมีทักษะมากที่สุด และใครมีพัฒนาการในเรื่องนี้ได้เร็วที่สุด?  หลังจากศึกษาทฤษฎีเหล่านี้แล้ว อะไรคือสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ และคิดว่าเหมาะสมที่จะนำไปใช้กับงานของพระนิเวศของพระเจ้าไหม?”  มากไปกว่านั้น ผู้นำและคนทำงานต้องถามคำถามบรรดาคนในฝ่ายข่าวประเสริฐที่กำลังศึกษาภาษาต่างประเทศ อย่างเช่น “คุณเรียนภาษานี้มากี่ปีแล้ว?  ช่วงนี้การเรียนของคุณเป็นอย่างไรบ้าง?  คุณสามารถพูดบทสนทนาในชีวิตประจำวันได้กี่ประโยค?  คุณสามารถแปลคำศัพท์ฝ่ายวิญญาณทั่วๆ ไปได้หรือไม่?  คุณสามารถใช้ภาษานี้เพื่อสื่อสารความจริงเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้หรือไม่?  ในปัจจุบันคุณถนัดด้านการพูดหรือการเขียนมากกว่า?  คุณจำเป็นต้องมีอาจารย์มาช่วยในการเรียนรู้หรือไม่?  มีผู้ใดที่เหมาะสมและมีทักษะในการเรียนภาษาต่างประเทศมากกว่าหรือไม่?  บุคคลากรประเภทนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่?  มีใครที่รู้สึกว่าการเรียนภาษานั้นวุ่นวายและยากเกินไปจนไม่อยากเรียนอีกต่อไปแล้ว และล้มเลิกไปกลางคัน และต้องการสลับไปทำอีกหน้าที่หนึ่งหรือไม่?”  เรื่องอันเจาะจงเหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับงานประเภทนี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องถามไถ่และกำกับดูแลอยู่เป็นครั้งคราาว  ในเมื่อเบื้องบนได้กระทำการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงมาแล้ว หัวหน้างานก็ควรรับผิดชอบงานอันเจาะจงเหล่านี้ไปจนถึงปลายทาง  จงอย่ารอเฉยให้เบื้องบนเป็นผู้ไถ่ถาม หากเบื้องบนไม่ทำการไถ่ถามใดๆ เป็นเวลาหกเดือนหรือหนึ่งปี เจ้าก็ควรที่จะยังคงทำงานทุกอย่างให้ดี ทำอย่างสุดความสามารถของเจ้า และพร้อมที่จะยอมรับการตรวจสอบและการชี้แนะแนวทางจากเบื้องบนอยู่ตลอดเวลา—นี่คือกรอบความคิดที่ถูกต้อง  นี่เป็นเพราะมีการสื่อสารและแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานออกไปแล้ว และเจ้าก็ต้องรับผิดชอบการติดตามผลของงานในฐานะหัวหน้างานดังกล่าว ด้วยเหตุนั้นเจ้าจึงควรลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตน  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่สามารถลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นพวกไร้ประโยชน์ อีกทั้งเจ้าควรถูกปลดและถูกกำจัดออกไป  ดังนั้น ผู้นำและคนทำงานจึงควรหมั่นใคร่ครวญและสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงเหล่านี้จากเบื้องบนอยู่บ่อยครั้ง จากนั้นก็ดำเนินการและติดตามงานไปตามสถานการณ์  พวกเขาควรดูว่าในช่วงนี้ งานประเภทใดที่พวกเขามองข้ามและไม่ได้ตรวจสอบมานาน และงานใดที่ตัวพวกเขาเองไม่ถนัดมากนัก อีกทั้งไม่ได้ถามถึงเลยในช่วงนี้ จนทำให้พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับสถานะในปัจจุบันของใครคนหนึ่งไป จากนั้นก็กลับไปตรวจสอบดูสิ่งเหล่านั้น  นอกจากนี้ในแง่ของงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท พระนิเวศของพระเจ้ายังมีการจัดการเตรียมการอันเจาะจงอีกประการหนึ่ง นั่นคือ พระนิเวศของพระเจ้าต้องการให้หาตัวผู้เกี่ยวข้องที่มีความสามารถพิเศษให้พบ บ่มเพาะ และเลื่อนตำแหน่งให้พวกเขาอย่างต่อเนื่อง  แล้วเมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงานนี้มา พวกเขาควรทำอย่างไร?  พวกเขาต้องให้ความสนใจว่ามีใครเหมาะสมที่จะทำงานประเภทนี้หรือไม่  หากใครบางคนเหมาะสมที่จะทำงานประเภทนี้ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับสายอาชีพทางเทคนิคมากนัก เช่นนั้นแล้ว คนเหล่านั้นก็ต้องได้รับการบ่มเพาะและจัดการเตรียมการให้ไปศึกษาและฝึกฝนในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว  สรุปก็คือ งานในสายอาชีพหลากหลายประเภทก็เป็นงานที่สำคัญเช่นเดียวกัน  มีงานมากมายหลายรายการที่รวมอยู่ในงานนี้ อีกทั้งขอบเขตของงานนี้ก็กว้างมาก และพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้กระทำการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงมากมายให้กับงานนี้  สิ่งที่จำเป็นสำหรับงานนี้คือการศึกษา สรุป และรู้ให้ลึกซึ้งอยู่เป็นนิจ และต้องหาหลักธรรมที่เหมาะสมเพื่อมาดำเนินการสร้างมาตรฐานอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  นอกจากนี้ก็ต้องมีการบ่มเพาะบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ ผู้ซึ่งเหมาะสมกับการทำหน้าที่เหล่านี้อยู่เสมอ  นี่คือการจัดการเตรียมงานสำหรับงานชิ้นใหญ่ของงานในสายอาชีพหลากหลายประเภท และสิ่งนี้ก็เข้าใจได้ง่ายเช่นเดียวกัน

V. ชีวิตคริสตจักร

รายการที่ห้า ชีวิตคริสตจักร  พระนิเวศของพระเจ้าได้สร้างข้อกำหนดและการจัดการเตรียมการอันเจาะจงสำหรับเนื้อหาที่จะกินและดื่มระหว่างชีวิตคริสตจักร รูปแบบของชีวิตคริสตจักร และจำนวนคนที่ใช้ชีวิตคริสตจักร  นอกจากนี้พระนิเวศของพระเจ้ายังมีการจัดการเตรียมงานที่สอดคล้องกันเกี่ยวกับรูปแบบของการชุมนุมและเนื้อหาของชีวิตคริสตจักรภายใต้รูปการณ์แวดล้อมและสถานการณ์พิเศษ  ส่วนใหญ่แล้วการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ถูกแจกจ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร  การจัดการเตรียมงานสำหรับชีวิตคริสตจักรของผู้มาใหม่ในประเทศต่างๆ—รูปแบบและความถี่ของการชุมนุมของพวกเขา รวมไปถึงเนื้อหาที่พวกเขากินและดื่มระหว่างการชุมนุม เป็นต้น—โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับการจัดการเตรียมงานสำหรับชีวิตคริสตจักรของชาวจีน นอกเสียจากรูปการณ์แวดล้อมพิเศษบางอย่าง  เราเพิ่งพูดให้เจ้าเห็นภาพรวมของขอบเขตการจัดการเตรียมงานที่เกี่ยวกับชีวิตคริสตจักร—การนี้รวมถึงเนื้อหาพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกกินและดื่ม และเนื้อหาสำหรับสามัคคีธรรมความจริงที่การชุมนุมในช่วงนี้ และรูปแบบสามัคคีธรรมในการชุมนุม  ตัวอย่างเช่น ห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผู้ควบคุมการสามัคคีธรรมในการชุมนุม ระยะเวลาสูงสุดที่แต่ละคนได้รับอนุญาตให้สามัคคีธรรม วิธีปฏิบัติและจัดการกับคนที่พูดจายืดเยื้อและแสดงความคิดเห็นที่ไม่ชัดเจน เป็นต้น—ในการจัดการเตรียมงานนั้นมีคำกล่าวอันเจาะจงสำหรับสิ่งทั้งหลายอันเจาะจงที่เกี่ยวกับชีวิตคริสตจักรและการชุมนุม  ในแง่หนึ่ง ผู้นำและคนทำงานมีหน้าที่รับผิดชอบในการแจกจ่ายและสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ และในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบในการสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ให้ชัดเจนกับพี่น้องชายหญิง ทำให้สมาชิกทุกคนของคริสตจักรเข้าใจและยอมรับสิ่งเหล่านี้ แล้วจากนั้นพวกเขาก็เพียงต้องดำเนินการและปฏิบัติตามการจัดการเตรียมงานเหล่านี้อย่างเคร่งครัด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มักจะออกนอกเรื่อง ก่อการขัดขวาง เอ่ยคำพูดและคำสอน รวมถึงกู่ก้องคำขวัญอยู่บ่อยครั้งเวลาพูดในการชุมนุมต้องถูกจำกัดห้าม และในการจัดการเตรียมงานก็ยังมีข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับรูปการณ์แวดล้อมพิเศษเหล่านี้ด้วย  โดยหลักแล้วการจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับชีวิตคริสตจักรสัมพันธ์กับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม การจัดการเตรียมงานเหล่านี้ไม่ได้ซับซ้อน ทั้งยังเรียบง่ายมาก และไม่ว่าคนคนหนึ่งทำหน้าที่ใด พวกเขาก็เพียงต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในการจัดการเตรียมงานเหล่านี้  ตัวอย่างเช่น ในการชุมนุม ฝ่ายข่าวประเสริฐเพียงจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักธรรมในการจัดการเตรียมงานในส่วนของชีวิตคริสตจักร—ในสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย  ฝ่ายอื่นๆ ก็เพียงปฏิบัติงานที่ต่างออกไปจากผู้อื่น แต่เมื่อเป็นเรื่องของสิ่งทั้งหลายอย่างการชุมนุม การสามัคคีธรรมความจริง การอ่านอธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า และการสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ส่วนบุคคล ทุกสิ่งล้วนเหมือนกัน—ไม่ได้เกินไปจากขอบเขตนี้เลย  พวกเขาเพียงต้องปฏิบัติโดยอ้างอิงตามข้อกำหนดในปัจจุบันของพระนิเวศของพระเจ้าอันว่าด้วยเนื้อหาที่กินและดื่มในชีวิตคริสตจักร รูปแบบในการจัดสามัคคีธรรม และรูปแบบของการชุมนุม  หากภาวะทั้งหลายอนุญาต ผู้คนก็สามารถชุมนุมด้วยกันแบบเจอหน้า ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็สามารถชุมนุมกันทางออนไลน์ได้  การนี้ควรเป็นเรื่องที่เรียบง่ายอย่างมาก และถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน  สมาชิกคริสตจักรบางคนกระจายตัวอยู่ในทวีปและประเทศต่างๆ บ้างอยู่ในยุโรป บ้างก็อยู่ในตะวันออกกลาง ในสถานการณ์ประเภทนี้ การชุมนุมทางออนไลน์จึงเป็นสิ่งจำเป็น  การตัดสินใจเรื่องเวลาและความบ่อยของการจัดการชุมนุมขึ้นอยู่กับคริสตจักรท้องถิ่น พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อกำหนดอันเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ และไม่เข้าแทรกแซงในเรื่องนี้  เหตุใดพระนิเวศของพระเจ้าจึงไม่เข้าแทรกแซงในเรื่องนี้?  คนบางคนในคริสตจักรไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาแบบเต็มเวลา พวกเขามีหน้าที่การงานและมีครอบครัว รูปการณ์แวดล้อมของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกัน แถมเขตเวลาของแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน พวกเขาจึงต้องได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจด้วยตนเองว่าหนึ่งสัปดาห์จะชุมนุมกันกี่ครั้ง และการชุมนุมแต่ละครั้งจะจัดขึ้นตอนไหน  พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้สร้างข้อกำหนดอันเจาะจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่มอบหลักธรรมให้เท่านั้น  พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดขอบเขตเอาไว้ว่าในหนึ่งสัปดาห์ผู้เชื่อใหม่จะชุมนุมร่วมกันบ่อยแค่ไหน และมีความแตกต่างในเรื่องที่ว่าในหนึ่งสัปดาห์ ผู้ที่ทำหน้าที่ของตนกับผู้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนจะชุมนุมร่วมกันกี่ครั้ง  มีการจัดการเตรียมงานที่พึงให้ผู้เชื่อใหม่ชุมนุมร่วมกันสัปดาห์ละเจ็ดครั้งหรือไม่?  (ไม่)  แล้วจำนวนครั้งที่ผู้เชื่อใหม่ชุมนุมร่วมกันในหนึ่งสัปดาห์อ้างอิงจากสิ่งใด?  (อ้างอิงจากเวลาที่ผู้เชื่อใหม่มี)  การชุมนุมร่วมกันสองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์เป็นอย่างมาก และหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อยนั้นถูกต้องเหมาะสมโดยสิ้นเชิง  บางคนกล่าวว่า “ผู้คนในพื้นที่ของพวกเราว่างงานมากในช่วงเว้นว่างจากการเพาะปลูก ดังนั้นทุกคนจึงอยากชุมนุมกันทุกวัน—ให้พวกเราชุมนุมกันวันละสองครั้งก็ยังได้  พวกเราอยากชุมนุมกันจริงๆ”  หัวใจของผู้เชื่อใหม่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น และพวกเขาก็ต้องการเข้าใจความจริงให้มากขึ้นอยู่เสมอ  หากสถานการณ์ทางครอบครัวของพวกเขาเป็นใจ การที่พวกเขาขอชุมนุมกันมากขึ้นก็ย่อมเป็นเรื่องดี ตราบเท่าที่ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา  จำนวนครั้งอันเจาะจงที่ผู้คนควรชุมนุมร่วมกันในทุกสัปดาห์ควรกำหนดจากสถานการณ์ครอบครัวและการทำงานของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในแต่ละพื้นที่—พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อกำหนดอันเจาะจงในเรื่องนี้  บรรดาประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรผู้อยู่ในภาวะที่ทำเช่นนั้นได้อาจจะชุมนุมกันมากขึ้น แล้วพวกเขาก็จะเข้าใจความจริงมากขึ้นและสัมฤทธิ์การเติบโตในชีวิตเร็วขึ้น  นี่เป็นสิ่งที่ดี  อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ไม่มีภาวะอันเหมาะสมย่อมไม่เหมาะที่จะชุมนุมกันในหนทางนี้ และการที่พวกเขาเข้าชุมนุมอย่างน้อยหนึ่งหรือสองครั้งต่อสัปดาห์ก็เป็นเรื่องที่รับได้  แต่ละสัปดาห์ จำนวนครั้งที่คริสตจักรในแต่ละพื้นที่จัดการชุมนุมนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และไม่ควรมีใครเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้  สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การชุมนุมจัดขึ้นเพื่อให้ผู้คนสามารถเข้าใจความจริงได้ และไม่ได้มีเหตุผลอื่น  ดังนั้นแล้ว จำนวนครั้งที่แต่ละคริสตจักรจัดการชุมนุมตัดสินใจไปตามรูปการณ์แวดล้อมอันเจาะจงของคริสตจักรแห่งนั้น  หากแต่ละสัปดาห์ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถเข้าร่วมการชุมนุมเพิ่มเติมได้ นั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในชีวิตของพวกเขามากขึ้น  หากมีผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและไม่ต้องการเข้าชุมนุมมากไปกว่านี้ เช่นนั้นก็ไม่ควรนำสิ่งนี้ไปบังคับพวกเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าพนักงานเงินเดือนที่ค่อนข้างยุ่งและไม่มีเวลาเข้าชุมนุมมากไปกว่านี้ พวกเขาก็ไม่ควรถูกเรียกร้องให้ทำเช่นนี้  ไม่ว่าผู้คนมีความสามารถที่จะเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่ หรือพวกเขาเข้าชุมนุมกี่ครั้ง พระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่เข้าไปยุ่งหรือกำหนดข้อจำกัดใดๆ  นี่เป็นเพราะรูปการณ์แวดล้อมและภูมิหลังของผู้เชื่อแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไม่ถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด บังอยู่ในตำแหน่งที่จะเข้าร่วมการชุมนุมหรือไม่  สำหรับเนื้อหาที่กินและดื่มระหว่างชีวิตคริสตจักร ในการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้านั้นมีข้อกำหนดที่สอดคล้องกัน และผู้นำทุกระดับในคริสตจักร รวมถึงพี่น้องชายหญิงจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดเหล่านี้  ผู้นำและคนทำงานต้องเข้าใจอย่างแน่ชัดว่างานและเรื่องอันเจาะจงใดที่พึงต้องดำเนินการตามการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน อีกทั้งพี่น้องชายหญิงต้องกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานเพื่อดูว่าพวกเขาปฏิบัติงานนี้หรือไม่  เมื่อเป็นเรื่องของเนื้อหาที่กินและดื่มระหว่างชีวิตคริสตจักรกับการจัดการเตรียมงานที่เกี่ยวกับการชุมนุมซึ่งต้องเข้าใจและปฏิบัติตามนั้น ผู้นำและคนทำงานต้องบรรลุข้อตกลงร่วมกับประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร—ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงโดยเด็ดขาด  การจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับงานด้านชีวิตคริสตจักรนั้นเรียบง่ายอย่างมาก ง่ายต่อการที่ผู้คนจะเข้าใจ และไม่ได้เป็นนามธรรมเลย

VI การบริหารจัดการทรัพย์สิน

รายการที่หก การบริหารจัดการทรัพย์สิน  ถึงแม้ว่างานของการบริหารจัดการทรัพย์สินจะไม่ได้แจกจ่ายการจัดการเตรียมงานบ่อยเหมือนงานข่าวประเสริฐหรืองานในสายอาชีพหลากหลายประเภท พระนิเวศของพระเจ้าก็ยังคงมีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงสำหรับงานนี้  การบริหารจัดการทรัพย์สินเกี่ยวข้องกับอะไร?  การนี้เกี่ยวข้องกับวิธีจัดเก็บทรัพย์สิน สถานที่จัดเก็บ คนที่บริหารจัดการทรัพย์สินเหล่านั้น รวมถึงวิธีการจัดสรร บริหารจัดการ และโยกย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นในยามที่มีอันตรายหรือสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น รวมไปถึงรูปการณ์แวดล้อมเจาะจงรูปแบบอื่น  ที่จริงแล้วการจัดการเตรียมการมีข้อกำหนดเกี่ยวกับทั้งหมดนี้ และสำหรับงานรายการนี้ ผู้นำและคนทำงานไม่ควรรอจนกระทั่งเบื้องบนแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานหรือสั่งการโดยตรงจึงจะเริ่มบริหารจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นด้วยความเฉื่อยชา  หากไม่มีการจัดการเตรียมงานด่วนที่พึงให้เจ้าจัดการทรัพย์สินทั้งหลายให้หนทางที่เจาะจง และในรูปการณ์แวดล้อมแบบพิเศษที่เจ้าไม่รู้ว่าจะจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นอย่างไร และไม่อาจได้รับการตอบกลับจากเบื้องบนได้ทันการ เจ้าควรทำอย่างไร?  ความปลอดภัยคือสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง และหน้าที่รับผิดชอบของเจ้าคือการคุ้มครองทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้า  สำหรับหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่พระนิเวศของพระเจ้าเป็นผู้ตีพิมพ์ รวมถึงเครื่องจักร อาหารการกิน เงินทอง และทรัพย์สินอื่นๆ ทุกประเภท ผู้นำและคนทำงานควรเก็บทั้งหมดนี้ไว้ในที่ที่ปลอดภัยตามการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ปล่อยให้ชื้น ขึ้นรา หรือถูกปลวกกิน ไม่ต้องพูดถึงการปล่อยให้คนชั่วหรือพญานาคใหญ่สีแดงยึดเอาสิ่งเหล่านี้ไปเลย  มากไปกว่านั้น นอกเหนือจากการบริหารจัดการทรัพย์สินเหล่านี้ของพระนิเวศของพระเจ้าให้ดี ผู้นำและคนทำงานก็ควรรักษาความลับอย่างเคร่งครัด คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ควรถูกกันไม่ให้รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้แบบถ้วนหน้า และบรรดาผู้ที่รู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ก็ควรปิดปากให้สนิทและไม่ปากโป้งออกมา  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงเกี่ยวกับงานนี้ และไม่เหมาะสมที่จะแจกจ่ายหรือเปิดเผยการจัดการเตรียมงานบางอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร  หากผู้นำและคนทำงานคิดหนทางและวิธีการบริหารจัดการทรัพย์สินที่ดีกว่านี้ได้ แน่นอนว่าเช่นนั้นแล้ว ในขณะที่ปฏิบัติตามหลักธรรมของการบริหารจัดการและคุ้มครองทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดความเสียหาย พวกเขาก็อาจจะหารือเรื่องนี้กับผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ และทำการตัดสินใจด้วยตนเอง  นี่เป็นงานพิเศษ และพวกที่ไม่ปิดปาดให้สนิท พวกที่ไร้ซึ่งสำนึกของหน้าที่รับผิดชอบ พวกที่มีแรงจูงใจอันไม่เหมาะสม พวกที่เพิ่งเริ่มเชื่อและยังไม่มีรากฐานในความเชื่อของพวกเขา รวมถึงพวกที่จับจ้องทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความโลภอยู่เสมอ คนเหล่านี้ต้องไม่ได้รับอนุญาตให้รู้เกี่ยวกับสิ่งนี้โดยถ้วนหน้า  สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกกล่าวถึงอย่างโจ่งแจ้งในการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าได้ แต่ผู้นำและคนทำงาน รวมถึงผู้ดูแลที่เชื่อถือได้ควรตระหนักถึงเรื่องนี้มิใช่หรือ?  (ใช่)  ในที่นี้มีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษอยู่  สมมุติว่าผู้นำที่เพิ่งได้รับเลือกมาใหม่นั้นเชื่อในพระเจ้ามาเพียงแค่สามปี เขาเป็นคนที่มีขีดความสามารถดี กระตือรือร้นมาก ทั้งยังดูภายนอกเป็นคนที่ใช้ได้ แต่ยังไม่รู้ว่าผู้นำคนนั้นมีลักษณะนิสัยอย่างไร เขามองทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร หรือเขาเป็นคนโลภหรือไม่  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้และไม่แน่นอน อีกทั้งพี่น้องชายหญิงที่เชื่อในพระเจ้ามานานก็ไม่ได้รู้จักคนคนนี้เป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้รู้จักคนคนนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง  ในสถานการณ์เช่นนั้นควรทำอย่างไร?  เมื่อถึงเวลาส่งมอบงานดังกล่าวให้ผู้นำคนนี้ งานอื่นๆ ถูกส่งมอบไปหมดแล้ว—งานที่เกี่ยวกับทรัพย์สินควรถูกส่งมอบให้ผู้นำคนนี้หรือไม่?  (ไม่ควร)  เหตุใดจึงไม่ควร?  งานหลักของผู้นำและคนทำงานไม่ใช่เพียงการบริหารจัดการทรัพย์สินเท่านั้น ทรัพย์สินเป็นเพียงส่วนหนึ่งในงานของพวกเขา  หากมีคนที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการทรัพย์สินจริงๆ และผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่คนนี้เชื่อถือไม่ได้ การไม่ส่งต่องานนี้ให้ผู้นำคนนี้ทันทีย่อมไม่เป็นไร เพราะยังไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อในพระเจ้าเป็นเวลานานหรือจะสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่  ในอดึต ใครคนหนึ่งเพิ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และหลังจากเข้ารับตำแหน่งนี้ สิ่งแรกที่เขาทำคือขอเลขบัญชีธนาคารและรหัสผ่านสำหรับบัญชีที่เก็บเงินถวายนี้จากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  เขาถามว่าใครมีเลขบัญชีและรหัสผ่านเหล่านี้ และไปกดดันคนเหล่านั้นให้ส่งมอบงานนี้ให้เขาทันที  ในสถานการณ์เช่นนี้ควรส่งมอบงานนี้ให้แก่เขาหรือไม่?  เขาไม่ได้เป็นกังวลหรือสนใจงานอื่นเลย แต่กลับเอาจริงเอาจังและเป็นกังวลกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ—เขาเป็นคนที่เชื่อถือได้หรือไม่?  อย่าคิดว่าใครบางคนเป็นคนที่เชื่อถือได้เพราะพวกเขาคือผู้นำหรือคนทำงาน  ในความเป็นจริง มีเพียงผู้ดูแลที่ได้รับเลือกอย่างแท้จริงตามหลักธรรมเท่านั้นที่เชื่อถือได้—พวกเขาสามารถสละชีวิตของคนเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าได้  ผู้คนเช่นนี้เชื่อถือได้มากที่สุด  แล้วผู้นำและคนทำงานทุกคนสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่?  ไม่จำเป็น  ในอดีตมีผู้นำระดับภูมิภาคคนหนึ่งถูกพญานาคใหญ่สีแดงจับกุม และเขาขายทรัพย์สินทั้งหมดของคริสตจักรเพื่อประโยชน์ส่วนตน จนนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมหาศาล  หากเขาไม่รู้ว่าทรัพย์สินของคริสตจักรอยู่ที่ใด ต่อให้เขาถูกทุบตีจนถึงแก่ความตายเขาก็จะไม่สามารถเผยเรื่องนี้ได้ แล้วทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าก็จะไม่เผชิญกับการสูญเสียใช่หรือไม่?  โดยแท้แล้ว นี่เป็นเพราะเขารู้มากเกินไปจนหลุดพูดทุกสิ่งในยามที่เขาไม่สามารถสู้ทนกับการทรมานและการทุบตีอันโหดร้ายได้ จนเงินนี้ไปลงเอยอยู่ในมือของพญานาคใหญ่สีแดง  หากเขาไม่ได้รับอนุญาตให้รู้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ที่ไหน และหากคนที่คุ้มครองทรัพย์สินเหล่านี้เป็นคนที่เชื่อถือได้ เงินของพระนิเวศของพระเจ้าจะเผชิญกับการสูญเสียและถูกพญานาคใหญ่สีแดงบังคับยึดไปหรือไม่?  ไม่ ย่อมจะไม่เป็นเช่นนั้น  นี่เป็นบทเรียนอันร้ายแรง  เพราะฉะนั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดการเตรียมงานนี้ก็คือความปลอดภัยต้องมาก่อน ความสูญเสียต้องถูกจำกัดไว้ให้น้อยที่สุด และงานควรถูกกระทำไปในหนทางใดก็ตามที่ปลอดภัย  จงหาใครบางคนที่แสดงถึงความจงรักภักดีในการบริหารจัดการทรัพย์สินของพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อให้มาบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้—นี่เป็นแนวทางการปฏิบัติที่เชื่อถือได้มากที่สุด  ถึงแม้ว่าคนคนนี้จะไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย พวกเขาก็จะจงรักภักดีและจะสามารถคุ้มครองเงินได้อย่างแน่นอน ดังนั้นการใช้คนคนนี้คุ้มครองทรัพย์สินย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่พึงกระทำ  เนื่องจากงานรายการนี้เป็นงานที่ทำเพียงอย่างเดียว การจัดการเตรียมการสำหรับงานนี้จึงเรียบง่ายมาก นั่นคือ หาคนที่เหมาะสมเพื่อมาคุ้มครองทรัพย์สิน และหาสถานที่ปลอดภัยเพื่อเก็บทรัพย์สินเหล่านั้น  นอกจากนี้ ในการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้ายังมีข้อกำหนดอันเจาะจงเกี่ยวกับการจัดสรรและการใช้จ่ายทรัพย์สินเหล่านี้ของพระนิเวศของพระเจ้า กล่าวคือ สามารถนำเงินไปใช้จ่ายในค่าใช้จ่ายที่จำเป็นได้ ห้ามนำไปใช้จ่ายกับส่วนที่ไม่จำเป็น  ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง กล่าวคือ สำหรับการใช้จ่ายเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นมีระบบการกำกับดูแลที่เข้มงวด และพระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับกระบวนการและขั้นตอนอันหลากหลาย โดยให้มีการลงลายมือชื่อจากคนหลายคน เป็นต้น  มีการบริหารจัดการ มีการคุ้มครอง มีการใช้จ่าย รวมถึงมีการทำบัญชี—สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้มีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงอยู่

VII. งานด้านการชำระล้างให้สะอาด

รายการที่เจ็ด งานของการชำระให้สะอาด  พระนิเวศของพระเจ้าก็ได้สร้างการจัดการเตรียมงานอย่างต่อเนื่องสำหรับงานนี้เช่นกัน  ในแง่หนึ่ง การจัดการเตรียมงานนี้เกิดขึ้นโดยอ้างอิงตามความจำเป็นของงานในพระนิเวศของพระเจ้า และอีกแง่หนึ่ง การจัดการเตรียมงานเหล่านี้สร้างขึ้นตามการแบ่งประเภทและนิยามของผู้คนนานาประเภท รวมไปถึงการจัดพวกเขาไปตามประเภทของแต่ละคนตามการสำแดงที่พวกเขาเคยเผยออกมา  พระนิเวศของพระเจ้ามีหลักธรรมสำหรับจัดการกับศัตรูของพระคริสต์ คนชั่ว และผู้ไม่เชื่อทุกรูปแบบ บางคนถูกชำระออกจากบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ บางคนถูกชำระออกจากคริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลา และถูกส่งไปอยู่คริสตจักรที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นบางเวลาหรือคริสตจักรธรรมดา บางคนถูกชำระออกจากคริสตจักรธรรมดาและถูกส่งไปอยู่กลุ่มข. อีกทั้งมีบางคนที่ถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไปโดยตรง  พระนิเวศของพระเจ้ากระทำการจัดการเตรียมงานสำหรับการชำระคริสตจักรให้สะอาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงมีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงสำหรับผู้คนนานาประเภทที่ตรงตามเงื่อนไขของการถูกชำระออกไป  อ้างอิงตามท่าทีที่ผู้คนมีต่อการทำหน้าที่ของตน การกระทำผิดที่พวกเขาทำระหว่างทำหน้าที่ของตน รวมไปถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามที่เผยจากผู้คนหลากหลายประเภท ท้ายที่สุดพระนิเวศของพระเจ้าได้สร้างแผนการอันเจาะจงสำหรับจัดการคนเหล่านี้  ด้วยเหตุนั้น การจัดการคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และศัตรูของพระคริสต์หลากหลายประเภทโดยพระนิเวศของพระเจ้าจึงเป็นไปตามพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมความจริงโดยสมบูรณ์ ทั้งยังดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  สำหรับการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ ในแง่มุมหนึ่งนั้นจำเป็นต้องสามัคคีธรรมหลักธรรมความจริงเพื่อให้ผู้คนเข้าใจสิ่งเหล่านั้นและเรียนรู้วิธีแยกแยะผู้คนนานาประเภท ขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งก็จำเป็นที่จะต้องแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานเหล่านี้แก่คริสตจักรทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมและดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ได้  แต่ไม่ว่าอย่างไร งานของการชำระคริสตจักรให้สะอาดก็ต้องดำเนินการให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และงานนี้ต้องไม่ถูกขัดขวางโดยเด็ดขาด  งานนี้ต้องดำเนินต่อไปจนกระทั่งไม่เหลือคนชั่วอยู่ในคริสตจักรอีกต่อไป  ผู้นำและคนทำงานไม่จำเป็นต้องปฏิบัติงานของการชำระให้สะอาดเพียงช่วงเวลาหนึ่งหลังจากเบื้องบนแจกจ่ายการจัดการเตรียมงาน โดยสั่งว่าคริสตจักรต้องได้รับการชำระให้สะอาดเท่านั้น หากพบว่ามีคนชั่วที่ก่อการรบกวนอีกครั้งหลังจากการชำระให้สะอาดเสร็จสิ้นไปได้ระยะหนึ่ง แต่เบื้องบนยังไม่ได้จัดการเตรียมงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นผู้นำและคนทำงานก็ไม่จำเป็นต้องสนใจคนชั่วเหล่านั้นหรือชำระพวกเขาออกไป—แบบนั่นย่อมจะไม่ได้การ  งานของการชำระคริสตจักรให้สะอาดต้องดำเนินต่อเนื่องไปอย่างเป็นระเบียบ ตราบเท่าที่มีคนที่ต้องถูกขับไล่หรือเอาตัวออกไป เช่นนั้นงานของการชำระให้สะอาดก็ต้องดำเนินต่อไป  จงอย่ารอเฉยให้เบื้องบนออกคำสั่ง หรือรอให้ผู้นำระดับสูงสื่อสารสิ่งเหล่านั้นกับพวกเขา และอย่ารอเฉยให้พี่น้องชายหญิงรายงานใครบางคนมากกว่านี้  ตราบเท่าที่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเปิดโปงและรายงานใครบางคน ผู้นำและคนทำงานก็ควรเริ่มสืบค้นและจัดการกรณีนั้นเสีย  หากผู้นำและคนทำงานเก็บจดหมายรายงานเอาไว้และไม่จัดการเรื่องนั้น พวกเขาก็ควรถูกสอบสวนและจัดการ และหากพบว่าพวกเขากำลังปกป้องคนชั่ว เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องถูกเอาตัวออกไปจากคริสตจักรพร้อมกับคนชั่วคนนั้น  ผู้นำหรือคนทำงานคนใดที่ไม่ปฏิบัติงานของการชำระล้างคริสตจักรย่อมเป็นผู้นำหรือคนทำงานเทียมเท็จ และควรถูกปลดในทันที  หากพวกเขาถึงกับปกป้องและคุ้มกันคนชั่ว เช่นนั้นก็สามารถระบุได้ว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ รวมถึงขับไล่และเอาตัวพวกเขาออกไปจากคริสตจักร  สิ่งเหล่านี้เป็นข้อกำหนดอันเจาะจงที่พระนิเวศของพระเจ้าสร้างขึ้นสำหรับงานของการชำระคริสตจักรให้สะอาด  งานของการชำระคริสตจักรให้สะอาดเป็นงานที่มีความสำคัญเร่งด่วนอันดับหนึ่งและมีนัยสำคัญอย่างลึกซึ้ง  บอกเราทีเถิดว่า การชำระคริสตจักรให้สะอาดไม่ได้ทำเพื่อชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์หรอกหรือ?  หากคริสตจักรได้รับการชำระให้บริสุทธิ์—กล่าวคือ หากไม่มีคนชั่วก่อการรบกวนอยู่ในคริสตจักร และไม่มีผู้ไม่เชื่อปะปนอยู่ในหมู่สมาชิกคริสตจักร—ที่นี่ย่อมจะเป็นคริสตจักรที่แท้จริง และจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคริสตจักรด้วย  นี่จะเป็นก้าวใหญ่อีกหนึ่งก้าวไปสู่การทำให้ราชอาณาจักรของพระคริสต์เป็นจริงมิใช่หรือ?  คริสตจักรที่บริสุทธิ์เช่นนี้ย่อมจะเป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร เพราะทุกคนจะมีความเป็นจริงความจริง ทุกคนจะสามารถเป็นคำพยานแก่พระเจ้าและได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ในฐานะประชากรของพระเจ้า และจะไม่มีคนชั่วที่ก่อการรบกวนอีกต่อไป  โดยธรรมชาติแล้วคริสตจักรเช่นนี้ย่อมจะได้รับการอวยพรมากที่สุด  ด้วยเหตุนั้น การชำระคริสตจักรให้สะอาดจึงเป็นงานที่มีความหมายมากที่สุด และทำไปเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ทำหน้าที่ของตนอย่างสงบสุขมากขึ้น และไร้ซึ่งการก่อกวนจากคนชั่ว  มากไปกว่านั้น พระนิเวศของพระเจ้าไม่เกื้อหนุนพวกคนขี้เกียจหรือคนไร้ประโยชน์ รวมถึงไม่เกื้อหนุนพวกปรสิตที่ลุ่มหลงในความสะดวกสบายและกินขนมปังให้อิ่มท้อง  บรรดาผู้ที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเองเลย ทั้งยังก่อกวนและสร้างผลกระทบต่อผู้อื่นที่ทำหน้าที่ของพวกเขา รวมถึงพวกที่แสดงความคิดเห็นอย่างไร้ความรับผิดชอบ จุ้นจ้าน และไม่ทำงานอันถูกควรของพวกเขาในคริสตจักรก็ล้วนต้องถูกเอาตัวออกไปเช่นกัน  บัดนี้ผู้คนทุกประเภทถูกเผยออกมาอย่างหมดเปลือกแล้ว งานของการชำระคริสตจักรให้สะอาดนั้นสำคัญอย่างยิ่ง อีกทั้งต้องทำให้ดีและรอบคอบ  บรรดาคนชั่ว ศัตรูของพระคริสต์ ผู้ไม่เชื่อ พวกที่ไม่มีประโยชน์ และปรสิตที่ถูกเผยนี้เป็นพวกที่พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์ และพวกเขาก็เกินกว่าที่จะช่วยให้รอด  หากคริสตจักรไม่ดำเนินงานของการชำระให้สะอาด เช่นนั้นนี่ย่อมจะส่งผลกระทบต่องานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐ  ด้วยเหตุนั้น งานของการชำระคริสตจักรให้สะอาดจึงเป็นงานสำคัญที่จำเป็นต้องทำให้ดีโดยด่วนในตอนนี้  มีเพียงบรรดาผู้นำและคนทำงานที่สามารถทำงานชำระล้างคริสตจักรให้สะอาดได้ดีเท่านั้นที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะ และสามารถเป็นผู้นำและคนทำงานต่อไปได้  ผู้นำและคนทำงานคนใดที่ขัดขวางงานของการชำระคริสตจักรให้สะอาด ย่อมเป็นเครื่องสะดุดและเป็นสิ่งกีดขวาง และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรต้องเปิดโปงและรายงานเรื่องพวกเขา  อันดับแรก ผู้นำและคนทำงานทุกระดับต้องแก้ไขและเอาเครื่องสะดุดและเครื่องกีดขวางต่องานของคริสตจักรเหล่านี้ออกไปให้หมด—การนี้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เอื้อให้งานหลากหลายประการของคริสตจักรคืบหน้าไปได้อย่างราบรื่น และเอื้อต่อคริสตจักรที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าทรงได้รับพระสิริทั้งปวง

VIII. กิจธุระภายนอก

รายการที่แปด กิจธุระภายนอก  งานด้านกิจธุระภายนอกไม่ใช่งานใหญ่ ทั้งยังเป็นงานเล็ก และมีหลักธรรมมากมายอยู่ในการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าที่เกี่ยวกับกิจธุระภายนอก  หนึ่งคือการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายท้องถิ่นและข้อบังคับเฉพาะในท้องถิ่น  กล่าวคือ ไม่ว่าคริสตจักรทำสิ่งใดในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เจ้าก็ต้องศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายท้องถิ่นเสียก่อน—นี่คือหลักธรรมข้อหนึ่ง  หลักธรรมอีกข้อหนึ่งก็คือ เมื่อเจ้าเผชิญปัญหาที่เกี่ยวกับกิจธุระภายนอกซึ่งเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่ได้เข้าใจโดยชัดเจน เจ้าต้องปรึกษากับทนายความและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งไม่กระทำการตัดสินด้วยตนเองโดยขาดความรู้ เจ้าต้องสร้างแผนการอันเจาะจงสำหรับจัดการเรื่องทั้งหลายตามเงื่อนไขระดับชาติที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ  แล้วแผนการเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?  เจ้าต้องเชื่อในสิ่งที่ทนายบอก และปล่อยให้ทนายเป็นผู้ตัดสินใจ—อย่ากระทำการตัดสินหรือตัดสินใจโดยพลการด้วยตัวเจ้าเอง  เงื่อนไข นโยบาย กฎหมาย และข้อบังคับระดับชาตินั้นแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ดังนั้นจงอย่ากระทำการตามจินตนาการของเจ้า  ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้าเห็นใครบางคนถูกปล้นที่ถนนในประเทศจีน  กฎหมายประเทศจีนกำหนดไว้ว่า ผู้ที่ผ่านไปมาและเห็นเหตุการณ์นี้สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้อย่างกล้าหาญ อันดับแรกคือจับโจร แล้วต่อมาก็ส่งโจรเหล่านั้นให้กับตำรวจ  หากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะกลายเป็นวีรบุรุษคนธรรมดา เจ้าจะไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ และเจ้าสมควรได้รับการยกย่อง  นี่เป็นสถานการณ์และระบบระดับชาติในประเทศจีน และนี่คือวัฒนธรรมดั้งเดิมประเภทหนึ่งในจีน—คนจีนอธิบายสิ่งนี้ด้วยชื่อที่ฟังดูรื่นหูว่า “คุณธรรมดั้งเดิม”  อย่างไรก็ตาม ในฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา หากเจ้าเห็นโจรกำลังขโมยของบางอย่าง เจ้าเข้าไปจับพวกเขาไว้ทันทีและรอให้ตำรวจมาจับกุมพวกเขา นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ผิด นี่คือสิ่งที่ผิดกฎหมาย  นี่เป็นเพราะเจ้าเป็นเพียงพลเมืองธรรมดา ไม่ใช่ผู้บังคับใช้กฎหมาย และเจ้าไม่มีสิทธิ์จับกุมใครทั้งสิ้น มีเพียงตำรวจเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการจับกุมใครบางคน  เมื่อเจ้าเห็นโจรกำลังขโมยของบางอย่าง เจ้าสามารถแจ้งตำรวจได้ แต่เจ้าไม่สามารถจับโจรนั้นได้ด้วยตัวเอง  หากเจ้าไปสุ่มจับโจร เช่นนั้นเจ้าก็กำลังทำผิดกฎหมาย—นี่คือกฎหมายในฝั่งตะวันตก  การปฏิบัติ “คุณธรรมแบบดั้งเดิม” ของชาวจีนที่ประเทศตะวันตกเป็นเรื่องไม่เหมาะสม  ฝั่งตะวันตกมีกฎหมายของตนเอง  หากเจ้าเห็นใครบางคนล้มลงที่ถนนในประเทศฝั่งตะวันตก กฎหมายกำหนดไว้อย่างไรหรือ?  เจ้าต้องเข้าไปถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?  ต้องการความช่วยเหลือไหม?”  หากคนคนนั้นบอกว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถไปได้  หากเจ้าเห็นใครบางคนล้มลงแต่ไม่ตรวจดูหรือสอบถามพวกเขาว่าเป็นอะไรไหม เพียงแต่เดินต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำผิดกฎหมาย  หากเจ้าเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ในประเทศจีน นี่อาจจะเป็นมิจฉาชีพ และหากเจ้าเมินเฉยก็ไม่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า  หากเจ้าถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?  ต้องการความช่วยเหลือไหม?” นั่นอาจจะสร้างความยุ่งยากให้เจ้า คนคนนั้นอาจจะหลอกลวงเจ้า แล้วเจ้าก็สามารถลืมการใช้ชีวิตที่ดีอีกครั้งไปได้เลย  สองเรื่องนี้บอกอะไรแก่พวกเจ้าหรือ?  การศึกษาในประเทศที่แตกกันและท่ามกลางเชื้อชาติที่ต่างกันนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับสภาพแวดล้อมทางสังคมและระบบทางสังคม และแน่นอนว่ากฎหมายและข้อบังคับด้วย  ในเรื่องของงานด้านกิจธุระภายนอก ในแง่หนึ่ง คนที่ปฏิบัติงานนี้จำเป็นต้องเข้าใจกฎหมาย ข้อบังคับ ข้อกำหนดเกี่ยวกับงานของคริสตจักรอย่างถูกต้องแม่นยำ และในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาควรเผยแพร่ความรู้ทั่วไปในการใช้ชีวิต หรือข้อกำหนดทางกฎหมายที่พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องรู้  ด้วยเหตุนั้น พระนิเวศของพระเจ้าจึงมีการจัดการเตรียมงานเกี่ยวกับงานประการนี้ ที่กำหนดให้บรรดาผู้ปฏิบัติงานนี้ปรึกษาเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องและข้อบังคับของรัฐบาลเป็นอย่างแรกในทุกสิ่งที่พวกเขาทำเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับประเด็นปัญหาที่ยากจะแก้ไข พวกเขาต้องปรึกษากับทนายและไม่กระทำการตัดสินแบบสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยตนเอง หรือกำหนดหนทางแก้ไขตามความคิดและตรรกะของชาวจีน—นี่เป็นวิธีปฏิบัติตนที่โง่เขลาและไม่รู้ความ  เมื่อเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว เจ้าก็ควรรู้ถึงนัยสำคัญของงานด้านกิจธุระภายนอก ผลลัพธ์ที่พึงสัมฤทธิ์ รวมถึงความจำเป็นที่พระนิเวศของพระเจ้าต้องสร้างการจัดการเตรียมงานเหล่านี้  ขอบเขตของงานนี้ไม่ได้กว้างมาก เพราะฉะนั้นในสถานการณ์ส่วนใหญ่ การให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานนี้มีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเตรียมงานนี้จึงเพียงพอแล้ว  หากเป็นสิ่งที่พี่น้องชายหญิงจำเป็นต้องรู้ เช่นนั้นก็จงช่วยเหลือพวกเขาให้รู้ซึ้งและเข้าใจ  งานด้านกิจธุระภายนอกก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะหากพี่น้องชายหญิงไม่เข้าใจกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการที่พวกเขาใช้ชีวิตและทำงานที่ต่างประเทศ เช่นนั้นก็ย่อมจะไม่ได้การ  พระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นในเรื่องนี้ อีกทั้งจำเป็นที่จะต้องดำเนินการสิ่งนี้ตามจัดการเตรียมงาน  หากมีรูปการณ์แวดล้อมพิเศษเกิดขึ้น พระนิเวศของพระเจ้าก็จะหาหนทางแก้ไขแบบเร่งด่วนขึ้นมา  หากงานงานหนึ่งเกี่ยวข้องกับงานด้านกิจธุระภายนอก เจ้าต้องปรึกษากับบุคลากรด้านกิจธุระภายนอก และดูว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีการจัดการเตรียมการอันเจาะจงอย่างไรเกี่ยวกับงานนี้ อย่าหลับหูหลับตาพึ่งพาจินตนาการของตน และอย่าดำเนินการอย่างขาดความรู้  การปฏิบัติตนในหนทางอาจจะก่อให้เกิดปัญหา และผลที่ตามมาย่อมจะเกินคาดคิด  งานด้านกิจธุระภายนอกก็เป็นงานอย่างเดียวเช่นกัน งานนี้ไม่ซับซ้อน และเจ้าควรหาเรื่องที่เจาะจงที่สุดเกี่ยวกับงานในการจัดการเตรียมงานให้พบ  เมื่อผู้คนเริ่มทำงานด้านกิจธุระภายนอกที่ต่างประเทศเป็นครั้งแรก การนี้อาจรู้สึกค่อนข้างซับซ้อน แต่หลังจากทำงานนี้ไปสักพัก พวกเขาจะพบรูปแบบและวิธีการ และงานนี้ก็ดูจะไม่ซับซ้อนมากมายอีกต่อไป  ในตอนแรก คนจีนที่ไปอยู่ต่างประเทศนั้นถูกแจ้งตำรวจเรื่องการทิ้งขยะไม่เป็นที่ การเข้านอนดึกเกินไป การตื่นแต่เช้าตรู่เกินไป การรบกวนผู้คนด้วยสุนัขที่เห่าเสียงดังของพวกเขา การตากผ้าที่ระเบียง และการจอดรถอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม—พวกเขาถูกแจ้งตำรวจหลายต่อหลายเรื่อง  ท้ายที่สุด พวกเขาถูกแจ้งความหลายครั้ง ตำรวจก็มักจะมาเคาะประตูบ้านพวกเขาเพื่อให้การชี้แนะเสมอ และเมื่อเวลาผ่านไปนาน พวกเขาจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าตนเองอยู่ที่ต่างประเทศ ไม่ได้อยู่ที่ประเทศจีน  พวกเราเริ่มระวังตัวทีละน้อย พวกเขาเริ่มมีความตระหนักรู้เรื่องกฎหมายขึ้นบ้าง และพวกเขาก็มาเข้าใจกฎเกณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับชีวิต งาน การขับรถ และอื่นๆ  เมื่อคนจีนเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก พวกเขาเข้าใจเพียงมารยาทพื้นฐานบางอย่างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตนเท่านั้น อีกทั้งไม่มีความรู้ในเชิงสามัญสำนึกเกี่ยวกับเรื่องทางกฎหมายส่วนใหญ่ พวกเขาเหมือนกับสัตว์ป่า ไร้ซึ่งความตระหนักรู้ทางกฎหมาย  หลังจากผ่านไปสองหรือสามปี พวกเขาก็ได้รับความรู้บางอย่างและเข้าใจกฎเกณฑ์ขึ้นบ้าง ราวกับพวกเขาถูกทำให้เชื่อง และพวกเขาก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

IX. สวัสดิการของคริสตจักร

รายการที่เก้า สวัสดิการของคริสตจักร  ก่อนหน้านี้พระนิเวศของพระเจ้าได้ทำการจัดการเตรียมงานสำหรับสวัสดการคริสตจักรเอาไว้แล้ว และหากคนที่ทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างเต็มเวลาหรือครอบครัวของพวกเขาต้องการความช่วยเหลือให้มีเงินพอสำหรับใช้จ่าย ผู้นำคริสตจักรก็ต้องแก้ไขปัญหานี้  ในการจัดการเตรียมงานเหล่านี้มีหลักธรรมและแผนการดำเนินการอันเจาะจง อีกทั้งพระนิเวศของพระเจ้าก็ได้มอบคำกล่าวและข้อกำหนดอันเจาะจงไว้ให้  สำหรับพี่น้องชายหญิงที่ติดคุกเพราะความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา จนก่อให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวพวกเขา พ่อแม่ที่ทำหน้าที่มาเป็นเวลานานต้องห่างบ้านและไม่มีใครดูแลลูกๆ ของพวกเขา รวมถึงพี่น้องชายหญิงที่ทำหน้าที่ของตนมาหลายปีและล้มป่วย คริสตจักรควรให้ความช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาสำหรับความยากลำบากเหล่านี้  มีรูปการแวดล้อมพิเศษที่เกี่ยวกับงานรายการนี้ นั่นคือ เมื่อครอบครัวบางครอบครัวตรงตามเงื่อนไขของการเป็นเจ้าภาพให้กับพี่น้องชายหญิงที่บ้าน แต่พวกเขาไม่มีแหล่งรายได้—เช่นนั้นแล้ว ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพรับรองพี่น้องชายหญิงนั้นควรจัดการอย่างไร?  สิ่งนี้อยู่ภายใต้งานด้านสวัสดิการของคริสตจักร  ข้อกำหนดเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถพบได้ในการจัดการเตรียมงาน หรือผู้นำและคนทำงานสามารถจัดสรรทรัพยากรของคริสตจักรได้ตามสมควรโดยอ้างอิงจากสถานการณ์ในท้องถิ่น เพื่อดำเนินงานในการเป็นเจ้าภาพ—คริสตจักรมีข้อกำหนดอันเจาะจงสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้  หากมีรูปการแวดล้อมพิเศษเกิดขึ้นนอกขอบเขตของข้อกำหนดอันเจาะจงเหล่านี้ เช่นนั้นผู้นำและคนทำงานก็อาจจะสามัคคีธรรมและหารือเรื่องนี้ แล้วกระทำการจัดการเตรียมการที่สมเหตุสมผลและเป็นรูปธรรมตามมาตรฐานในใช้ชีวิตตามปกติของพื้นที่นั้น  ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่งานขนาดใหญ่และไม่ใช่งานที่สำคัญมากนัก แต่ก็เป็นงานที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ทั้งยังเป็นงานที่ไม่สามารถมองข้ามได้  หากไม่มีใครต้องการการเกื้อหนุนเพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการใช้ชีวิตหรือต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน เช่นนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ไม่จำเป็นต้องออกไปตามหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือนั้น  หากมีผู้คนเช่นนั้นอยู่ ผู้นำและคนทำงานไม่ควรหลบหน้าพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการดูดายพวกเขา ยืนอยู่เฉยๆ หรือทำเป็นไม่เห็นพวกเขาเลย  ผู้นำและคนทำงานควรปฏิบัติตนตามหลักธรรม—นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา

X. แผนการฉุกเฉิน

รายการที่สิบ แผนการฉุกเฉิน  แผนการฉุกเฉินว่าด้วยประเด็นปัญหาพิเศษที่เกิดขึ้นในงานส่วนใดก็ตามของพระนิเวศของพระเจ้า  ไม่ว่าปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจะเกิดขึ้นในงานข่าวประเสริฐ งานด้านการปกครอง หรืองานในสายอาชีพหรือไม่ ไม่ว่ากรณีเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์และผู้นำเทียมเท็จนั้นถูกจัดการหรือไม่ หรือไม่ว่าสถานการณ์พิเศษบางอย่างที่ผู้คนถูกชักพาให้หลงผิดนั้นมีการแยกแยะหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนจัดอยู่ในหมวดหมู่ของแผนการฉุกเฉินทั้งสิ้น  ตัวอย่างเช่น หากใครบางคนก่อการรบกวนและการขัดขวาง หรือหากศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่งทำตัวเผด็จการและทำตามอำเภอใจ อีกทั้งพยายามก่อตั้งอาณาจักรของพวกเขาเองขึ้นมา เป็นต้น ทันทีที่พระนิเวศของพระเจ้าพบว่าเรื่องดังกล่าวสมควรแก่การสร้างการจัดการเตรียมงานสำหรับแผนการอันเจาะจงเกี่ยวกับหนึ่งในสถานการณ์เหล่านี้ พระนิเวศของพระเจ้าจะทำการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรที่สอดคล้องกัน  แผนการฉุกเฉินอ้างอิงตามสถานการณ์ฉุกเฉินบางอย่างที่เกิดขึ้นในคริสตจักร ณ ขณะนั้น และเบื้องบนก็สร้างการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงตามความร้ายแรงของรูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว จากนั้นก็แจกจ่ายและสื่อสารสิ่งเหล่านั้นออกไป  แผนการอันเจาะจงอาจจะเกี่ยวกับงานใดก็ตามที่ผู้นำและคนทำงานควรทำ ตราบเท่าที่เบื้องบนเป็นผู้จัดการเตรียมการแผนนี้และพึงให้ผู้นำกับคนทำงานถูกดำเนินการ เช่นนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ต้องแจกจ่ายและดำเนินการแผนดังกล่าวตามการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน  พวกเขาต้องไม่ทำเป็นเล่นกับการจัดการเตรียมงานเหล่านี้  เมื่อเบื้องบนกระทำการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ งานเหล่านี้ย่อมไม่ได้เป็นรองจากงานด้านการปกครองหรืองานในสายอาชีพอันเจาะจงใดเลย  ถึงแม้ว่าการจัดการเตรียมงานเหล่านี้จะเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ผู้นำและคนทำงานก็ยังควรที่จะแจกจ่าย สื่อสาร ดำเนินการ และติดตามสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกับการจัดการเตรียมงานที่เป็นทางการ หลังจากนั้นก็ชี้แจงและรายงานต่อเบื้องบน—นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  แผนการฉุกเฉินไม่ได้มุ่งเป้าไปที่งานใดเป็นพิเศษ กล่าวคือ ไม่ว่าเบื้องบนจะมอบหมายงาน สร้างข้อเรียกร้อง หรือมอบหมายการจัดการเตรียมงานแก่ผู้นำทุกระดับชั้นในทุกพื้นทีเมื่อไร ผู้นำและคนทำงานก็ต้องไม่เพิกเฉยงานประเภทนี้  เนื่องจากสิ่งเหล่านี้คือการจัดการเตรียมงาน ทั้งยังถูกแจกจ่ายให้กับผู้นำทุกระดับชั้นในทุกพื้นที่ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นงานที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  ผู้นำและคนทำงานไม่ควรเฝ้าดูอยู่เฉยๆ หรือจำแนกงานตามขอบเขต หรือในแง่ที่ว่างานนี้ตกอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่ หรือคาดเดาน้ำเสียงของเบื้องบนและความเร่งด่วนในการจัดการเตรียมงาน เพื่อกำหนดว่าจะดำเนินการสิ่งเหล่านั้นอย่างทันท่วงทีหรือไม่  สิ่งเหล่านั้นไม่ควรเกิดขึ้น กลับกัน ผู้นำและคนทำงานควรดำเนินงานเช่นเดียวกับที่พึงทำในงานที่เป็นทางการ และทำให้เสร็จสมบูรณ์ในขณะที่ปฏิบัติต่องานนี้ว่าเป็นพระบัญชาและงานที่สำคัญ—นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน  สำหรับรูปการณ์แวดล้อมพิเศษนั้นมีแผนการฉุกเฉินอยู่ และนี่คืองานที่ดำเนินการในบริบทพิเศษ  เมื่อมีบางสิ่งที่พิเศษและเฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น เบื้องบนจะใช้บริบทและเหตุการณ์เหล่านี้ให้ผู้นำและคนทำงานหรือพี่น้องชายหญิงใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อมาแยะแยกผู้คนและสิ่งทั้งหลายโดยใช้ความจริงในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น มาเรียนรู้วิธีมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายให้ทะลุปรุโปร่ง และบรรลุความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง  จุดประสงค์ของการทำเช่นนี้คือเพื่อทำให้ผู้คนแยกแยะผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์  นอกจากนี้ การนี้ยังเป็นไปเพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงมีสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เหมาะสม และไม่ถูกก่อกวนสำหรับชีวิตคริสตจักร  ในอีกแง่มุมหนึ่ง การนี้เป็นไปเพื่อทำให้ผู้คนเรียนรู้บทเรียนอันหลากหลายในหนทางที่ทันท่วงทีและได้รับการฝึกฝน หลังจากได้รับการฝึกฝนในหนทางนี้ ผู้คนย่อมจะเกิดความคืบหน้าอย่างมหาศาลในชีวิตของพวกเขา  นี่คือวิธีที่เบื้องบนฝึกฝนผู้นำและคนทำงานทุกระดับชั้น รวมถึงพี่น้องชายหญิง โดยเฉพาะพี่น้องชายหญิงที่ไล่ตามเสาะหาความจริง  การทำเช่นนี้ไม่มีความมุ่งร้าย เบื้องบนไม่ได้กำลังทรมานผู้คนหรือทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย  ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้คือแผนการฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการจัดการเตรียมงานแบบชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงมีนัยสำคัญและมีคุณค่า และเราหวังว่าผู้นำและคนทำงานในทุกระดับชั้น รวมถึงพี่น้องชายหญิงจะสามารถเข้าใจสิ่งนี้และเข้าหาสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง

พวกเราได้ไล่เรียงการจัดการเตรียมงานออกมาทั้งหมดสิบรายการ และโดยเบื้องต้นตอนนี้เราได้สามัคคีธรรมเสร็จสิ้นทั้งสิบรายการแล้ว  เรายังไม่ได้สามัคคีธรรมถึงสิ่งเหล่านี้โดยละเอียดมากนัก แต่สิ่งที่เราสามัคคีธรรมไปก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเจ้าเข้าใจและตีความได้ว่าการจัดการเตรียมงานคืออะไรกันแน่ และงานอันเจาะจงประการใดที่พระนิเวศของพระเจ้าทำ  ในอีกแง่มุมหนึ่ง เจ้าก็ได้รับการช่วยเหลือให้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงกำลังทำสิ่งใดในคริสตจักรและท่ามกลางบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรผ่านงานอันเจาะจงเหล่านี้กันแน่  งานของพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่การดำเนินกิจการ ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับการเมือง สิทธิมนุษยชน และไม่ได้การทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์ใดๆ งานทั้งหลายที่พระนิเวศของพระเจ้าพบได้ในการจัดการเตรียมงาน  ด้วยเหตุนั้น พรรคฝ่ายปกครองและสถาบันทางสังคมบางแห่งจึงมักสะกดรอย ค้นคว้า และสืบค้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสมอ และบางทีด้วยการตรวจสอบสิ่งนี้—ผ่านการรับชมวีดิทัศน์และเว็บไซต์ของพระนิเวศของพระเจ้า—พวกเขาก็ได้ยืนยันว่า คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความเชื่อที่แท้จริง และคริสตจักรนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเมืองของประเทศใดทั้งสิ้น  คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทนทุกข์กับการกดขี่และการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาหลายปี ทว่าคริสตจักรแห่งนี้ยังคงประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระเจ้าต่อไป ทั้งยังอัปโหลดพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และวีดิทัศน์คำพยานทุกรูปแบบขึ้นบนโลกออนไลน์ นำมาซึ่งประโยชน์อันยิ่งใหญ่มหาศาลต่อสังคมมนุษย์ และพิสูจน์ให้เห็นโดยสมบูรณ์ว่าพระเจ้าทรงกำลังแสดงความจริงและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างไม่หยุดยั้งในยุคสุดท้าย  พวกเขาเฝ้าค้นคว้าแล้วค้นคว้าเล่า แล้วผลลัพธ์ที่พวกเขาได้จากการค้นคว้านั้นคืออะไร?  พวกเขาเกิดความผิดหวังอย่างรุนแรงมิใช่หรือ?  พวกเขาถึงกับใคร่ครวญว่าสิ่งใดที่พวกเขาพบที่จะนำมาเป็นเครื่องมือแปะป้ายคริสตจักรของพวกเราว่าเป็น “ลัทธิ” และแปะป้ายคริสตจักรว่าเป็นพวกต่อต้านพรรคและต่อต้านรัฐได้  แต่บัดนี้พวกเขาเห็นแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถทำเช่นนี้ได้—หากตัดสินจากการจัดการเตรียมงานที่คริสตจักรแจกจ่ายตลอดหลายปี พวกเขาไม่มีทางแปะป้ายเหล่านี้ให้คริสตจักร และการค้นคว้าทั้งหมดของพวกเขาก็ย่อมสูญเปล่า  เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่ชาวยิวศึกษาเรื่องขององค์พระเยซูเจ้าในอดีต  พวกธรรมาจารย์ ฟาริสีนักบวช ฟาริสี และเจ้าหน้าที่รัฐอาวุโสศึกษาสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสและทรงทำ และไม่พบว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นขัดต่อกฎหมายหรือการเมือง ทุกสิ่งที่พระองค์ตรัสและทรงทำนั้นถูกต้อง เป็นความจริง และสอดคล้องกับพระคัมภีร์โดยสมบูรณ์ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ผิดหวังไป  บัดนี้ โลกศาสนามองว่าพระนิเวศของพระเจ้ากำลังผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์คำพยานจากประสบการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนังสือและการแสดงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าที่มีจำนวนมากขึ้น แล้วพวกเขาคิดอย่างไร?  หากพวกเขาไม่อาจเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาก็ช่างโง่เขลาอย่างเหลือเสียจริง!  สิ่งที่มาจากพระเจ้าต้องเจริญรุ่งเรือง—นี่คือผลลัพธ์จากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่มีผู้ใดสามารถปิดบังเรื่องนี้ได้  บัดนี้พระวจนะของพระเจ้าได้เผยแผ่ไปทั่วทั้งโลก และความจริงที่พระองค์ทรงแสดงก็วางอยู่เบื้องหน้ามวลมนุษย์ทั้งปวง การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าไหลหลั่งไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง ไม่มีชนชาติหรือกองกำลังใดที่สามารถต้านทานการนี้ได้  พญานาคใหญ่สีแดงได้พ่ายแพ้และอับอายไปแล้วโดยสิ้นเชิง!  ไม่ว่าโลกศาสนาจะกล่าวโทษสิ่งนี้อย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานพระราชกิจของพระเจ้าได้ และท้ายที่สุด พวกเขาจะได้แต่ถูกกำจัดทิ้งและจมลงไปในกระแสน้ำวนเท่านั้น

บัดนี้เราได้เสร็จสิ้นสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานต่างๆ แล้ว  สิ่งที่เราสามัคคีธรรมไปล้วนเป็นงานที่พระนิเวศของพระเจ้าทำมิใช่หรือ?  นี่คืองานที่พวกเขาเห็นได้ด้วยตาของตนเอง เป็นสิ่งที่เจ้าได้ยินด้วยหูของตนเอง ทั้งยังเป็นสิ่งที่พวกเจ้าได้มีประสบการณ์และรู้ซึ้งด้วยตัวของพวกเจ้าเอง—ในเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เป็นความลับเลย  พญานาคใหญ่สีแดงมีการจัดการเตรียมงานทั้งปวงของคริสตจักรมาตลอดหลายปี—การจัดการเตรียมงานที่พวกเขามีนั้นมหาศาลและครอบคลุม  พวกเขาศึกษาสิ่งเหล่านั้นอยู่ทุกวัน และพวกเขาก็เฝ้าศึกษาแล้วศึกษาเล่าจนในที่สุดก็มาสู่ข้อสรุปที่ว่า “หากผู้คนเหล่านี้เผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าและเป็นคำพยานให้พระราชกิจของพระเจ้าในหนทางนี้อยู่เป็นนิจ เช่นนั้นก็ย่อมจะแย่มาก!  คนพวกนี้ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก และต่อให้หนีไปต่างประเทศก็ต้องไม่ปล่อยเอาไว้!”  เจ้าย่อมเห็นว่า พวกมารนั้นไม่เหมือนกับคนเสื่อมทรามธรรมดา—พวกเขาจะต่อต้านพระเจ้าไปจนถึงปลายทางอันขมขื่น  หากผู้คนที่เสื่อมทรามธรรมดาเห็นคำพยานทั้งหลายจากคริสตจักร พวกเขาย่อมสามารถเข้าใจคำพยานเหล่านั้นได้ พวกเขาย่อมคิดว่าคำพยานเหล่านั้นสมเหตุสมผล และพวกเขาจะไม่ข่มเหงแต่อย่างใด  อย่างไรก็ตาม ซาตานและหมู่มารไม่ได้เป็นเช่นนี้  เมื่อพวกเขาเห็นเจ้าติดตามพระเจ้าและเป็นคำพยานให้กับพระเจ้า พวกเขาก็เกลียดเจ้า พวกเขาต้องการฆ่าเจ้า และไม่อนุญาตให้เจ้ามีชีวิตอยู่  หากเจ้าไม่ทำอย่างที่พวกเขาบอกและไม่เทิดทูนพวกเขา เช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีวันรามือจากเจ้า และพวกเขาจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า  พวกเขาจะตามล่าเจ้าจนตายไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด ต่อให้เจ้าไปถึงสุดขอบโลก พวกเขาก็จะยังไม่ปล่อยเจ้าไป  นี่คือสิ่งที่พญานาคใหญ่สีแดงทำ  นี่คือความเลวร้ายของซาตาน และสิ่งนี้แตกต่างจากคนเสื่อมทรามธรรมดา  เจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนในประเด็นนี้

วิธีสื่อสารและดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง

I. วิธีสื่อสารการจัดการเตรียมงาน

การจัดการเตรียมงานสิบรายการนี้เป็นขอบเขตและเนื้อหาของงานทั้งหลายทั้งปวงที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในคริสตจักรและท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร  การเข้าใจเนื้อหาและขอบเขตของงานนี้ช่วยให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกำกับดูแลผู้นำและคนทำงานในการทำงานนี้ให้ดี  อีกแง่มุมหนึ่ง โดยหลักแล้วการนี้ช่วยให้ผู้นำและคนทำงานเข้าใจและจับความเข้าใจขอบเขตหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา รวมถึงงานที่พวกเขาควรทำและหน้าที่รับผิดชอบที่พวกเขาควรทำให้ลุล่วง อีกทั้งช่วยให้พวกเขามีคำนิยามที่ถูกต้องต่อตำแหน่ง “ผู้นำและคนทำงาน”  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานคืออะไร?  พวกเขาควรดำเนินชีวิตด้วยสภาพเสมือนสิ่งใด?  พวกเขาควรเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่?  (ไม่)  “ผู้นำและคนทำงาน” ไม่ใช่ชื่อเรียกหรือตำแหน่งทางการ  คนเราควรเข้าใจว่าสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานเป็นมาจากหน้าที่ที่ผู้นำและคนทำงานทำ รวมถึงมาจากพระบัญชาที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขา และมาตรฐานที่พระองค์ทรงเรียกร้องจากพวกเขา  ในหนทางนี้ คนเราจะมีความเข้าใจที่ค่อนข้างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับตำแหน่ง “ผู้นำและคนทำงาน” และเริ่มเข้าใจชัดเจนมากขึ้นถึงคำนิยามของผู้นำและคนทำงาน  สิ่งใดเป็นหน้าที่รับผิดชอบขั้นต่ำของผู้นำและคนทำงาน?  พวกเขาควรสื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานแต่ละประการให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า ดังที่ถูกกล่าวถึงในรายการที่เก้า  ไม่ว่าการจัดการเตรียมงานสัมพันธ์กับแง่มุมใด ตราบเท่าที่สิ่งนี้สื่อสารผ่านผู้นำและคนทำงาน สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ หลังจากที่พวกเขาเข้าใจการจัดการเตรียมงานนี้อย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์แล้ว พวกเขาก็ต้องสื่อสารสิ่งนี้แก่คริสตจักรทั้งหลายอย่างไม่รีรอและไม่หยุดยั้ง  สำหรับผู้ที่ได้รับการสื่อสารการจัดการเตรียมงาน หากพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้สื่อสารการจัดการเตรียมงานนี้ไปยังผู้นำและคนทำงานทุกระดับชั้น รวมถึงผู้ที่อยู่ในระดับของผู้ประกาศ ผู้นำคริสตจักร และมัคนายกของคริสตจักร เช่นนั้นก็ควรสื่อสารสิ่งเหล่านี้ไปจนถึงทุกคนที่อยู่ในระดับนี้ เท่านั้นก็เพียงพอ หากต้องสื่อสารการจัดการเตรียมงานไปสู่พี่น้องชายหญิงทุกคน เช่นนั้นก็ควรสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ไปสู่พี่น้องชายหญิงทุกคนอย่างเคร่งครัดตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้า  หากสภาพแวดล้อมทำให้ไม่สะดวกที่จะสื่อสารการจัดการเตรียมงานในรูปแบบลายลักษณ์อักษร และการทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือปัญหาที่หนักหนายิ่งกว่านั้น เช่นนั้นก็ควรสื่อสารเนื้อหาที่สำคัญและเป็นหลักธรรมของการจัดการเตรียมงานไปยังแต่ละคนด้วยปาก  แล้วการนี้ต้องทำเช่นไรจึงจะถือว่าการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารไปแล้ว?  หากการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ต้องมีการยืนยันว่าทุกคนได้รับสิ่งเหล่านั้นแล้ว ทุกคนรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น และทุกคนมีความจริงจังกับสิ่งเหล่านั้น หากการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ถูกสื่อสารออกไปทางปาก เช่นนั้นเมื่อมีการสื่อสารออกไปแล้ว ผู้คนก็ต้องถูกถามซ้ำๆ ว่าพวกเขาเข้าใจการจัดการเตรียมงานเหล่านี้อย่างชัดเจนและจำได้หรือไม่ ทั้งยังสามารถขอให้พวกเขาทวนการจัดการเตรียมงานนั้นกลับมาได้ด้วยซ้ำ—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ถือได้ว่าการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปแล้วอย่างแท้จริง  หากผู้คนสามารถทวนกลับมา และบอกได้อย่างชัดเจนว่าหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดคืออะไร รวมถึงเนื้อหาอันเจาะจงคืออะไร นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าการจัดการเตรียมงานนั้นถูกสื่อสารออกไปสู่จิตใจของพวกเขาแล้ว และพวกเขาจดจำได้ อีกทั้งเข้าใจการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นอย่างชัดเจน  เมื่อนั้นเท่านั้นที่จะถือได้ว่าการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปแล้วอย่างแท้จริง  หากเงื่อนไข สภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆ ล้วนเหมาะสมแก่การสื่อสารการจัดการเตรียมงานเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นนั้นแล้วก็ต้องสื่อสารสิ่งเหล่านั้นเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างแน่นอน หากไม่สามารถสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านี้เป็นลายลักษณ์อักษรได้เพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนี้ และต้องสื่อสารผ่านทางปากแทน เช่นนั้นก็ต้องยืนยันว่าสิ่งที่ถูกสื่อสารผ่านทางปากนั้นตรงกับการจัดการเตรียมงาน ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกบิดเบือน และไม่มีการเติมความเข้าใจส่วนบุคคลลงไปในการจัดการเตรียมการเหล่านั้น และเชื่อมโยงกับข้อความต้นฉบับ—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะถือได้ว่าการจัดการเตรียมงานถูกสื่อสารออกไปอย่างถูกต้องและอย่างแท้จริง  การจัดการเตรียมงานควรถูกสื่อสารอย่างครบถ้วนตามถ้อยคำอันเจาะจง สิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกสื่อสารออกไปอย่างไร้ความรับผิดชอบหรือด้วยการตีความที่บิดเบือนหรือไร้สาระตามความเข้าใจและความคิดฝันส่วนตัวของผู้คน  ในการสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ให้ถูกต้อง ผู้คนควรเข้าใจระดับความเคร่งครัดสำหรับการสื่อสารการจัดการเตรียมงาน กล่าวคือ การสื่อสารสิ่งเหล่านี้ต้องดำเนินไปอย่างถูกต้อง  บางคนกล่าวว่า “พวกเราต้องสื่อสารสิ่งเหล่านี้อย่างแม่นยำเลยหรือ?”  ไม่ใช่ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น  ความแม่นยำเป็นสิ่งที่กำหนดสำหรับวิธีการ หากผู้คนสามารถสื่อสารสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง พวกเขาก็ย่อมทำได้ดีทีเดียว  ตัวอย่างเช่น ในเรื่องของชีวิตคริสตจักร การจัดการเตรียมงานจากพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องของการรู้จักพระเจ้า—เรื่องนี้ง่ายต่อการสื่อสารใช่หรือไม่?  (ใช่)  การจัดการเตรียมงานให้ขอบเขตแก่ผู้คน และพวกเขาสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ได้  อย่างไรก็ตามหากใครบางคนตีความการจัดการเตรียมงานผิดๆ เพิ่มความเข้าใจส่วนตัว รวมถึงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาลงไป และสื่อสารถ้อยคำเพิ่มเติมบางคำ นี่ก็หมายความว่าพวกเขาได้เบี่ยงเบนสิ่งนี้ไปจากการจัดการเตรียมงานมิใช่หรือ?  พวกเขาสื่อสารการจัดการเตรียมงานออกไปอย่างถูกต้องหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขากำลังสื่อสารการจัดการเตรียมงานพร้อมกับสิ่งที่พวกเขาเพิ่มเติมเข้าไปเอง—การนี้ไร้สาระโดยสมบูรณ์  คนเราต้องอ่านการจัดการเตรียมงานทุกประการที่มาจากเบื้องบนซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง และเข้าใจชัดเจนถึงความหมายที่ถูกต้อง นัยสำคัญของการแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานนี้ รวมถึงผลลัพธ์ที่จะตั้งใจจะสัมฤทธิ์ แล้วจึงคิดหาหนทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติงานอันเจาะจงที่จัดการเตรียมการจากเบื้องบน โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆ  หลังจากสามัคคีธรรมและเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว การสื่อสารการจัดการเตรียมงานย่อมจะถูกต้องโดยสมบูรณ์  สิ่งแรกที่ต้องทำคือการส่งการจัดการเตรียมงานจากผู้นำและคนทำงานในพื้นที่ชนบทไปให้ผู้นำและคนทำงานทุกระดับชั้น ผู้ซึ่งสุดท้ายจะเป็นผู้ส่งการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นไปยังหัวหน้างานของทุกฝ่ายในทุกคริสตจักร  จากนั้นก็ต้องสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้าหลายๆ ครั้งในการชุมนุม เพื่อให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกคนเข้าใจและรู้วิธีนำการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นไปปฏิบัติ—มีเพียงตอนที่สัมฤทธิ์ผลเช่นนี้เท่านั้นที่จะถือได้ว่าการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นถูกสื่อสารออกไป  การจัดการเตรียมงานต้องถูกสื่อสารตามวิธีการและขอบเขตที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนด  แน่นอนว่าเนื้อหาที่สื่อสารนั้นต้องถูกต้องและปราศจากข้อผิดพลาด  ผู้นำและคนทำงานห้ามตีความการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ผิดอย่างไม่ยั้งคิดและเพิ่มเติมแนวคิดของพวกเขาเองลงไป—นั่นไม่ใช่การสื่อสารการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง ทั้งยังถือเป็นความล้มเหลวในการลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบในฐานะผู้นำและคนทำงาน  นี่คือวิธีสื่อสารและดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้องที่พึงเข้าใจ

ผู้นำและคนทำงานควรทำอย่างไร หากพวกเขายังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการสื่อสารการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้อง?  การทำเช่นนี้มีวิธีการที่ง่ายดายและเรียบง่ายมาก  หลังจากผู้นำและคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงานแล้ว อันดับแรก พวกเขาควรสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานกับผู้นำและคนทำงานคนอื่นๆ ดูว่าในการจัดการเตรียมงานเหล่านี้มีงานอันเจาะจงที่เบื้องบนกำหนดอยู่กี่รายการ และไล่เรียงงานเหล่านั้นออกมาทีละรายการ  หลังจากนั้น พวกเขาควรพิจารณาสถานการณ์จริงของคริสตจักรท้องถิ่นโดยอ้างอิงตามการจัดการเตรียมงานเหล่านี้ อย่างเช่น รูปการณ์แวดล้อมด้านงานข่าวประเสริฐ งานในสายอาชีพหลากหลายประเภท และชีวิตคริสตจักร รวมไปถึงขีดความสามารถและรูปการณ์แวดล้อมทางครอบครัวของผู้คนทุกประเภท เป็นต้น รวมรวบสิ่งทั้งหมดนี้เข้าด้วยกันเพื่อดูว่าจะดำเนินการงานเหล่านี้อย่างไร  ผ่านสามัคคีธรรม ผู้นำและคนทำงานทุกคนต้องมาสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกันในเรื่องของการจัดการเตรียมงาน รวมถึงมีวิธีการที่สอดคล้องในการสื่อสารการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นจะสื่อสารการจัดการเตรียมการได้อย่างถูกต้อง  หากผู้นำหรือคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงานและหลับหูหลับตาบอกให้พี่น้องชายหญิงมารวมตัวกัน แล้วแจกจ่ายและสื่อสารสิ่งเหล่านั้นออกไปโดยที่ยังไม่รู้ว่าโดยเจาะจงแล้วการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง การนี้เหมาะสมหรือไม่?  ผลที่เกิดขึ้นจากการนี้คือ หลังจากสื่อสารการจัดการเตรียมการไป ย่อมจะพบว่ามีความเบี่ยงเบนอยู่ในวิธีดำเนินการจัดการเตรียมงานเหล่านั้นในทุกๆ คริสตจักร และเมื่อผู้นำและคนทำงานได้ดูการจัดการเตรียมงานอย่างใกล้ชิดเท่านั้นที่พวกเขาได้พบว่า สิ่งเหล่านั้นถูกสื่อสารไปพร้อมความเบี่ยงเบน  หากในตอนนั้นผู้นำและคนทำงานได้อ่านและสามัคคีธรรมถึงการจัดการเตรียมงานอย่างมีสติ สิ่งนี้ย่อมจะเป็นไปด้วยดี แต่เนื่องจากพวกเขาเกียจคร้านและทำตัวสุกเอาเผากินไปชั่วขณะ พวกเขาจึงทำให้เกิดข้อผิดพลาดและการเบี่ยงเบนมากมายปรากฏอยู่ในงานของคริสตจักร และหลังจากนั้น พวกเขาก็ต้องแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น  การนี้เพิ่มขั้นตอนที่ไม่จำเป็นทั้งหลายและเป็นการเสียเวลา  หากพวกเขาได้สามัคคีธรรมการจัดการเตรียมงานอย่างชัดเจนโดยตรง แล้วจึงสื่อสารและดำเนินการสิ่งเหล่านั้นไปทีละรายการ การนั้นก็ย่อมจะดีกว่า  นี่มิใช่ความผิดพลาดในยามที่งานไม่ได้ดำเนินไปด้วยดีหรอกหรือ?  (ใช่)  ด้วยเหตุนั้น การสื่อสารการจัดการเตรียมงานออกไปให้ถูกต้องจึงมีหลายขั้นตอน  อันดับแรก ผู้นำและคนทำงานต้องมีการตีความที่จริงแท้และมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเนื้อหาอันเจาะจงของการจัดการเตรียมงาน จากนั้น พวกเขาก็ต้องมีแผนการดำเนินการอันเจาะจง วิธีดำเนินการ และบุคคลผู้เป็นเป้าหมายในการดำเนินการอยู่ในใจ—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะถือได้ว่าการจัดการเตรียมการนั้นถูกสื่อสารออกไปอย่างถูกต้อง  เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่หากผู้นำและคนทำงานหลับหูหลับตาแจกจ่ายและสื่อสารการจัดการเตรียมงานออกไปโดยที่พวกเขามีเพียงความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์ เพียงแต่ดูเหมือนเข้าใจการจัดการเตรียมงานเหล่านั้น ทว่ายังคลุมเครือและไม่เข้าใจชัดเจน หรือไม่เข้าใจข้อกำหนดและเนื้อหาอันเจาะจงในสิ่งเหล่านั้น?  (ไม่เหมาะสม)  ผู้นำและคนทำงานเช่นนั้นสามารถปฏิบัติงานให้ดีได้หรือไม่?  เห็นได้ชัดว่าไม่ได้  เพราะฉะนั้น ในสถานการณ์ที่พี่น้องชายหญิงไม่รู้ว่ามาตรฐานและหลักธรรมอันเจาะจงที่กำหนดคืออะไร หรือไม่รู้ว่าควรดำเนินการสิ่งเหล่านั้นอย่างไรกันแน่ ผู้นำและคนทำงานจะมีความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วในเรื่องของการจัดการเตรียมงาน รวมไปถึงแผนการอันเป็นรูปธรรมและขั้นตอนในการดำเนินการสิ่งเหล่านั้น—มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่ผู้นำและคนทำงานจะสามารถดำเนินการขั้นตอนแรกได้ ซึ่งก็คือ การสื่อสารการจัดการเตรียมงาน  เมื่อสื่อสารการจัดการเตรียมงานไปแล้ว และพี่น้องชายหญิงล้วนเข้าใจเนื้อหาของการจัดการเตรียมงานดังกล่าวอย่างถูกต้อง รวมถึงมีความรู้เกี่ยวกับนัยสำคัญ คุณค่า และมาตรฐานของพระนิเวศของพระเจ้าในการทำงานนี้อยู่บ้าง เช่นนั้นแล้ว ผู้นำและคนทำงานก็ควรสามัคคีธรรมทันทีถึงวิธีจัดสรรผู้คนและงานอันเฉพาะเจาะจง รวมถึงแผนการอันเจาะจงว่าใครจะดำเนินการและปฏิบัติงานนี้—สิ่งเหล่านี้เป็นขั้นตอนของการปฏิบัติงาน  เจ้าคิดอย่างไรกับการติดตามงานในหนทางนี้?  นี่ถือได้ว่าเป็นการติดตามงานอย่างใกล้ชิดหรือไม่?  นี่คือการติดตามงานอย่างทันท่วงทีใช่หรือไม่?  (ใช่)

II. วิธีดำเนินการจัดการเตรียมงาน

เมื่อผู้นำและคนทำงานได้รับการจัดการเตรียมงาน พวกเขามิใช่เพียงจำเป็นต้องสื่อสารและแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานดังกล่าวออกไปแล้วจบลงเท่านั้น  เมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในคริสตจักรทุกแห่งรู้ว่าการจัดการเตรียมงานถูกแจกจ่ายไปแล้ว สิ่งนี้ก็สามารถถือว่าได้รับการดำเนินการแล้วใช่หรือไม่?  นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหรือดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างแท้จริง นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา และนี่ไม่ใช่มาตรฐานที่พระเจ้าต้องประสงค์ในท้ายที่สุด  การสื่อสารและการแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานไม่ใช่จุดมุ่งหมาย—การดำเนินการคือจุดมุ่งหมาย  แล้วการจัดการเตรียมงานมีการดำเนินการอันเจาะจงอย่างไร?  ผู้นำและคนทำงานต้องเรียกหัวหน้างานและพี่น้องชายหญิงที่เกี่ยวข้องทุกคนมารวมตัวกัน และสามัคคีธรรมวิธีทำงานกับพวกเขา ขณะเดียวกันก็เลือกหัวหน้างานและสมาชิกในฝ่ายเป็นตัวหลักในการดำเนินงานดังกล่าว  สิ่งแรกที่ผู้นำและคนทำงานควรทำในยามที่ดำเนินงานคือสามัคคีธรรม—จงสามัคคีธรรมถึงวิธีทำงานที่ตรงตามหลักธรรมและสอดคล้องกับการจัดการเตรียมงานนี้จากพระนิเวศของพระเจ้า รวมถึงวิธีทำงานนี้ในหนทางที่หมายความว่า การจัดการเตรียมงานนี้จากพระนิเวศของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติและดำเนินการแล้ว  ในขณะที่สามัคคีธรรม พี่น้องชายหญิงกับผู้นำและคนทำงานควรเสนอแนะแผนการอันหลากหลาย และท้ายที่สุดก็เลือกหนทาง วิธีการ และขั้นตอนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักธรรมมากที่สุด โดยตัดสินใจว่าจะทำอะไรเป็นอย่างแรก และจะทำอะไรเป็นลำดับต่อไป เพื่อให้งานดำเนินไปได้อย่างเป็นระเบียบ  เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ในทางทฤษฎี เมื่อผู้คนไม่มีความยากลำบากหรือความคิดฝันอีกต่อไป เมื่อพวกเขาไม่รู้สึกต้านทานใดๆ ต่องานนี้ ทั้งยังสามารถเข้าใจความหมายและจุดประสงค์ของการจัดการเตรียมงานนี้จากพระนิเวศของพระเจ้าได้ งานนี้ก็ยังไม่อาจถือได้ว่าถูกดำเนินการแล้ว  เรื่องนี้ต้องมีการตัดสินใจด้วยว่าใครคือผู้ที่เหมาะสมและมีทักษะมากที่สุดในงานนี้ ใครที่สามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบของงานนี้ได้ และใครที่มีความสามารถในการทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์  คนที่จะรับผิดชอบงานนี้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับเลือก ต้องมีการกำหนดแผนดำเนินการและกรอบเวลาสำหรับทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ อีกทั้งต้องมีการจัดเตรียมและระบุทรัพยากร เนื้อหา และสิ่งที่จำเป็นอื่นๆ สำหรับการทำงานนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ไว้อย่างชัดเจน—เมื่อนั้นเท่านั้นที่จะถือว่างานนี้ได้ถูกดำเนินการแล้ว  แน่นอนว่า ก่อนดำเนินการก็จำเป็นที่จะต้องสื่อสารและหารืออย่างเจาะจงกับคนที่รับผิดชอบงานนี้ทีละคน โดยพวกเขาว่าเคยทำงานนี้มาก่อนหรือไม่ และพวกเขามีมุมมองหรือความคิดอย่างไรเกี่ยวกับงานนี้  หากพวกเขาเสนอแผนการและความคิดบางอย่างที่สอดคล้องกับหลักธรรม เช่นนั้นก็อาจจะนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้ได้  มากไปกว่านั้น ในการดำเนินงานทุกๆ งานนั้นต้องเอาใจใส่ในการค้นหาด้วยว่าอันที่จริงมีปัญหาปรากฏอยู่กี่ประการ—นี่คือขั้นตอนที่ไม่ควรละเลย  หลังจากพบปัญหาทั้งหลายแล้ว ก็ต้องคิดหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้ทันกาล และหลังจากแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้อย่างครบถ้วนแล้วเท่านั้น การจัดการเตรียมงานจึงจะถูกดำเนินการไปโดยแท้จริง  มากไปกว่านั้น เจ้าต้องเสาะหาวิธีที่จะทำงานนี้ในหนทางที่สอดคล้องกับหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดด้วยมิใช่หรือ?  นอกจากนี้แล้ว ไม่ว่าพระนิเวศของพระเจ้ามีข้อกำหนดใดในแง่ของเวลาสำหรับงานนี้หรือไม่ งานนี้ต้องเสร็จสมบูรณ์ภายในระยะเวลาใด ไม่ว่ามีข้อกำหนดอย่างเป็นรูปธรรมในแง่ของทักษะทางสายอาชีพหรือไม่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นหัวข้อที่ผู้นำและคนทำงานควรสามัคคีธรรมกับหัวหน้างานที่เกี่ยวข้อง  นี่คือการดำเนินการ  การดำเนินการไม่ได้สิ้นสุดที่การสื่อสารผ่านทางวาจาหรือที่ทฤษฎี แต่กลับกัน สิ่งนี้สัมพันธ์กับความคืบหน้าตามจริงของงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงปัญหาและความยากลำบากอันเฉพาะเจาะจงบางอย่างที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข  ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรคำนึงถึงในยามที่ดำเนินการจัดการเตรียมงานกับหัวหน้างาน  กล่าวคือ ก่อนที่จะปฏิบัติงานอันเจาะจงนี้ ผู้นำและคนทำงานควรทำการสามัคคีธรรม วิเคราะห์ และหารือกับหัวหน้างานในลักษณะนี้—นี่คือการดำเนินการ  การดำเนินการนี้เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน อีกทั้งเป็นสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานพึงสัมฤทธิ์  การปฏิบัติในหนทางนี้คือการปฏิบัติงานจริง  สมมุติผู้นำคนหนึ่งกล่าวว่า “ตอนนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำงานนี้อย่างไรเหมือนกัน  แต่อย่างไรเสียฉันได้ส่งต่องานนี้ให้กับคุณแล้ว  ฉันได้สื่อสารและแจกจ่ายการจัดการเตรียมงานนี้ให้คุณแล้ว แถมยังบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว  ส่วนเรื่องที่คุณจะรู้วิธีทำงานนี้หรือไม่ คุณจะทำอย่างไร ไม่ว่าคุณจะทำได้ดีหรือทำได้ไม่ดี และไม่ว่าคุณจะใช้เวลาแค่ไหน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับคุณ  เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน  การที่ฉันทำงานมากขนาดนี้ ก็เท่ากับฉันได้ลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตัวเองแล้ว”  นี่คือสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานควรพูดใช่หรือไม่?  (ไม่ใช่)  หากผู้นำกล่าวเช่นนี้ พวกเขาคือคนประเภทใดหรือ?  พวกเขาย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จ  เมื่อไรก็ตามที่เบื้องบนมีข้อกำหนดและจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติงานตามการจัดการเตรียมการ คนประเภทนี้ย่อมผลักงานไปให้ผู้อื่นทั้งหมด โดยกล่าวว่า “คุณทำสิ ฉันไม่รู้ว่าทำอย่างไร  อย่างไรเสียคุณก็เข้าใจทั้งหมดอยู่แล้ว  คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ ส่วนฉันมันคนธรรมดา”  นี่คือ “คำกล่าวยอดนิยม” ที่มักจะถูกกล่าวโดยผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาหาข้อแก้ตัว แล้วจากนั้นก็แอบหนีไป

สรุปก็คือ ผู้นำเทียมเท็จไม่มีความรับผิดชอบในงานของพวกเขา  ไม่ว่าพวกเขามีขีดความสามารถสูงหรือต่ำ หรือไม่ว่าพวกเขาเหมาะสมกับงานนั้นหรือไม่ ประเด็นหลักคือพวกเขาไม่สนใจ และพวกเขาไม่ได้ทุ่มเทหัวใจให้กับงานนี้ ทั้งยังทำตัวสุกเอาเผากินอยู่เสมอ  สิ่งเหล่านี้คือการสำแดงของการไร้ความรับผิดชอบ  สมมุติว่าผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่งค่อนข้างขาดขีดความสามารถและความลึกซึ้งทางประสบการณ์ แต่พวกเขาสามารถทำงานด้วยความตั้งอกตั้งใจและทุ่มเทหัวใจให้กับงานของตนได้  ถึงแม้ว่าผลลัพธ์ที่พวกเขาสัมฤทธิ์ในงานจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็เป็นคนมีความรับผิดชอบ พวกเขาทุ่มเททั้งหัวใจให้กับงานของตน และพวกเขาทุ่มเทหมดหน้าตักให้กับงานนั้น  เพียงแต่พวกเขาค่อนข้างขาดขีดความสามารถและมีวุฒิภาวะน้อย พวกเขาจึงทำงานดังกล่าวได้ไม่ดี  หากพวกเขาจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถสมบูรณ์ในงานของตนหลังจากฝึกฝนตนเองไปสักระยะหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว ผู้นำประเภทนี้ก็ควรได้รับการบ่มเพาะต่อไป  หากผู้นำไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาแต่ยึดติดอยู่กับตำแหน่งและลุ่มหลงในผลประโยชน์จากสถานะแต่ไม่ทำงานจริงเลย เช่นนั้นพวกเขาก็คือผู้นำเทียมเท็จตัวจริง พวกเขาควรถูกปลดทันที และไม่ได้รับอนุญาตให้ถูกเลื่อนขั้นหรือถูกใช้งานอีกต่อไป  ผู้นำที่แท้จริง ผู้นำที่มีความรับผิดชอบย่อมทุ่มเททั้งหมดให้กับงานของพวกเขา—พวกเขาอุทิศจิตใจให้กับงาน พวกเขาหาหนทางทุกรูปแบบที่จะทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จ และพวกเขาก็พยายามอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้—ในหนทางนี้ พวกเขากำลังลุล่วงหน้าที่รับผิดชอบของตนเอง  ในขณะดำเนินการจัดการเตรียมงานของพระนิเวศของพระเจ้า ผู้นำที่มีความรับผิดชอบจะสังเกตการณ์และติดตามสถานะของการดำเนินการนั้นด้วย  เมื่อมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเขาจะสามารถนำมาตรการตอบสนองและหนทางแก้ไขมาปรับใช้แทนที่จะหนีไปและปัดเรื่องนี้ออกจากตัว  การดำเนินงานในหนทางนี้เรียกว่าการมีความรับผิดชอบ  เมื่อการจัดการเตรียมงานถูกแจกจ่ายออกไป ผู้นำและคนทำงานควรมองว่างานชิ้นนั้นเป็นงานสำคัญที่สุดในขณะนั้นและรับผิดชอบงานนั้น พวกเขาต้องติดตามงานนั้นด้วยตนเอง รับผิดชอบงานนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ และวางมือก็ต่อเมื่องานนั้นอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องและผู้นำของแต่ละฝ่ายรู้วิธีปฏิบัติงานดังกล่าวแล้วเท่านั้น  แต่หลังวางมือจากงานนั้น ผู้นำและคนทำงานก็ยังจำเป็นที่จะต้องเข้าใจสถานะของงานและตรวจสอบงานนั้นอยู่เป็นระยะ มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะมั่นใจได้ว่างานดังกล่าวดำเนินไปด้วยดี  ผู้นำและคนทำงานที่ไม่ละทิ้งตำแหน่งหน้าที่ของตน ยืนหยัดอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้งานอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง—สิ่งนี้เรียกว่าการทำงานจริง  ระหว่างช่วงเวลานี้ ผู้นำและคนทำงานก็จำเป็นต้องเอาใจใส่และตรวจสอบความคืบงานของงานอื่นๆ ด้วยเช่นกัน  ไม่ว่ามีปัญหาหรือความยากลำบากใดเกิดขึ้นในงาน ผู้นำและคนทำงานก็ควรรีบไปที่หน้างานเพื่อชี้แนะแนวทางและหนทางแก้ไข  ผู้นำหลักต้องยึดมั่นในงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวด และขณะเดียวกันพวกเขาก็จำเป็นต้องติดตาม ทำความเข้าใจ ตรวจสอบ และกำกับดูแลงานอื่นๆ ของคริสตจักร รวมถึงดูให้แน่ใจว่างานทั้งหมดนั้นคืบหน้าไปตามปกติ  สำหรับงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนั้น ผู้นำหลักต้องทำงานอยู่ที่หน้างานและสั่งการงานนี้ด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของงาน พวกเขาต้องไม่ผละไปจากหน้างานโดยเด็ดขาด  หากหนึ่งคนไม่เพียงพอ ก็ควรจัดการเตรียมการให้มีอีกหนึ่งคนมาร่วมมือและนำทางงานนี้กับผู้นำคนนั้น—นี่คือการพยายามทุกวิถีทางและการรวมเป็นหนึ่งด้วยจุดประสงค์ที่มีร่วมกัน นั่นคือการทำงานอันสำคัญอย่างยิ่งยวดให้ดี  เนื่องจากพระนิเวศของพระเจ้ามีงานชิ้นสำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่ในทุกช่วงระยะและช่วงเวลา หากผู้นำหลักไม่ทำงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดให้ดี พวกเขาก็ย่อมมีปัญหาเรื่องขีดความสามารถและต้องถูกปลดออก  ผู้นำหลักต้องรับผิดชอบงานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดขณะที่ผู้นำคนอื่นทำเช่นเดียวกันกับงานธรรมดาทั่วไป ผู้นำและคนทำงานต้องเรียนรู้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน และเรียนรู้วิธีชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย  หากผู้นำและคนทำงานสามารถเชี่ยวชาญหลักธรรมเหล่านี้ได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ตรงตามมาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงาน

ส่วนมากผู้นำและคนทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาเป็นมือใหม่ และกำลังฝึกฝนที่จะปฏิบัติงาน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับพวกเขาคือการเรียนรู้ให้เชี่ยวชาญในหลักธรรม  บางคนอาจจะกล่าวว่า “พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้มีข้อเรียกร้องที่สูงเกินไปสำหรับผู้นำและคนทำงานหรอกหรือ?”  ที่จริงแล้วไม่เลย  การเรียกร้องให้ผู้คนเชี่ยวชาญในหลักธรรมจะเป็นข้อเรียกร้องที่สูงได้อย่างไร?  คนเราจะสามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรให้ดีได้อย่างไรหากพวกเขาไม่สามารถเชี่ยวชาญในหลักธรรมได้?  คนเราจะเป็นผู้นำหรือคนทำงานได้อย่างไรหากพวกเขาจัดการเรื่องทั้งหลายโดยไร้หลักธรรม?  การเชี่ยวชาญในหลักธรรมนั้นเป็นข้อเรียกร้องสำหรับผู้นำและคนทำงาน ไม่ใช่สำหรับคนธรรมดาทั่วไป หากใครบางคนไม่สามารถเชี่ยวชาญในหลักธรรมได้ เช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่สามารถทำงานให้ดีได้  ผู้ที่ไร้ขีดความสามารถมากเกินไปย่อมขาดหลักธรรม พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่บ่มเพาะพวกเขา และพวกเขาก็มีคุณสมบัติไม่พอที่จะเป็นผู้นำเช่นกัน  คนบางคนรู้สึกอยู่เสมอว่าการเป็นผู้นำนั้นเป็นเรื่องยาก และในเรื่องนี้มีเหตุผลอยู่สองประการ หนึ่งคือพวกเขาไม่เข้าใจความจริงเลย และไม่สามารถใช้ความจริงแก้ไขปัญหาได้ เหตุผลอีกประการหนึ่งคือพวกเขาขาดขีดความสามารถ พวกเขาไม่รู้ว่าการทำงานหมายถึงอะไร พวกเขาไม่สามารถอธิบายหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติสำหรับงานดังกล่าวได้อย่างชัดเจน และพวกเขาก็ไม่สามารถเอ่ยคำสอนได้อย่างชัดเจนเสียด้วยซ้ำ  ผู้คนเช่นนี้ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำ  สมมุติว่าใครบางคนมีขีดความสามารถแย่เกินไป พวกเขาไม่รู้ว่าจะทำงานอย่างไร ทั้งยังไม่มีประสิทธิผลในการทำหน้าที่ของตนเลย—กล่าวคือ พวกเขาใช้เวลาหลายวันในการทำงานชิ้นหนึ่งที่ควรใช้เวลาแค่วันเดียว หรือใช้เวลาหกเดือนในการทำงานที่ควรใช้เวลาหนึ่งเดือน—ผู้คนเช่นนั้นไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีอะไรดีเลย  ผู้ที่มีขีดความสามารถแย่เกินไปนั้นไม่สามารถทำหน้าที่ใดให้ดีได้  การที่เรามีข้อกำหนดเหล่านี้ต่อผู้คนเป็นเรื่องที่ทั้งสมเหตุสมผลและเป็นธรรม และข้อกำหนดเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้นำและคนทำงานสามารถสัมฤทธิ์ได้  คนบางคนรู้สึกว่าข้อกำหนดที่พระนิเวศของพระเจ้ามีนั้นสูงเกินไป—นี่แสดงให้เห็นว่าขีดความสามารถของพวกเขาย่ำแย่เกินไป พวกเขาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำและคนทำงาน อีกทั้งพวกเขาควรแสดงความรับผิดชอบและลาออกเสีย  เจ้าไม่ดีพอที่จะรับผิดชอบหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน และเจ้าก็ไม่เหมาะสมที่จะเป็น เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้นำ เจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จ  หากเจ้าไม่สามารถทำงานหนึ่งชิ้นให้ดีได้เสียด้วยซ้ำ เจ้าจะสามารถเอาใจใส่งานอื่นในเวลาเดียวกันได้อย่างไร?  ผู้คนที่มีขีดความสามารถย่ำแย่เกินไปนั้นคู่ควรแก่การเป็นผู้นำและคนทำงานหรือไม่?  หากพวกเขาดีไม่เท่าสุนัขเฝ้าบ้านเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรค่าแก่การถูกเรียกว่ามนุษย์  เวลาที่สุนัขเฝ้าบ้าน มันไม่เพียงแต่เฝ้าสนามหน้าบ้าน สนามหลังบ้าน และสวนผักเท่านั้น แต่ยังสามารถเฝ้าดูไก่ ห่าน และแกะในบ้านได้เสียด้วยซ้ำ  ทันทีที่สุนัขตัวนี้พบเห็นคนแปลกหน้าใกล้เข้ามา มันก็เห่าออกไป—สุนัขจะไม่ปล่อยให้ใครเข้ามาในสนามหญ้า และมันรู้จักเห่าเตือนเจ้าของบ้านเมื่อมีคนแปลกหน้าใกล้เข้ามา  แม้แต่จิตใจของสุนัขก็ยังไม่ได้เรียบง่าย  หากขีดความสามารถของใครบางคนย่ำแย่เกินไป และพวกเขาไม่อาจเทียบกับสุนัขได้เสียด้วยซ้ำ คนประเภทนั้นย่อมเป็นคนไร้ประโยชน์มิใช่หรือ?  คนบางคนรักเวลาว่างและเกลียดงาน เป็นพวกตะกละตะกลามและเกียจคร้าน อีกทั้งต้องการเกาะพระนิเวศของพระเจ้าโดยไม่ทำอะไรด้วยตนเอง—พวกเขาคือปรสิตมิใช่หรือ?  การเรียกร้องให้ผู้นำและคนทำงานจัดการกับเรื่องทั้งหลายด้วยหลักธรรม เป็นการที่พระนิเวศของพระเจ้ากำลังบ่มเพาะและฝึกฝนพวกเขาให้สามารถปฏิบัติความจริงและเข้าสู่ความเป็นจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้  ผู้นำและคนทำงานบางคนสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้าได้—คนเหล่านี้ล้วนได้รับการทรงอวยพรจากพระเจ้า  พวกที่รักเวลาว่างและเกลียดงาน และพวกที่ไม่ทำอะไรที่เป็นจริงเลยต้องถูกกำจัดออกไป  พวกคนไร้ประโยชน์ที่ละโมบความสะดวกสบาย พวกที่กลัวความยากลำบากและความไม่มั่นคง พวกที่มักพร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากและความลำบากยากเย็นอยู่เสมอ อีกทั้งไม่สามารถสู้ทนกับความยากลำบากได้เลยต้องถูกกำจัดออกไปให้หมด—ห้ามเหลือเอาไว้แม้แต่คนเดียว!  ในยามที่ผู้นำและคนทำงานเริ่มทำงานของพวกเขา หากพวกเขาเผชิญความยากลำบากนานาประการ พวกเขาก็ควรหาต้นตอของปัญหาดังกล่าวแล้วชำระตัวปัญหาที่เป็นอุปสรรคและไร้เหตุผลเหล่านั้น—พวกเครื่องสะดุดและเครื่องกีดขวางเหล่านั้น ออกไปเสีย  เมื่อบรรดาผู้ที่เหลืออยู่ล้วนเป็นคนที่สามารถยอมรับความจริงได้ เชื่อฟัง และนบนอบ การชี้นำพวกเขาก็ย่อมจะง่ายขึ้นมาก  ในยามที่ผู้นำและคนทำงานทำงาน อันดับแรกพวกเขาควรสามัคคีธรรมถึงความจริงให้ชัดเจน เพื่อที่หลังจากฟังแล้วผู้คนจะได้มีหนทางไปข้างหน้า  พวกเขาไม่ควรเอ่ยคำสอน กู่ร้องคำขวัญ ไม่ต้องพูดถึงการบีบให้ผู้คนเอาใจใส่และเชื่อฟังพวกเขา และบีบให้ปฏิบัติเลย  หากผู้นำและคนทำงานสามัคคีธรรมถึงความจริงโดยชัดเจน เช่นนั้นแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมเต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ  เป็นเรื่องที่น่ากังวลใจหากผู้นำและคนทำงานไม่อธิบายสิ่งทั้งหลายให้ชัดเจนหรือแจ่มแจ้งแต่ยังคงเรียกร้องให้พี่น้องชายหญิงปฏิบัติ และพี่น้องชายหญิงก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร อีกทั้งไม่อาจหาเส้นทางในการปฏิบัติได้พบ—การนี้ย่อมจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของงาน  เพราะฉะนั้น ตราบเท่าที่ผู้นำและคนทำงานสามารถอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้งและสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงที่เกี่ยวข้องกับงานอันเจาะจงทุกประการได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมจะเข้าใจและมีเหตุผล และพวกเขาจะเต็มใจทำในส่วนของตนเอง  ทุกๆ คนเต็มใจที่จะฟังใครบางคนหากสิ่งที่คนเหล่านั้นกล่าวถูกต้อง สอดคล้องกับความจริง รวมถึงเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  อย่างไรก็ตาม มีสถานการณ์หนึ่งที่ผู้นำและคนทำงานบางคนเอยแต่คำพูดและคำสอน และเมื่อใครบางคนถามพวกเขาเกี่ยวกับเส้นทางอันเจาะจงในการปฏิบัติ พวกเขาก็ไม่สามารถอธิบายได้ ทั้งยังเอ่ยคำสอนที่ยิ่งใหญ่และกู่ร้องคำขวัญบางอย่างแทน แล้วจากนั้นก็ปล่อยคนคนนั้นไปเลยตามเลย  คนคนนั้นไม่เชื่อ และคิดว่า “คุณกำลังขอให้ฉันนำสิ่งนี้ไปปฏิบัติ แต่คุณยังไม่ได้อธิบายให้ฉันฟังอย่างชัดเจนเลย—แล้วฉันจะปฏิบัติได้อย่างไร?  ฉันไม่มีเส้นทางให้เดินตาม!  ฉันถามคุณเพราะฉันไม่เข้าใจ แต่กลายเป็นว่าคุณก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แถมยังรู้แต่วิธีที่จะเอ่ยคำสอนและกู่ร้องคำขวัญเท่านั้น  คุณไม่ได้ดีไปกว่าฉันเลย  ทำไมฉันถึงควรเชื่อฟังคุณเล่า?  ฉันเชื่อฟังความจริง ไม่ใช่คุณที่เอ่ยคำสอนและกู่ร้องคำขวัญ!”  สถานการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้น  หากผู้นำและคนทำงานสามารถเลี่ยงการพูดคำสอนที่ว่างเปล่า ทว่าพูดอย่างแท้จริง และสามัคคีธรรมหลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นผู้คนส่วนมากก็ย่อมจะสามารถเชื่อฟังได้  ด้วยเหตุนั้น งานของคริสตจักรย่อมทำได้อย่างง่ายดายโดยแท้ ตราบเท่าที่ผู้นำและคนทำงานสามารถดำเนินการจัดการเตรียมงานได้อย่างแข็งขัน ยึดมั่นในตำแหน่งหน้าที่ของตน และมีส่วนร่วมในงานอันเจาะจง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำงานให้ดีได้อย่างแน่นอน  สิ่งที่น่ากังวลก็คือหากผู้นำ คนทำงาน และหัวหน้างานทำตัวเหนือกว่าและไร้ซึ่งความรับผิดชอบ รู้แต่เพียงวิธีเอ่ยคำสอนและกู่ร้องคำขวัญ ทั้งยังไม่มีเข้าไปมีส่วนร่วมในหน้างานของงานอันเจาะจง—เช่นนั้นงานดังกล่าวย่อมจะมีปัญหาอย่างแน่นอน  นี่เป็นเพราะคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของพวกเขาไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พวกเขาต้องการใครบางคนมาชี้ทางให้พวกเขา พวกเขาต้องการแกนนำ ต้องการให้ใครบางคนมาชี้นำพวกเขาด้วยตนเองและบอกพวกเขาว่าต้องทำอย่างไร พวกเขาต้องการใครบางคนมากำกับดูแลและกระทำการตรวจสอบ มิเช่นนั้นงานก็จะไม่ได้ดำเนินการ  หากเจ้าคาดหวังว่าเจ้าจะสามารถกู่ร้องคำสอนและคำขวัญสองสามประการได้จากตำแหน่งของสถานะ แล้วคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าจะดำเนินการตามที่เจ้าบอก เช่นนั้นก็จงฝันไปเถิด  ผู้คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชานั้นเหมือนเครื่องจักร หากไม่มีใครเปิดใช้งานพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ดำเนินการ  หากบรรดาผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำและคนทำงานไม่อาจมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งเสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นพวกเขาก็ขาดความเข้าใจเชิงลึกมากเกินไป!  เมื่อผู้นำเทียมเท็จทำงาน พวกเขาย่อมไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  พวกเขาไม่รู้ว่างานใดที่สำคัญอย่างยิ่งยวดและงานใดเป็นงานด้านกิจธุระทั่วไป และพวกเขาก็ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วนได้  ไม่ว่าทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่มีหลักธรรม พวกเขาไม่สามารถอธิบายถึงเส้นทางในการปฏิบัติได้อย่างชัดเจน และพวกเขาก็เพียงเอ่ยคำสอนและกู่ร้องคำขวัญ พูดแต่สิ่งที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเท่านั้น  ผลก็คือ พวกเขาไม่สามารถทำงานใดได้เลย และสามารถถูกกำจัดออกไปได้เท่านั้น  ผู้นำและคนทำงานต้องรู้วิธีจัดการเตรียมการและดำเนินงาน พวกเขาต้องรู้วิธีตรวจสอบและชี้นำงาน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง  มีเพียงผู้นำและคนทำงานเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถทำงานจริงและโน้มน้าวผู้คนได้อย่างสมบูรณ์  หากผู้นำไม่สามารถชี้นำงานหรือค้นหาและแก้ไขปัญหาทั้งหลายได้ หากพวกเขาทำได้เพียงสั่งสอนและตัดแต่งผู้อื่นอยู่ร่ำไป ทั้งยังโทษผู้อื่นในยามที่ตัวเองทำให้สิ่งทั้งหลายพังไม่เป็นท่า เช่นนั้นแล้ว นี่คือการเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ  ผู้นำเช่นนั้นคือคนที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาคือผู้นำเทียมเท็จ และพวกเขาต้องถูกกำจัด  หากเจ้าไม่รู้ว่าจะทำงานอันเจาะจงบางอย่างอย่างไร อย่างน้อยเจ้าต้องหาคนที่เหมาะสมสองคนมาเป็นผู้ช่วย เพื่อให้ช่วยเหลือเจ้าในการทำงานอันเจาะจงนี้ให้ดี และอย่างน้อยเจ้าก็ต้องจัดการและเอาคนที่เป็นอุปสรรคที่ก่อการรบกวนออกไปก่อน  นี่คือการสร้างภาวะที่น่าพึงพอใจสำหรับการทำงานนี้ให้ดีมิใช่หรือ?  เมื่อเจ้าพบคนที่สามารถทำบางสิ่งที่แท้จริงได้ หากเจ้าเลื่อนตำแหน่งให้คนเหล่านั้นทันที และหากเจ้าจัดการและเอาตัวคนที่ก่อการรบกวนและการขัดขวางออกไปโดยพลัน เช่นนั้นก็ย่อมจะมีความยากลำบากน้อยลงมากเมื่อเจ้าทำงานนี้ต่อไป  ผู้นำที่ขาดพร่องขีดความสามารถมากเกินไปนั้นไม่สามารถทำงานเช่นนี้ได้  พวกเขากลัวการล่วงเกินผู้คน และเมื่อพวกเขาเห็นคนชั่วก่อการรบกวนและการขัดขวางอยู่ตลอดเวลา พวกเขาก็ไม่จัดการกับคนเหล่านั้น  พวกเขาไม่สามารถบอกได้อีกด้วยว่าใครคือคนที่สามารถทำบางสิ่งที่แท้จริงได้ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าใครคือคนที่เหมาะสมแก่การเลื่อนตำแหน่งให้มารับผิดชอบงานนี้  ผู้นำเช่นนี้หูตามืดบอด และพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติงานของตนได้  หากผู้นำและคนทำงานไม่เข้าใจความจริงหรือทักษะทางสายอาชีพ พวกเขาจะทำงานของตนได้ไม่ดี ดังนั้นผู้นำและคนทำงานจึงต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เป็นประจำเพื่อทำงานจริง  ตราบเท่าที่พวกเขาเชี่ยวชาญในหลักธรรม รู้วิธีจัดลำดับความสำคัญของงานตามความสำคัญและความเร่งด่วน รวมถึงรู้วิธีชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมสามารถทำงานของตนให้ดีและกลายเป็นคนที่ตรงตามมาตรฐานในฐานะผู้นำและคนทำงานได้

บัดนี้เราได้สามัคคีธรรมถึงเนื้อหาของการสื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของพระนิเวศของพระเจ้าแล้ว ขณะนี้ผู้นำและคนทำงานอย่างเจ้ามีความเข้าใจเบื้องต้นถึงวิธีเข้าหาและดำเนินการจัดการเตรียมงานแล้วใช่หรือไม่?  และบัดนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจอันเจาะจงเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบและภาระผูกพันที่เจ้าพึงลุล่วงเมื่อดำเนินการจัดการเตรียมงานแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเจ้ามีความเข้าใจอันเจาะจงนี้แล้ว เจ้าก็ควรพิจารณาว่าเจ้าควรทำสิ่งใดและเจ้าสามารถทำสิ่งนั้นได้จนถึงระดับใด จากนั้นเจ้าก็ควรตัดสินให้ได้ว่าเจ้ามีขีดความสามารถที่จะเป็นผู้นำหรือคนทำงานหรือไม่ เจ้าเหมาะสมกับงานของการเป็นผู้นำหรือไม่  เนื่องจากผู้นำและคนทำงานบางคนมีขีดความสามารถย่ำแย่และเป็นคนที่ไม่ทำงานจริง—ซึ่งก็คือคนที่พวกเราเรียกว่าผู้นำเทียมเท็จ—เมื่อพวกเขาเข้าใจเนื้อหาอันเจาะจงของหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงานแล้ว พวกเขาควรทำอย่างไร?  บางคนกล่าวว่า “เมื่อก่อนฉันไม่เข้าใจหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานจริงๆ แล้วพอฉันกลายมาเป็นผู้นำ ฉันก็เพียงแต่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตัวเองในการทำงานบางอย่างเพื่อภาพลักษณ์ภายนอก และฉันก็คิดว่าเนื่องจากฉันเป็นคนกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะสู้ทนความทุกข์ ฉันอาจจะตรงตามมาตรฐานของการเป็นผู้นำ  หลังจากได้ฟังพระเจ้าทรงสามัคคีธรรมในหนทางนี้ ฉันก็รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก  กลายเป็นว่าฉันคือผู้นำเทียมเท็จ ขีดความสามารถของฉันย่ำแย่เกินไป และฉันไม่สามารถทำงานจริงได้  ฉันไม่สามารถดำเนินการจัดการเตรียมงานอันเจาะจงจากพระนิเวศของพระเจ้าได้แม้แต่ประการเดียวด้วยซ้ำ  ฉันเคยคิดว่าการอ่านการจัดการเตรียมงานหลายครั้ง การส่งต่อการจัดการเตรียมงานดังกล่าวให้ทุกคน แล้วกระตุ้นและกำกับดูแลคนที่อยู่เบื้องล่างตอนที่พวกเขาทำงานนั้นหมายความว่าฉันกำลังดำเนินการจัดการเตรียมงานนั้นอยู่  พอผ่านไปสักพัก ฉันก็พบว่างานนั้นไม่ได้ทำให้ดีและมีงานอันเจาะจงมากมายที่ถูกมองข้ามไป ตอนนั้นเองฉันถึงตระหนักได้ว่าฉันยังขาดขีดความสามารถอยู่จริงๆ และฉันไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำเลย”  แล้วบุคคลเช่นนี้ควรทำอย่างไร?  หากพวกเขายอมล้มเลิกในงานของตน การนั้นจะเป็นอะไรหรือไม่?  (ไม่)  แล้วปัญหานี้มีหนทางแก้ไขหรือไม่?  หรือนี่คือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้?  (ใช่ นี่คือปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้  ผู้คนเหล่านั้นต้องเพียรพยายามที่จะทำให้ดีขึ้นตามข้อกำหนดของพระเจ้า)  นี่คือแง่มุมที่เป็นบวกและแข็งขัน นี่เป็นแง่มุมที่ดีเหลือเกิน  พวกเขาควรเพียรพยายามทำให้ดีขึ้นตามข้อกำหนดของพระเจ้า มีความเชื่อและพึ่งพาพระเจ้า และไม่กลายเป็นคิดลบหรือยอมทิ้งงานของตน—นี่คือหนทางแก้ไขประการหนึ่ง  นี่คือหนทางที่ดีใช่หรือไม่?  (ใช่)  ว่าแต่มีหนทางแก้ไขทางเดียวหรือ?  (ไม่ใช่เลย  หากพวกเขามีขีดความสามารถย่ำแย่เกินไป และพวกเขาไม่สามารถทำงานจริงใดๆ ได้ทั้งสิ้น เช่นนั้นพวกเขาก็สามารถรับผิดชอบต่อเรื่องนี้และออกจากตำแหน่งได้)  นี่คือหนทางแก้ไขประการที่สอง  หากก่อนหน้านี้พวกเขาพยายามแล้ว และพวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถทำงานของการเป็นผู้นำได้—กล่าวคือ หากนี่เป็นงานที่เคร่งเครียดและหนักหนาอย่างมากสำหรับพวกเขา และพวกเขารู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับงานนี้มาก อีกทั้งไม่สามารถนอนหลับให้ดีได้ และทุกๆ วันพวกเขารู้สึกราวกับมีภูเขาก้อนใหญ่ทับอยู่บนอก จนพวกเขาไม่สามารถโงหัวขึ้นหรือหายใจเข้าได้ และถึงกับรู้สึกว่าขาของตนหนักอึ้งในยามที่เดิน—และหลังจากได้ฟังข้อกำหนดอันเจาะจงเหล่านี้แล้ว พวกเขายิ่งรู้สึกว่าขีดความสามารถของตนย่ำแย่เกินไปและพวกเขาไม่อาจทำงานนี้ได้จริงๆ พวกเขาควรทำอย่างไร?  มีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ และสิ่งนั้นคือการลาออกทันที  หากพวกเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ควรส่งผลกระทบต่องานของพระนิเวศของพระเจ้า—นี่คือเหตุผลที่พวกเขาควรมี  พวกเขาไม่ควรหลับหูหลับตาฝืนจนเกินขีดจำกัดของตนเอง ยืนกรานที่จะพยายามทำบางสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา หรือทำในสิ่งที่โง่เขลา  มีเพียงผู้ที่ละเว้นจากการทำสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่มีเหตุผล  ผู้คนที่มีเหตุผลย่อมตระหนักรู้ในตนเอง พวกเขาเข้าใจขีดความสามารถของตนอย่างชัดเจน และพวกเขาก็รู้ถึงข้อบกพร่องของตนเอง  มีเพียงตอนที่ผู้คนรู้จักประเมินตนเองอย่างชัดเจนเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่าพวกเขาทำสิ่งใดได้ ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และพวกเขาเหมาะสมที่จะทำอะไรมากที่สุด  เหตุใดผู้คนต้องรู้จักขีดความสามารถของตนเอง?  การนี้ช่วยให้พวกเขาตรวจหาหน้าที่ที่พวกเขาควรทำ ทั้งยังช่วยให้พวกเขาทำหน้าที่นั้นได้ดีอีกด้วย  หากเจ้าได้ตรวจสอบตนเองและเห็นแล้วว่าเจ้ามีเพียงขีดความสามารถเช่นนี้ และรู้ว่าเจ้าไม่สามารถทำงานของการเป็นผู้นำได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตนเองอีกครั้ง และพิสูจน์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง  เจ้าควรรีบลาออกทันที—อย่ายึดติดกับตำแหน่งของเจ้าและปฏิเสธที่จะก้าวลงมา อย่าส่งผลกระทบและก่อให้เกิดการชะงักต่อผู้อื่นในขณะที่เจ้าไม่สามารถปฏิบัติงานอันเจาะจงได้  การลาออกคืเส้นทางไปข้างหน้ามิใช่หรือ?  สองเส้นทางนี้วางทอดอยู่ตรงหน้าเจ้า และเจ้าสามารถเลือกได้หนึ่งเส้นทาง เจ้าไม่ได้กำลังไร้ซึ่งหนทางไปข้างหน้า และเส้นทางก็ไม่ได้มีเพียงเส้นทางเดียว  เจ้าสามารถกระทำการตัดสินที่ถูกต้องแม่นยำและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับสถานการณ์จริงของเจ้า โดยอ้างอิงตามความเข้าใจที่เจ้ามีต่อตนเอง รวมไปถึงอ้างอิงตามการประเมินตัวเจ้าจากพี่น้องชายหญิงรอบตัวเจ้าผู้ที่รู้จักเจ้า จากนั้นก็เลือกตัวเลือกที่ถูกต้อง  พระนิเวศของพระเจ้าจะไม่สร้างความลำบากให้แก่เจ้า  เจ้าคิดอย่างไรกับการนี้?  (นี่เป็นทางที่ดี)  บางคนกล่าวว่า “ฉันอยากพยายามอีกครั้งหนึ่งและเพียรพยายามทำให้ดีขึ้น  ฉันคิดว่าฉันทำได้  ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันแค่ไม่ได้ใส่ใจกับการไล่ตามเสาะหาความจริงมากนัก และหลังจากกลายเป็นผู้นำ ฉันก็ยังไม่รู้วิธีแสวงหาความจริง ทั้งยังทำงานในหนทางที่เลอะเลือน  ฉันเคยคิดว่าการเป็นผู้นำคริสตจักรนั้นง่ายมาก ทั้งหมดของงานนี้คือการจัดการให้ผู้คนเข้าชุมนุม เป็นผู้นำในการสามัคคีธรรมถึงความจริง แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที และดำเนินการจัดการเตรียมงานจากเบื้องบนทันที แล้วจบลงเพียงเท่านั้น  ฉันไม่เคยคิดฝันเลยว่า หลังจากเป็นผู้นำมาได้ระยะหนึ่ง ฉันจะพบว่ามีปัญหามากมายที่ฉันไม่สามารถแก้ไขได้ ว่าเมื่อเบื้องบนถามเกี่ยวกับงาน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบไปอย่างไร และเมื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรบางคนยกประเด็นปัญหาที่แท้จริงขึ้นมา ฉันก็ไม่สามารถให้คำตอบได้  ตลอดหลายปีที่พี่น้องชายหญิงเชื่อในพระเจ้ามานี้ พวกเขาทุกคนต่างอ่านพระวจนะของพระเจ้าและฟังคำเทศนาอยู่เป็นประจำ  พวกเขาล้วนเข้าใจความจริงบางประการและมีวิจารณญาณแยกแยะอยู่บ้างแน่นอน  หากไร้ซึ่งความเป็นจริงความจริง ฉันก็ไม่สามารถให้นำหรือค้ำจุนพวกเขาได้จริงๆ”  บัดนี้ชัดเจนแล้วว่า การปฏิบัติงานอันเฉพาะเจาะจงประเภทใดก็ตามในพระนิเวศของพระเจ้าให้ดีไม่ใช่สิ่งที่เรียบง่ายขนาดนั้น  ในแง่มุมหนึ่ง ผู้คนจำเป็นต้องมีขีดความสามารถ ขณะที่อีกแง่มุมหนึ่ง พวกเขาจำเป็นต้องแบกรับภาระ รวมไปถึงเข้าใจความจริง—ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จำเป็นโดยสิ้นเชิง  การที่ใครบางคนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือขาดขีดความสามารถย่อมจะไม่ได้การ และการที่ใครบางคนขาดความเป็นมนุษย์และไม่แบกรับภาระ นั่นก็ย่อมจะไม่ได้การเช่นกัน  งานอันเจาะจงนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีเข้าหาอันเจาะจง และนี่ไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่ายเช่นนั้น  อย่างไรก็ตาม คนบางคนยังไม่ปักใจเชื่อ  พวกเขายังต้องการที่จะพยายามอีกครั้ง และพวกเขาก็ขอโอกาสอีกครั้งหนึ่ง—ผู้คนเช่นนี้ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?  หากทั้งความสามารถในการทำงานและขีดความสามารถของพวกเขาอยู่ในระดับปานกลาง แต่พวกเขาสามารถปฏิบัติงานอันเจาะจงบางอย่างได้ ไม่ทำตัวสุกเอาเผากิน อีกทั้งมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในงานของตน และสามารถเชื่อฟังและนบนอบการจัดการเตรียมการใดๆ จากเบื้องบนได้ ทั้งยังดำเนินงานตามการจัดการเตรียมงานและหลักธรรมที่พระนิเวศของพระเจ้ากำหนดไว้อย่างแท้จริง และถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะปฏิบัติงานของตนให้ดีไม่ได้เนื่องจากพวกเขาอายุยังน้อย ไม่เข้าใจความจริง และมีรากฐานที่ตื้นเขิน แต่พวกเขาก็เป็นคนที่ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ควรได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่งและฝึกฝนตนเองต่อไป—อย่าปลดพวกเขาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า  การเป็นผู้นำหรือคนทำงานไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อีกทั้งการเลือกผู้นำและคนทำงานก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  บัดนี้ ผู้นำและคนทำงานส่วนมากย่อมมีความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาบ้างแล้ว และอย่างน้อยพวกเขาจะทำงานของตนได้ค่อนข้างดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน—นี่คือข้อเท็จจริง

ขณะนี้เราได้เสร็จสิ้นการสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมความจริงเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบประการที่เก้าของผู้นำและคนทำงานแล้ว—นั่นคือ “สื่อสาร แจกจ่าย และดำเนินการจัดการเตรียมงานต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างถูกต้องแม่นยำตามข้อกำหนดของการจัดการเตรียมงานนั้น โดยให้คำแนะนำ การกำกับดูแลและการกระตุ้น พร้อมทั้งตรวจสอบและติดตามสถานะการดำเนินการของพวกเขา”—หัวใจของเจ้าก็ล้วนสว่าง และเจ้าย่อมมีเส้นทางในการปฏิบัติ  บัดนี้เจ้าไม่เพียงสามารถที่จะลุล่วงหน้าที่ของเจ้าและมีการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น แต่เจ้าควรมีความรู้หรือวิจารณญาณแยกแยะบางอย่างของผู้นำและคนทำงานด้วย และอย่างน้อยที่สุด เจ้าควรได้รับความกระจ่างและความเข้าใจถึงหน้าที่รับผิดชอบที่ผู้นำและคนทำงานพึงทำให้ลุล่วง และงานที่พวกเขาควรทำ  สรุปก็คือ การรู้ว่าผู้นำและคนทำงานกำลังทำงานจริงอยู่หรือไม่นั้นช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรทุกๆ คน และในหนทางนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงานของพวกเขาจะไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป แต่กลับกัน สิ่งนี้จะกลายเป็นรูปธรรมมากขึ้น

10 เมษายน ค.ศ. 2021

ก่อนหน้า:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (8)

ถัดไป:  หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (11)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger