บทที่ 18

ในแสงสว่างวาบของฟ้าแลบ รูปร่างอันแท้จริงของสัตว์ทุกตัวถูกเปิดเผย  ดังนั้น เมื่อได้รับความกระจ่างจากความสว่างของเรา มนุษย์จึงได้รับความสะอาดบริสุทธิ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองคืนมา  โอ โลกเก่าอันเสื่อมทราม!  ในที่สุด มันก็ล้มคว่ำลงไปในน้ำโสโครก และเมื่อจมลงไปใต้ผิวน้ำก็ละลายเป็นโคลนตม!  โอ มวลมนุษย์ทั้งปวงแห่งการสร้างของเราเอง!  ในที่สุดพวกเขาก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งในความสว่าง ได้พบรากฐานของการดำรงอยู่ และเลิกดิ้นทุรนอยู่ในโคลน!  โอ สรรพสิ่งแห่งการสร้างมากมายเหลือคณานับ ซึ่งเราประคองอยู่ในมือทั้งสองของเรา!  พวกมันจะไม่เริ่มต้นใหม่โดยผ่านทางถ้อยคำของเราได้อย่างไร?  พวกมันจะไม่แสดงบทบาทหน้าที่ของพวกมันในความสว่างได้อย่างไร?  แผ่นดินโลกไม่หยุดนิ่งและเงียบสงัดเป็นตายอีกต่อไป สวรรค์ไม่อ้างว้างและเศร้าโศกอีกต่อไป  สวรรค์และแผ่นดินโลกไม่ถูกพื้นที่ว่างแยกออกจากกันอีกต่อไป รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีวันถูกแยกจากกันอีก  ในวาระอันน่ายินดีปรีดานี้ ณ ชั่วขณะแห่งความปราโมทย์นี้ ความชอบธรรมของเราและความบริสุทธิ์ของเราได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล และมวลมนุษย์ทั้งปวงสดุดีความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของเรากันอย่างไม่หยุดหย่อน  เมืองสวรรค์ทั้งหลายพากันหัวเราะด้วยความชื่นบานยินดี และราชอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกก็เต้นรำด้วยความชื่นบานยินดี  ณ เวลานี้ ใครเล่าที่ไม่ชื่นชมยินดี?  และใครเล่าที่ไม่ร่ำไห้?  แผ่นดินโลกในสภาวะแรกเริ่มของมันนั้นเป็นของสวรรค์ และสวรรค์ก็รวมเข้ากับแผ่นดินโลก  มนุษย์คือสายใยที่รวมสวรรค์และแผ่นดินโลกเข้าด้วยกัน และเนื่องแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ของมนุษย์ เนื่องแต่การเริ่มต้นใหม่ของมนุษย์ สวรรค์จึงไม่ถูกปกปิดจากแผ่นดินโลกอีกต่อไป และแผ่นดินโลกก็ไม่นิ่งเงียบต่อสวรรค์อีกต่อไป  ใบหน้าทั้งหลายของมวลมนุษย์ประดับรอยยิ้มแห่งความรื่นรมย์สมอุรา และที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาทุกคนคือความหวานชื่นอันไร้ขอบเขต  มนุษย์ไม่ทะเลาะวิวาทกับมนุษย์ และมนุษย์ไม่มาชกต่อยกัน  มีผู้ใดบ้างที่ไม่ใช้ชีวิตกับคนอื่นอย่างมีสันติสุขในความสว่างของเรา?  มีผู้ใดบ้างที่ทำให้นามของเราเสื่อมเสียในวันของเรา?  มนุษย์ทั้งปวงจ้องมองเราด้วยสายตาอันเปี่ยมความยำเกรงของพวกเขา และในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาแอบเพรียกร้องหาเรา  เราได้ตรวจค้นทุกการกระทำของมวลมนุษย์ กล่าวคือ ท่ามกลางมนุษย์ที่ได้รับการชำระให้สะอาด ไม่มีสักคนที่เป็นกบฏต่อเรา ไม่มีสักคนที่ตัดสินเรา  มวลมนุษย์ทั้งปวงถูกอุปนิสัยของเราซึมซ่านไปทั่ว  มนุษย์ทั้งปวงกำลังจะมารู้จักเรา กำลังเข้ามาใกล้ชิดเรายิ่งขึ้นและรักบูชาเรา  เรายืนหยัดมั่นคงอยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ได้รับการยกย่องสูงสุดในสายตาของมนุษย์ และไหลไปพร้อมกับโลหิตในเส้นเลือดของมนุษย์  ทุกหนแห่งบนพื้นผิวของแผ่นดินโลกเต็มเปี่ยมไปด้วยการยกย่องอันชื่นบานยินดีในหัวใจของมนุษย์ อากาศแจ่มใสและสดชื่น หมอกหนาไม่ปกคลุมพื้นดินอีกต่อไป และดวงอาทิตย์ฉายแสงอันโชติช่วงชัชวาล

บัดนี้ จงมองดูราชอาณาจักรของเรา ที่ซึ่งเราคือองค์กษัตริย์เหนือทุกสิ่ง และที่ซึ่งเรากุมอำนาจเหนือทุกสิ่ง  จากปฐมกาลแห่งการสร้างจนถึงทุกวันนี้ บุตรทั้งหลายของเรา เมื่อได้รับการนำทางจากเรา ก็ได้ก้าวผ่านความยากลำบากในชีวิตมามากมายเหลือเกิน ผ่านความอยุติธรรมของโลกมามากมายเหลือเกิน ผ่านความผันแปรแห่งอาณาจักรของมนุษย์มามากมายเหลือเกิน แต่บัดนี้พวกเขาอาศัยอยู่ในความสว่างของเรา  ผู้ใดไม่ร่ำไห้ให้กับความอยุติธรรมของวันวานเล่า?  ผู้ใดไม่หลั่งน้ำตาให้กับความยากลำบากทั้งหลายที่สู้ทนเพื่อจะมาถึงวันนี้?  และเช่นเดียวกัน มีผู้ใดที่ไม่ใช้วาระนี้มอบอุทิศตัวพวกเขาให้แก่เรา?  มีผู้ใดที่ไม่ใช้โอกาสนี้แสดงความรู้สึกอันแรงกล้าที่เอ่อท้นอยู่ในหัวใจของพวกเขาออกมา?  ณ ชั่วขณะนี้มีผู้ใดที่ไม่พูดถึงประสบการณ์ที่พวกเขาพบพานมา?  ในเวลานี้ มนุษย์ทั้งปวงกำลังปวารณาอุทิศส่วนที่ดีที่สุดของพวกเขาให้แก่เรา  กี่คนแล้วที่ทรมานกับความเสียใจในความโง่เขลาเมื่อวันวานของตน กี่คนแล้วที่สะอิดสะเอียนตัวเองเพราะการไล่ตามเสาะหาทั้งหลายของวันวาน!  มนุษย์ทั้งปวงล้วนมารู้จักตัวพวกเขาเอง พวกเขาล้วนมองเห็นความประพฤติของซาตานและความน่าอัศจรรย์ของเรา และในหัวใจของพวกเขา บัดนี้มีพื้นที่สำหรับเรา  เราจะไม่พบกับความรังเกียจและการบอกปัดท่ามกลางมนุษย์อีกต่อไป เพราะงานอันยิ่งใหญ่ของเราได้สำเร็จลุล่วงแล้ว และไม่ถูกขัดขวางอีกแล้ว  วันนี้ ท่ามกลางบุตรทั้งหลายแห่งราชอาณาจักรของเรา มีผู้ใดที่ไม่พิจารณาข้อกังวลของพวกเขาเอง?  มีผู้ใดที่ไม่มีเรื่องครุ่นคิดมากขึ้นเพราะหนทางต่างๆ ที่ใช้ในการทำงานของเรา?  มีผู้ใดที่มอบอุทิศตัวพวกเขาเองเพื่อประโยชน์ของเราอย่างจริงใจ?  สิ่งไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายภายในหัวใจของพวกเจ้าลดน้อยลงแล้วหรือไม่?  หรือพวกมันกลับเพิ่มขึ้น?  หากองค์ประกอบที่ไม่บริสุทธิ์ในหัวใจของพวกเจ้ามิได้ลดลงและมิได้เพิ่มขึ้น เช่นนั้นแล้วเราจะโยนผู้คนเช่นพวกเจ้าทิ้งไปอย่างแน่นอน  สิ่งที่เราต้องการคือประชากรที่บริสุทธิ์ตรงกับเจตนารมณ์ของเรา มิใช่ปีศาจมีมลทินที่กบฏต่อเรา  ถึงแม้ว่าข้อพึงประสงค์ที่เรามีต่อมวลมนุษย์มิได้สูงเลย แต่โลกภายในหัวใจของมนุษย์ก็ช่างซับซ้อนเสียจนมวลมนุษย์ไม่สามารถเห็นพ้องกับเจตนารมณ์ของเราโดยง่ายหรือตอบสนองเจตนารมณ์ของเราได้ในทันที มวลมนุษย์ส่วนใหญ่กำลังทุ่มเทตนเองอย่างลับๆ ด้วยความหวังว่าจะคว้ามงกุฎสุดท้ายแห่งชัยชนะ มนุษย์ส่วนใหญ่กำลังเพียรพยายามด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา โดยไม่กล้าที่จะย่อหย่อนแม้แต่ชั่วขณะเดียว ด้วยหวั่นเกรงว่าจะตกเป็นเชลยของซาตานเป็นครั้งที่สอง  พวกเขาไม่กล้าบังอาจเก็บงำความคับข้องหมองใจเกี่ยวกับเราอีกต่อไป แต่เสมอต้นเสมอปลายในการแสดงความจงรักภักดีของพวกเขาต่อหน้าเรา  เราได้ฟังคำที่ผู้คนมากมายเหลือเกินพูดออกมาด้วยความรู้สึกจากหัวใจ ได้ฟังเรื่องราวจากผู้คนมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับประสบการณ์อันเจ็บปวดของพวกเขาในท่ามกลางความทุกข์ เราได้เห็นผู้คนมากมายเหลือเกินที่มอบอุทิศความจงรักภักดีของพวกเขาให้แก่เราอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์อันหนักหนาสาหัสที่สุด และเราได้เฝ้าดูผู้คนมากมายเหลือเกินค้นหาทางออกขณะที่พวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิน ในรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ พวกเขาไม่เคยปริปากบ่น แม้เมื่อพวกเขาเกิดความรู้สึกท้อแท้ใจอยู่บ้างในยามที่ไม่สามารถค้นพบความสว่าง แต่พวกเขาก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักครั้ง  แต่เราก็ได้ยินผู้คนมากมายเหลือเกินเช่นกันที่ระบายอารมณ์สาปแช่งจากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขา โดยแช่งด่าสวรรค์และกล่าวหาแผ่นดินโลก และเช่นเดียวกันนั้น เราก็ได้ยินผู้คนมากมายเหลือเกินที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวังในท่ามกลางความคับแค้นใจของพวกเขา โดยทิ้งตัวเองลงในถังขยะเหมือนคนไร้ค่า ให้หยากเยื่อและคราบสกปรกคลุมเคลือบ  เราได้ยินผู้คนมากมายเหลือเกินทะเลาะวิวาทกัน เพราะการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนแปลงสัมพันธภาพของพวกเขากับเพื่อนมนุษย์ไปจนกระทั่งเพื่อนเลิกเป็นเพื่อนและกลายมาเป็นศัตรูที่ใช้คำพูดโจมตีกันและกัน  ผู้คนส่วนใหญ่ใช้วจนะของเราดุจดังลูกกระสุนปืนกล โดยเปิดฉากยิงใส่ผู้อื่นอย่างไม่บอกกล่าว จนกระทั่งโลกมนุษย์ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเสียงดังอึกทึกครึกโครมที่พังทลายความสงบราบรื่น  โชคดีที่วันนี้มาถึงแล้วในบัดนี้ มิฉะนั้นใครจะรู้ว่ามีผู้คนอีกมากเท่าใดที่อาจพินาศไปภายใต้การกราดยิงปืนกลอย่างไม่ลดละนี้

หลังจากการเปล่งวจนะของเรา และเพื่อให้ทันต่อภาวะต่างๆ ของมวลมนุษย์ทั้งปวง ราชอาณาจักรของเราจึงเคลื่อนลงมายังแผ่นดินโลกทีละขั้นทีละตอน  มนุษย์ไม่เก็บงำความคิดที่ชวนให้กังวล หรือ “คิดหมกมุ่น” ถึงผู้อื่น หรือ “ใช้ความคิด” แทนพวกเขาอีกต่อไป  และดังนั้น ข้อพิพาทที่โต้เถียงกันบนแผ่นดินโลกจึงไม่มีอีกแล้ว และหลังจากการเปล่งวจนะของเรา “อาวุธ” ต่างๆ นานาแห่งยุคสมัยใหม่ก็ถูกเก็บไป  มนุษย์พบสันติสุขกับมนุษย์อีกครั้ง หัวใจมนุษย์แผ่จิตวิญญาณของความปรองดอง และไม่มีผู้ใดต้องป้องกันตัวเองจากการซุ่มโจมตีอีกต่อไป  มวลมนุษย์ทั้งปวงกลับคืนสู่สภาวะปกติและเริ่มต้นชีวิตใหม่  เมื่อได้อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ ผู้คนจำนวนมากก็มองไปรอบตัวของพวกเขา รู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้เข้าสู่โลกที่ใหม่เอี่ยม และเพราะการนี้ พวกเขาจึงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมปัจจุบันของพวกเขาในทันที หรือเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องได้ในทันใด  และดังนั้นในความคิดเห็นของมวลมนุษย์จึงกลายเป็นกรณีที่ว่า “วิญญาณเต็มใจ แต่เนื้อหนังอ่อนแอ”  แม้ว่าเราไม่เคยลิ้มรสความขมขื่นของความทุกข์ยากด้วยตัวเราเองเหมือนมนุษย์ แต่กระนั้นก็ตามเราก็รู้ทั้งหมดที่มีให้รู้เกี่ยวกับความไม่ถึงพร้อมของมนุษย์  เราสนิทสนมคุ้นเคยกับความจำเป็นของมนุษย์ และความเข้าใจของเราเกี่ยวกับความอ่อนแอของเขานั้นครบถ้วน  ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่เอาข้อบกพร่องของเขามาล้อเล่น  เราเพียงแต่ออกมาตรการด้าน “การศึกษา” ที่เหมาะสมตามความไม่ชอบธรรมของเขา เพื่อที่จะทำให้ทุกคนสามารถอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องได้ดียิ่งขึ้น เพื่อที่มวลมนุษย์จะได้เลิกเป็นเด็กกำพร้าเร่ร่อนและกลายเป็นทารกน้อยที่มีสถานที่ให้เรียกว่าบ้านแทน  แม้กระนั้นก็ตาม การกระทำของเราย่อมมีหลักธรรมคอยกำกับควบคุม  หากมนุษย์ไม่เต็มใจที่จะชื่นชมความผาสุกที่มีอยู่ในตัวเรา เราก็ทำได้เพียงคล้อยตามสิ่งที่พวกเขาได้ปลงใจไว้แล้ว และส่งพวกเขาลงไปในบาดาลลึก  ณ จุดนี้ไม่ควรมีผู้ใดเก็บงำความคับข้องหมองใจเอาไว้ในหัวใจของพวกเขาอีกต่อไป แต่ทุกคนควรจะสามารถมองเห็นความชอบธรรมของเราในการจัดการเตรียมการที่เราได้ทำลงไป  เราไม่บังคับให้มวลมนุษย์รักเรา และเราไม่บดขยี้มนุษย์คนใดเพราะมารักเรา  ในตัวเราคืออิสรภาพอันบริบูรณ์ คือการปลดปล่อยอันบริบูรณ์  แม้ว่าโชคชะตาของมนุษย์จะอยู่ในมือทั้งสองของเรา แต่เราได้ให้เจตจำนงเสรีแก่มนุษย์ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา  ในหนทางนี้ มนุษย์จะไม่คิดหาหนทางเข้าไปมี “ปัญหา” เพราะประกาศกฤษฎีกาบริหารของเรา แต่ในทางตรงกันข้าม กลับจะได้มาซึ่ง “การปลดปล่อย” เพราะไว้วางใจในความเอื้ออารีของเรา  และดังนั้น ผู้คนมากมายจึงแสวงหาทางออกของพวกเขาเองภายในความเป็นอิสระของพวกเขา และไม่ถูกเราหน่วงเหนี่ยวเลยแม้แต่น้อย

เราปฏิบัติต่อมวลมนุษย์ด้วยมือที่โอบอ้อมอารีอยู่เสมอ ไม่เคยสร้างภาระให้มนุษย์ด้วยปัญหาที่มิอาจคลี่คลายได้ ไม่เคยทำให้บุคคลใดอยู่ในความลำบากยากเย็นสักคนเดียว  นี่ไม่เป็นดังนี้หรอกหรือ?  แม้ว่าผู้คนมากมายยิ่งนักไม่รักเรา แต่เราก็ให้อิสรภาพแก่พวกเขา โดยหาได้เคืองใจกับท่าทีประเภทนี้ไม่ และยอมให้พวกเขาออกนอกทางจนถึงขั้นที่ปล่อยให้พวกเขาแหวกว่ายไปมาอย่างอิสระในทะเลแห่งความขมขื่นและความทุกข์  เนื่องจากมนุษย์เป็นภาชนะที่ไร้เกียรติ แม้เขาจะมองเห็นพรที่เราถืออยู่ในมือของเรา  เขาก็ไม่มีความสนใจที่จะชื่นชมมัน แต่กลับเลือกที่จะหยิบแส้จากมือของซาตานมากกว่า อันเป็นการชี้ชะตาตัวเขาเองให้ถูกซาตานบริโภคเป็น “เครื่องบำรุงเลี้ยง” ด้วยการนั้น  แน่นอนว่ามีบางคนที่มองเห็นความสว่างของเราด้วยตาของพวกเขา และดังนั้น ถึงแม้ว่าพวกเขากำลังใช้ชีวิตอยู่ในม่านหมอกอันบดบังของกาลปัจจุบัน แต่พวกเขาก็มิได้สูญเสียความเชื่อในความสว่างไปด้วยเหตุแห่งม่านหมอกเหล่านี้ แต่ยังคงคลำทางและแสวงหาผ่านม่านหมอกเหล่านี้ต่อไป—แม้จะมีอุปสรรคเกลื่อนกล่นไปตลอดเส้นทาง  เมื่อมนุษย์กบฏต่อเรา เราก็ทุ่มความเกรี้ยวโกรธของเราลงไปบนตัวเขา และดังนั้นมนุษย์ก็อาจพินาศไปเพราะความเป็นกบฏของเขา  เมื่อเขาเชื่อฟังเรา เราก็ยังคงซ่อนเร้นจากเขา ซึ่งในหนทางนี้ย่อมเป็นการปลุกเร้าความรักอย่างหนึ่งในส่วนลึกของหัวใจของเขา ความรักที่มิได้พยายามป้อยอเรา แต่พยายามทำให้เรามีความชื่นชมยินดี  หลายครั้งเหลือเกินเมื่อมนุษย์ตามหาเรา เราได้ปิดตาของเราและนิ่งเงียบเพื่อที่จะดึงเอาความเชื่อที่แท้จริงของเขาออกมา  แต่เมื่อเราไม่พูด ความเชื่อของเขากลับเปลี่ยนแปลงในทันที และทั้งหมดที่เรามองเห็นคือ “สินค้าเทียมเท็จ” ของเขาเพราะมนุษย์ไม่เคยรักเราอย่างจริงใจ  มีเพียงเมื่อเราสำแดงให้เห็นตัวเราเท่านั้นที่มนุษย์ทั้งปวงแสดง “ความเชื่อ” ให้เห็นกันอย่างขนานใหญ่ แต่เมื่อเราซ่อนเร้นในสถานที่ลับของเรา พวกเขาก็เริ่มอ่อนแอและใจเสาะ ราวกับกลัวว่าจะล่วงเกินเรา มีกระทั่งบางคนที่เมื่อไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเรา ก็เอาเราไป “ประมวลผลเชิงลึก” อันเป็นการหักล้างความจริงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของเราด้วยการนั้น  ผู้คนมากมายเหลือเกินยังคงอยู่ในสภาวะนี้ หลายคนเหลือเกินมีวิธีการคิดแบบนี้  นี่มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าความชื่นชอบของมนุษย์ทั้งปวงที่จะปิดบังสิ่งอัปลักษณ์ในตัวพวกเขาเองเอาไว้  เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงลังเลที่จะดึงความสนใจมาสู่ความไม่ถึงพร้อมของพวกเขาเอง และเมื่อปกปิดใบหน้าของตนเองแล้วเท่านั้น พวกเขาจึงกัดฟันยอมรับความจริงในวจนะของเรา

17 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  บทที่ 17

ถัดไป:  บทที่ 19

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger