บทที่ 19

การใช้วจนะของเราเป็นพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของพวกเขา—นี่คือภาระผูกพันของมนุษย์  ในแต่ละส่วนแห่งวจนะของเรา ผู้คนต้องกำหนดส่วนที่พวกเขาเองจะนำไปใช้ การไม่ทำเช่นนั้นย่อมจะเป็นการแสวงหาการทำลายตัวพวกเขาเองและชวนให้เหยียดหยาม  มนุษยชาติไม่รู้จักเรา และเพราะเหตุนี้ แทนที่จะนำชีวิตของพวกเขาเองมาเสนอให้เราเป็นการแลกเปลี่ยน ทั้งหมดที่พวกเขาทำกลับเป็นการเดินอวดต่อหน้าเราพร้อมกับขยะในมือทั้งสองของพวกเขา พยายามที่จะทำให้เราพึงพอใจด้วยการนั้น  อย่างไรก็ตาม แทนที่จะพึงพอใจกับสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่ เรากลับกำหนดข้อพึงประสงค์ต่อมนุษยชาติต่อไป  เรารักการเกื้อหนุนของผู้คน แต่เราเกลียดชังการเรียกร้องของพวกเขา  มนุษย์ทั้งปวงมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความละโมบ ราวกับว่าหัวใจของมนุษย์ถูกปีศาจครอบงำไว้ และไม่มีสักคนที่สามารถหลุดพ้นและมอบหัวใจของพวกเขาให้แก่เราได้  เมื่อเราพูด ผู้คนรับฟังเสียงของเราด้วยความสนใจอันจดจ่อ แต่เมื่อเรานิ่งเงียบ พวกเขาก็เริ่ม “กิจการ” ของพวกเขาเองอีกครั้ง และเลิกใส่ใจในวจนะของเราโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าวจนะของเราเป็นเพียงส่วนเสริมให้กับ “กิจการ” ของพวกเขาเท่านั้น  เราไม่เคยหย่อนยานกับมนุษยชาติ กระนั้นเราก็อดทนและยอมผ่อนปรนให้กับมนุษยชาติ  และดังนั้น ผลที่ได้จากความปรานีของเราก็คือ มนุษย์ทั้งปวงประเมินตัวพวกเขาเองสูงเกินไป และไม่สามารถรู้จักตนเองและทบทวนตนเอง พวกเขาเพียงหาประโยชน์จากความอดทนของเราเพื่อหลอกลวงเรา  ไม่มีพวกเขาสักคนเดียวที่เคยเอาใจใส่เราอย่างจริงใจ และไม่มีสักคนเดียวที่ทะนุถนอมความล้ำค่าของเราอย่างแท้จริงดุจดังวัตถุซึ่งเป็นที่รักยิ่งแห่งหัวใจของพวกเขา เฉพาะเมื่อพวกเขามีช่วงเวลาว่างเหลืออยู่เท่านั้น พวกเขาจึงจะให้ความเอาใจใส่แบบพอเป็นพิธีแก่เรา  ความพยายามที่เราได้ทุ่มเทให้กับมนุษยชาตินั้นเกินที่จะประเมินวัดได้ ยิ่งไปกว่านั้น เราได้ทำงานกับมนุษย์ในหนทางที่ไม่เคยมีมาก่อน และนอกจากนี้ เรายังมอบภาระภายนอกเพิ่มเติมแก่พวกเขาเพื่อที่ว่าพวกเขาอาจได้รับความรู้บางอย่างจากสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น และก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย  เรามิได้ขอให้ผู้คนเป็นเพียง “ผู้บริโภค” เรายังขอให้พวกเขาเป็น “ผู้ผลิต” ที่ทำให้ซาตานพ่ายแพ้เช่นกัน  แม้ว่าเราอาจจะไม่เรียกร้องให้มนุษยชาติทำสิ่งอันใด ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็มีมาตรฐานในข้อเรียกร้องที่เราทำ เพราะมีจุดประสงค์ในสิ่งที่เรากระทำ รวมทั้งหลักพื้นฐานสำหรับการกระทำของเรา กล่าวคือ เรามิได้ทำเล่นๆ  ส่งเดชดังที่ผู้คนจินตนาการ อีกทั้งเรามิได้ปั้นแต่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและวัตถุแห่งการสร้างมากมายเหลือคณานับด้วยวิธีใดก็ได้ตามที่เราปรารถนา  ในงานของเรา มนุษย์ควรมองเห็นบางสิ่ง และได้รับบางอย่าง  พวกเขาไม่ควรผลาญช่วงเวลาผลิบานแห่งวัยเยาว์ของพวกเขาให้หมดไปอย่างสูญเปล่า หรือปฏิบัติต่อชีวิตของพวกเขาเองเหมือนเสื้อผ้าที่ยอมให้ฝุ่นจับอย่างไม่เอาใจใส่ ในทางตรงกันข้าม พวกเขาควรยืนเฝ้าระวังรักษาตัวพวกเขาเองอย่างเข้มงวด โดยใช้ความไพบูลย์ของเราจัดเตรียมความชื่นชมยินดีของพวกเขาเอง จนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถหันกลับไปหาซาตานได้ก็เพราะเรา และพวกเขาบุกโจมตีซาตานก็เพราะเรา  ข้อเรียกร้องที่เรามีต่อมนุษยชาติมิได้เรียบง่ายถึงเพียงนี้หรอกหรือ?

เมื่อแสงระยิบริบหรี่ของความสว่างเริ่มปรากฏขึ้นในทิศตะวันออก ผู้คนทั้งปวงภายในจักรวาลให้ความสนใจกับมันมากขึ้นเล็กน้อย  เมื่อไม่จมจ่อมอยู่ในการหลับใหลอีกต่อไป มนุษย์ก็มุ่งหน้าไปเฝ้าสังเกตแหล่งกำเนิดของความสว่างทางทิศตะวันออกนี้  เนื่องแต่ความสามารถอันจำกัดของพวกเขา จึงยังไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นตำแหน่งแห่งที่ที่ความสว่างนี้ถือกำเนิดขึ้น  เมื่อทั้งหมดภายในจักรวาลได้รับความกระจ่างอย่างเต็มที่ มนุษย์ก็ตื่นขึ้นจากการหลับฝัน และเมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าวันของเรามาถึงตัวพวกเขาแล้วทีละน้อย  มนุษยชาติทั้งปวงเฉลิมฉลองเพราะการมาถึงของความสว่าง และดังนั้นจึงไม่หลับลึกหรือสลบไสลกันอีกต่อไป  ภายใต้รัศมีแห่งความสว่างของเรา มนุษยชาติทั้งปวงกลายเป็นมีความรู้สึกนึกคิดและสายตาที่ชัดเจน  และตื่นขึ้นมาสู่ความชื่นบานยินดีของการมีชีวิตทันที  ภายใต้ผืนหมอกที่ห่อหุ้ม เรามองออกไปทั่วพิภพ  สัตว์ทั้งปวงกำลังหยุดพัก เนื่องแต่การมาถึงของแสงระยิบริบหรี่แห่งความสว่าง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลายเป็นรู้สึกตัวว่าชีวิตใหม่กำลังใกล้เข้ามา  ด้วยเหตุนี้ สัตว์ทั้งปวงจึงคลานออกมาจากโพรงของพวกมันเพื่อหาอาหารด้วยเช่นกัน  แน่นอนว่าพืชก็ไม่เป็นข้อยกเว้น และในรัศมีของความสว่างนี้ ใบเขียวของพืชส่งประกายมันวาว พลางรอคอยที่จะเล่นบทของพวกมันเองเพื่อเราขณะที่เราอยู่บนแผ่นดินโลก  มนุษย์ทั้งปวงปรารถนาการมาถึงของความสว่างนี้ แต่ทว่าพวกเขาก็เกรงกลัวการมาถึงของมันเช่นกัน กระวนกระวายอยู่ลึกๆ ว่าความอัปลักษณ์ของพวกเขาเองจะไม่มีที่กำบังอีกต่อไป  นี่เป็นเพราะมนุษย์นั้นเปลือยเปล่า และขาดพร่องสิ่งที่จะมาปิดบังพวกเขา  ดังนี้เอง ผู้คนมากมายเหลือเกินจึงได้ตกอยู่ในความตื่นตระหนกอันเป็นผลจากการมาถึงของความสว่าง และอยู่ในสภาวะเสียขวัญเพราะการปรากฏของความสว่าง  เมื่อมองเห็นความสว่าง ผู้คนมากมายเหลือเกินเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจอันไร้ขอบเขต ชิงชังความไม่สะอาดของพวกเขาเอง กระนั้นเมื่อไร้พลังอำนาจที่จะปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริง ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากรอให้เราประกาศคำพิพากษา  ผู้คนมากมายเหลือเกินที่ถูกความทุกข์อยู่ในความมืด เมื่อมองเห็นความสว่าง ก็พลันนึกรู้ความหมายอันลุ่มลึกของความสว่างนั้น และกอดความสว่างไว้แนบอกของพวกเขานับแต่นั้นมา กลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง  ผู้คนมากมายเหลือเกิน แทนที่จะถูกเหวี่ยงออกจากวงโคจรโดยการปรากฏอย่างฉับพลันของความสว่าง กลับเอาแต่วุ่นอยู่กับงานประจำวันในมือเพราะพวกเขามืดบอดมานานหลายปีแล้ว และด้วยเหตุนี้จึงไม่เพียงไม่สังเกตเห็นว่าความสว่างมาถึงแล้วเท่านั้น แต่มิได้อิ่มเอมใจไปกับมันอีกด้วย  ในหัวใจของมนุษย์ เรามิได้สูงส่งอีกทั้งมิได้ต่ำต้อย  ในความคิดเห็นของพวกเขา ไม่ว่าเราดำรงอยู่หรือไม่ก็ไม่แตกต่างกัน ราวกับว่าชีวิตของผู้คนคงจะไม่โดดเดี่ยวยิ่งขึ้นหากว่าเรามิได้ดำรงอยู่ และหากเราดำรงอยู่ ชีวิตของพวกเขาก็คงจะไม่กลายเป็นชื่นบานมากขึ้น  เนื่องจากมนุษย์มิได้ทะนุถนอมเรา ความชื่นชมยินดีที่เรามอบให้พวกเขาจึงมีไม่มาก  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มนุษย์ให้ความรักบูชาแก่เรามากขึ้นแม้เพียงน้อยนิด เราก็จะทำการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่เรามีต่อพวกเขาด้วยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ มีเพียงเมื่อมนุษย์จับความเข้าใจในธรรมบัญญัตินี้แล้วเท่านั้นพวกเขาจึงจะโชคดีพอที่จะอุทิศตนให้แก่เรา และขอสิ่งทั้งหลายที่เราถือไว้ในมือของเรา  แน่ใจหรือว่าความรักที่พวกเขามีต่อเรานั้นมิได้ผูกมัดอยู่แต่กับผลประโยชน์ของพวกเขาเองเพียงอย่างเดียว?  แน่ใจหรือว่าความเชื่อที่พวกเขามีในเรานั้นมิได้ผูกมัดอยู่แต่กับสิ่งทั้งหลายที่เราให้เท่านั้น?  เป็นไปได้หรือที่หากมนุษย์มิได้มองเห็นความสว่างของเรา พวกเขาย่อมไม่สามารถรักเราได้อย่างจริงใจโดยวิถีทางแห่งความเชื่อของพวกเขา?  แน่ใจหรือว่าความแข็งแกร่งและเรี่ยวแรงของพวกเขามิได้ถูกภาวะทั้งหลายของวันนี้จำกัดควบคุม?  เป็นไปได้หรือที่มนุษยชาติจำเป็นต้องมีความกล้าเพื่อที่จะรักเรา?

เนื่องแต่ผลแห่งการดำรงอยู่ของเรา วัตถุแห่งการสร้างมากมายนับไม่ถ้วนจึงทำการนบนอบเชื่อฟังในสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ และมิได้หลงระเริงไปกับการปล่อยตัวเสเพลเมื่อไม่มีการบ่มวินัยของเรา  เพราะฉะนั้น ภูเขาทั้งหลายจึงกลายเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างชนชาติทั้งหลายบนแผ่นดิน แหล่งน้ำกลายเป็นเครื่องกีดกั้นผู้คนในแผ่นดินต่างๆ ให้แยกจากกัน และอากาศกลายเป็นสิ่งที่ไหลเวียนจากบุคคลสู่บุคคลในพื้นที่ว่างเหนือแผ่นดินโลก  มีเพียงมนุษยชาติเท่านั้นที่ไม่สามารถเชื่อฟังข้อพึงประสงค์ตามเจตนารมณ์ของเราได้อย่างแท้จริง นี่คือสาเหตุที่เรากล่าวว่า ในบรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่อยู่ในจำพวกสิ่งที่เป็นกบฏ  มนุษยชาติไม่เคยนบนอบต่อเราอย่างแท้จริง และด้วยเหตุนี้เองเราจึงให้มนุษย์อยู่ภายใต้การบ่มวินัยอันเคร่งครัดตลอดมา  หากแม้นว่าในท่ามกลางมนุษยชาติเกิดมีเหตุการณ์ที่สง่าราศีของเราแผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล เช่นนั้นแล้ว เราจะนำเอาสง่าราศีทั้งหมดของเรามาสำแดงต่อหน้ามวลมนุษย์อย่างแน่นอน  เนื่องจากในความมีมลทินของพวกเขานั้น มนุษย์ไม่เหมาะสมที่จะมองดูสง่าราศีของเรา เราจึงไม่เคยออกมาในที่แจ้งเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว โดยยังคงซ่อนเร้นแทน ด้วยเหตุนี้สง่าราศีของเราจึงไม่เคยถูกสำแดงต่อหน้าพวกเขา และพวกเขาจึงร่วงหล่นลงไปในห้วงเหวแห่งบาปอยู่เสมอ  เราได้ให้อภัยมนุษย์สำหรับความไม่ชอบธรรมของพวกเขา แต่พวกเขาล้วนไม่รู้วิธีปกปักรักษาตัวพวกเขาเอง และกลับปล่อยตัวพวกเขาเองให้เปิดรับความบาปอยู่เสมอ อันเป็นการเปิดโอกาสให้มันทำอันตรายพวกเขา  การนี้มิได้แสดงให้เห็นการขาดพร่องความเคารพตนเองและความรักตนเองของมนุษยชาติหรอกหรือ?  ในท่ามกลางมนุษยชาติ มีสักคนหรือไม่ที่รักได้อย่างแท้จริง?  การอุทิศตนของมนุษยชาติมีน้ำหนักได้กี่มากน้อย?  ไม่มีสินค้าปลอมปนผสมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าความเป็นของแท้ของผู้คนหรอกหรือ?  การอุทิศตนของพวกเขามิใช่สิ่งที่ผสมปนเปทั้งสิ้นหรอกหรือ?  สิ่งที่เราพึงประสงค์คือความรักที่ไม่ถูกแบ่งแยกของพวกเขา  มนุษย์ไม่รู้จักเรา และแม้ว่าพวกเขาอาจพยายามรู้จักเรา แต่พวกเขาก็จะไม่มอบหัวใจที่แท้จริงและจริงจังจริงใจของพวกเขาให้เรา  เราไม่กะเกณฑ์เอาสิ่งที่มนุษย์ไม่เต็มใจให้จากพวกเขา  หากพวกเขามอบการอุทิศตนของพวกเขาแก่เรา เราจะยอมรับมันโดยไม่มีการอิดออดตามมารยาท  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่ไว้ใจเรา และไม่ยอมมอบอุทิศตัวพวกเขาให้แก่เราแม้สักอณูหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว แทนที่จะรำคาญใจมากขึ้นเพราะเรื่องนั้น เราจะเพียงแค่กำจัดพวกเขาในหนทางอื่นบางหนทาง และจัดการเตรียมบั้นปลายที่เหมาะสมให้แก่พวกเขา  ฟ้าร้องที่กำลังม้วนข้ามชั้นฟ้าจะบดขยี้ปวงมนุษย์ ภูเขาสูงทั้งหลายยามที่พวกมันพังถล่มลงมา จะกลบฝังพวกเขา สัตว์ป่าทั้งหลายจะกลืนกินพวกเขาด้วยความหิวโหย และมหาสมุทรที่พลุ่งพล่านจะท่วมทับศีรษะของพวกเขา  ขณะที่มนุษยชาติพัวพันอยู่ในความขัดแย้งที่พี่น้องเข่นฆ่ากันเองนั้น มนุษย์ทั้งปวงจะแสวงหาการทำลายล้างตัวพวกเขาเองในหายนะที่กำลังเกิดขึ้นจากท่ามกลางพวกเขา

ราชอาณาจักรกำลังแผ่ขยายไปในหมู่มวลมนุษย์ ราชอาณาจักรกำลังเป็นรูปเป็นร่างในหมู่มวลมนุษย์ และกำลังยืนหยัดขึ้นมาท่ามกลางมวลมนุษย์ ไม่มีกำลังบังคับใดที่สามารถทำลายราชอาณาจักรของเราได้  ประชากรของเราที่อยู่ในราชอาณาจักรของยุคนี้ มีพวกเจ้าคนใดบ้างที่มิใช่สมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์?  มีพวกเจ้าคนใดอยู่นอกภาวะของมนุษย์?  เมื่อจุดเริ่มต้นใหม่ของเราเป็นที่รู้กันทั่ว ผู้คนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?  พวกเจ้ามองเห็นสภาวะของโลกมนุษย์ด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว  พวกเจ้ายังไม่ขจัดความคิดที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ตลอดไปอีกหรือ?  บัดนี้เรากำลังเดินอยู่ท่ามกลางประชากรของเราและเราใช้ชีวิตในท่ามกลางพวกเขา  วันนี้คนที่มีรักแท้ให้แก่เรา—ผู้คนเช่นนั้นได้รับการอวยพร  บรรดาผู้ที่นบนอบต่อเราย่อมได้รับพร พวกเขาย่อมต้องคงอยู่ในราชอาณาจักรของเรา  บรรดาผู้ที่รู้จักเราย่อมได้รับพร พวกเขาย่อมต้องกุมอำนาจในราชอาณาจักรของเรา  บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาเราย่อมได้รับพร พวกเขาย่อมต้องหนีพ้นพันธนาการของซาตานและได้ชื่นชมพรของเรา  บรรดาผู้ที่สามารถขัดขืนตนเองย่อมได้รับพร พวกเขาย่อมต้องอยู่ในการครอบครองของเราและสืบทอดความไพบูลย์แห่งราชอาณาจักรของเรา  เราจะจดจำบรรดาผู้ที่วิ่งวุ่นเพื่อเรา เราจะยอมรับคนที่สละตนเพื่อเรา ส่วนคนที่ถวายให้เรา เราจะมอบสิ่งต่างๆ ให้พวกเขาชื่นชม  เราจะอวยพรคนที่ชื่นชมวจนะของเรา พวกเขาย่อมต้องเป็นเสาหลักที่ค้ำชูสันหลังคาในราชอาณาจักรของเรา พวกเขาย่อมต้องได้ชื่นชมความไพบูลย์ที่มิอาจหาใดเทียบในนิเวศของเรา และจะไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงพวกเขาได้  พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่ตระเตรียมไว้ให้พวกเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเคยไล่ตามเสาะหาสัญญาทั้งหลายที่เคยให้ไว้แก่พวกเจ้าหรือไม่?  ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าย่อมต้องฝ่าพ้นอำนาจกดขี่ของกองกำลังแห่งความมืด  พวกเจ้าย่อมต้องไม่สูญเสียการชี้นำแห่งความสว่างเมื่ออยู่ท่ามกลางความมืด  พวกเจ้าย่อมต้องเป็นนายของสรรพสิ่ง  เป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตาน  เมื่อประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าย่อมต้องยืนหยัดท่ามกลางผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนในฐานะบทพิสูจน์แห่งชัยชนะของเรา  พวกเจ้าย่อมต้องตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวในแผ่นดินแห่งซีนิม  ด้วยความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า พวกเจ้าย่อมจะสืบทอดพรของเรา และย่อมต้องฉายความสว่างแห่งสง่าราศีของเราไปทั่วจักรวาล

19 มีนาคม ค.ศ. 1992

ก่อนหน้า:  บทที่ 18

ถัดไป:  บทที่ 20

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger