เส้นทาง… (6)

พวกเราถูกนำพามาสู่ปัจจุบันนี้ได้ ก็เพราะพระราชกิจของพระเจ้า ดังนั้นเองพวกเราจึงเป็นผู้รอดในแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ที่พวกเรายังคงอยู่ทุกวันนี้ถือเป็นการเลื่อนฐานะครั้งใหญ่จากพระเจ้า ด้วยเหตุว่าตามแผนการของพระเจ้านั้น ประเทศแห่งพญานาคใหญ่สีแดงควรจะถูกทำลาย  แต่เราคิดว่า บางที พระองค์อาจได้ทรงกำหนดแผนการอื่นไว้แล้ว หรือไม่พระองค์ก็ทรงปรารถนาที่จะดำเนินพระราชกิจอีกส่วนหนึ่งของพระองค์ ดังนั้น แม้จนกระทั่งวันนี้ เราก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน—มันเป็นเสมือนปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว พระเจ้าได้ทรงลิขิตพวกเรากลุ่มนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว และเรายังคงเชื่อต่อไปว่าพระเจ้าทรงมีพระราชกิจอื่นในพวกเรา ขอให้พวกเราทั้งหมดอ้อนวอนต่อฟ้าสวรรค์ดังนี้ว่า “ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์ลุล่วง และขอให้พระองค์ทรงปรากฎต่อพวกเราอีกครั้งและไม่ทรงปกปิดพระองค์เอง เพื่อพวกเราอาจได้แลเห็นพระสิริของพระองค์และโฉมพระพักตร์ของพระองค์ชัดเจนยิ่งขึ้น” เรารู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า เส้นทางที่พระเจ้าทรงนำเราไปไม่ได้เป็นเส้นตรงตลอด แต่เป็นถนนคดเคี้ยวซึ่งเต็มไปด้วยหลุมบ่อ และพระเจ้าตรัสว่า ยิ่งถนนขรุขระมากขึ้นเท่าไร มันยิ่งสามารถเผยถึงหัวใจรักของพวกเราได้มากขึ้นเท่านั้น  แต่ไม่มีใครในพวกเราเลยที่สามารถเปิดเส้นทางเช่นนี้ได้  ในประสบการณ์ของเรา เราได้เดินบนเส้นทางขรุขระและเสี่ยงอันตรายมามากมาย และได้ทนฝ่าความทุกข์อันใหญ่หลวง บางคราวเราเคยถึงกับโศกาจาบัลย์เป็นที่สุดจนอยากจะร้องออกมา แต่เราก็ได้เดินบนเส้นทางนี้ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ เราเชื่อว่านี่คือเส้นทางซึ่งทรงนำโดยพระเจ้า ดังนั้นเราจึงทนฝ่าความทรมานในความทุกข์ทนทั้งมวลแล้วไปต่อ เพราะนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งไว้ ใครเล่าจะหลีกพ้นได้?  เราไม่ได้ร้องขอเพื่อรับพรใดๆ ทั้งหมดที่เราขอคือให้เราสามารถเดินบนเส้นทางที่เราควรเดินซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า  เราไม่ได้มุ่งพยายามเลียนแบบคนอื่นหรือเดินบนหนทางที่พวกเขาเดิน ทั้งหมดที่เราแสวงหาคือการที่ได้อุทิศตนจนลุล่วงด้วยการเดินไปบนเส้นทางที่ถูกตั้งไว้ให้จนสุดทาง  เราไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น กล่าวแบบไม่อ้อมค้อมเลยว่าเราไม่สามารถช่วยเหลือใครอื่นได้เช่นกัน  ดูเหมือนว่าเราอ่อนไหวอย่างมากต่อเรื่องนี้  เราไม่รู้ว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร นี่เป็นเพราะเราเชื่อมาตลอดว่าพระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง  พี่น้องชายหญิงไฟแรงบางคนของพวกเราอาจพูดว่าเราคือผู้ที่ปราศจากความรัก แต่นี่ก็คือสิ่งที่เราเชื่ออยู่พอดี  ผู้คนเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาโดยพึ่งพาการทรงนำของพระเจ้า และเราวางใจว่าพี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ของเราจะเข้าใจหัวใจของเรา  เราหวังเช่นกันว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งที่ยิ่งใหญ่กว่าในแง่นี้ให้แก่พวกเรา เพื่อที่ความรักของพวกเราอาจกลายเป็นบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นและมิตรภาพของพวกเราจะล้ำค่ามากกว่าเดิม  ขออย่าให้พวกเราสับสนกับหัวข้อนี้ แต่แค่ได้รับความกระจ่างแจ้งมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่สัมพันธภาพระหว่างบุคคลอาจก่อร่างสร้างขึ้นมาบนรากฐานแห่งความเป็นผู้นำของพระเจ้

พระเจ้าทรงพระราชกิจในจีนแผ่นดินใหญ่มาเป็นเวลาหลายปี และพระองค์ได้ทรงเสียค่าแลกเปลี่ยนไปอย่างมากกับผู้คนทั้งหมดเพื่อที่จะทำให้พวกเรามาถึงจุดที่พวกเราเป็นอยู่ณ วันนี้ในที่สุด  เราคิดว่าเพื่อนำให้ทุกคนขึ้นมาบนเส้นทางที่ถูกต้อง งานนี้ต้องเริ่มต้นขึ้นตรงจุดที่ทุกคนอ่อนแอที่สุดก่อน เมื่อนั้นพวกเขาจึงสามารถทะลุผ่านอุปสรรคแรกไปได้และก้าวต่อไปข้างหน้าได้  นั่นไม่ดีกว่าหรือ?  ชนชาติจีนที่เสื่อมทรามมาเป็นเวลานับพันปีอยู่รอดมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ “เชื้อไวรัส” ทุกประเภทรุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง แพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่งดุจดังภัยพิบัติ แค่เพียงมองดูสัมพันธภาพของผู้คนก็เพียงพอแล้วที่จะมองเห็นได้ว่า “เชื้อโรค” แอบแฝงเข้าภายในตัวผู้คนมากมายเพียงใด  เป็นเรื่องยากที่สุดสำหรับพระเจ้าที่จะพัฒนาพระราชกิจของพระองค์ขึ้นมาในพื้นที่ที่ปิดกั้นมิดชิดและติดเชื้อไวรัสเช่นนี้ บุคลิกลักษณะ นิสัยของพวกเขา วิธีที่พวกเขากระทำสิ่งต่างๆ ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกในชีวิตของพวกเขาสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของพวกเขา—ล้วนแต่เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้วขาดวิ่น จนถึงจุดที่พระเจ้าได้ทรงลงโทษประหารต่อความรู้และวัฒนธรรมของมนุษย์ทั้งหมด  โดยที่ไม่ต้องเอ่ยถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่พวกเขาเรียนรู้จากครอบครัวและสังคมของพวกเขา—ทั้งหมดนี้ได้รับการตัดสินไปแล้วว่าเป็นการกระทำผิดในสายพระเนตรของพระเจ้า  นี่ก็เป็นเพราะพวกที่มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนี้ได้บริโภคเชื้อไวรัสไปมากมายเกินไป  ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่คิดอะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากระทำ ด้วยเหตุนี้เอง ยิ่งผู้คนเสื่อมทรามมากเท่าไหร่ในสถานที่หนึ่ง สัมพันธภาพระหว่างบุคคลก็ยิ่งผิดปกติมากเท่านั้น  สัมพันธภาพของผู้คนเกลื่อนไปด้วยเล่ห์เพทุบาย พวกเขาคิดการต่อต้านทำลายกันและกันและเข่นฆ่ากันราวกับอยู่ในป้อมปราการของปีศาจที่นิยมกินเนื้อมนุษย์สดๆ ก็ไม่ปาน  เป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นที่สุดที่จะดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าให้สำเร็จในสถานที่อันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งผีอาละวาดเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้ เราอธิษฐานอยู่เสมอต่อพระเจ้าเมื่อเราจำต้องพบปะผู้คน เพราะเราหวาดกลัวการพบปะกับพวกเขา และกลัวลึกมากว่าเราจะกระทำผิดต่อ “ศักดิ์ศรี” ของพวกเขาด้วยอุปนิสัยของเรา ในหัวใจของเรา เราเกรงกลัวอยู่เสมอว่าวิญญาณที่มีมลทินเหล่านี้จะกระทำการอันบุ่มบ่าม  ดังนั้น เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอยู่เสมอให้ปกป้องคุ้มครองเรา  สัมพันธภาพที่ผิดปกติทุกลักษณะเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่ท่ามกลางพวกเรา และเมื่อได้เห็นทั้งหมดนี้ จึงเกิดความเกลียดชังในหัวใจของเรา เพราะท่ามกลางพวกเขาเอง ผู้คนมัวยุ่งอยู่กับ “ธุรกิจ” ของมนุษย์ตลอดเวลา และไม่เคยสงวนความคิดใดๆ ให้แก่พระเจ้าเลย  เราดูหมิ่นประพฤติกรรมของพวกเขาจนเข้ากระดูกดำของเรา  สิ่งที่สามารถมองเห็นได้ในตัวผู้คนในจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มีอะไรเลยนอกจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน  ดังนั้นในพระราชกิจของพระเจ้ากับผู้คนเหล่านี้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบเจอสิ่งใดที่ควรค่าภายในพวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้กระทำพระราชกิจทั้งหมด มีแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่ขับเคลื่อนผู้คนได้มากกว่า และทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา  แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำคนเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ นั่นก็คือการที่พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ขับเคลื่อนผู้คนควบคู่ไปกับความร่วมมือของผู้คนนั้นไม่อาจกระทำได้เลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงได้แต่ลุยงานหนักเพื่อขับเคลื่อนผู้คน แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ผู้คนก็ยังคงด้านชาและขาดสติ และไม่รู้เลยว่าพระเจ้ากำลังทรงกระทำสิ่งใดอยู่  ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าในจีนแผ่นดินใหญ่จึงเปรียบได้กับพระราชกิจแห่งการทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  พระองค์ทรงกระทำให้ผู้คนทั้งหมดถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ และเปลี่ยนทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกเขา ด้วยว่าไม่มีสิ่งใดควรค่าภายในตัวพวกเขาเลย  ช่างเป็นเรื่องที่ชวนให้หัวใจสลายเหลือเกิน  บ่อยครั้งที่เราอธิษฐานด้วยความโศกเศร้าให้กับคนเหล่านี้ “ข้าแต่พระเจ้า ขอฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ทรงเปิดเผยออกมาภายในผู้คนเหล่านี้ เพื่อว่าพระวิญญาณของพระองค์อาจได้ขับเคลื่อนพวกเขาอย่างมากมาย และเพื่อว่าผู้ทนทุกข์ที่ด้านชาและหัวทึบเหล่านี้จะได้ตื่นขึ้น โดยไม่อยู่ในภวังค์อันเงียบสงบอีกต่อไป และได้เห็นวันแห่งพระสิริของพระองค์” ขอให้พวกเราทุกคนอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกล่าวว่า: โอ้พระเจ้า!  ขอพระองค์ทรงปรานีและใส่พระทัยต่อพวกเราอีกสักครั้งเถิด เพื่อหัวใจของพวกเราจะสามารถกลับมาหาพระองค์ได้อย่างสุดใจ และเพื่อพวกเราจะสามารถหลีกหนีไปจากแผ่นดินอันโสมมแห่งนี้ จงลุกขึ้นยืน และกระทำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงไว้วางพระทัยพวกเราให้เสร็จสมบูรณ์  เราหวังว่าพระเจ้าอาจขับเคลื่อนพวกเราอีกสักครั้ง เพื่อพวกเราจะได้รับความรู้แจ้ง และเราหวังว่าพระองค์จะทรงปรานีต่อพวกเรา เพื่อว่าหัวใจของพวกเราจะสามารถค่อยๆ หันกลับมาหาพระองค์และพระองค์อาจได้รับพวกเรา นี่คือความพึงปรารถนาที่พวกเราทุกคนขอรับผิดชอบร่วมกัน

พระเจ้าทรงกำหนดเส้นทางที่พวกเราเดินไว้หมดแล้ว  กล่าวโดยสังเขปคือ เราเชื่อว่าเราจะเดินบนเส้นทางนี้จวบจนวาระสุดท้ายอย่างแน่นอน เพราะพระเจ้าแย้มพระโอษฐ์มายังเราเสมอ และดูราวกับว่าเราได้รับการทรงนำโดยพระหัตถ์ของพระองค์ตลอดกาล ด้วยเหตุนี้หัวใจของเราจึงปราศจากสิ่งอื่นใดเจือปน  และจึงทำให้เราใส่ใจในพระราชกิจของพระเจ้าเสมอ  เราดำเนินงานทุกอย่างที่พระเจ้าทรงมีพระบัญชาต่อเราจนสำเร็จด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดและด้วยการอุทิศของเรา และเราไม่เคยก้าวก่ายกิจต่างๆ ที่ไม่ได้จัดสรรไว้ให้เรา และเราก็ไม่นำตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับใครอื่นที่ทำงานนั้น—เพราะเราเชื่อว่าแต่ละคนต้องเดินบนเส้นทางของพวกเขาเอง และไม่ล่วงล้ำเส้นทางผู้อื่น  เรามองเห็นเป็นแบบนั้น  ชะรอย นี่อาจเป็นผลจากบุคลิกภาพของเราเองกระมัง แต่เราก็หวังว่าพี่น้องชายหญิงของเราจะเข้าใจและให้อภัยเรา เพราะเราไม่มีวันกล้าขัดต่อประกาศกฤษฎีกาแห่งพระบิดาของเรา  เราไม่กล้าเยาะเย้ยท้าทายน้ำพระทัยแห่งฟ้า  พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่า “น้ำพระทัยแห่งฟ้าไม่อาจเยาะเย้ยท้าทายได้”?  บางคนอาจคิดว่าเราคำนึงถึงแต่ตัวเอง แต่เราเชื่อว่าเราได้มาเพื่อดำเนินพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าส่วนหนึ่งให้สำเร็จโดยเฉพาะ  เราไม่ได้มาเพื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคล  กล่าวคือเราจะไม่มีวันเรียนรู้วิธีที่จะมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น  อย่างไรก็ตาม ในพระบัญชาของพระเจ้านั้น เรามีการทรงนำของพระเจ้า และเรามีความเชื่อและความวิริยะที่จะทำให้มองเห็นงานนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง  บางที เราอาจ “คำนึงถึงแต่ตัวเอง” มากเกินไป แต่เราหวังว่าทุกคนจะทำหน้าที่ด้วยตัวพวกเขาเองเพื่อพยายามที่จะรู้สึกถึงความเที่ยงธรรมและความรักอันปราศจากความเห็นแก่ตัวของพระเจ้า และพยายามให้ความร่วมมือกับพระเจ้า  จงอย่ารอคอยการจุติเป็นครั้งที่สองแห่งพระบารมีของพระเจ้า นั่นไม่เป็นผลดีต่อใครเลย  เราคิดเสมอว่าสิ่งที่พวกเราควรพิจารณาคือสิ่งนี้: “เราต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ตามที่เราควรทำเพื่อให้พระเจ้าสมดังพระทัย  พระบัญชาของพระเจ้าสำหรับพวกเราแต่ละคนแตกต่างกัน เราควรสำเร็จลุล่วงในหน้าที่อย่างไร?”  เจ้าต้องล่วงรู้ว่าเส้นทางที่เจ้าเดินคืออะไรกันแน่—เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้  เนื่องจากว่าพวกเจ้าทั้งหมดปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าสมดังพระทัย เหตุใดจึงไม่มอบตัวเจ้าเองให้กับพระองค์เล่า?  ครั้งแรกที่เราได้อธิษฐานต่อพระเจ้า เราได้มอบทั้งหัวใจของเราให้กับพระองค์  ผู้คนรอบตัวเรา—พ่อแม่ พี่น้องและเพื่อนร่วมงาน—พวกเขาทั้งหมดถูกผลักห่างออกไปอยู่หลังความคิดจิตใจของเราโดยสิ่งที่เราได้ตกลงใจแน่วแน่ไปแล้วที่จะทำ ราวกับว่าพวกเขาไม่มีตัวตนสำหรับเราเลย  เพราะจิตใจของเราฝักใฝ่อยู่กับพระเจ้า หรือไม่ก็พระวจนะของพระเจ้าหรือพระปรีชาญาณของพระองค์เสมอ  สิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของเราเสมอ และเป็นพื้นที่ส่วนที่ล้ำค่าที่สุดในหัวใจของเรา ดังนั้น สำหรับผู้คนที่เปี่ยมล้นด้วยหลักปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลก เราคือใครบางคนที่เลือดเย็นและไร้อารมณ์ความรู้สึก  หัวใจของพวกเขาเจ็บปวดจากวิธีที่เราวางตัว จากวิธีที่เราทำสิ่งต่างๆ จากการเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของเรา  พวกเขาชำเลืองดูเราอย่างแปลกๆ ราวกับว่าภาวะบุคคลที่เราเป็นคือปริศนาที่แก้ไม่ได้  พวกเขาแอบทำการประเมินภาวะบุคคลที่เราเป็นอยู่ในใจ โดยไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป  สิ่งที่พวกเขาทำจะสามารถขวางทางของเราได้อย่างไรนะหรือ?  บางที พวกเขาก็อาจจะอิจฉา หรือตกใจสุดขีด หรือเย้ยหยัน แต่ถึงกระนั้นก็ดี เราก็ยังอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามาโดยตลอดราวกับคนที่หิวกระหายอย่างมหาศาล ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงเรากับพระองค์เท่านั้น และไม่มีใครอื่นเลย  แม้กองกำลังจากโลกภายนอกกลุ้มรุมประชิดเราอยู่ตลอดเวลา—แต่ความรู้สึกของการถูกขับเคลื่อนโดยพระเจ้าก็โถมประดังอยู่ในตัวเราตลอดเวลาด้วยเช่นกัน  เมื่อตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เรากราบไหว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า: “โอ้ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้อย่างไร?  สายพระเนตรของพระองค์มองข้าพระองค์ดุจเป็นผู้มีเกียรติ ดุจดังงานทองรูปพรรณ กระนั้นข้าพระองค์ก็ไม่อาจหลีกหนีจากกำลังบังคับแห่งความมืดได้ ข้าพระองค์จะทนทุกข์เพื่อพระองค์ไปทั้งชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะทำให้พระราชกิจของพระองค์เป็นการงานหลักของชีวิตข้าพระองค์ และข้าพระองค์ขอวอนให้พระองค์ทรงมอบที่พักผ่อนที่เหมาะสมเพื่อข้าพระองค์จะได้อุทิศตัวข้าพระองค์เองแด่พระองค์ โอ้ พระเจ้า!  ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะเสนอตัวข้าพระองค์เองแก่พระองค์  พระองค์ทรงทราบดีถึงความอ่อนแอของมนุษย์ แล้วพระองค์ทรงปกปิดพระองค์เองไว้จากข้าพระองค์ด้วยเหตุใด?”  ตอนนั้นเอง ราวกับว่าเราคือดอกลิลลี่ภูเขาที่สายลมโบกโชยกลิ่นหอมยวนของมันจนอวลระคนโดยไม่เป็นที่รู้จักของผู้ใดเลย  กระนั้นฟ้ากลับทรงกรรแสง และหัวใจของเราก็ยังร่ำร้องต่อไป เราได้รู้สึกราวกับว่าหัวใจของเราเจ็บปวดยิ่งกว่า  กองกำลังและการโอบล้อมของมนุษย์ทั้งหมด—เป็นเหมือนฟ้าผ่าลงมาในวันที่อากาศปลอดโปร่ง ใครเล่าจะสามารถเข้าใจหัวใจของเราได้?  และด้วยเหตุนั้นเอง เราจึงได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง และพูดว่า “โอ้ พระเจ้า!  ไม่มีหนทางใดเลยหรือที่จะให้พระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปจนสำเร็จในแผ่นดินอันโสมมแห่งนี้?  เหตุใดหนอ ผู้อื่นจึงไม่สามารถใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระองค์ได้ ในสภาพแวดล้อมอันปลอดการข่มเหงที่ซึ่งชูใจ เต็มไปด้วยการสนับสนุนจุนเจือ?  ข้าพระองค์ต้องการกางปีกของข้าข้าพระองค์ออกทว่าเหตุใดจึงลำบากยากเย็นนักที่จะบินหนีไป?  พระองค์ไม่ทรงเห็นชอบหรอกหรือ?”  เราร่ำไห้ถึงเรื่องนี้เป็นเวลาหลายวัน แต่เราก็ยังวางใจว่าพระเจ้าจะทรงนำความชูใจมาสู่หัวใจอันโศกเศร้าของเรา ไม่มีใครเคยเข้าใจความวิตกกังวลของเรา เห็นทีว่ามันอาจเป็นความล่วงรู้โดยตรงจากพระเจ้า—เราลุกเป็นไฟเพื่อพระราชกิจของพระองค์อยู่ตลอดเวลา และแทบจะไม่มีเวลาหยุดพักหายใจเลย  จวบจนวันนี้ เรายังคงอธิษฐานและพูดว่า “โอ้ พระเจ้า!  หากเป็นน้ำพระทัยของพระองค์ ขอพระองค์โปรดนำทางข้าพระองค์ให้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น เพื่อที่พระราชกิจของพระองค์อาจแพร่กระจายไปทั่วจักรวาล และเพื่อเปิดกว้างต่อทุกชนชาติและทุกนิกาย เพื่อนำพาสันติสุขเล็กน้อยมาสู่หัวใจของข้า พระองค์และข้าพระองค์อาจมีชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งการพักผ่อนเพื่อพระองค์ และทำงานให้พระองค์โดยไม่มีสิ่งรบกวน และสามารถรับใช้พระองค์ด้วยหัวใจอันเปี่ยมสันติสุขของข้าพระองค์ไปจนตลอดชีวิตของข้าพระองค์”  นี่คือสิ่งที่หัวใจเราพึงปรารถนา  บางที พี่น้องชายหญิงอาจจะพูดว่าเราโอหังและทะนงตน เราเองก็รับรู้ถึงข้อนี้เช่นกัน เพราะมันคือข้อเท็จจริง—หนุ่มสาวย่อมเต็มไปด้วยความ โอหังเช่นนี้แหละ  เราถึงบอกออกไปตามความเป็นจริงอย่างไม่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง  เจ้าอาจมองเห็นกมลสันดานทุกอย่างของคนหนุ่มสาวในตัวเรา แต่เจ้าก็สามารถมองเห็นได้เช่นกันว่าตรงไหนที่เราต่างไปจากหนุ่มสาวคนอื่นๆ สิ่งนั้นคือความสงบและความใจเย็นของเรา เราไม่ได้ทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราเชื่อว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราดีกว่าที่เรารู้จักตัวเราเอง  เหล่านี้คือคำพูดจากหัวใจของเรา และเราก็หวังว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่ขุ่นเคืองใจ  ขอให้พวกเราพูดด้วยถ้อยคำจากหัวใจของพวกเรา ดูว่าสิ่งที่เราแต่ละคนไล่ตามเสาะหาคืออะไร จงเปรียบเทียบหัวใจที่รักพระเจ้าพวกเรา รับฟังถ้อยคำที่พวกเรากระซิบบอกต่อพระเจ้า ขับร้องเพลงต่างๆ ที่ไพเราะที่สุดในหัวใจของพวกเราออกมา เพื่อว่าชีวิตของพวกเราจะได้กลับกลายงดงามยิ่งขึ้น  จงลืมอดีตและมองไปข้างหน้าสู่อนาคต  พระเจ้าจะทรงเปิดเส้นทางให้กับพวกเรา!

ก่อนหน้า:  เส้นทาง… (5)

ถัดไป:  เส้นทาง… (7)

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 6) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 7) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 8) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 9) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

Connect with us on Messenger